คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 01 :: เด็กสาวสื่อวิญญาณ 100 %
บทที่ 1 - เด็กสาวสื่อวิญญาณ
อาจเพราะชะตาต้องกัน
เพราะทันทีที่เข้าไปดูภายในบ้านที่ร้างมาหลายปี
คนที่มีสัมผัสพิเศษอย่างวารวารีก็เจอเข้ากับดวงวิญญาณที่วนเวียนไม่ไปไหน
ทว่าเท่าที่สัมผัสได้...พี่โก๋และนิภาเองก็ไม่ได้ร้ายกาจอย่างคำเล่าลือเลย
วารวารีเลยพูดคุยกับทั้งสองตน ก่อนจะทำสัญญาเข้าอยู่กับป้ากาบแก้ว แล้วก็หมั่นทำบุญให้
เรียกว่าอยู่กันอย่างสันติ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไป
หลังจากนับเงินเรียบร้อย วารวารีก็พาตัวเองเดินมายังบ้านที่อยู่เกือบหน้าปากซอย
บ้านหลังหนึ่งที่ต่อเติมออกมาคล้ายสำนักงานขนาดย่อม
เอาไว้สำหรับติดต่อเรื่องขอเช่าบ้านและพื้นที่การค้าขายในตลาดโดยเฉพาะ
คือบ้านของกาบแก้วนั่นเอง
“ป้ากาบแก้วค้า..ป้ากาบแก้ว ฮัลโหล~” หญิงสาวส่งเสียงเรียกเจ้าของบ้านหลังโตที่สุดในซอยนี้เสียงดัง
บริเวณหน้าบ้านมีที่ให้นั่งรอ แต่น่าแปลก...ทั้งที่รั้วบ้านเปิดเอาไว้ให้เข้าออกง่ายดาย
แต่ด้านในอาณาเขตกลับเงียบกริบราวกับไม่มีคนอยู่เลย “ป้ากาบแก้วค้า~”
แต่ภายในบรรยากาศที่เงียบสงบนั้น กลับมีเสียงๆ หนึ่งดังเล็ดลอดออกมา
มันเป็นเสียงร้องครวญครางซ่านกระเส่า ชวนวาบหวิว และเสียงดังเป็นจังหวะราวกับเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ก่อนจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องนั้นดังยั่วเย้า รัญจวน แต่เพราะไม่แน่ใจว่าคนด้านในใช่ป้ากาบแก้วหรือแค่เสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้
วารวารีจึงตะโกนเสียงดังอีกรอบ
“ป้า ถ้าป้าติด..เอ่อ..ธุระอยู่..”
หญิงสาวพยายามสรรหาคำมาพูดเพื่อไม่ให้กระดากปากตัวเอง
แต่เธอมั่นใจมากว่านั่นไม่ใช่เสียงโทรทัศน์ แต่เป็นเสียงกิจกรรมของชายหญิงที่กำลังระเริงรักกันอยู่ต่างหาก
“เดี๋ยวหนูค่อยเอาเงินมาจ่ายใหม่นะคะ”
วารวารียืนทอดถอนหายใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากบ้าน ทว่าเดินพ้นรั้วไปไม่ถึงไหนดี
ป้ากาบแก้วก็ตะโกนไล่หลังตามมาเสียงดังลั่น
“มาแล้วจ้า”
หญิงสาวหันไปก็เห็นอีกฝ่ายใช้มือรวบกระโจมอกเอาไว้หลวมๆ
ชะโงกหน้าออกมาพ้นรั้วบ้านแล้วกวักมือเรียกเธอ หญิงสาวเลยฝืนยิ้มส่งให้ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปหา
“แหม เรานี่นะทำเป็นใจร้อนไปได้ รอป้าแป๊บเดียวเอง”
กาบแก้วบอกทั้งที่ตอนแรกแทบไม่อยากผละออกจากร่างกายล่ำสันที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนั่นเลยแม้แต่น้อย
ทว่าเพราะกลิ่นเงินที่หอมหวนกว่ารสรักต่างหาก ทำให้เธอยอมกัดฟันหยุดเกมรักที่ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงเอาไว้
เพื่อมารับเงินก้อนก่อน
วารวารีมองหญิงตรงหน้า ป้ากาบแก้วอายุอานามก็เข้าเลขสี่กลางๆ แล้ว
ทำไมถึงทำอะไรไม่อายฟ้าดินเลย กลางวันแสกๆ แถมตรงนี้ยังเป็นสำนักงานที่มีคนแวะเวียนเข้ามาหาได้ตลอดอีก
แต่จะอะไรก็ช่าง ป้าเล่นไม่แต่งตัว ออกมาทั้งที่นุ่งผ้าถุงกระโจมอกแนบเนื้อ มิหนำซ้ำตามผิวพรรณจากลำคอลามไปถึงเนินอกยังมีรอยแดงจ้ำสดใหม่ประทับอยู่เลย
แหม..เกมรักเมื่อกี้ท่าจะร้อนซู่ซ่าน่าดู
“ป้าแต่งตัวก่อนก็ได้จ้ะ” หญิงสาวบอกด้วยสีหน้าที่เจือไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
“วาฬไม่รีบ”
“ก็เห็นเรียกซะเสียงลั่นเชียว” ป้ากาบแก้วทำเสียงขุ่นอย่างเสียอารมณ์หน่อยๆ
แต่ก็ยอมทำตามที่วารวารีบอก “งั้นหนูก็รอป้าแป๊บนึงละกัน”
ป้ากาบแก้วหายกลับเข้าไปในบ้าน แต่งตัวอยู่ราวสองสามนาทีก็โผล่ออกมา ทว่าในตอนที่เธอจะยื่นเงินให้
ก็มีพ่อหนุ่มหน้ามน ประเมินจากสายตาแล้วอายุใกล้เคียงกับวารวารี อีกฝ่ายน่าจะยี่สิบต้นๆ
สูง ขาว ราวกับเป็นลูกครึ่งเสื้อสายจีน ร่างกายกำยำใช้ได้ทีเดียว โผล่หน้าตามกาบแก้วออกมา
ชายหนุ่มด้วยแต่งตัวกางเกงยีนส์สีซีดๆ ขาดๆ เสื้อแขนกุดสีเทาที่มีเสื้อกั๊กสีส้มสะท้อนแสงแสบตาสวมทับอีกที
ด้านหลังเสื้อกั๊กนั้นมีหมายเลขและสังกัดวินมอเตอร์ไซด์บอกชัดเจน ผมเผ้าถูกเสยลวกๆ
แต่ก็เห็นได้ชัดจากสีหน้าและเหงื่อที่ผุดซึมออกจากไรผมว่าเมื่อครู่นี้...พ่อหนุ่มหน้ามนคงฟาดฟันพาป้ากาบแก้วฟ่าสมรภูมิรักอย่างหนักหน่วงทีเดียว
“เดี๋ยวผมมาใหม่นะเจ้” ชายหนุ่มคนนั้นปรายสายตามองมายังวารวารี ที่ยืนมองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะรีบใส่รองเท้าผ้าใบเน่าๆ ทว่าป้ากาบแก้วผู้หลงในลีลารักหัวปรักหัวปรำก็รีบรั้งเอาไว้เสียงอ่อนเสียงหวาน
“อ้าว จะไปแล้วเหรอพ่อย้ง” ป้ากาบแก้วส่งสายตาเป็นประกายหวานเชื่อมราวกับยังอยู่ในมนต์สะกด พลางขยับเข้าไปเกาะแขน ยกยิ้มมุมปากดูยั่วยวน แล้วพูดเสียงกระซิบที่แม้แต่วารวารีก็ยังได้ยินชัดเจน “ไม่ต่ออีกหน่อยเหรอจ๊ะ เจ้ยัง...ไม่หายคิดถึงเลย”
อีกฝ่ายกระแอมกระไอ ก่อนตอบ
“พอก่อนดีกว่า” ไม่พูดเปล่า แต่พ่อหนุ่มย้งยังส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ป้ากาบแก้ว
ก่อนจะค่อยๆ แกะมือที่เกาะเกี่ยวแขนตัวเองออกไป “เดี๋ยวผมมาใหม่
หายมานานเดี๋ยวหัวหน้าวินจะด่าเอา”
พอหนุ่มหน้ามนย้งสตาร์ทรถออกไปพ้นซอยบ้านแล้ว ป้ากาบแก้วก็หันมายืนเท้าเอวมองเด็กสาวที่เข้ามาขัดจังหวะทำให้เธอไม่เต็มอิ่มในรสรักตาเขียวทันที
“เราน่ะว่าไง” ป้ากาบแก้วบีบเสียงแหลมใส่ “ไล่แขกเจ้กลับไปแล้วเนี่ย”
“เอ้า! ก็หนูมาจ่ายค่าเช่าพร้อมมัดจำที่เราสัญญากันไว้ไงจ๊ะ”
วารวารีทำเป็นแจกยิ้มหวานออดอ้อนเอาใจหญิงที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยทอง ทว่าพอพูดเข้าเรื่องเงิน
ความกรุ่นโกรธในอกก็ค่อยๆ จางหายไป
“เห็นมั้ย ป้าบอกเราแล้วว่าบ้านนี้กริบ สวยปิ๊งทั้งหลัง ผีเผออะไร ไม่มี๊..”
“ค่าเช่าเดือนละ 3500 มัดจำล่วงหน้าอีก 7000 บาท” วารวารีแกล้งหยิบเงินก้อนออกมานับต่อหน้า
ก่อนจะเงยหน้ามาทำตาปิ๊งๆ ขอความเห็นใจ “ป้าลดมัดจำให้หนูหน่อยไม่ได้หรือคะ”
“ลดเลิดอะไรกันเล่า! นี่ถูกมากแล้วนะยะหล่อน
ทำเลก็ดีออก” ป้ากาบแก้วฮึดฮัด พลางเอื้อมมือหวังดึงเงินทั้งก้อนมาถือไว้เอง
แต่วารวารีชักมือหลบทันอย่างรู้แกว ไม่สนเสียงที่แผดดังขึ้นสามเท่า
กับท่าทางพร้อมตบของป้าวัยทองตรงหน้าเลย
“น่านะ” เธอยังต่อรองอย่างใจเย็น
“นี่ จ่ายๆ มาเหอะน่า คิดจะเบี้ยวฉันหรือไง” เพราะยังเคืองเรื่องที่วารวารีมาขัด
‘กิจกรรมเข้าจังหวะ’ ไม่หาย
แถมยังโดนต่อรองขอลดราคาอีก เลยยิ่งทำให้ป้ากาบแก้วอารมณ์เสียควันแทบออกหู
“จ่ายก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยื่นเงินให้ต่อหน้า ก่อนจะดึงกลับและยื่นคำขู่นิ่มๆ “แต่ หนูโทรไปบอกรายการผีดีกว่าว่าบ้านหลังนี้มีเรื่องเล่าเยอะแยะเลย ถ้าหนูเล่าดีก็คงได้ไปออกหลายรายการ ป้าจะได้เงินเพิ่มด้วยนะ เดี๋ยวโทรทัศน์สนใจพาคนมาล่าท้าผีเยอะแยะแน่”
“พูดบ้าอะไร! อย่ามาหัวหมอหน่อยเลยน่า”
“หนูพูดจริงนะคะ แล้วก็รู้ด้วยว่าป้าปิดปากบ้านรอบข้างจนหมด” วารวารีรู้ว่าไม่มีใครกล้าเอ่ยปากเรื่องที่เกิดขึ้นภายในบ้านหลังนี้ให้เธอกับแม่รู้ เพราะคนส่วนใหญ่ทั้งในซอยและนอกซอย ถ้าไม่เช่าบ้านป้ากาบแก้ว ก็เป็นลูกหนี้ของป้าด้วยกันทั้งนั้น “แต่ว่า..คนที่อยู่ในบ้านเขามาบอกหนูเองเลย น้องชายป้าน่ะชื่อพี่โก๋ใช่มั้ย คนที่ยิงตัวตาย”
ป้ากาบแก้วหน้าเจื่อนไปนิดๆ ก่อนจะแสดงอาการฮึดฮัดกลบเกลื่อนความจริง
“เรื่องแบบนี้ใครเขาก็พูดได้ แถวนี้เขาก็รู้จักไอโก๋ทั้งนั้นแหละน่า”
“ค่ามัดจำเหลือ 6000 ค่าเช่าเหลือ 3000 ต่อเดือน” วารวารีต่อรองเป็นตัวเงินอีกรอบ
ทั้งที่ความจริงแล้วเธอไม่อยากใช้วิธีนี้กับป้ากาบแก้วเท่าไหร่นัก แต่ถ้าป้าพูดความจริงตั้งแต่แรก
ไม่ปกปิดอะไร หรือทำตัวรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปสักนิด เธอก็คงไม่คิดต่อรองหรอก
เพราะบ้านที่เช่าอยู่ก็ถูกใจ นอกจากมีพื้นที่กว้างขวาง ร่มรื่น
ยังมีเฟอร์นิเจอร์ให้ครบครันอีก
แต่ดูๆ แล้ว...ป้ากาบแก้วหวังขูดเลือดขูดเนื้อจากคนที่มาเช่าต่างหาก
เพราะถ้าไม่ใช่เธอที่สื่อสารกับสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นได้
คนที่มาอยู่ คนที่ดวงตก มีเคราะห์กรรมหนักก็คงจะต้องเผ่นแนบกระเจิดกระเจิงไปหมด
และเชื่อเหอะว่าคนอย่างป้ากาบแก้วก็คงไม่คืนเงินมัดจำบ้านให้หรอก
“ฝันไปเถอะว่าคนอย่างฉันจะลดหนักจัดเต็มให้ขนาดนั้น” นอกจากจะถลึงตาใส่
ยืนเท้าเอว พูดจาด้วยน้ำเสียงกระด้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างคนใจจืดใจดำ จนแทบจะชี้นิ้วตะเพิดไล่วารวารีออกจากบ้านแล้ว
กาบแก้วยังเบ้ปากใส่อีกฝ่ายอย่างดูแคลนอีกต่างหาก “ถ้าไม่จ่ายก็ขนข้าวขนของย้ายออกไปวันนี้
เดี๋ยวนี้เลยไป!”
คำไล่เสียงดังทำให้วารวารียัดเงินที่ถือมาทั้งหมดใส่มือเจ้าของบ้าน
แต่คำพูดเสียงราบเรียบอย่างไม่มีวี่แววกวนโทสะ เพียงแค่อยากบอกให้รู้ไว้นั้น ก็ทำเอากาบแก้วยืนตัวสั่นไปหมด
“แฟนพี่โก๋ที่ผูกคอตายตรงบันไดน่ะ พี่นิภาที่ป้าคิดว่าจะมาหลอกเอาเงิน
เอาสมบัติ คนที่ป้ากลัวว่าพี่โก๋หลงหัวปรักหัวปรำแล้วจะยกทุกอย่างให้น่ะ
ป้ารู้ใช่มั้ยว่าจริงๆ แล้วพี่นิภาท้องอยู่ พี่นิภาตายท้องกลม”
“พะ..พูด อะไรของเธอน่ะ” ปากคอที่พยายามพูดออกมาสั่นระริก
เพราะเรื่องนี้กาบแก้วไม่เคยบอกใครมาก่อนเลย “นิภาบอกเธอเหรอ”
“ใช่ค่ะ พี่นิภายังบอกด้วยว่าป้ากับครอบครัวพี่เขา แอบทำพิธีกรรมบางอย่างเงียบๆ
เรื่องนี้ไม่มีใครรู้” วารวารีบอก ก่อนจะถอนหายใจ “หนูถามป้าอีกคำเดียวเลยนะ
จะลดมั้ย อย่าคิดว่าหนูไม่รู้นะ...ว่าป้าจงใจเอาบ้านหลังนี้ให้เช่าเพราะหวังฟันกำไร
ถ้าคนเช่าย้ายออกป้าจะได้เงินมัดจำไปฟรีๆ โดยที่ไม่รู้สึกผิดบาปอะไรเลย
แต่ถ้าหนูกับแม่ย้ายออกล่ะก็...บอกก่อนนะคะว่าบ้านนี้จะไม่มีใครมาเช่าอีก”
ป้ากาบแก้วเม้มปากแน่น มือสองข้างกำจนเล็บจิกเข้าเนื้อ
ในใจก็พลอยคิดหักลบกำไรขาดทุน พร้อมกับคำพูดของเด็กสาวตรงหน้า
“ตกลง” ป้ากาบแก้วกัดฟันตอบกลับ “มัดจำ 6000 เช่าเดือนละ 3000 ตามนั้น”
“หนูขอสัญญาที่ฝากเอาไว้ด้วยค่ะ” หนังสือสัญญาที่เธอร่างขึ้นเอง
แต่ถูกกาบแก้วยึดเอาไว้ตั้งแต่ทีแรก วารวารีต้องการลงลายมือเพื่อยืนยันความจำนงว่าจะเช่าบ้านหลังนี้ตามข้อตกลงที่ทั้งคู่มีต่อกัน
แต่ขณะที่กาบแก้วกำลังจะเข้าไปเอาเอกสารในสำนักงานขนาดย่อมนั้น
หญิงสาวก็นึกถึงคำพูดของพี่โก๋ที่ฝากเธอมาเตือนพี่สาวขึ้นได้ “อ่อ
พี่โก๋ฝากบอกว่าให้ป้าระวังคนที่กำลังคั่วอยู่หน่อย เขาไม่ใช่คนดีอะไรเลย”
วารวารีถอนหายใจ
เพราะสายตาที่มองตอบกลับมาของกาบแก้วนั้นดูไม่ค่อยพอใจที่เธอพูดถึงย้ง
ชายยอดรักของป้านัก
“หนูก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของป้าหรอกนะ คำพูดหนูมันไม่มีอะไรมายืนยันได้
เอาไว้หนูจะบอกให้พี่โก๋ไปเข้าฝันบอกป้าเองดีกว่า ป้าจะได้เชื่อ”
..........................................
ณ บริเวณหน้าหาดในอาณาเขตของโรงแรมในเครือ คิมคิราการ
เก้าอี้นอนชมวิวทะเลที่ว่างเปล่า
กลับมีดวงวิญญาณสามดวงนั่งสนทนากันรับลม ชมพระอาทิตย์ขึ้นของเช้าวันใหม่ เวลานี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของโรงแรมยังไม่ตื่น
บางคนตื่นแล้วก็ออกมาวิ่ง มาใส่บาตร จนกลายเป็นภาพที่ชินตา
“โอ้วโห เจ้าดีน ตัวเอ็งมีแสงสีชมพูเปล่งประกายอีกแล้วว่ะ”
เสียงฮือฮานั้นไม่ใช่คน แต่เป็นดวงวิญญาณของเจ้าที่ ‘ปู่ใหญ่’ ที่คอยดูแลปกปักษ์โรงแรม และ ‘ปู่โมกข์’ เจ้าที่ของบ้านพักตากอากาศ กำลังมองแสงสีชมพูอร่ามเรืองรองไปทั่วตัวของเด่นฤทธิ์
มันจะเรืองแสงแบบนี้อยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ หายไป
แสงแบบนี้พวกท่านจะได้รับก็ต่อเมื่อมีคนเอ่ยถึงเวลาทำบุญให้
แต่แสงที่ได้รับนั้นจะเป็นแสงสีขาวนวล หรือไม่ก็แสงสีเหลืองทองมากกว่าแสงสีชมพู
“แสงแห่งความรัก” เด่นฤทธิ์กางแขนมองสำรวจเนื้อตัวตนเอง ถึงเขาจะเป็นดวงวิญญาณ
แต่ก็ไม่รู้เลยว่าใครกันเป็นคนที่ส่งแสงนี้ให้เกือบทุกเช้า ทุกครั้งที่เขาได้รับแสงนี้จะรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจอิ่มฟู
ทุกอย่างมันเบาสบายไปหมด “จะว่าไปก็อยากรู้เหมือนกันนะปู่ว่าสาวที่ไหนรักผมขนาดทำบุญให้ทุกวี่ทุกวัน
ต้องสวยมากแน่ๆ”
“เอ้อ ไอนี่มันเสือไม่สิ้นลายจริงๆ เว้ย” ปู่ใหญ่ตบเข่าฉาด ก่อนจะหัวเราะชอบใจ
“แหม เสียดายที่ข้าน่ะดันตายตอนแก่แล้ว ไม่งั้นล่ะก็...คงมีสาวๆ คอยทำบุญส่งแสงสีชมพูวิบวับให้
เพราะยังอาลัยอาวรณ์ไม่ขาดแน่ๆ”
“ทำเป็นพูดดีเข้า ข้าก็เหมือนกันแหละวะ ตอนสมัยหนุ่มข้าหล่อมาก
สาวเล็กสาวใหญ่เหลียวหลังมองคอแทบหัก เด็กสมัยนี้เรียกว่าอะไรนะ..”
ปู่โมกข์อวดบ้าง “อ้อ เรียกว่าฮอตปรอทแตกไงล่ะ”
“งั้นแก๊งเรานี่มันก็แก๊ง ‘3 ทหารเสือพราวเสน่ห์’
น่ะสิปู่” เด่นฤทธิ์บอกพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
“เออ ใช่ แก๊งเรามันเจ๋ง” ปู่โมกข์ทำท่าเอาหัวแม่โป้งเช็ดจมูกแบบคนเฟี้ยว “เจ๋งเป้งสุดในปฐพี”
“งั้นคนหล่อๆ อย่างเราไปแต่งตัวกันดีกว่า” ปู่ใหญ่บอก พร้อมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย “เดี๋ยวพระมาจะได้นั่งฟังพระรับบุญแบบคนมีคลาส จะว่าไปแม่เอ็งน่ะฝีมือดีเชียว ข้าชอบแกงเผ็ดเป็ดย่างคราวก่อนนะ อร่อยดี”
ความคิดเห็น