NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประกาศิตร้าย อุบายซาตาน

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำของซาตาน = ขอแค่ใครสักคนที่เดินเข้ามา 100 %

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 66


    ประกาศิตร้าย

    อุบายซาตาน


    บทนำ

    ขอแค่ใครสักคนที่เดินเข้ามา


    ขณะที่ฉันกำลังเขียนเรื่องนี้อยู่นั้น ฉันฟังเพลงที่แสนจะสบายหู เพลงที่เข้ากับการนั่งอยู่ริมทะเลอย่างยิ่ง พอมองออกไปนอกบ้านก็พบว่าอากาศวันนี้ค่อนข้างโปรดโปร่ง แดดจ้าดี เหมาะสำหรับการตากผ้าห่มหนาๆ สักผืน ลมพัดแรงแม้จะมีไอร้อนปะปนมาในอากาศ แต่ก็รู้สึกสดชื่นแจ่มใสตามแบบฉบับฤดูร้อนของไทย

    ทว่าถึงอย่างนั้นในสมองของฉันกลับนึกถึงเรื่องของความ อยุติธรรมในสังคมไทยขึ้นมา

    สาเหตุอาจเป็นเพราะซีรี่ย์ต่างประเทศที่กำลังโด่งดังจนเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ เรื่อง The Glory ในพาร์ท 2 ที่มีการเอาคืนตัวละครแต่ละตัวอย่างสาสมและสะใจ บทลงโทษที่บางตัวละครได้รับมันคือ ศาลเตี้ยการทำโทษคนผิดในแบบที่กฎหมายไม่อาจเข้าถึงได้ ประกอบกับในช่วงนี้ข่าวอาชญากรรมในสังคมไทยก็ร้อนแรงไม่แพ้แดดจัดๆ เลยสักนิด นั่นทำให้ฉันมองเห็นความเหมือนกันในหลายเรื่อง จากสังคมซีรี่ย์และสื่อที่นำเสนอข่าวในแต่ละวัน

    เรื่องที่ดูคล้ายคลึงกันไม่ใช่เรื่องที่โลกกำลังเข้าสู่ช่วงโกลาหล ผู้คนคลั่งจนขาดสติ แต่เป็นการมองเห็นบทลงโทษที่เข้าไม่ถึงผู้ถูกกระทำต่างหาก ในทุกประเทศมีกฎหมายที่เขียนกันออกมาเป็นร้อย เป็นพันข้อ และแยกแยะเอาไว้เป็นหมวดหมู่อย่างละเอียดพอๆ กับเม็ดทรายริมชายหาด แต่ไม่น่าเชื่อว่าในบางกรณีที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นคดีเล็กๆ ก็ตาม แต่กฎหมายที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างรอบคอบนั้น กลับมีช่องโหว่ให้ผู้กระทำผิดเอาตัวรอดได้อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องที่ผู้ถูกกระทำเข้าใจผิดไปเอง

    ซึ่งนั่นทำให้ คนร้ายยังสามารถใช้ชีวิตราวกับคนปกติทั่วไปในสังคมได้

    การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผู้กระทำผิดนั้น เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง และสังคมควรให้โอกาสคนที่คิดกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ แต่มันต่างจากการที่ปล่อยผู้ร้ายหลุดมือไปโดยไม่ได้รับบทลงโทษอะไรเลยตั้งแต่แรก

    คนพวกนั้น คนที่อยู่เหนือกฎหมาย ใช้อำนาจในทางที่ตัวเองมี มักย่ามใจ และไม่สำนึกผิดต่อการกระทำของตัวเองด้วยซ้ำ ร้ายแรงไปกว่านั้นการกระทำอันร้ายแรงต่อผู้อื่นกลับกลายเป็นเหมือน ตราเกียรติยศที่มีไว้โอ้อวดให้เพื่อนกันฟังว่ามันน่าภาคภูมิใจเพียงใด

    และในความสนุกของใครบางคน มันกลับเป็นการฝังรากความเจ็บปวดเอาไว้ในใจของเหยื่อ เป็นบาดแผลที่คุณหมอก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้

    ฉันไม่รู้ว่ากฎหมายต่างประเทศมีบทลงโทษร้ายแรงแค่ไหน แต่ในสังคมไทยกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ ที่อาจมีช่องโหว่เหมือนรูหนู ฉันว่ามันไม่ได้แข็งแรงพอที่จะทำให้ผู้ร้ายเกรงกลัวเลย โดยเฉพาะกฎหมายที่อ่อนยวบลงด้วยเงิน

    อาชีพ ทนายเป็นอาชีพที่ฉันมองว่าเท่ที่สุด ในตัวกฎหมายเองก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนทุกศาสนาในชาติให้ความเคารพยำเกรง ในความคิดของฉัน..ตัวแม่บทกฎหมายของไทยอาจแข็งแรงดีแล้วก็ได้ แต่ใจของคนต่างหาก ที่อ่อนยวบลงเพราะกลิ่นคาวฟุ้งของเงินตรา และสำหรับบางคนอาชีพทนายที่ฉันมองว่าเท่นักหนา กลายเป็นอาชีพที่ทำให้ใครบางคนเกลียดมันเข้าไส้มากเหมือนกัน

    เอาล่ะ! ฉันอาจอินไปกับซีรี่ย์ที่กำลังเป็นกระแสมากไปหน่อย รวมถึงข่าวที่สื่อนำเสนอในทุกๆ วันด้วย

    แต่จากนี้ต่อไป ฉันขอเชิญทุกท่านไปตามหา ซาตานกัน

    ซาตานที่มาพร้อมกับ ศาลเตี้ย ที่พร้อมจะหยิบยื่นขุมนรกให้กับทุกคนที่ทำผิดอย่างตั้งใจ

    กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองอย่างสยองแน่นอน!

     

    ณ โรงเรียนประจำตำบล ดงเสือใหญ่

    เกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้น เป็นเหตุที่น่าแปลกมากเมื่อนักเรียนหญิงรุมทำร้ายเพื่อนร่วมชั้นเพียงคนเดียว โดยมีอาจารย์ฝึกสอนเป็นผู้ยืนดูเหตุการณ์อย่างใจเย็น

    เสียงกรีดร้องและร้องไห้ค่อยๆ เงียบหายไป ขณะที่ใบหน้าของ อั้ม หรือ อัมพิกายังถูกฝ่ามือของเพื่อนหญิงคนหนึ่งฟาดลงมาอยู่หลายครั้งจนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่มีรสเค็มอยู่เต็มปาก ดวงตาสองข้างช้ำบวมจนเปลี่ยนเป็นสีม่วงนั้นเริ่มปรือปิด

    ก่อนที่เสียงภายในใจของอัมพิกาจะดังขึ้นดังๆ อย่างอ้อนวอนว่า..

    ใครก็ได้ช่วยที ใครก็ได้ช่วยด้วย..

    ขณะที่ตัวเริ่มเอนนาบไปกับพื้นห้องคล้ายจะหมดสติอยู่รอมร่อ อัมพิกาอยากให้มีใครสักคนเดินเข้ามาพร้อมแสงสว่างวาบและหยุดทุกอย่างลง

    ใครสักคน เธอไม่ได้ต้องการเจ้าชายขี่ม้าขาว ไม่ได้ต้องการเทวดาหรือนางฟ้าเพราะเธอไม่เคยทำร้ายใครก่อน แต่สิ่งที่ได้รับเป็นการตอบแทนกลับมาอยู่ขณะนี้ ก็ทำให้เห็นแล้วว่าการทำดีได้ดีไม่มีอยู่จริง เทวดานางฟ้าคงอยู่สูงเกินกว่าจะก้มลงมามองดูโลกมนุษย์

    อัมพิกาขอแค่ซาตานสักตนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใส่ชุดสีดำคลุมสนิททั้งตัวหรือแต่งตัวมาในชุดเต็มยศแล้วถือร่มที่เปียกปอน ในมืออาจถือดาบยาวคมกริบ หรือคันธนูที่พร้อมปล่อยลูกศรปักเข้าร่างกายใครสักคน เธอก็ขอแค่ให้อีกฝ่ายช่วยหยุดทุกอย่างตรงนี้เอาไว้ที

    “เหี้ย!” เสียงอุทานอย่างตกใจเมื่อโย่ง รุ่นพี่ ม.6 ถือกระป๋องน้ำที่เอาไว้ใช้ถูพื้นเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี “หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย! พวกมึงแม่ง....ทำเหี้ยอะไรกันวะ!

    รุ่นพี่ตะโกนสุดเสียง คอเป็นเอ็น แต่ก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นครูสาวยืนมองดูคนถูกทำร้ายได้หน้าตาเฉย

    “ครูครับ..” เด็กชายเรียกสติครูฝึกสอนที่ยืนมองด้วยสายตาอำมหิตเลือดเย็น ถ้าไม่ได้ตาฝาดไปโย่งคิดว่าตนเองเห็นมุมปากครูสาวเผลอยกยิ้มอย่างสะใจด้วยซ้ำ “ครูครับ ทำไมไม่ห้ามน้องล่ะครับ”

    “โย่ง เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะไป! อย่ามาแส่ไม่เข้าเรื่อง” ครูน้ำผึ้งหันมาตวาดอีกฝ่าย ใบหน้ารูปไข่ สวยคมนั้น มองโย่งด้วยดวงตาที่โตกว่าเดิมขึ้นหลายเท่า ทำให้จากครูที่เคยดูใจดีงดงาม ดูน่ากลัวขึ้นในพริบตา แต่เด็กหนุ่มก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อใบหน้าที่เปื้อนเลือดสะบักสะบอมเงยขึ้น แล้วเขาเห็นว่ารุ่นน้องที่โดนทำร้ายอย่างป่าเถื่อนคือ..อัมพิกา

    “อั้ม!

    โย่งตาโด เพราะอัมพิกาคือเพื่อนสนิทของกอหญ้าน้องสาวเขา สติโย่งแทบหลุดในวินาทีนั้น แต่ในเมื่อคิดอะไรแทบไม่ออก มือที่กระดิกได้เล็กน้อยเพราะถือกระป๋องน้ำถูพื้นห้องเรียน ก็พลันยกขึ้นแล้วสาดโครมเข้าไปที่กลุ่มหมาหมู่พวกนั้น ทำให้คนที่รุมอัมพิกาแตกฮือราวกับผึ้งแตกรัง

    “ทำบ้าอะไรของเธอ!” ครูน้ำผึ้งเข้ามาดึงแขนเสื้อให้โย่งหันไปหาอย่างหัวเสีย แต่ในจังหวะนั้นสมองของโย่งที่เหมือนทำงานโดยอัตโนมัติจนลืมคิดหน้าคิดหลัง ก็พลันหยิบกระป๋องในมือครอบหัวครูน้ำผึ้ง แล้วรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลืออัมพิกาด้วยการอุ้มรุ่นน้องออกมาแล้ววิ่งออกนอกห้องเรียน พร้อมกับปากที่ร้องตะโกนช่วยด้วยไปตลอดทาง

    “นักเรียน เกิดอะไรขึ้น!” ครูอเนกซึ่งสอนวิชาพละ กำลังจะเดินขึ้นตึก แต่เห็นโย่งอุ้มเพื่อนวิ่งลงมาเสียก่อน ก็รีบวิ่งเข้าไปหา

    “ครูครับ อั้มโดนเพื่อนทำร้าย”

    ครูอเนกมองคนที่สลบไม่ได้สติ หน้าตาบวมช้ำ อีกทั้งเลือดยังไหลออกมาจากปาก ก็รีบบอกกับโย่งว่า “อุ้มอั้มมาที่รถครูเลย เราต้องพาอั้มไปส่งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!

    “ครับ”

    ระหว่างทางไปที่รถครูอเนก ครูสมรศรีที่สอนภาษาไทยเดินผ่านมาเลยถูกลากให้ขึ้นรถไปด้วยกัน กระทั่งมาถึงโรงพยาบาลและอัมพิกาเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว คนที่เดือดเนื้อร้อนใจที่สุดน่าจะเป็นครูทั้งสองคน

    “เธอแน่ใจจริงๆ นะโย่งว่าครูน้ำผึ้งยืนมองโดยไม่ทำอะไรเลย ไม่คิดห้ามปรามเด็กพวกนั้นเลย”

    “ครับ ผมเห็นกับตา” โย่งพยักหน้าด้วยท่าทีหนักแน่นมั่นคง และยังย้ำด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้งว่า “ครูน้ำผึ้งหันมาตวาดผมด้วยซ้ำ สีหน้าครูดูน่ากลัวมาก ไม่ใช่ครูคนสวยคนเดิมเลย”

    “เอาไงดีครับพี่สมร แบบนี้เรื่องใหญ่แน่ อัมพิกาเองก็เป็นเด็กดี เป็นที่รักของครูและเพื่อนๆ ทุกคนในโรงเรียน เราเองก็เห็นกันอยู่ เรื่องผู้ชายยิ่งแล้วใหญ่ ประวัติสะอาดไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครที่ไหน เอ๊ะ..หรือว่ามี นี่โย่ง...น้องสาวเธอสนิทกับอัมพิกานี่นา กรกนกน่ะ”

    “ถ้ามีเรื่องกัน ยายกอหญ้าต้องหน้าง้ำหน้างอและคงต้องพูดอะไรให้เข้าหูบ้างแล้วล่ะครับ แต่นี่ไม่มีเลย เห็นมีแค่โทรถามการบ้านอั้ม..” ทว่าในคำพูดที่ไหลลื่นของโย่งก็สะดุด เพราะเหมือนว่าเจ้าตัวเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “จริงสิครับ วันนี้เพราะผมโดนทำโทษให้ถูห้องเรียน ก่อนจะลงไปแข่งกีฬา ตอนผมถูห้องอยู่ก็ดันได้ยินเสียงร้องไห้ข้างตึก ก็เลยชะโงกหน้าลงไปถึงเห็นว่ายายกอหญ้าร้องไห้ใหญ่โตเชียว”

    “เรื่องมันยิ่งน่าแปลกเข้าไปใหญ่แล้วนะครับ” ครูอเนกทอดถอนใจ “แต่ก่อนอื่นเราต้องโทรไปแจ้งแม่ขออัมพิกาก่อนว่าเกิดเรื่องขึ้น”

    “เห้อ..ให้ตายเถอะน่า นี่ถ้ารู้ว่าลูกสาวคนเดียวโดนทำร้ายขนาดนี้ คนเป็นแม่จะใจสลายแค่ไหนก็ไม่รู้นะ” ครูสมรศรีคอตก

     


    ในความมืดหม่นเมื่อภาพนัยน์ตาดับวูบลงเพราะการหมดสติ เสียงอื้ออึงที่เคยได้ยินนั้นหายไป ขณะที่เหมือนกับว่าร่างของตนล่องลอยอยู่ในแห่งหนใดสักที่บนโลก อัมพิกากลับค่อยๆ เห็นภาพนัยน์ตาตนเองอีกครั้ง

    ภาพของพื้นที่ดำสนิท เบื้องหน้าของเธอเป็นตรอกแคบโดยมีตึกสูงนาบขนาบสองด้าน ฝนที่ตกลงมาจนแทบมองไม่เห็นอะไร แต่มีไฟริมถนนส่องสว่างแบบสลัว ในตอนนั้นเองมีร่างสูงร่างหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ อัมพิกามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดนัก เธอจับภาพใบหน้าเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

    เห็นเป็นเพียงร่างสูงกว่า 180 เซนติเมตร ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ในชุดคลุมสีดำสนิท เบื้องหลังมีปีกนกสีดำอันใหญ่ ใบมือของเขาจับดาบยาวราวกับอาวุธเอาไว้ในมือ

    ภาพตรงหน้า ทำให้อัมพิการู้สึกว่าเขาดูเท่ น่ากลัว และอันตรายในคราวเดียวกัน แต่จะว่าไปแล้วรูปร่างแบบนี้เหมือนใครคนหนึ่งที่เธอคุ้นเคยมาก่อน

    แล้วเขาคือใคร?

    อีกฝ่ายหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ทั้งที่รอบตัวดูมืดหม่น ชายที่เดินฝ่าสายฝนและแสงไฟสลัวคนนั้นกลับดูเป็นประกายความหวังเดียว เขาย่อตัวลงนั่งต่อหน้าแล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกมา คล้ายจะให้ความช่วยเหลือ

    “นั่งตรงนี้มันเปียกฝน มากับฉันเถอะ”

    อัมพิกามองตัวเอง สภาพของเธอมันแย่ขนาดไหนกันในสายตาของเขา เด็กสาวในชุดนักเรียนที่มีรอยบวมช้ำเพราะการถูกทำร้ายจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่างไร้สาเหตุ ผมของเธอลู่แนบศีรษะเพราะน้ำฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า แต่เธอจะไว้ใจให้เขาช่วยเหลือได้หรือ?

    “นายเป็นใคร?”

    “แล้วจิตสุดท้ายของเธอเรียกหาใครกันล่ะ?”

    อัมพิการู้สึกได้ว่าเขากำลังยกมุมปากขึ้นยิ้ม รอยยิ้มนั้นมันคงเยือกเย็นจับใจยิ่งกว่าน้ำฝนที่ตกลงมากระทบตัว แต่คำพูดอันแสนเยือกเย็นจนชวนเสียวสันหลังนั้นทำให้อัมพิกานึกย้อนกลับไป ช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดที่สุด สายตาที่เธอขอร้องอ้อนวอนกับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเพื่อนช่างไร้ความหมาย เหมือนขยะที่คนให้เท้าเขี่ยไปมากับพื้นอย่างไร้ค่า และใช่วินาทีอันสิ้นหวังเช่นนั้น เธอร้องเรียกหา....

    “ซาตาน..” อัมพิกามองใบหน้าของเขา ขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน

    “ใช่ ฉันเอง ซาตานที่เธอเรียกหาจากจิตสุดท้าย ฉันมาแล้วนะ..อัมพิกา” อีกฝ่ายเอื้อมมือมาจับแขนของเธอและฉุดให้อัมพิกายืนขึ้น “ความอยุติธรรมในใจเธอมันเรียกร้องฉันให้มาหาไงล่ะ ซาตานของเธอหน้าตาแบบนี่เอง ฉันนี่แหละคือคนที่จะช่วยเธอเอาคืนคนพวกนั้นให้เจ็บปวดยิ่งกว่าเธอร้อยเท่าพันเท่า”

    “คุณมีตัวตนจริงหรือคะ?” อัมพิกาถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เธอเพรียกหานั้น มันจะมายืนอยู่ต่อหน้าในเวลานี้ “หรือว่าฉันตายไปแล้ว”

    “ยังหรอก เธอยังไม่ตาย เธอยังมีชีวิต และต่อไปนี้ก็จงมีชีวิตที่ดี ดีจนพวกนั้นจะต้องอิจฉาและลงไปแดดิ้นตายเหมือนกิ้งกือไส้เดือน”

    “แต่แม่ฉันเป็นแค่ช่างเย็บผ้า และฉันก็ยังเรียนอยู่” เด็กสาวบอก

    “ฟังนะอัมพิกา แค่เธอหยุดร้องไห้ ฝนก็จะหยุดตก ถ้าเธอบอกให้ฉันถือดาบไปฆ่าคนพวกนั้น...ฉันก็จะทำ และถ้าเธอบอกให้ฉันเป็นหญิงสาวที่ใส่ชุดราตรีสีดำสนิท มีเรือนผมยาวกลางหลังหยิกเป็นลอน ในมือถือคันธนูฉันก็จะเป็นให้” ซาตานผู้นั้นบอก “ฉันเป็นให้เธอได้ทุกอย่าง เพียงแค่บอกความปรารถนาของเธอมา..”

    “ความปรถนาของฉันก็คือ...ช่วยทำให้คนพวกนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าฉันที”

    “ได้สิ ฉันจะให้ทุกอย่างตามที่เธอต้องการ ฉันจะเป็นประตูนรกให้คนพวกนั้นก้าวเท้าลงไปเอง”

    คำสัญญานั้นถูกยืนยันด้วยการกระชับมือที่จับแขนของอัมพิกาให้แน่นขึ้น แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินฝ่าสายฝนออกไปจากซอกตึกเล็กแคบ สู่ถนนใหญ่ที่ไร้รถราวิ่ง ในพื้นที่นั้นมีเพียงแค่อัมพิกาและชายที่เป็นซาตาน เธอไม่แม้จะเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่กลับพากันวิ่งและเต้นรำอยู่ท่ามกลางสายฝนอย่างมีความสุขและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ


     

    เฮือก!

    อัมพิกาหอบเอาลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยดวงตาอันเหลือกโพลน แต่ความเจ็บทำให้เธอมีสติกลับโดยเร็วพลัน ถึงได้รู้ว่าจมูกของเธอถูกครอบด้วยออกซิเจนที่หมอใส่เอาไว้ให้ มือของเธอระโยงรยางค์ไปด้วยสายน้ำเกลือ

    ที่นี่ โรงพยาบาลงั้นเหรอ?

    “ตื่นแล้วเหรอลูก..“ เสียงเรียกเจือเสียงสะอื้นไห้ดังเข้ามาใกล้ พออัมพิกาหันไปมองก็พบอมราแม่ของเธอเดินเข้ามาหาทั้งน้ำตา ก่อนจะรีบรุจนั่งลงข้างเตียงคนป่วย

    แต่ในห้องนี้ไม่ได้มีแค่แม่

    สิ่งที่หญิงสาวเห็นคือเพื่อนๆ เกือบครึ่งห้องเรียนที่เข้ามายืนมองเธอหน้าสลอน ครูน้ำผึ้ง ครูสมรศรี ผอ.โรงเรียน ครูอเนก โย่ง รวมถึงกอหญ้าด้วย

    “อัมพิกา เธอสลบไปตั้ง 5 วันรู้ตัวรึเปล่า?” ครูสมรศรีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโล่งอกโล่งใจ “ทำเอาตกอกตกใจกันแทบแย่แน่ะรู้มั้ย คิดว่าเธอน่ะอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว”

    ความฝันเล็กๆ เมื่อครู่นี้มันมีค่าถึง 5 วันเลยหรือ

    “นี่ เธออยากให้พวกฉันโดนข้อหาฆาตกรรมเพื่อนร่วมชั้นเรียนตายหรือยังไงกันฮะ” บัวไล แหวขึ้นเสียงแหลมปรี๊ด ท่าทีของเธอไม่มีว่าจะสำนึกด้วยซ้ำในการกระทำอันน่ารังเกียจของตัวเอง

    “นี่เธอ ครูให้มาขอโทษเพื่อนนะ ไม่ใช่ให้มาวางอำนาจเหมือนพวกไร้สติ!” ผอ.โรงเรียนเอ็ดเสียงดุ แถมยังถลึงตาใส่บัวไลและเพื่อนๆ ของเด็กสาวที่ดูเหมือนเป็นลูกสมุนอีก “เพื่อนๆ เอากระเช้ามาขอโทษเธอน่ะอัมพิกา”

    “กระเช้าหรือคะ?” อัมพิกามองไปยังกระเช้าผลไม้ราคาไม่กี่ร้อยบาท แล้วอารมณ์เดือดดาลก็ปะทุขึ้นในอก “การโดนเพื่อนเกือบทั้งห้องรุมทำร้ายหายได้ด้วยการยกกระเช้ามาขอโทษเพียงเท่านั้นเองหรือคะ?” เธอย้อนถาม ทำเอาคนที่มาเยี่ยมหน้าเจื่อนไปตามๆ กัน มีเพียงครูสมรศรี ครูอเนก โย่ง และกอหญ้าที่เห็นด้วยกับสิ่งที่อัมพิกาพูดขึ้นมา

    “นั่นสิอั้ม อย่ายอมเชียวนะ ไหนๆ เรื่องนี้ก็ถึงตำรวจแล้ว เธอจะยอมความไม่ได้เด็ดขาด เธอทำผิดอะไรกัน คนพวกนี้ถึงต้องพิพากษาเธอด้วยวิธีการป่าเถื่อน แย่ที่สุด!” กอหญ้ารีบแทรกอย่างเห็นด้วยที่เพื่อนสนิทของเธอไม่ยอมรับกระเช้าขอโทษจากคนที่ทำผิด แล้วปล่อยให้เรื่องจบหายไป

    คนทำผิดก็คือทำผิด ไม่ใช่เข้าใจผิด ลงมือทำเขาไปแล้ว และจะหายกันได้ ยิ่งฝ่ายที่ถูกกระทำได้รับความเสียหาย บาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ อาจถึงขั้นชีวิต ก็ยิ่งต้องได้รับโทษและชดเชยค่าความเสียหายอย่างเหมาะสม

    “ถูกอย่างที่กอหญ้าพูดนะอั้ม บัวไลบอกแม่ว่าอั้มตั้งท่าจะแย่งแฟนเขา แม่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด” อมราหันไปมองหน้าบัวไลด้วยสายตาแดงก่ำเจือน้ำตาที่คลอดวงตาสองข้าง “พ่อเด็กแว้นนั่นมีดีอะไรให้ยายอั้มอยากแย่งกัน!” อมราหันไปพูดใส่บัวไล

    “เดี๋ยวนะ! หมายถึงที่เธอตบตีฉันเพราะคิดว่าจะแย่งพี่โจ้งั้นเหรอ ให้ตายเถอะ...บ้าไปแล้ว!” อัมพิกาส่ายหน้าระอาใจ “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตามแต่...ขอโทษนะคะ ผอ. หนูไม่ขอรับคำขอโทษเป็นกระเช้าหรอกค่ะ หนูขอตัวพักผ่อน แล้วพวกเธอก็ไม่ต้องมาเยี่ยมฉันแล้ว”

    อัมพิกาบอกพร้อมกับนอนตะแคงหนีหน้าคนพวกนั้น ในเมื่อคนพวกนั้นไม่คิดว่าเธอเป็นเพื่อน ไม่ได้เอ่ยปากขอโทษอย่างเต็มใจด้วยซ้ำ อีกทั้งเรื่องนี้ถึงตำรวจแล้ว เธอก็จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนที่คนพวกนั้นสมควรจะได้รับ

    ทำให้เหล่าเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมจำใจต้องกลับออกไปอย่างช่วยไม่ได้ รวมถึงครูที่พามา คงมีก็แต่กอหญ้า และโย่งที่อยู่ต่อ

    “อั้ม เดี๋ยววันนี้จะมีนักข่าวมาสัมภาษณ์เรื่องที่เกิดขึ้น แกไหวป่ะ” กอหญ้าถามเพื่อนสนิทอย่างห่วงใย กลัวว่าเรื่องที่เกิดนั้นจะกระทบกระเทือนจิตใจอัมพิกาเข้า

    ทว่าพอได้ยินดังนั้นอัมพิกาก็สลัดผ้าห่มหันกลับมาหากอหญ้า แม่ และโย่ง ด้วยสีหน้าค่อนข้างตกใจทีเดียว

    “นักข่าวเหรอ? เรื่องใหญ่โตไปขนาดนั้นแล้วเหรอ?”

    “อืมสิ เรื่องนี้นอกจากจะดังในโรงเรียนจนพูดกันไม่หยุดปากแล้ว ยังดังไปทั่วตลาด เผลอๆ ดังไปทั้งตำบลด้วยซ้ำ แถมพวกนั้นก็ยังอัดคลิปเอาไว้ด้วย เลยมีหลักฐานชั้นดีพอให้อั้มเอาผิดเลยแหละ” โย่งบอก

    “จริงอย่างที่โย่งพูด เรื่องนี้เราจะยอมได้ยังไง ในเมื่อคนพวกนั้นจงใจทำกับเราโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา ถึงจะเป็นคดีเยาวชนก็เถอะนะ” อมราบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     


    “เป็นยังไงล่ะนังตัวดี! โง่จนฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว” กำนันวิเชียรใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หัวของลูกสาวอย่างอารมณ์เสีย “วันๆ ดีแต่ก่อเรื่องแต่ราว และฉันบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปคบหากับไอโจ้ไอเด็กเวรนั่น นี่มันออกหน้าช่วยแกบ้างมั้ย”

    “โธ่พ่อ พี่โจ้เขาไม่รู้เรื่องนี่จ๊ะ” บัวไลกระทืบเท่าเร่าๆ เพราะร้อนใจกลัวว่าพ่อของตนนั้นจะเอาเรื่องเอาราวแฟนของเธอ “จริงๆ นะ พี่โจ้เขาไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ”

    “เออ ดี ดีฉิบหายเลย ลูกกูร่านไปเอากับมันเอง ได้ทั้งลูกกูฟรีๆ แถมยังไม่ต้องรับผิดชอบเหี้ยอะไรอีก มีแต่มึงที่โง่สินะอีบัวไล โอ๊ย..กูล่ะอยากจะบ้าตาย” กำนันวิเชียรแทบยกมือนวดขมับที่ปวดตุบๆ

    “พี่ อย่าว่าลูกเลยนะ” บัวเผื่อนผู้เป็นภรรยาเข้าไปเกาะแขนอ้อนวอน แต่ถูกสามีกำนันสลัดมันออกอย่างแรง

    “ก็เพราะมึงมัวแต่ให้ท้ายมันอยู่นี่ไง! อีบัวไลมันถึงหาเรื่องเข้าบ้านไม่หยุดไม่หย่อน” กำนันวิเชียรหันไปตวาดเมีย “จะเอาถ่านเอาขี้เถ้าสักอย่างก็ไม่มี งานบ้านงานเรือนมือไม่กระดิก หัวก็มีแต่ขี้เรื่อย ดีแต่ระริกระรี้วิ่งตามผู้ชาย หึ! ไอเวรนั่นก็พึ่งพาห่าอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ คราวนี้เราคงได้ซวยกันหมดนั่นแหละ”

    “พ่อก็บีบให้พวกครอบครัวของเพื่อนๆ หนูช่วยสิจ๊ะ พ่อเป็นเจ้าของเงินที่พวกมันคอยส่งต้นส่งดอกอยู่ทุกวันนี่นา”

    “อีนี่! มึงจะลากกูไปล่มจมกับมึงด้วยหรือไงวะ! เรื่องมันถึงนักข่าวแล้ว ไอพวกนี้มันยิ่งจมูกมดอยู่ด้วย ให้มันจบแค่เรื่องทำร้ายร่างกายกันเพราะความเข้าใจผิดดีกว่า อย่าลากกุไปฉิบหายกับพวกมึงด้วยเลย” กำนันวิเชียรยื่นคำขาดก่อนจะหุนหันออกจากบ้านไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวที่สุดในชีวิต

     


    ข่าวการรุมทำร้ายของนักเรียนโรงเรียนประจำตำบลดงเสือใหญ่ถูกตีหน้าหนึ่งลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่ขึ้นแผงวันนี้ และขายดีจนหมดในพริบตาเดียว

    สังคมกำลังให้ความสนใจคดีการทำร้ายร่างกายราวกับว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีกฎหมายคอยคุ้มครอง อีกทั้งยังมีสกู๊ปเจาะลึกเกี่ยวกับนักจิตวิทยาที่ประเมินอาการเด็กนักเรียนที่ทำร้ายเพื่อนและผู้ถูกกระทำ รวมถึงกฎระเบียบที่ไม่เคร่งครัดภายในโรงเรียน อีกทั้งยังมีการเขียนถึงความผิดของครูน้ำผึ้งผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย

    ชาวบ้านส่วนใหญ่ในตำบลดงเสือใหญ่ให้ความสนใจจนกลายเป็นหัวข้อสนทนาประจำวันและแตกประเด็นย่อยทั้งในสภากาแฟ ในตลาด รวมถึงผู้คนที่พบปะกันระหว่างทาง ทว่าเสียส่วนใหญ่นั้นเข้าข้างอัมพิกาอย่างเห็นได้ชัด เพราะชาวบ้านที่กู้เงินกำนันนั้น ล้วนแต่โดนดอกเบี้ยที่โหดไม่ต่างจากการรีดเลือดกับปูเลย

    ผู้กู้บางรายค้าขายมีกำไร หากแต่ได้มาเท่าไหร่ก็ต้องใช้หนี้สินกันจนหมดตัว ถึงได้พูดแทบจะเสียงเดียวกันว่าลูกไม้คงไม่ได้หล่นไกลต้นสักเท่าไหร่ พ่อแม่เป็นเยี่ยงไร นิสัยอันธพาลของลูกก็คงเป็นเยี่ยงนั้น ไม่ผิดเพี้ยนต่างกัน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×