คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำของซาตาน = ขอแค่ใครสักคนที่เดินเข้ามา 100 %
ประกาศิตร้าย
อุบายซาตาน
บทนำ
ขอแค่ใครสักคนที่เดินเข้ามา
ขณะที่ฉันกำลังเขียนเรื่องนี้อยู่นั้น ฉันฟังเพลงที่แสนจะสบายหู เพลงที่เข้ากับการนั่งอยู่ริมทะเลอย่างยิ่ง พอมองออกไปนอกบ้านก็พบว่าอากาศวันนี้ค่อนข้างโปรดโปร่ง แดดจ้าดี เหมาะสำหรับการตากผ้าห่มหนาๆ สักผืน ลมพัดแรงแม้จะมีไอร้อนปะปนมาในอากาศ แต่ก็รู้สึกสดชื่นแจ่มใสตามแบบฉบับฤดูร้อนของไทย
ทว่าถึงอย่างนั้นในสมองของฉันกลับนึกถึงเรื่องของความ ‘อยุติธรรม’ ในสังคมไทยขึ้นมา
สาเหตุอาจเป็นเพราะซีรี่ย์ต่างประเทศที่กำลังโด่งดังจนเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ เรื่อง The Glory ในพาร์ท 2 ที่มีการเอาคืนตัวละครแต่ละตัวอย่างสาสมและสะใจ บทลงโทษที่บางตัวละครได้รับมันคือ ‘ศาลเตี้ย’ การทำโทษคนผิดในแบบที่กฎหมายไม่อาจเข้าถึงได้ ประกอบกับในช่วงนี้ข่าวอาชญากรรมในสังคมไทยก็ร้อนแรงไม่แพ้แดดจัดๆ เลยสักนิด นั่นทำให้ฉันมองเห็นความเหมือนกันในหลายเรื่อง จากสังคมซีรี่ย์และสื่อที่นำเสนอข่าวในแต่ละวัน
เรื่องที่ดูคล้ายคลึงกันไม่ใช่เรื่องที่โลกกำลังเข้าสู่ช่วงโกลาหล ผู้คนคลั่งจนขาดสติ แต่เป็นการมองเห็นบทลงโทษที่เข้าไม่ถึงผู้ถูกกระทำต่างหาก ในทุกประเทศมีกฎหมายที่เขียนกันออกมาเป็นร้อย เป็นพันข้อ และแยกแยะเอาไว้เป็นหมวดหมู่อย่างละเอียดพอๆ กับเม็ดทรายริมชายหาด แต่ไม่น่าเชื่อว่าในบางกรณีที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นคดีเล็กๆ ก็ตาม แต่กฎหมายที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างรอบคอบนั้น กลับมีช่องโหว่ให้ผู้กระทำผิดเอาตัวรอดได้อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องที่ผู้ถูกกระทำเข้าใจผิดไปเอง
ซึ่งนั่นทำให้ ‘คนร้าย’ ยังสามารถใช้ชีวิตราวกับคนปกติทั่วไปในสังคมได้
การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผู้กระทำผิดนั้น เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง และสังคมควรให้โอกาสคนที่คิดกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ แต่มันต่างจากการที่ปล่อยผู้ร้ายหลุดมือไปโดยไม่ได้รับบทลงโทษอะไรเลยตั้งแต่แรก
คนพวกนั้น คนที่อยู่เหนือกฎหมาย ใช้อำนาจในทางที่ตัวเองมี มักย่ามใจ และไม่สำนึกผิดต่อการกระทำของตัวเองด้วยซ้ำ ร้ายแรงไปกว่านั้นการกระทำอันร้ายแรงต่อผู้อื่นกลับกลายเป็นเหมือน ‘ตราเกียรติยศ’ ที่มีไว้โอ้อวดให้เพื่อนกันฟังว่ามันน่าภาคภูมิใจเพียงใด
และในความสนุกของใครบางคน มันกลับเป็นการฝังรากความเจ็บปวดเอาไว้ในใจของเหยื่อ เป็นบาดแผลที่คุณหมอก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้
ฉันไม่รู้ว่ากฎหมายต่างประเทศมีบทลงโทษร้ายแรงแค่ไหน แต่ในสังคมไทยกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ ที่อาจมีช่องโหว่เหมือนรูหนู ฉันว่ามันไม่ได้แข็งแรงพอที่จะทำให้ผู้ร้ายเกรงกลัวเลย โดยเฉพาะกฎหมายที่อ่อนยวบลงด้วยเงิน
อาชีพ ‘ทนาย’ เป็นอาชีพที่ฉันมองว่าเท่ที่สุด ในตัวกฎหมายเองก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนทุกศาสนาในชาติให้ความเคารพยำเกรง ในความคิดของฉัน..ตัวแม่บทกฎหมายของไทยอาจแข็งแรงดีแล้วก็ได้ แต่ใจของคนต่างหาก ที่อ่อนยวบลงเพราะกลิ่นคาวฟุ้งของเงินตรา และสำหรับบางคนอาชีพทนายที่ฉันมองว่าเท่นักหนา กลายเป็นอาชีพที่ทำให้ใครบางคนเกลียดมันเข้าไส้มากเหมือนกัน
เอาล่ะ! ฉันอาจอินไปกับซีรี่ย์ที่กำลังเป็นกระแสมากไปหน่อย รวมถึงข่าวที่สื่อนำเสนอในทุกๆ วันด้วย
แต่จากนี้ต่อไป ฉันขอเชิญทุกท่านไปตามหา ‘ซาตาน’ กัน
ซาตานที่มาพร้อมกับ ‘ศาลเตี้ย’ ที่พร้อมจะหยิบยื่นขุมนรกให้กับทุกคนที่ทำผิดอย่างตั้งใจ
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองอย่างสยองแน่นอน!
ณ โรงเรียนประจำตำบล ดงเสือใหญ่
เกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้น เป็นเหตุที่น่าแปลกมากเมื่อนักเรียนหญิงรุมทำร้ายเพื่อนร่วมชั้นเพียงคนเดียว โดยมีอาจารย์ฝึกสอนเป็นผู้ยืนดูเหตุการณ์อย่างใจเย็น
เสียงกรีดร้องและร้องไห้ค่อยๆ เงียบหายไป ขณะที่ใบหน้าของ ‘อั้ม’ หรือ ‘อัมพิกา’ ยังถูกฝ่ามือของเพื่อนหญิงคนหนึ่งฟาดลงมาอยู่หลายครั้งจนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่มีรสเค็มอยู่เต็มปาก ดวงตาสองข้างช้ำบวมจนเปลี่ยนเป็นสีม่วงนั้นเริ่มปรือปิด
ก่อนที่เสียงภายในใจของอัมพิกาจะดังขึ้นดังๆ อย่างอ้อนวอนว่า..
ใครก็ได้ช่วยที ใครก็ได้ช่วยด้วย..
ขณะที่ตัวเริ่มเอนนาบไปกับพื้นห้องคล้ายจะหมดสติอยู่รอมร่อ อัมพิกาอยากให้มีใครสักคนเดินเข้ามาพร้อมแสงสว่างวาบและหยุดทุกอย่างลง
ใครสักคน เธอไม่ได้ต้องการเจ้าชายขี่ม้าขาว ไม่ได้ต้องการเทวดาหรือนางฟ้าเพราะเธอไม่เคยทำร้ายใครก่อน แต่สิ่งที่ได้รับเป็นการตอบแทนกลับมาอยู่ขณะนี้ ก็ทำให้เห็นแล้วว่าการทำดีได้ดีไม่มีอยู่จริง เทวดานางฟ้าคงอยู่สูงเกินกว่าจะก้มลงมามองดูโลกมนุษย์
อัมพิกาขอแค่ซาตานสักตนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใส่ชุดสีดำคลุมสนิททั้งตัวหรือแต่งตัวมาในชุดเต็มยศแล้วถือร่มที่เปียกปอน ในมืออาจถือดาบยาวคมกริบ หรือคันธนูที่พร้อมปล่อยลูกศรปักเข้าร่างกายใครสักคน เธอก็ขอแค่ให้อีกฝ่ายช่วยหยุดทุกอย่างตรงนี้เอาไว้ที
“เหี้ย!” เสียงอุทานอย่างตกใจเมื่อโย่ง รุ่นพี่ ม.6 ถือกระป๋องน้ำที่เอาไว้ใช้ถูพื้นเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี “หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย! พวกมึงแม่ง....ทำเหี้ยอะไรกันวะ!”
รุ่นพี่ตะโกนสุดเสียง คอเป็นเอ็น แต่ก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นครูสาวยืนมองดูคนถูกทำร้ายได้หน้าตาเฉย
“ครูครับ..” เด็กชายเรียกสติครูฝึกสอนที่ยืนมองด้วยสายตาอำมหิตเลือดเย็น ถ้าไม่ได้ตาฝาดไปโย่งคิดว่าตนเองเห็นมุมปากครูสาวเผลอยกยิ้มอย่างสะใจด้วยซ้ำ “ครูครับ ทำไมไม่ห้ามน้องล่ะครับ”
“โย่ง เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะไป! อย่ามาแส่ไม่เข้าเรื่อง” ครูน้ำผึ้งหันมาตวาดอีกฝ่าย ใบหน้ารูปไข่ สวยคมนั้น มองโย่งด้วยดวงตาที่โตกว่าเดิมขึ้นหลายเท่า ทำให้จากครูที่เคยดูใจดีงดงาม ดูน่ากลัวขึ้นในพริบตา แต่เด็กหนุ่มก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อใบหน้าที่เปื้อนเลือดสะบักสะบอมเงยขึ้น แล้วเขาเห็นว่ารุ่นน้องที่โดนทำร้ายอย่างป่าเถื่อนคือ..อัมพิกา
“อั้ม!”
โย่งตาโด เพราะอัมพิกาคือเพื่อนสนิทของกอหญ้าน้องสาวเขา สติโย่งแทบหลุดในวินาทีนั้น แต่ในเมื่อคิดอะไรแทบไม่ออก มือที่กระดิกได้เล็กน้อยเพราะถือกระป๋องน้ำถูพื้นห้องเรียน ก็พลันยกขึ้นแล้วสาดโครมเข้าไปที่กลุ่มหมาหมู่พวกนั้น ทำให้คนที่รุมอัมพิกาแตกฮือราวกับผึ้งแตกรัง
“ทำบ้าอะไรของเธอ!” ครูน้ำผึ้งเข้ามาดึงแขนเสื้อให้โย่งหันไปหาอย่างหัวเสีย แต่ในจังหวะนั้นสมองของโย่งที่เหมือนทำงานโดยอัตโนมัติจนลืมคิดหน้าคิดหลัง ก็พลันหยิบกระป๋องในมือครอบหัวครูน้ำผึ้ง แล้วรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลืออัมพิกาด้วยการอุ้มรุ่นน้องออกมาแล้ววิ่งออกนอกห้องเรียน พร้อมกับปากที่ร้องตะโกนช่วยด้วยไปตลอดทาง
“นักเรียน เกิดอะไรขึ้น!” ครูอเนกซึ่งสอนวิชาพละ กำลังจะเดินขึ้นตึก แต่เห็นโย่งอุ้มเพื่อนวิ่งลงมาเสียก่อน ก็รีบวิ่งเข้าไปหา
“ครูครับ อั้มโดนเพื่อนทำร้าย”
ครูอเนกมองคนที่สลบไม่ได้สติ หน้าตาบวมช้ำ อีกทั้งเลือดยังไหลออกมาจากปาก ก็รีบบอกกับโย่งว่า “อุ้มอั้มมาที่รถครูเลย เราต้องพาอั้มไปส่งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!”
“ครับ”
ระหว่างทางไปที่รถครูอเนก ครูสมรศรีที่สอนภาษาไทยเดินผ่านมาเลยถูกลากให้ขึ้นรถไปด้วยกัน กระทั่งมาถึงโรงพยาบาลและอัมพิกาเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว คนที่เดือดเนื้อร้อนใจที่สุดน่าจะเป็นครูทั้งสองคน
“เธอแน่ใจจริงๆ นะโย่งว่าครูน้ำผึ้งยืนมองโดยไม่ทำอะไรเลย ไม่คิดห้ามปรามเด็กพวกนั้นเลย”
“ครับ ผมเห็นกับตา” โย่งพยักหน้าด้วยท่าทีหนักแน่นมั่นคง และยังย้ำด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้งว่า “ครูน้ำผึ้งหันมาตวาดผมด้วยซ้ำ สีหน้าครูดูน่ากลัวมาก ไม่ใช่ครูคนสวยคนเดิมเลย”
“เอาไงดีครับพี่สมร แบบนี้เรื่องใหญ่แน่ อัมพิกาเองก็เป็นเด็กดี เป็นที่รักของครูและเพื่อนๆ ทุกคนในโรงเรียน เราเองก็เห็นกันอยู่ เรื่องผู้ชายยิ่งแล้วใหญ่ ประวัติสะอาดไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครที่ไหน เอ๊ะ..หรือว่ามี นี่โย่ง...น้องสาวเธอสนิทกับอัมพิกานี่นา กรกนกน่ะ”
“ถ้ามีเรื่องกัน ยายกอหญ้าต้องหน้าง้ำหน้างอและคงต้องพูดอะไรให้เข้าหูบ้างแล้วล่ะครับ แต่นี่ไม่มีเลย เห็นมีแค่โทรถามการบ้านอั้ม..” ทว่าในคำพูดที่ไหลลื่นของโย่งก็สะดุด เพราะเหมือนว่าเจ้าตัวเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “จริงสิครับ วันนี้เพราะผมโดนทำโทษให้ถูห้องเรียน ก่อนจะลงไปแข่งกีฬา ตอนผมถูห้องอยู่ก็ดันได้ยินเสียงร้องไห้ข้างตึก ก็เลยชะโงกหน้าลงไปถึงเห็นว่ายายกอหญ้าร้องไห้ใหญ่โตเชียว”
“เรื่องมันยิ่งน่าแปลกเข้าไปใหญ่แล้วนะครับ” ครูอเนกทอดถอนใจ “แต่ก่อนอื่นเราต้องโทรไปแจ้งแม่ขออัมพิกาก่อนว่าเกิดเรื่องขึ้น”
“เห้อ..ให้ตายเถอะน่า นี่ถ้ารู้ว่าลูกสาวคนเดียวโดนทำร้ายขนาดนี้ คนเป็นแม่จะใจสลายแค่ไหนก็ไม่รู้นะ” ครูสมรศรีคอตก
ในความมืดหม่นเมื่อภาพนัยน์ตาดับวูบลงเพราะการหมดสติ เสียงอื้ออึงที่เคยได้ยินนั้นหายไป ขณะที่เหมือนกับว่าร่างของตนล่องลอยอยู่ในแห่งหนใดสักที่บนโลก อัมพิกากลับค่อยๆ เห็นภาพนัยน์ตาตนเองอีกครั้ง
ภาพของพื้นที่ดำสนิท เบื้องหน้าของเธอเป็นตรอกแคบโดยมีตึกสูงนาบขนาบสองด้าน ฝนที่ตกลงมาจนแทบมองไม่เห็นอะไร แต่มีไฟริมถนนส่องสว่างแบบสลัว ในตอนนั้นเองมีร่างสูงร่างหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ อัมพิกามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดนัก เธอจับภาพใบหน้าเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
เห็นเป็นเพียงร่างสูงกว่า 180 เซนติเมตร ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ในชุดคลุมสีดำสนิท เบื้องหลังมีปีกนกสีดำอันใหญ่ ใบมือของเขาจับดาบยาวราวกับอาวุธเอาไว้ในมือ
ภาพตรงหน้า ทำให้อัมพิการู้สึกว่าเขาดูเท่ น่ากลัว และอันตรายในคราวเดียวกัน แต่จะว่าไปแล้วรูปร่างแบบนี้เหมือนใครคนหนึ่งที่เธอคุ้นเคยมาก่อน
แล้วเขาคือใคร?
อีกฝ่ายหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ทั้งที่รอบตัวดูมืดหม่น ชายที่เดินฝ่าสายฝนและแสงไฟสลัวคนนั้นกลับดูเป็นประกายความหวังเดียว เขาย่อตัวลงนั่งต่อหน้าแล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกมา คล้ายจะให้ความช่วยเหลือ
“นั่งตรงนี้มันเปียกฝน มากับฉันเถอะ”
อัมพิกามองตัวเอง สภาพของเธอมันแย่ขนาดไหนกันในสายตาของเขา เด็กสาวในชุดนักเรียนที่มีรอยบวมช้ำเพราะการถูกทำร้ายจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่างไร้สาเหตุ ผมของเธอลู่แนบศีรษะเพราะน้ำฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า แต่เธอจะไว้ใจให้เขาช่วยเหลือได้หรือ?
“นายเป็นใคร?”
“แล้วจิตสุดท้ายของเธอเรียกหาใครกันล่ะ?”
อัมพิการู้สึกได้ว่าเขากำลังยกมุมปากขึ้นยิ้ม รอยยิ้มนั้นมันคงเยือกเย็นจับใจยิ่งกว่าน้ำฝนที่ตกลงมากระทบตัว แต่คำพูดอันแสนเยือกเย็นจนชวนเสียวสันหลังนั้นทำให้อัมพิกานึกย้อนกลับไป ช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดที่สุด สายตาที่เธอขอร้องอ้อนวอนกับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเพื่อนช่างไร้ความหมาย เหมือนขยะที่คนให้เท้าเขี่ยไปมากับพื้นอย่างไร้ค่า และใช่วินาทีอันสิ้นหวังเช่นนั้น เธอร้องเรียกหา....
“ซาตาน..” อัมพิกามองใบหน้าของเขา ขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน
“ใช่ ฉันเอง ซาตานที่เธอเรียกหาจากจิตสุดท้าย ฉันมาแล้วนะ..อัมพิกา” อีกฝ่ายเอื้อมมือมาจับแขนของเธอและฉุดให้อัมพิกายืนขึ้น “ความอยุติธรรมในใจเธอมันเรียกร้องฉันให้มาหาไงล่ะ ซาตานของเธอหน้าตาแบบนี่เอง ฉันนี่แหละคือคนที่จะช่วยเธอเอาคืนคนพวกนั้นให้เจ็บปวดยิ่งกว่าเธอร้อยเท่าพันเท่า”
“คุณมีตัวตนจริงหรือคะ?” อัมพิกาถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เธอเพรียกหานั้น มันจะมายืนอยู่ต่อหน้าในเวลานี้ “หรือว่าฉันตายไปแล้ว”
“ยังหรอก เธอยังไม่ตาย เธอยังมีชีวิต และต่อไปนี้ก็จงมีชีวิตที่ดี ดีจนพวกนั้นจะต้องอิจฉาและลงไปแดดิ้นตายเหมือนกิ้งกือไส้เดือน”
“แต่แม่ฉันเป็นแค่ช่างเย็บผ้า และฉันก็ยังเรียนอยู่” เด็กสาวบอก
“ฟังนะอัมพิกา แค่เธอหยุดร้องไห้ ฝนก็จะหยุดตก ถ้าเธอบอกให้ฉันถือดาบไปฆ่าคนพวกนั้น...ฉันก็จะทำ และถ้าเธอบอกให้ฉันเป็นหญิงสาวที่ใส่ชุดราตรีสีดำสนิท มีเรือนผมยาวกลางหลังหยิกเป็นลอน ในมือถือคันธนูฉันก็จะเป็นให้” ซาตานผู้นั้นบอก “ฉันเป็นให้เธอได้ทุกอย่าง เพียงแค่บอกความปรารถนาของเธอมา..”
“ความปรถนาของฉันก็คือ...ช่วยทำให้คนพวกนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าฉันที”
“ได้สิ ฉันจะให้ทุกอย่างตามที่เธอต้องการ ฉันจะเป็นประตูนรกให้คนพวกนั้นก้าวเท้าลงไปเอง”
คำสัญญานั้นถูกยืนยันด้วยการกระชับมือที่จับแขนของอัมพิกาให้แน่นขึ้น แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินฝ่าสายฝนออกไปจากซอกตึกเล็กแคบ สู่ถนนใหญ่ที่ไร้รถราวิ่ง ในพื้นที่นั้นมีเพียงแค่อัมพิกาและชายที่เป็นซาตาน เธอไม่แม้จะเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่กลับพากันวิ่งและเต้นรำอยู่ท่ามกลางสายฝนอย่างมีความสุขและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
เฮือก!
อัมพิกาหอบเอาลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยดวงตาอันเหลือกโพลน แต่ความเจ็บทำให้เธอมีสติกลับโดยเร็วพลัน ถึงได้รู้ว่าจมูกของเธอถูกครอบด้วยออกซิเจนที่หมอใส่เอาไว้ให้ มือของเธอระโยงรยางค์ไปด้วยสายน้ำเกลือ
ที่นี่ โรงพยาบาลงั้นเหรอ?
“ตื่นแล้วเหรอลูก..“ เสียงเรียกเจือเสียงสะอื้นไห้ดังเข้ามาใกล้ พออัมพิกาหันไปมองก็พบอมราแม่ของเธอเดินเข้ามาหาทั้งน้ำตา ก่อนจะรีบรุจนั่งลงข้างเตียงคนป่วย
แต่ในห้องนี้ไม่ได้มีแค่แม่
สิ่งที่หญิงสาวเห็นคือเพื่อนๆ เกือบครึ่งห้องเรียนที่เข้ามายืนมองเธอหน้าสลอน ครูน้ำผึ้ง ครูสมรศรี ผอ.โรงเรียน ครูอเนก โย่ง รวมถึงกอหญ้าด้วย
“อัมพิกา เธอสลบไปตั้ง 5 วันรู้ตัวรึเปล่า?” ครูสมรศรีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโล่งอกโล่งใจ “ทำเอาตกอกตกใจกันแทบแย่แน่ะรู้มั้ย คิดว่าเธอน่ะอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว”
ความฝันเล็กๆ เมื่อครู่นี้มันมีค่าถึง 5 วันเลยหรือ
“นี่ เธออยากให้พวกฉันโดนข้อหาฆาตกรรมเพื่อนร่วมชั้นเรียนตายหรือยังไงกันฮะ” บัวไล แหวขึ้นเสียงแหลมปรี๊ด ท่าทีของเธอไม่มีว่าจะสำนึกด้วยซ้ำในการกระทำอันน่ารังเกียจของตัวเอง
“นี่เธอ ครูให้มาขอโทษเพื่อนนะ ไม่ใช่ให้มาวางอำนาจเหมือนพวกไร้สติ!” ผอ.โรงเรียนเอ็ดเสียงดุ แถมยังถลึงตาใส่บัวไลและเพื่อนๆ ของเด็กสาวที่ดูเหมือนเป็นลูกสมุนอีก “เพื่อนๆ เอากระเช้ามาขอโทษเธอน่ะอัมพิกา”
“กระเช้าหรือคะ?” อัมพิกามองไปยังกระเช้าผลไม้ราคาไม่กี่ร้อยบาท แล้วอารมณ์เดือดดาลก็ปะทุขึ้นในอก “การโดนเพื่อนเกือบทั้งห้องรุมทำร้ายหายได้ด้วยการยกกระเช้ามาขอโทษเพียงเท่านั้นเองหรือคะ?” เธอย้อนถาม ทำเอาคนที่มาเยี่ยมหน้าเจื่อนไปตามๆ กัน มีเพียงครูสมรศรี ครูอเนก โย่ง และกอหญ้าที่เห็นด้วยกับสิ่งที่อัมพิกาพูดขึ้นมา
“นั่นสิอั้ม อย่ายอมเชียวนะ ไหนๆ เรื่องนี้ก็ถึงตำรวจแล้ว เธอจะยอมความไม่ได้เด็ดขาด เธอทำผิดอะไรกัน คนพวกนี้ถึงต้องพิพากษาเธอด้วยวิธีการป่าเถื่อน แย่ที่สุด!” กอหญ้ารีบแทรกอย่างเห็นด้วยที่เพื่อนสนิทของเธอไม่ยอมรับกระเช้าขอโทษจากคนที่ทำผิด แล้วปล่อยให้เรื่องจบหายไป
คนทำผิดก็คือทำผิด ไม่ใช่เข้าใจผิด ลงมือทำเขาไปแล้ว และจะหายกันได้ ยิ่งฝ่ายที่ถูกกระทำได้รับความเสียหาย บาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ อาจถึงขั้นชีวิต ก็ยิ่งต้องได้รับโทษและชดเชยค่าความเสียหายอย่างเหมาะสม
“ถูกอย่างที่กอหญ้าพูดนะอั้ม บัวไลบอกแม่ว่าอั้มตั้งท่าจะแย่งแฟนเขา แม่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด” อมราหันไปมองหน้าบัวไลด้วยสายตาแดงก่ำเจือน้ำตาที่คลอดวงตาสองข้าง “พ่อเด็กแว้นนั่นมีดีอะไรให้ยายอั้มอยากแย่งกัน!” อมราหันไปพูดใส่บัวไล
“เดี๋ยวนะ! หมายถึงที่เธอตบตีฉันเพราะคิดว่าจะแย่งพี่โจ้งั้นเหรอ ให้ตายเถอะ...บ้าไปแล้ว!” อัมพิกาส่ายหน้าระอาใจ “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตามแต่...ขอโทษนะคะ ผอ. หนูไม่ขอรับคำขอโทษเป็นกระเช้าหรอกค่ะ หนูขอตัวพักผ่อน แล้วพวกเธอก็ไม่ต้องมาเยี่ยมฉันแล้ว”
อัมพิกาบอกพร้อมกับนอนตะแคงหนีหน้าคนพวกนั้น ในเมื่อคนพวกนั้นไม่คิดว่าเธอเป็นเพื่อน ไม่ได้เอ่ยปากขอโทษอย่างเต็มใจด้วยซ้ำ อีกทั้งเรื่องนี้ถึงตำรวจแล้ว เธอก็จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนที่คนพวกนั้นสมควรจะได้รับ
ทำให้เหล่าเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมจำใจต้องกลับออกไปอย่างช่วยไม่ได้ รวมถึงครูที่พามา คงมีก็แต่กอหญ้า และโย่งที่อยู่ต่อ
“อั้ม เดี๋ยววันนี้จะมีนักข่าวมาสัมภาษณ์เรื่องที่เกิดขึ้น แกไหวป่ะ” กอหญ้าถามเพื่อนสนิทอย่างห่วงใย กลัวว่าเรื่องที่เกิดนั้นจะกระทบกระเทือนจิตใจอัมพิกาเข้า
ทว่าพอได้ยินดังนั้นอัมพิกาก็สลัดผ้าห่มหันกลับมาหากอหญ้า แม่ และโย่ง ด้วยสีหน้าค่อนข้างตกใจทีเดียว
“นักข่าวเหรอ? เรื่องใหญ่โตไปขนาดนั้นแล้วเหรอ?”
“อืมสิ เรื่องนี้นอกจากจะดังในโรงเรียนจนพูดกันไม่หยุดปากแล้ว ยังดังไปทั่วตลาด เผลอๆ ดังไปทั้งตำบลด้วยซ้ำ แถมพวกนั้นก็ยังอัดคลิปเอาไว้ด้วย เลยมีหลักฐานชั้นดีพอให้อั้มเอาผิดเลยแหละ” โย่งบอก
“จริงอย่างที่โย่งพูด เรื่องนี้เราจะยอมได้ยังไง ในเมื่อคนพวกนั้นจงใจทำกับเราโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา ถึงจะเป็นคดีเยาวชนก็เถอะนะ” อมราบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เป็นยังไงล่ะนังตัวดี! โง่จนฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว” กำนันวิเชียรใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หัวของลูกสาวอย่างอารมณ์เสีย “วันๆ ดีแต่ก่อเรื่องแต่ราว และฉันบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปคบหากับไอโจ้ไอเด็กเวรนั่น นี่มันออกหน้าช่วยแกบ้างมั้ย”
“โธ่พ่อ พี่โจ้เขาไม่รู้เรื่องนี่จ๊ะ” บัวไลกระทืบเท่าเร่าๆ เพราะร้อนใจกลัวว่าพ่อของตนนั้นจะเอาเรื่องเอาราวแฟนของเธอ “จริงๆ นะ พี่โจ้เขาไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ”
“เออ ดี ดีฉิบหายเลย ลูกกูร่านไปเอากับมันเอง ได้ทั้งลูกกูฟรีๆ แถมยังไม่ต้องรับผิดชอบเหี้ยอะไรอีก มีแต่มึงที่โง่สินะอีบัวไล โอ๊ย..กูล่ะอยากจะบ้าตาย” กำนันวิเชียรแทบยกมือนวดขมับที่ปวดตุบๆ
“พี่ อย่าว่าลูกเลยนะ” บัวเผื่อนผู้เป็นภรรยาเข้าไปเกาะแขนอ้อนวอน แต่ถูกสามีกำนันสลัดมันออกอย่างแรง
“ก็เพราะมึงมัวแต่ให้ท้ายมันอยู่นี่ไง! อีบัวไลมันถึงหาเรื่องเข้าบ้านไม่หยุดไม่หย่อน” กำนันวิเชียรหันไปตวาดเมีย “จะเอาถ่านเอาขี้เถ้าสักอย่างก็ไม่มี งานบ้านงานเรือนมือไม่กระดิก หัวก็มีแต่ขี้เรื่อย ดีแต่ระริกระรี้วิ่งตามผู้ชาย หึ! ไอเวรนั่นก็พึ่งพาห่าอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ คราวนี้เราคงได้ซวยกันหมดนั่นแหละ”
“พ่อก็บีบให้พวกครอบครัวของเพื่อนๆ หนูช่วยสิจ๊ะ พ่อเป็นเจ้าของเงินที่พวกมันคอยส่งต้นส่งดอกอยู่ทุกวันนี่นา”
“อีนี่! มึงจะลากกูไปล่มจมกับมึงด้วยหรือไงวะ! เรื่องมันถึงนักข่าวแล้ว ไอพวกนี้มันยิ่งจมูกมดอยู่ด้วย ให้มันจบแค่เรื่องทำร้ายร่างกายกันเพราะความเข้าใจผิดดีกว่า อย่าลากกุไปฉิบหายกับพวกมึงด้วยเลย” กำนันวิเชียรยื่นคำขาดก่อนจะหุนหันออกจากบ้านไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวที่สุดในชีวิต
ข่าวการรุมทำร้ายของนักเรียนโรงเรียนประจำตำบลดงเสือใหญ่ถูกตีหน้าหนึ่งลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่ขึ้นแผงวันนี้ และขายดีจนหมดในพริบตาเดียว
สังคมกำลังให้ความสนใจคดีการทำร้ายร่างกายราวกับว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีกฎหมายคอยคุ้มครอง อีกทั้งยังมีสกู๊ปเจาะลึกเกี่ยวกับนักจิตวิทยาที่ประเมินอาการเด็กนักเรียนที่ทำร้ายเพื่อนและผู้ถูกกระทำ รวมถึงกฎระเบียบที่ไม่เคร่งครัดภายในโรงเรียน อีกทั้งยังมีการเขียนถึงความผิดของครูน้ำผึ้งผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย
ชาวบ้านส่วนใหญ่ในตำบลดงเสือใหญ่ให้ความสนใจจนกลายเป็นหัวข้อสนทนาประจำวันและแตกประเด็นย่อยทั้งในสภากาแฟ ในตลาด รวมถึงผู้คนที่พบปะกันระหว่างทาง ทว่าเสียส่วนใหญ่นั้นเข้าข้างอัมพิกาอย่างเห็นได้ชัด เพราะชาวบ้านที่กู้เงินกำนันนั้น ล้วนแต่โดนดอกเบี้ยที่โหดไม่ต่างจากการรีดเลือดกับปูเลย
ผู้กู้บางรายค้าขายมีกำไร หากแต่ได้มาเท่าไหร่ก็ต้องใช้หนี้สินกันจนหมดตัว ถึงได้พูดแทบจะเสียงเดียวกันว่าลูกไม้คงไม่ได้หล่นไกลต้นสักเท่าไหร่ พ่อแม่เป็นเยี่ยงไร นิสัยอันธพาลของลูกก็คงเป็นเยี่ยงนั้น ไม่ผิดเพี้ยนต่างกัน
ความคิดเห็น