คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Bad signal \\ สัญญาณอันตราย
เสียงกระดิ่ง ดังขึ้นพร้อมบานประตูที่ค่อย ๆ เปิดออก ชายร่างผอมสูง ที่มีใบหน้าเรียวแหลม เส้นผมฟูชี้ไม่เข้ารูป พร้อมแว่นตาทรงกลมที่ประดับอยู่บนใบหน้า ก็ค่อย ๆ ปรากฏตัว แทรกผ่านบานประตูเข้ามา เรียกความสนใจของชายร่างอ้วนท้วม ในชุดเสื้อคลุมสีเขียวตุ่น ๆ ให้หันไปมองผู้ที่มาใหม่ ร้านของชำในปั๊มน้ำมันบนถนนสาย 4 นอกเมนโรด ที่ตัดผ่านป่าทึบ ที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรกันสักเท่าไหร่นัก
ชายร่างท่วมละความสนใจจากการพูดคุยกับพนักงานคิดเงิน หันไปจับจ้องมองชายแปลกหน้าที่กำลังเดินตรงมาหาเขาด้วยท่าทีแปลก ๆ ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดทักเขา
“สวัสดี พอดีผมอยากสอบถามสักหน่อยนะครับ พอดีผมพึ่งเคยมาแถวนี้เป็นครั้งแรก”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นชายร่างท้วมก็หันไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ เขากวาดสายตาสำรวจเขาเที่ยวหนึ่ง ร่างผอม ที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมยาวสีซีด ดูไม่รู้สึกถึงการคุกคามอะไรทำให้เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย
“ดีเลย ผม นาธาน ฮอฟแมน เป็นนักข่าว พอดีผมจะไปที่เมืองที่ชื่อ ปาล์มสปริง จากนี้ยังอีกไกลไหม”
เมื่ออีกฝ่ายแนะนำตัว พร้อมทั้งยื่นมือมาทำความทักทาย ก็ทำให้ชายร่างท้วมยื่นมือไปจับตอบรับ ก่อนจะแนะนำตัวเองกลับไป
“ผม แกรี่ เป็นคนขับรถส่งของนะ ไม่ใช้คนแถวนี้หรอก แต่ก็มาที่นี้อยู่บ้าง จากนี้ถึงปาล์มสปริง ก็ไม่ไกลแล้วขับรถไปไม่อีกกี่นาทีก็ถึงตัวเมืองแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฮอฟแมน ขยับแว่นตาของเขาเล็กน้อยก่อนจะพูดขอบคุณ แล้วกำลังจะหันหลังกลับไป แกรี่ ก็รีบพูดขึ้นเสียก่อน
“คุณเป็นนักข่าวสินะ ระวังตัวเอาไว้หน่อยที่ปาล์มสปริง เดียวนี้ไม่ค่อยต้อนรับนักข่าวสักเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฮอฟแมนก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปถามแกรี่
“ทำไมละ เมืองนี้กำลังเป็นข่าวเรื่องเศษอุกกาบาตตกลงไปที่เมืองทำให้คนสนใจไม่น้อย น่าจะพอมีนักข่าวไปทำข่าวอยู่บ้างไม่ใช่หรือ”
“ไม่รู้สิ แค่เดียวนี้พวกเขาไม่ค่อยจะเป็นมิตรเหมือนแต่ก่อนสักเท่าไหร่”
ยังที่ทั้งสองคนจะคุยกันจบ ก็มีเสียงไซเรนดังขึ้นที่ด้านนอกร้าน ทั้งคู่จึงหันไปมอง ก็เห็นรถตำรวจค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาจอด แล้วจึงมีตำรวจสองนายลงมาจากรถ สายตาพวกเขาจับจ้องมองเข้ามาด้านใน ทำให้ฮอฟแมนที่สบตาเขากับตำรวจนายหนึ่ง ที่มีโครงหน้า แคบสั้น ทรงผมตัดเรียบ สายตาของเขาจับจ้องมองมายังฮอฟแมนเขม็ง
เสียงกระดิ่งที่บานประตูดังขึ้นอีกครั้ง ตำรวจทั้งสองเดินเข้ามาด้านในร้าน ด้วยที่ทั้งคู่จับจ้องมองพวกเขาอย่างไม่ละสายตา
“รถด้านนอกนั้นเป็นของคุณสินะ ดูแล้วจะไม่ใช้คนแถวนี้สินะ”
ตำรวจนายนั้นที่จ้องมองฮอฟแมนตั้งแต่นอกร้านก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบ พร่า แข็งกระด้าง ฮอฟแมนที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับ
“ถ้างั้นคุณมาทำอะไรที่นี้ แถวนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวผ่านมาสักเท่าไหร่นัก”
เขาจับจ้องฮอฟแมนเขม็ง ราวกับพยายามจับผิดอะไรบางอย่าง เขากวาดสายตาสำรวจมองฮอฟแมนอยู่หลายเที่ยว ฮอฟแมนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็กวาดสายตามองไปหาแกรี่ แต่เขาก็ทำเพียงนิ่งเฉย ตำรวจอีกคนที่ยืนอยู่ถัดไป ก็มองจ้องมาที่เขาอย่างดูคุกคามทำให้ฮอฟแมนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
“เออ...คือ ผมไม่ใช่นักท่องเที่ยวนะ”
ยังไม่ทันที่ฮอฟแมนจะพูดจบ เจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดิมก็พูดแทรกขึ้นมาทันที
“ถ้าอย่างนั้น หลังจากคุณเติมน้ำมันเสร็จ ก็วนรถกลับไป เมื่อสุดทางคุณก็จะเจอถนนใหญ่”
ตำรวจคนนั้นพูดพร้อมกดน้ำเสียงต่ำ ลงในประโยคสุดท้าย ชวนให้ฮอฟแมนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“ไม่ใช่อย่างนั้นคุณตำรวจ พอดีผมเป็นนักข่าว พอที่ผมต้องการจะไปที่ปาล์มสปริงนะครับ”
ขณะที่ฮอฟแมนพูดว่าเขาเป็นนักข่าว ใบหน้าของตำรวจตรงหน้าก็เริ่มบิดเบี้ยวจนแปลกพิกล พอเขาพูดจบใบหน้าที่เคยเรียบเฉยของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรงหน้าก็บิดเบี้ยวเสียจนดูประหลาด
“นักข่าวงั้นหรือ ฉันบอกพวกแกไปกี่ครั้งแล้ว ว่าที่ปาล์มสปริงเราไม่ต้อนรับนักข่าว ไสหัวของแกออกไปจากเมืองของฉันสะไม่อย่างนั้นฉันจะจับแกให้ไปนอนในคุก”
น้ำเสียงขู่ตะคอกทำให้ฮอฟแมนตกใจกลัวขึ้นมากับท่าทีที่แปลกไปของตำรวจตรงหน้า เขาพูดตะโกนต้องไปทั่ว ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ฮอฟแมนจนเขาถอยหลังไปชนกับเคาน์เตอร์ จังหวะนั้นเองแกรี่ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ ก็พยายามเข้ามาห้าม
“ใจเย็น ๆ ก่อนคุณตำรวจ เขาก็แค่นักข่าว”
ยังไม่ทันที่แกรี่จะพูดจบ เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นก็พูดสวนขึ้นทันที
“หุบปากของแกไปซะ แกรี่และย้ายตูดอ้วน ๆ ของแกออกจากเมืองไปซะ ก่อนที่ฉันจะจับแกอีกคนข้อหาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่”
ตำรวจคนนั้นหันมาจ้องแกรี่ ทำให้แกรี่ที่เห็นว่าอีกฝ่ายดูจะเอาจริง ก็ยอมค่อย ๆ เดินออกจากร้านไปอย่างเงียบ ๆ ทำให้ในร้านตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ฮอฟแมนกับเจ้าหน้าที่อีกสองคน ส่วนพนักงานในร้านไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน
“ส่วนแกต้องมากับฉันไอ้นักข่าว”
แล้วตำรวจคนนั้นก็คว้าคอเสื้อของฮอฟแมนก่อนจะพลักให้เขาเดินนำออกไป โดยมีตำรวจค่อยเดินประกบท้าย
“เดียวสิ ผมทำอะไรผิดกัน ผมเป็นนักข่าวนะ”
ฮอฟแมนพยายามจะหันกลับไปโวยวายแต่ก็ถูกตำรวจอีกคนที่ด้านหลังจับเอาไว้ ทำให้เขาขยับเคลื่อนไหวไม่ได้มาก ก่อนที่ตำรวจทั้งคู่จับเขาขึ้นรถตำรวจไป
“แล้วรถผมละ”
ฮอฟแมนโวยวายขึ้นมา ข้าวของส่วนตัวต่าง ๆ ของเขาต่างอยู่บนรถทั้งหมด ตอนนี้เขาไม่ได้มีอะไรติดตัวมาเลย
“มันก็อยู่ตรงนั้นไง”
สิ้นคำพูด ตำรวจทั้งสองก็ค่อย ๆ ขับรถออกจากปั๊มไป มีเพียงฮอฟแมนที่พยายามพูดคุยไม่หยุดจนตำรวจคนนั้นทนไม่ไหว หันกลับมาพูดกับเขา
“หากแกไม่อยู่เงียบ ๆ แล้วละก็ฉันจะไม่ให้แกได้กลับออกไปอีก หุบปากแล้วนักเงียบ ๆ ซะ”
น้ำเสียงที่ดูจะไม่ได้เป็นเพียงการพูดล้อเล่น ทำให้ฮอฟแมนเริ่มเงียบลง เขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา กับตำรวจแปลก ๆ พวกนี้ เขามองออกไปนอกหน้าต่างรถ ทิวทัศน์ที่เคยเป็นป่าไม้สองข้างทางก็เริ่มเข้าเขตตัวเมือง เริ่มมีบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้น รถก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวช้าลง ไม่นานพวกเขาก็เข้ามาในตัวเมือง สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านคน แต่ที่น่าแปลกเขากลับไม่เห็นผู้คนเลยทั้งสองฟากฝั่ง แต่เมื่อสังเกตเข้าไปด้านใน ก็จะเห็นคนกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่ด้านใน ฮอฟแมนมองไปรอบ ๆ อยู่พักหนึ่งก่อนที่รถจะหยุดลงแล้วเจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูรถลงไป ก่อนที่ประตูข้างของเขาจะถูกเปิดออก แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นจะดึงฮอฟแมนออกจากรถ ทำให้เขาเห็นว่าตอนนี้เขาอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจแล้ว ฮอฟแมนถูกลากเข้าไปด้านใน มันเป็นสถานทีตำรวจที่ไม่ใหญ่มากนัก มีตำรวจคนอื่น ๆ ไม่กี่คน พวกเขาทำเพียงนั่งดูทีวีไม่สนใจพวกเขาที่เข้ามาใหม่
“คืนนี้แกนอนอยู่ในคุกนี้ไปก่อน แล้วตอนเช้าก็ไสหัวไปจากเมืองนี้สะ ถ้าไม่อย่างนั้นแกได้นอนอยู่ที่นี้ไปตอนแน่”
ตำรวจพาฮอฟแมนเข้าไปในห้องขัง พร้อมทั้งปิดล็อคประตูทำให้ฮอฟแมนเริ่มร้องโวยวายไม่พอใจออกมาแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครรับฟัง ฮอฟแมนร้องตะโกนจนเริ่มเหนื่อยและคอแห้ง เขาเริ่มถอนใจ คิดในใจได้ว่าคืนนี้คงได้นอนในห้องขังนี้เสียแน่แท้แล้ว เขาเดินเข้าไปในมุมห้องหนึ่ง เขากวาดสายตาสำรวจไปรอบ ๆ ทำให้เขารู้ว่าในห้องขังนี้เขาไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีชายสูงวัยท่าทางร่าวกับคนไร้บ้าน ผมยาวรุงรัง หนวดเคราขึ้นรกเฟิ้ม นั่งเกาะลูกกรงเอาไว้ จับจ้องมองไปยังด้านนอกราวกับเหม่อลอย ฮอฟแมนก็ดูจะไม่สนใจ เขานั่งหลบที่มุมห้องนั่งอยู่อย่างนั้นสักพักความง่วงก็เข้าครอบง่ำ ฮอฟแมนค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
หลังจากหลับไปไม่นานฮอฟแมนก็สะดุ้งตื่น เพราะเขาได้ยินเสียงดัง เขาลุกขึ้นพรวดขึ้นมา เขาพยายามสะบัดศีรษะขับไล่ความมึนงงออกไป ก่อนจะหันไปหาที่มาของเสียง เขาก็ต้องแปลกประหลาดใจกับภาพที่เขาได้เห็น ชายประหลาดที่เคยนั่งเกาะลูกกรงอยู่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้กับยืนตระหง่านอยู่กลางห้องก่อนจะวิ่งชนเข้าใส่ประตูลูกกรงอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่ว ภาพที่ฮอฟแมนเห็นสร้างความงุนงงสับสนให้เขาอย่างมาก กับการกระทำที่แปลกประหลาดของชายตรงหน้า
“เห้ คุณ ใจเย็น ๆ หยุดก่อน”
ฮอฟแมนพยายามเรียกสติของชายตรงหน้า เขาร้องเรียกอยู่สองสามครั้งแต่ชายตรงหน้าก็ไม่หยุดการกระทำนั้น ฮอฟแมนที่กำลังตกใจก็เดินเขาไปคว้าตัวชายคนนั้นเอาไว้ หวังว่าจะหยุดการกระทำนั้นเอาไว้ แต่เมื่อเขาสัมผัสกับตัวของชายคนนั้น ใบหน้าของชายคนนั้นก็หันมาจ้องมองที่เขาในทันที ฮอฟแมนที่หันเผชิญหน้ากับชายคนนั้นก็สะดุ้งหวาดกลัวจนถอยหลัง ก่อนจะล้มลง ความหวาดกลัวกับภาพที่เห็นทำให้ฮอฟแมนแทบจะกรี๊ดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ฮอฟแมนจับจ้องมองใบหน้าที่บุบหยุบเข้าไปเป็นแนว เฉกเช่นเดียวกับร่างกายที่บุบยุบ ซึ่งดูแล้วเป็นบาดแผลที่สาหัสรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้เลย แต่ชายตรงหน้ากับดูไม่ได้มีท่าทางเจ็บปวดอะไร
ฮอฟแมนช็อคไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เขาจะเรียกสติกลับมาได้ ชายตรงหน้าก็ยังพยายามวิ่งชนบานประตูกรงเหล็กจนมันสั่นไหวส่งเสียงดังไปทั่ว ฮอฟแมนที่เห็นอย่างนั้นจึงพยายามลุกขึ้น เขาวิ่งไปอีกด้านของห้องขัง ก่อนจะร้องตะโกนเรียก เจ้าหน้าที่ตำรวจ
“เห้ ๆ คุณตำรวจ มานี้เร็วมีคนกำลังพยายามทำร้ายร่างกายตัวเอง เร็วเข้า”
ฮอฟแมนมองออกไปก็เห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่ เขาจึงพยายามร้องเรียกจนสุดเสียงแต่ตำรวจคนนั้นกับไม่มีการตอบสนองอะไร ฮอฟแมนร้องเรียกจนแทบจะหมดแรง ก่อนที่เขาจะหันไปเห็นที่จะทีวี แต่ก็ได้แต่รู้สึกแปลกประหลาดใจเมื่อ ภาพบนจอกับไม่มีภาพ เป็นเพียงภาพที่มีคลื่นสัญญาณไม่ดี มีเพียงภาพที่เป็นเส้นสัญญาณกระพริบไปมา แต่ตำรวจคนนั้นก็ยังนั่งจ้องมองมันไม่ขยับไปไหน
สถานการณ์ทั้งหมด ทำให้ฮอฟแมนได้แต่สับสนไปหมด แต่ไม่ทันให้เขาได้รวบรวมสติ ประตูกรงเหล็กก็พังลงเกิดเป็นเสียงดังก้องไปทั่ว ปลุกเรียกสติฮอฟแมน เขาจึงหันไปมองก็เห็นประตูกรงพังลง พร้อมร่างของชายคนนั้นล้มทับอยู่ พื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด ราวกับแอ่งน้ำกองหนึ่ง ภาพสยดสยองตรงหน้าทำให้ ฮอฟแมนเกิดอาการช็อค เขาได้แต่ยืนนิ่งราวกับรูปสลักหิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ทำให้ฮอฟแมนถึงกับล้มทั้งยืนเมื่อเขาเห็น ศพที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด ค่อย ๆ ดันร่างตัวเองลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยแขนสองข้างที่บิดเบี้ยวไปจากที่ควรจะเป็น คาดได้ว่าเกิดจากแรงกระแทกอย่างรุนแรง ร่าง ๆ นั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ในท่าทางที่แปลกประหลาดและน่าสยดสยอง ร่างกายส่วนใหญ่ บิดเบี้ยวไปจากที่ควร บางส่วนยุบ บางส่วนโปร่งพอง จนทำให้ฮอฟแมนย้อนระลึกไปถึงภาพยนตร์ที่เคยดูสมัยเด็ก มันทำให้เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง ขนทั่วร่างต่างลุกชูชันไปด้วยความหวาดกลัว ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มราวกับลูกหมาที่เปียกฝน ฟันบนและล่างกระทบกันจนเกิดเสียงดังลอดออกมา เขาไม่แม้จะสามารถควบคุมมันได้
ฮอฟแมนจ้องมองร่าง ๆ นั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องขังไปอย่างช้า ๆ มันเดินตัดผ่านลูกกรงไปด้วยร่างกายที่บิดเบี้ยว พร้อมทั้งส่งเสียงประหลาดพิกลออกมาทุกครั้งที่ก้าวเดินห่างออกไป ฮอฟแมนที่เห็นอย่างนั้น สติสัมปชัญญะต่างไม่อาจหาคำอธิบายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นเหตุเป็นผลได้ เขาได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไร้สิ้นเรียวแรงในห้องขังที่มืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากด้านนอกสาดเข้ามาบาง ๆ ทำให้พอจะมองเห็นอะไรได้บ้าง ขณะนั้นเองที่เขากำลังตกอยู่ในภวังค์เสียงกระแทงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาได้สติจึงรีบหันไปหาต้นเสียงก็เห็นเป็นห้องขังอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ มีเงารูปร่างคล้ายมนุษย์กำลังกระทำเฉกเช่นเดียวกับชายที่เคยอยู่ร่วมห้องขังกับเขา จากหนึ่งกลายเป็นสอง จากสองกลายเป็นสาม จนเกิดเสียงกระแทงดังก้องไปทั่วสถานีตำรวจ เป็นภาพที่น่าหวาดกลัว ฮอฟแมนตกใจ เขารีบดันร่างตัวเองขึ้น ก่อนที่ความคิดมากมายจะเริ่มตีกันในห้วงความคิดของเขา
ฮอฟแมนไม่รอช้า เขาค่อย ๆ ก้าวไปที่ประตูห้องขังที่พังลง ท่ามกลางเสียงกระแทกของซี่กรงเหล็กมากมายรอบตัว ฮอฟแมนตัดสินใจ ก้าวเดินออกจากห้องขัง มุ่งหมายตามหาเจ้าหน้าที่ตำรวจสักคนมาจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฮอฟแมนก้าวเท้าข้ามเลือดที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น เขารีบวิ่งไปตามทางเดิน มุ่งไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ แต่เมื่อมาถึงที่ตรงนั้นกับไม่มีใครอยู่แล้ว มีเพียงทีวีที่เปิดซ่าอยู่ ภาพสัญญาณก็คงยังมีปัญหา ฮอฟแมนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นใคร เขานึกตัดสินใจ ว่าจะตามหาใครสักคนมาช่วยเขาจึงมุ่งตรงไปที่ประตู ฮอฟแมนพลักบานประตูออกกว้าง หมายว่าจะมีใครอยู่ใกล้ ๆ บริเวณและสามารถช่วยเหลือเขาได้ แต่ทันทีที่เขาก้าวพ้นประตูออกมา ภาพตรงหน้าทำให้เขาได้แต่ เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ภายใต้ความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องลงมา สถานีตำรวจที่ตั้งติดอยู่บนถนนสายยาวที่ทอดตัดผ่านตัวเมือง ความเงียบเหงาและเปลี่ยวร้างเป็นภาพที่ฮอฟแมนจดจำได้เป็นสิ่งแรกที่เขามาถึง แต่ตอนนี้ภาพตรงหน้ากับผิดแปลกไปอย่างประหลาด ถนนที่เคยร้างไร้ผู้คนกับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย กำลังเดินเรียงแถวกันจนแน่นขนัด เบียดเสียดกันไปมา หมายมุ่งไปยังที่ใดก็ไม่ทราบได้ พวกเขาต่างมุ่งไปยังทิศทางเดียวกัน ราวกับผู้คนมากมายนี้มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ฮอฟแมนได้แต่ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า เขาหยุดมองคลื่นมนุษย์ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ เพียงไม่นานเขาก็เรียกรวมสติกลับมาได้ เขาจึงรีบวิ่งไปหากลุ่มคนบนถนน ตรงไปยังชายที่อยู่ใกล้ที่สุด เขารีบเข้าไปจับแขนของชายคนนั้น
“คุณช่วยด้วย พวกคนในห้องขังพวกเขาเสียสติไปแล้ว พวกเขาพยายามวิ่งชนประตูห้องขัง พวกเขาราวกับเสียสติไปแล้ว” ฮอฟแมนพูดขึ้นอย่างเร่งร้อน แต่ชายคนนั้นกับไม่มีท่าทีตอบสนองสิ่งใด้ที่ฮอฟแมนพูดออกไป เขาก็ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า โดยไม่สนใจสิ่งที่ฮอฟแมนพูดแม้แต่น้อย
“นี้ เดียวสิคุณ ถ้าจะไม่ช่วยก็ช่วยเรียกตำรวจให้หน่อย พวกเขาไม่รู้หายไปไหนกันหมด” ฮอฟแมนยังคงพยายามขอความช่วยเหลือ แต่ชายคนนั้นก็ยังไม่มีท่าทีตอบรับอะไร ฮอฟแมนที่เห็นอย่างนั้นก็เริ่มโมโห วันนี้เขาเจอเหตุการณ์มากมายที่ชวนให้ไม่สบอารมณ์ เขาถูกตำรวจจับโดยที่ไม่ได้กระทำอะไรผิด ถูกโยนเข้าห้องขังกับชายประหลาด จนต้องมาเจอกับเหตุการณ์น่าสยดสยองที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขากำลังหลับฝันอยู่หรือป่าว อีกทั้งครั้งนี้ยังถูกชายตรงหน้าเมินไม่สนใจสิ่งที่เขาพูดอีก ฮอฟแมนจึงเริ่มแสดงอาการสติแตก เขาเงยหน้า จับจ้องมองชายที่เขาขอความช่วยเหลือด้วยท่าที่โมโหเดือดดาล แต่ในความมืด บนถนนก็ไม่มีไฟส่องทาง ทำให้เขามองในตอนแรกไม่ชัด แต่เมื่อดวงตาเริ่มคุ้นชินกับความมืด แสงสว่างจากแสงจันทร์ค่อย ๆ สาดส่อง พาดผ่านใบหน้าของชายคนนั้น ก็ทำให้ฮอฟแมนถึงกับผงะถอยหลังไป ดวงตาที่เหลือกขึ้น ด้วยไร้ซึ้งสติ ราวกับคนเหมอลอยที่ตกอยู่ในห้วงนิทรา แต่ขยับเคลื่อนไหวราวกับหุ่นที่ถูกเชิด ฮอฟแมนก้าวถอยหลังไปสะดุดชนกันคนอีกคนที่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อเขาเพ่งพินิจใบหน้าของคน ๆ นั้นก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับคนก่อนหน้า พวกเขาดูราวกับร่างที่ไร้สติ ฮอฟแมนตกใจอย่างมาก ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำเขาอีกครั้ง เขากวาดสายตามองไปยังผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ทุกคนต่างอยู่ในลักษณะท่าทางเดียวกันหมด ใบหน้าที่ดูไร้ซึ่งสตินึกคิด ฮอฟแมนที่ตกใจ ลนลาน ราวกับคนเสียสติ เขาถูกคลื่นมนุษย์ค่อย ๆ กลืนหายเข้าไปในชน ฮอฟแมนตกใจหวาดกลัว เขาร้องออกมาราวกับแมวที่กลัวหนู เขาพยายามแหวกผ่านผู้คนรอบตัวออกไป ผลักดันไปอย่างไร้ทิศทาง หมายที่จะออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่ยิ่งพยายามแหวกฝ่าผู้คนไปมากเท่าไหร่ผู้คนที่อยู่รอบตัวก็แน่นขนัดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาเริ่มหายใจไม่ออก แล้วคนรอบข้างก็ดูจะไม่สนใจว่าจะมีอากาศหายใจหรือไม่ ฮอฟแมนพยายามดันร่างคนที่เบียดเข้ามาร่างกายของผู้คนบดบี้เข้าใส่กัน จนเกิดเสียงดังลั่นของกล้ามเนื้อและกระดูกที่บีบเข้าหากัน
ฮอฟแมนพยายามดันร่างคนที่อยู่ใกล้ ๆ ออกไป เขาจำได้ดีว่าด้านหน้าเขามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ส่วนด้านข้างเป็นชายสูงวัยที่พยายามดันร่างของตนไปข้างหน้าโดยไม่สนว่าจะเบียดบี้กันมากแค่ไหน เด็กสาวและชายสูงวัยคนนั้นเริ่มเบียดกันจนแน่น โดยมีฮอฟแมนอยู่ใกล้ ๆ เขาพยายามดันแขนออกไป เขาทำอย่างนั้นอยู่นาน เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำอยู่อย่างนั้นมานานเท่าไหร่ แต่แขนทั้งสองข้างของเขาเริ่มรู้สึกชาและปวดไปหมด จนกระทั้งตอนนั้นเองที่แขนเขาเริ่มไม่มีแรง คนที่อยู่รอบ ๆ ก็เริ่มดันเข้ามาอีกครั้ง ทำให้เขาหายใจไม่ออก ตอนนั้นเองที่เหตุการณ์สยองอีกครั้งก็เกิดขึ้นตรงหน้าเขาพอดี ชายชราที่ด้านข้างพยายามดันตัวเองไปข้างหน้า โดยที่เด็กผู้หญิงสูงประมาณหน้าอกของฮอฟแมน อยู่ด้านหน้า ชายชราเบียดร่างแนบชิดจนเด็กสาวแทบจะจมหายไปในร่างของชายชรา ตอนนั้นเองที่เสียงดัง โผล่ะ ราวกับเสียงแตกโมที่ถูกทุบจนแตกออกก็ดังขึ้นที่ข้างหูของฮอฟแมน พร้อมทั้งน้ำสีแดงสด สาดกระจายไปทั่วบริเวณ เปรอะเปรื้อนเสื้อผ้าและใบหน้าของฮอฟแมน เขารีบยกมือขึ้นเช็ด ก่อนที่จะทันรู้ว่ามันคืออะไร รสชาตที่คุ้นชิน กลิ่นที่คุ้นเคยนั้นก็ทำให้เขารู้ได้ทันที ในชั่วขณะนั้นเองที่เขาตวัดสายตาไปยังเด็กสาวที่ตอนนี้หายไปแล้ว เหลือเพียงชายแก่ที่เปรอะเปรื้อนไปด้วยเลือดอาบทั่วร่างเฉกเช่นเดียวกับเขากำลังก้าวเดินไปข้างหน้า
ฮอฟแมนที่เห็นอย่างนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดสิ่งใด้ขึ้น เข้ากรีดร้องราวกับคนเสียสติ แหวกผู้คนตรงหน้าด้วยเรียวแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้แขนสองข้างแทบไร้สิ้นเรียวแรงจนแทบยกขึ้นมาไม่ไหวเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาแหวกผ่านผู้คนตรงหน้าไปอย่างไม่คิดชีวิต ปากก็กรีดร้องไม่หยุด จนกระทั้งเขาพลักคนตรงหน้าคนหนึ่งออก เขาก็หลุดออกมาจากฝูงขึ้นมนุษย์มาได้ เขาทิ้งตัวหอบหายใจอยู่บนพื้นอย่างแรง พยายามสูดอากาศเข้าไปในปอดที่ร้อนพร่าว ราวกับมีเปลวไฟอยู่ในอก หลังจากหายใจเข้าออกสองสามเที่ยว ฮอฟแมนก็เงยหน้าขึ้นมองรอบ ๆ ภาพตรงหน้ากับเป็นเสาไฟฟ้าแรงสูงขนาดใหญ่ เมื่อกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก็ทำให้เขาตกใจอย่างมาก เมื่อผู้คนมากมาย กำลังรายล้อมเสาไฟฟ้าแรงสูงต้นนั้นอยู่ ฮอฟแมนที่เห็นอย่างนั้นก็ตกใจอย่างมาก ความกลัวกลับมาอีกครั้ง ขณะนั้นเองที่เขาไปสะดุดตากับสิ่ง ๆ หนึ่งที่อยู่ใต้เสาไฟฟ้า เขาพยายามเพ่งมองมันอย่างตั้งใจ ก็เห็นเป็นหลุ่มขนาดไม่ใหญ่มากนัก ราว ๆ เมตรนิด ๆ เมื่อมองจากสายตา ฮอฟแมนที่เห็นอย่างนั้นเขาก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ ๆ อย่างช้า ๆ ด้วยผู้คนที่ดูไร้ซึ่งสติที่อยู่ล้อมรอบ แต่เมื่อสังเกตดูแล้ว กลุ่มคนทั้งหมดต่างนิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหนอะไร เพียงแต่ยืนนิ่ง ๆ ฮอฟแมนที่กลั้นใจรวบรวมความกล้า พยายามควบคุมสติที่เตลิดเปิดเปริงไปกับเรื่องที่พึ่งพบเจอมาทั้งหมด เขาสืบเท้าก้าวเข้าไปอย่างช้า ๆ จนอยู่ใกล้พอ เขาค่อย ๆ ชะโงกหัวเข้าไป เมื่อเขามองจ้องลงไปยังในก้นหลุม ฮอฟแมนรีบถีบร่างของตัวเองออกมาในทันที ในหน้าเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด ภาพที่เขาเห็นมันสยดยองและชั่วร้ายจนเขาไม่สามารถบรรยายออกมาได้เสียด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจ หันหลังวิ่งหนีไปในทันที เขาฝ่าผู้คนมากมายออกไป ความหวาดกลัวครอบง่ำฮอฟแมน ตอนนั้นมีเพียงความคิดเดียวที่เกิดขึ้นในหัวของเขา เขาต้องออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด ฮอฟแมนวิ่งไป กรีดร้องไปราวกับคนเสียสติ เขาตัดผ่านผู้คน วิ่งไปตามถนนสายที่เขาถูกพาเข้าเมืองมา เขาจดจำมันได้ดี เขาวิ่งห่อเต็มฝีเท้า ปากก็พูดบ่นพึมพำว่า ‘ต้องรีบออกไปจากที่นี้ ต้องรีบออกไปจากที่นี้’ ฮอฟแมนพูดพร่ำไม่หยุด แว่นตาคู่กลมของเขาไม่รู้หลุดหายไปตอนไหน แต่ฮอฟแมนก็ไม่ได้มีท่าทีจะสนใจ เขาวิ่งไปตามถนนที่มีเพียงความมืดปกคลุ่ม สองข้างทางที่เป็นอาคารบ้านเรือนก็ค่อย ๆ กลายเป็นป่าไม้อีกครั้ง มีเพียงความเงียบงันและเสียงของรองเท้าหนังดำเงาที่ฮอฟแมนใส่อยู่ประจำ กระทบพื้นเกิดเป็นเสียงดังสะท้อนก้องไปทั่ว กลายเป็นบรรยากาศประหลาดพิกล ชวนให้รู้สึกไม่สบายใจ
ฮอฟแมนวิ่งไม่หยุด เขาหอบหายใจอย่างแรง ราวกับคนที่กำลังจะขาดใจได้ทุกขณะ เขาอยากจะทิ้งตัวลงนอนบนพื้นถนน พักหายใจเสียให้ได้ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้พบเห็นที่ก้นหลุ่มใต้เสาไฟฟ้าแรงสูงต้นนั้น ความหวาดผวา ก็กลับมาอีกครั้ง จนเขาไม่อาจหยุดยั้งฝีเท้าของตนได้ มีเพียงความคิดที่จะจากไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น
หลังจากวิ่งอยู่นาน ฮอฟแมนก็เห็นแสงสว่างของปั๊มน้ำมันที่ ๆ รถของเขาถูกที่เอาไว้ อยู่ห่างไปไม่ไกล ฮอฟแมนที่เริ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมา ก็เริ่มผ่อนฝีเท้าลง เขาหอบหายใจอย่างหนักหน่วง หน้าอกของเข้าสะท้อนขึ้นลงอย่างเร็วแรง ลำคอของเขาเริ่มแห้งผาก น้ำลายของเขาเริ่มเหนียว ริมฝีปากแตกแห้ง ฮอฟแมนค่อย ๆ ก้าวเดินผ่านความมืดไปอย่างช้า ๆ จังหวะนั้นเองที่อยู่ ๆ ก็มีแสงสว่างสาดส่องขึ้นที่ด้านหลังของเขา แสงสว่างนั้นทำให้เกิดเงาของเขาสาดไปตามพื้นถนน ฮอฟแมนยืนนิ่งราวกับรูปปั้นโบราณ เขารวบรวมความกล้าหันกลับไปมองที่มาของแสง ก็เห็นเป็นลำแสงกลม สองดวงสาดส่องมาที่เขา ก่อนที่แสงสว่างสีแดงและน้ำเงินก็สว่างวาบขึ้น พร้อมเสียงไซเรนที่เขาจดจำมันได้ดี มันเป็นเสียงเดียวกับที่เขาได้ยินที่ ๆ ร้านค้าในปั๊มน้ำมันนั้น
แสงสีแดงและน้ำเงินสว่างวาบ วูบไหวไปมาทำให้ป่าสองฝากฝั่งอาบไปด้วยแสงของมัน ความมืดทำให้เขามองไม่เห็นว่าเป็นใครเป็นคนขับรถตำรวจคันนั้น แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร เสียงแหบพร่าก็ดังออกมาจากลำโพงของตัวรถ มันเป็นเสียงที่ฮอฟแมนจดจำได้ดี เมื่อได้ยินอย่างนั้นร่างกายของเขาก็ราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง เขาหวาดกลัวจนเสียสติ ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด
“จะหนีไปไหน ไอ้นักข่าว”
ความคิดเห็น