คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Tale from old sailor \\ เรื่องเล่าจากกะลาสี
ณ คำคืนที่มืดมิด ไร้แสงดาวประดับบนฟากฟ้า มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่อง ภายใต้ความเงียบสงัดที่ดังออกมาจากความมืด ภายใต้สายฝนโปรยปรายที่ตกกระทบทุกสิ่งอย่างชวนให้หลบเลี่ยง ในค่ำคืนนี้ บนท้องถนนที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นโคลนเลน เจิ่งนองไปด้วยน้ำขัง บ้านเรือนปิดมืด มีเพียงเหล่าสัตว์เลี้ยงที่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างงุ่นง่าน เชือกโซ่ที่คล้องพวกมันเอาไว้ โบกสะบัดไปกระทบสิ่งต่าง ๆ เกิดเป็นเสียงดังก้อง สอดประสานไปกับเสียงเหยียบย่ำของชายประหลาดที่เดินอยู่บนถนนไปอย่างช้า ๆ
ชายประหลาดเดินย่ำไปตามถนน ตัดผ่านบ้านเรือนที่ปิดมืด เขาค่อย ๆ ก้าวอย่างช้า ๆ ทุกครั้งที่ขยับเคลื่อนไหว คล้ายราวกับลากถ่วงสิ่งใดมาด้วย แต่เมื่อสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นว่าเป็นเพราะท่าทางการเดินที่แปลกออกไป ด้วยความพิการที่สังเกตุเห็นได้ที่บริเวณขาข้างซ้ายที่คอยลากไปตามตามพื้นจนทิ้งรอยเป็นทางยาวเอาไว้แทน
เส้นผมที่ชี้ฟู ดูไม่เรียบร้อยนั้น เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน เฉกเช่นเดียวกับหนวดเคราที่ขึ้นรกครึ้ม จนบดบังพื้นที่ส่วนใหญ่บนใบหน้า คงจะมีเพียงดวงตาที่กลวงลึกโผล่รอดออกมาเท่านั้น
ยิ่งดึกสายฝนยิ่งตกหนักขึ้น ชายประหลาดเดินมาเรื่อย ๆ จนมาถึงหน้าอาคารหลังหนึ่ง อาจจะเป็นสถานที่แห่งเดียวในบริเวณนี้ที่ยังมีแสงไฟส่องสว่างลอดออกมาจากช่องหน้าต่างและบานประตู ชายประหลาดหยุดยืนนิ่งที่หน้าประตูไม้บานเก่า ขณะเดียวกันนั้นเอง สุนัขตัวใหญ่ สายพันธุ์ดุร้ายที่ถูกล่ามเอาไว้ใกล้ ๆ ก็เห่าและขู่คำรามอย่างบ้าคลั่ง แต่ดูเขาก็ไม่ได้สนใจมันแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม เขาใช้ดวงตาเลื่อนมองไปยังแผ่นป้ายไม้เล็ก ๆ ที่ติดอยู่เหนือบานประตูที่มันมีสีเก่าซีด แต่ก็พอจะบอกได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยถูกทาไว้ด้วยสีที่ดูฉูดฉาดโดดเด่นออกมา เซเว่น ดอลล่าบิล ข้อความที่ถูกสลักเอาไว้ ชายประหลาดหยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือหมายจะคว้าจับไปที่กลอนประตู แต่จังหวะนั้นเอง ประตูที่ถูกปิดสนิทผละเปิดออก พร้อมเสียงร้องตวาดก็ดังแทรกออกมา
“หุบปากของแกซะ ไอ้หมาโง่แกทำให้เครื่องดื่มของข้าเสียรสชาติหมดแล้ว”
ก่อนจะสิ้นคำชายชราร่างผอมบาง ใบหน้าที่เหี่ยวย่นที่มีแว่นตากลมประดับอยู่ก็ปรากฏออกมา ก่อนที่เขาจะหยุดนิ่งไปทันทีที่เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาจับจ้องมองชายตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาเขาอยู่เที่ยวหนึ่ง ก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดพิกล บรรยากาศที่ชายตรงหน้าส่งออกมาช่างชวนให้รู้สึกพิศวงอย่างแปลกประหลาด แต่ก่อนที่จะทันได้ครุ่นคิดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงที่แหบพร่า และดูอ่อนแรงก็ดังออกมาจากชายตรงหน้า ฉุดดึงสติชายชราให้กลับมา
“ที่นี้ขายเครื่องดื่มแล้วอาหารใช่ไหม”
เมื่อได้สติชายชราก็รีบตอบรับก่อนจะเปิดบานประตูออกกว้าง พร้อมทั้งหลีกทางและเชื้อเชิญให้คนประหลาดเข้าไปด้านใน ชายประหลาดค่อย ๆ เดินเข้าไปอย่างช้า ๆ ทิ้งรอยเท้าที่เปรอะเปื้อนดินโคลนย่ำลงบนพื้นไม้
ภายในร้านไม่ได้กว้างนัก มีโต๊ะนั่งเตี้ย ๆ สามสี่ตัว มีคนที่นั่งอยู่ด้านในไม่กี่คน ดูแล้วไม่ใช่ร้านที่ครึกครื้นสักเท่าไหร่ มีแสงไฟจากตะเกียงที่วางเอาไว้ตามโต๊ะที่คอยให้ความสว่าง บรรยากาศดูครุ่นมัวไปด้วยควันสีขาวจาง ๆ ที่มากจากไปป์ยาสูบ
ชายประหลาดลากขาพิการของตนผ่านโต๊ะเตี้ยเข้าไปด้านใน ส่งเสียงครึดคาด เรียกความสนใจให้ผู้คนในร้านจับจ้องมองผู้มาใหม่ ก่อนที่ชายประหลาดจะเดินไปนั่งที่บาร์โดยไม่แม้จะเหลียวดูสิ่งต่าง ๆ ในร้านด้วยซ้ำ ชายชราที่เดินตามเข้ามาก็จับจ้องมองผู้มาใหม่อย่างไม่ละสายตา ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปยังด้านหลังบาร์ แสดงถึงสถานะของชายชราได้ว่าเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้นั้นเอง ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบสร้างเป็นบรรยากาศน่าอึดอัดพิกล
“รับเครื่องดื่มหรืออย่างอื่นไหม?”
เป็นชายชราที่ด้านหลังบาร์ทำลายความเงียบแสนพิกลนี้ เรียกความสนใจของชายประหลาดที่นั่งนิ่ง ให้เหลียวนัยน์ตาที่ดูขุ่นมัวและไร้ประกายนั้นจับจ้องมองยังชายชราเจ้าของสถานที่ เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้สบตากันตรง ๆ นับว่าประหลาดพิกลนัก ที่ชายชรากับมีความรู้สึกอยากขับไล่ชายประหลาดคนนี้ไปให้พ้น ๆ เสียโดยเร็วขึ้นมาซะอย่างนั้น ดวงตาที่ขุ่นมัวนั้นชวนให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“น้ำดื่มสะอาด ๆ อะไรที่กินได้ก็เอามา”
เสียงแหบพร่าเฉกเช่นเดียวกับที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้ง สิ้นคำชายประหลาดนั้นก็หันกับไปจ้องมองโต๊ะอย่างเหม่อลอยอีกครั้ง ชายชราที่เห็นอย่างนั้นก็ละความสนใจ หันไปคว้าหยิบสิ่งอีกฝ่ายต้องการ เขาใช้เวลาไม่นานก่อนจะยื่นแก้วที่ใส่น้ำดื่มและขนมปังเก่าเก็บ สองสามชิ้นออกมายื่นให้ชายประหลาดตรงหน้า แต่ชายคนนั้นก็ขยับตัวเล็กน้อยจับจ้องไปที่อาหารตรงหน้าก่อนจะค่อยหยิบขนมปังขึ้นมาฉีกกินอย่างเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ สายฝนด้านนอกก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง เทียนที่ถูกจุดเพื่อให้ความสว่าง ก็ค่อย ๆ หดสั้นลงไปทุกขณะ มีเพียงแสงวูบไหวไปมาทุกครั้งที่มีลมอ่อน ๆ พัดลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาเป็นระยะ ๆ อากาศภายในร้านก็เย็นขึ้นเรื่อย ๆ เตาไฟที่ถูกจุดเพื่อสร้างความอบอุ่นก็ค่อย ๆ อุ่นน้อยลง จนชายชราต้องคอยเติมฟืนเข้าไปเพื่อเร่งไฟสู้กับความหนาวเย็น ลูกค้าในร้านก็ค่อย ๆ น้อยลง บ้างก็เมาหลับพรุบลงกับโต๊ะ บ้างก็นั่งนิ่งหลบมุมในความมืด มีเพียงแสงวาบจากไปป์ยาสูบเป็นระยะ ๆ ชายชราเดินกลับมาหลังจัดการเติมฟืนเรียบร้อย เขาเหลียวมองชายประหลาดที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่เคลื่อนไหว ขยับแค่เพียงเล็กน้อย เมื่อสังเกตุที่อาหาร ก็เห็นว่าขนมปังหายไปครึ่งชิ้นแต่ที่เหลือล้วนไม่ถูกแตะต้อง ชายชราถอนหายใจเล็กน้อย วันนี้ลูกค้าช่างน้อยเป็นพิเศษแม้แต่วันที่ฝนตกเช่นนี้ บรรยากาศไม่ชวนให้รู้สึกรื่นเริงอะไร มีเพียงความเงียบที่ปกคลุมไปทั่ว ก่อนที่ชายชราจะมิอาจทนบรรยากาศเช่นนี้ไหว
“ท่านมาจากไหนงั้นหรือ? มีธุระอะไรที่ แบล็คพอร์ต งั้นหรือ?”
ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาเกินไป เพียงพอให้ชายประหลาดตรงหน้าได้ยิน แต่แล้วกับไม่มีคำตอบของคำถามตอบกลับมา ชายประหลาดยังคงนั่งนิ่งเงียบ ดูไม่แม้จะใส่ใจกับคำถามของชายชราก่อนหน้านี้ เขาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะขยับตัวหันหลัง หมายว่าจะเข้าไปหยิบเครื่องดื่มมาเติมที่ชั้น หวังเอาไว้ว่ามันจะช่วยลดความเบื่อหน่ายของค่ำคืนนี้ไปได้ ขณะที่กำลังจะหันหลังไป
“ครั้งหนึ่งข้าเคยเป็นกะลาสีที่ นอร์ท วิว ข้าเคยอยู่บนเรือเดินสมุทรที่ชื่อว่า แมรี่ โรส ที่มีกัปตันที่เก่งกาจและมีชื่อเสียง ตอนนั้นข้าเพียงสิบหก ตอนขึ้นเรือครั้งแรก ข้าจำได้ว่าเราล่องไปทั่วมหาสมุทรไล่ล่าสัตว์ต่าง ๆ ในท้องทะเล ลูกเรือหลายสิบคนล้วนเป็นเหมือนพี่น้องข้า ตลอดหลายปีนั้นนับว่าเป็นเรื่องราวกับฝันตื่นหนึ่ง...”
ชายประหลาดลากเสียงยาวก่อนจะขาดห้วงไป ชายชราที่ได้ยินฟัง ก็รู้สึกสนใจยิ่ง เรื่องเล่าจากกะลาสีต่างถิ่นมักน่าสนใจเสมอ ก็นิ่งเงียบรอฟังอย่างตั้งใจ ชายประหลาดเลื่อนขยับดวงตาจับจ้องไปที่แก้วน้ำที่มีน้ำอยู่เกือบเต็ม ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“จนกระทั้ง...วันหนึ่ง ก็เกิดพายุฟ้าคะนองอย่างหนัก เปลี่ยนเช้าที่เงียบสงบให้กลายเป็นค่ำคืนที่บ้าคลั่งกลางทะเล คลื่นขนาดใหญ่จนสามารถพัดเรือให้จมได้ ลูกแล้วลูกเล่าซัดใส่แมรี่ โรส จนมีลูกเรือหลายคนบาดเจ็บ บ้างก็พลัดตกจากเรือไป ข้านับว่าโชคดีกว่าหน่อยที่ไม่ต้องอยู่บนดาดฟ้าเรือในวันนั้น กัปตันมีคำสั่งให้ข้าแล้วชายผิวสีอีกสองคนคอยตัดวิดน้ำออกที่ชั้นล่าง เราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด่านฟ้าเรือในวันนั้นกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าจำได้ ในครั้งแรกมันมีเสียงบางอย่าง ข้าคิดว่าเป็นเพราะคลื่นที่ซัดกระแทกกับลำเรือ แต่แล้วมันกับดังขึ้นเรื่อย ๆ เสียงที่แปลกประหลาดนั้นดังแทรกมากับเสียงคลื่นจนแทบแยกกันไม่ออก ตอนได้ยินข้าก็บอกไม่ได้ว่ามันคือเสียงของสิ่งใดกัน มันแปลกประหลาดจนไม่อาจบอกได้ว่าเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่ แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยราวกับได้ยินมาก่อน แต่ไม่อาจนึกได้ว่าที่ไหน เมื่อไหร่และอย่างไร ต่อจากนั้นในคราที่สอง มันเป็นแรงกระแทกที่สาดซัดจนทำให้ข้า ลอยเคว้งไปในอากาศ ก่อนจะตกลงมากระแทกกับพื้นเรือ นับว่าเป็นโชคดี ที่เจ็บเพียงเล็กน้อย แต่หนึ่งในสองชายผิวสีนั้นไม่ได้โชคดีเช่นข้า ร่างของมันลอยขึ้นจากพื้น พุ่งกระแทกเข้ากับชั้นลังสินค้า และมีหนึ่งในลังสินค้านั้นที่ล่วงหล่นลงมาทับศีรษะของมัน สาดส่งเลือดสีแดงกระจายไปทุกทิศทาง น่าสยดสยองยิ่งนัก ร่างของมันขยับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนิ่งไป ภาพนั้นทำให้ชายผิวสีอีกคนสติแตก ส่งเสียงร่ำร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว รีบกลับขึ้นไปยังด่านฟ้าเรือข้างบน ทิ้งให้ข้าที่บาดเจ็บพยุงร่างตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก กับเรือที่ขยับโคลงเคลงไปมา แต่ก่อนที่จะทันได้ลุกขึ้นยืนมั่น อยู่ ๆ ก็ราวกับเรือทั้งลำลอยขึ้น ไปในอากาศข้ารู้สึกเช่นนั้น ข้าวของต่าง ๆ ลอยไปมาราวกับพวกมันไร้น้ำหนัก สิ่งต่าง ๆ ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ โชคยังดีที่ข้าคว้าจับเสาเอาไว้ทัน ทำให้ไม่ได้ล่องลอยไปไหน ทำได้มองและมึนงงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น จับจ้องมองสิ่งของที่ลอยไปมาอย่างเชื่องช้า ตอนนั้นข้าบอกไม่ได้เลยว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่ อาจจะหลายนาทีหรือไม่กี่วิ อาจจะสั่นกว่านั้นแค่เพียงพริบตา แต่หลังจากนั้น ๆ แหละที่ทำให้เรือแมรี่ โรส หายไปจากพื้นทะเลไปตลอดกาล ”
ยิ่งเล่าเสียงของชายประหลาดก็ยิ่งแหบพร่าขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาหยุดเล่าไปเสียดื้อ ๆ ทำให้ชายชราที่ฟังอย่างตั้งใจได้สติกลับมา ก่อนจะนึกขึ้นในใจทันทีที่ได้ยินถึงเรื่องราวประหลาดที่ได้ยิน ชายชราไม่ทิ้งความสงสัยของตนเองไว้นาน เขาจึงพูดถามขึ้น
“ช่างโชคร้ายเสียจริง แต่นั้นคงเป็นเพราะคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดใส่เรือของเจ้าสินะ พายุกลางทะเลและคลื่นยักษ์จมเรือเดินสมุทรอยู่เสมอ”
สิ้นคำพูดนั้น ชายประหลาดที่เคยนั่งนิ่งแหม่อลอยก็หันกลับมาจับจ้องไปยังชายชราทันที ก่อนจะหัวเราะออกมาแห้ง ๆ อยู่ในลำคอชวนให้รู้สึกขนลุกและพิลึกไม่น้อยทีเดียว
“ในตอนนั้นข้าก็คิดเฉกเช่นเดียวกับเจ้านั้นแหละ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำให้ข้าได้แต่ไม่แน่ใจ”
ชายประหลาดเว้นช่วงก่อนจะค่อย ๆ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเข้าไปอึกใหญ่ จนสามารถเห็นลำคอที่ขยับเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ วางแก้วลงที่เดิมอย่างช้า ๆ
“ตอนนั้นเองที่ทั้งหมดพังทลาย ข้าได้ยินเสียงกระแทกดังสนั่น ก่อนที่ตัวลำเรือจะค่อย ๆ ปริแตกมีคลื่นน้ำมากมายไหลเข้ามาด้านในชั้นที่ข้าอยู่ เพียงไม่นานมันก็ท่วมจนข้าแทบจมอยู่ใต้น้ำ กระแสน้ำที่ไหลทะลักเข้ามาสาดซัดข้าให้ลอยไปกระแทกเข้ากับสิ่งต่าง ๆ สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสยิ่งนัก แต่ข้าก็กัดฟันหาโอกาสแหวกว่ายออกไปทางบันไดหวังจะออกไปที่ด่านฟ้าเรือให้ได้ ข้าแหวกว่ายขึ้นจากน้ำอย่างทุลักทุเล เมื่อโผล่พ้นขึ้นมา ภาพที่ได้เห็นทำให้ข้านั้นแทบไม่เชื่อสายตา เรือเดินสมุทร แมรี่ โรส กำลังค่อยๆ จมลง ตอนนั้นข้าคิดไม่ออกเลยว่าสิ่งใดกันที่สามารถกระทำเช่นนี้ได้ คลื่นยักษ์แบบไหนกันที่ทำลายเรือจนเป็นเช่นนี้ได้ ขณะที่มัวแต่ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ข้าได้ยินเสียงกรีดร้อง โหยหวนดังแว่วมาตามสายลม ตอบรับกับเสียงของเกลียวคลื่นที่กระทบซากเรือที่กำลังจม ข้าถีบเท้าอย่างแรงเพื่อไม่ให้จมลง โบกสะบัดแขนไปทั่วดันร่างให้อยู่ลอยเหนือผิวน้ำ โชคยังดีก่อนจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง สามารถเกาะเกี่ยวลังไม้ที่ลอยเคว้งอยู่ ใช้มันเป็นแพยื้อชีวิตเอาไว้ได้
ข้าลอยคออยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เกลียวคลื่นสาดซัดล่องลอยไปมาอย่างไร้จุดหมาย น้ำทะเลที่ดำราวกับน้ำหมึกนั้นที่เบื้องล่างเหล่าสัตว์ทะเลต่างแหวกว่ายวนอยู่ใกล้ ๆ จนรู้สึกถึงพวกมันได้ ข้ากวาดสายตาไปรอบ ๆ มองหาความช่วยเหลือ แต่ก็ไร้วี่แววของคนอื่น ๆ ราวกับอยู่ ๆ พวกเขาก็หายไป ราวกับไม่เคยมีอยู่ อย่างใดอย่างนั้น ใต้ความมืดที่ไร้แสงดาวมีเพียงแสงจันทร์ที่ประดับเหนือท้องนภาเฉกเช่นเดียวกับค่ำคืนนี้ ข้ามองเห็นเรือบดลำหนึ่งกำลังล่องลอยไปมาในความมืด ความรู้สึกยินดีปรีดาก็เกิดขึ้นภายในจิตใจ
ข้าไม่รอช้า พยายามกู่ร้องตะโกนสุดเสียงที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถเปล่งออกมาได้ ข้าโบกสะบัดมือไปในอากาศ แต่ด้วยคลื่นลมก็นำพาเสียงของข้าล่องลอยลับหายไป ข้าจึงต้องพาร่างที่แทบจะสิ้นไร้เรี่ยวแรงนั้น แหวกว่ายฝ่าคลื่นลมที่ค่อย ๆ อ่อนตัวลง มุ่งไปยังเรือบด เมื่อเข้าไปใกล้ ข้าก็เห็นมนุษย์ผู้หนึ่งกำลังขยับเคลื่อนไหวไปมา ทั้งยังแว่วเสียงกรีดร้อง ที่ดูไม่เป็นทำนองที่เข้าใจได้สักเท่าไหร่นัก ในมือของเงานั้นโบกสะบัดบางสิ่งบางอย่างไปมาอย่างไร้เหตุผล ถึงอย่างนั้นข้าก็พยายามเข้าไปใกล้ขึ้นอีกก็เห็นเงาอีกสองเงา แต่ทั้งสองกับผิดแผลกไปจากเงาแรก พวกมันนั่งคุดคู้อยู่บนเรือ ร่างของพวกมันสั่นไหว ทั้งปากยังบ่นพึมพำที่ดูไม่เป็นภาษาดังลอยออกมาท่าทางราวกับคนเสียสติ ข้าพยายามร้องเรียกคนบนเรือขณะเคลื่อนเข้าไปใกล้ โชคดีที่คลื่นลมที่เคยโหมกระหน่ำค่อย ๆ เบาลงจนแทบนิ่งสนิท ทำให้เสียงร้องตะโกนจากลำคอที่แหบแห้ง ส่งเสียงที่ฟังดูแปร่งหู เรียกความสนใจคนบนเรือได้ในที่สุด ชายที่ยืนอยู่บนเรือหันมาหาข้า ใต้เงามืดที่มีเพียงแสงจันทร์ให้ความสว่าง ข้าจดจำชายคนนั้นได้ทันที ดวงตาสีเขียวมรกต กัปตันของเรา ชายผู้กล้าหาญแม้ในยามที่เลวร้าย เรื่องราวของเขาเคยเป็นเรื่องเล่าของพวกเรายามขึ้นฝั่ง ก็สิ่งที่สะท้อนออกมาจากด้วงตาคู่นั้นมีเพียงความหวาดกลัวที่แสดงออกมา ข้าจึงได้แต่ครุ่นคิดสิ่งใดกันที่เกิดขึ้น สิ่งใดกันที่พวกเรากำลังเผชิญ สิ่งใดกันที่เปลี่ยนให้กัปตันเรือผู้หาญกล้าเป็นเช่นนี้ได้ แต่ก่อนที่จะได้ทันกระทำสิ่งใด ผิวน้ำที่เคยนิ่งสนิท ก็เริ่มเคลื่อนไหว มันขยับ ผิวน้ำใต้เรือบดลำน้อยค่อยๆ สูงขึ้น ยกตัวเรือให้ลอยสูง นั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าไม่อาจจะบรรยายถึงสิ่งที่ได้พบเห็นด้วยตาคู่นี้อย่างเข้าใจ มันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดและดูชั่วร้ายเกินบรรยาย ขนาดของมันใหญ่โตมโหฬารเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตใดในท้องทะเลใดจะเทียบได้ มันดูน่าสยดสยองดูแล้วจะเหมือนกับประกอบขึ้นจากงูทะเลหรือหนอนขนาดยักษ์ที่พันรัดกันนับพันนับหมื่นรวมกันก่อเป็นรูปร่างแสนน่าสะอิดสะเอียด ที่ปลายยอดของสิ่งนั้นมันมีรูปร่างคล้ายตะขอฉมวกที่พวกเราใช้ล่าสัตว์ในท้องทะเลแต่ดูแล้วมีชีวิต มันทิ่มแทงทะลุเรือลำน้อยที่ถูกยกให้สูงขึ้นจนแตกออก มีเพียงเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน ก่อนที่สิ่ง ๆ นั้นจะเคลื่อนไหวขยับเกี่ยวรัดร่างของคนที่อยู่บนเรือบดลำน้อยที่กำลังร่วงหล่น ฉีกกระชากร่างของพวกเขากลายเป็นส่วน ๆ ฉีดโลหิตให้สาดกระจาย ราวกับหยาดฝนย้อมพื้นน้ำกลายเป็นสีแดง สิ่งนั้นทำให้ข้าตระหนักได้ทันทีถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรือแมรี่ โรสและเหล่าลูกเรือที่หายไป ข้าได้แต่สยิวกายด้วยความหวาดกลัว มันคือสิ่งใดกัน? แล้วสิ่งนี้หลบซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นน้ำมาตลอดอย่างนั้นหรือ? คำถามที่น่าหวาดหวั่นมากมายดังก้องสะท้อนขึ้นภายในความคิดข้า ก่อนที่สิ่งนั้นจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวกลับลงไปยังใต้พื้นน้ำที่ ๆ มันโผล่พ้นออกมา คลื่นน้ำกระจายออกสาดซัดใส่ข้าอย่างรุนแรง จนลังไม้ที่ใช้เกาะเกี่ยวพยุงตัวหลุดลอยออกไป แล้วคลื่นน้ำก็ม้วนร่างของข้าให้จมลงไป ภายใต้ความมืดมิดของท้องทะเลทำให้ข้าได้เห็น เจ้าสิ่งนั้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ท้องทะเลอย่างมีชีวิต แต่เมื่อข้าตั้งสติได้ ภาพที่ทำให้ข้าต้องสยิวกายไปด้วยความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจก็ปรากฏให้เห็น เจ้าสิ่งแปลกประหลาดนั้น กลับไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว ยังมีสิ่งที่คล้ายกันอีกนับสิบขยับเคลื่อนไหวอยู่ใต้ท้องทะเล ราวกับมันเป็นเจ้าของผืนน้ำแห่งนี้
ตอนนั้นเองที่ตัวข้าค่อย ๆ จมลงไปยังก้นสมุทรลมหายใจที่เก็บกลั้นเอาไว้ก็ค่อยๆ หมดลง มีเพียงความมืดไร้สิ้นสุดที่ค่อย ๆ โอบรับร่างของข้าอย่างช้า ๆ ใต้ความเงียบสงัดที่ราวกับตกอยู่ในดินแดนที่แปลกแยกออกไปจากโลกเบื้องบนเหนือผิวน้ำนั้น ค่อย ๆ ทำให้สตินึกคิดของข้าหลุดลอยไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ไม่รู้ว่าเพราะสิ่งใดกันทำให้ข้าจับจ้องมองไปยังสิ่งประหลาดเหล่านั้น มันกำลังเคลื่อนไหวไปในเส้นทางเช่นเดียวกับข้ามันค่อยดำลึกลงไปในความมืดที่ไร้แสง เคลื่อนตัวไปยังสุดขอบเขตที่มนุษย์จะไปถึง ข้าลากสายตาไปตามรูปทรงของมันไปจนกระทั้งไม่อาจมองเห็นมันได้อีก ณ ที่ ๆ ความมืดไร้สิ้นสุดนั้นเป็นที่ ๆ มันโผล่ออกมา แต่เมื่อจับจ้องมองลงไปยังความมืดนั้น ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างบอกกับข้า ถึงมันที่อยู่ที่นั้น ภายใต้ความมืดมิดของอาณาจักรเบื้องล่างที่ ๆ มนุษย์เราไม่อาจรู้ได้ มันสร้างความหวาดกลัวถึงสิ่งที่ไม่อาจบรรยาย บางสิ่งที่อยู่เหนือล้ำไปในความเข้าใจของมนุษย์ บางสิ่งที่เก่าแก่และอยู่มาก่อน ข้าจับจ้องมองมัน จนกระทั้งข้าไม่อาจกลั้นลมหายใจได้อีกต่อไป ความรู้สึกอึดอัดและทรมานทำให้ห้วงสติของข้าก็ค่อย ๆ ดับวูบไปนั้นเป็นตอนที่ข้าคิดถึงความตายที่กำลังจะมาถึง แต่ก่อนที่ข้าจะสิ้นสติไปนั้น บางสิ่งก็เกิดขึ้น บางสิ่งที่ทำให้ข้านึกย้อนกลับไปในตอนที่อยู่ที่ใต้ท้องเรือแมรี่ โรส มันคือเสียงแปลก ๆ ที่ดังพร้อมกับเสียงของท้องทะเลมันซ่อนอยู่ในเสียงอื่น ๆ เสียงที่เจ้าไม่อาจจะเข้าใจมันได้ เสียงที่เบาเกินกว่าจะได้ยิน หากไม่ตั้งใจค้นหา เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ข้าได้ยินมันอย่างชัดเจน แต่ครั้งนี้มันดังออกมาจากใต้ห้วงสมุทรไร้ก้น ที่แม้แต่แสงตะวันไม่อาจสาดส่องไปถึงและนั้นเองที่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าจดจำได้ ก่อนจะรู้สึกตัวเองครั้งเมื่อเรือที่ผ่านมาเจอช่วยเหลือขึ้นจากน้ำมา สุดท้าย นี่ถือว่าเป็นคำแนะนำแล้วกัน ยามใดที่เจ้ามีโอกาสได้เดินทางท่องไปบนผิวน้ำในท้องสมุทร ขณะนั้นเจ้าอาจมัวแต่เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อันงดงามของท้องทะเล ขอให้จงหยุดคิดสักนิดแล้วใช้หูของเจ้าฟังเสียงของท้องทะเล แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ค้นหาเสียงที่ผิดไปจากปกติ แล้วจงระวังเอาไว้ ใต้ผืนน้ำนั้น ในความมืดมิดสุดหยั่งมีบางสิ่ง ที่เลวร้ายแอบซ่อนตัวอยู่ มันยังคงรอคอยโอกาสอยู่เสมอ…”
สิ้นคำสุดท้ายของชานประหลาด เขาหยิบยกแก้วน้ำที่เคยดื่มเหลือเอาไว้ครึ่งหนึ่งแล้วดื่มมันจนหมดก่อนจะวางลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบเศษเงินเป็นค่าอาหารและเครื่องดื่มก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านอย่างช้า ๆ โดยที่ด้านนอกสายฝนก็ยังคงโปรยปรายไม่หยุด
ชายชราได้ได้ฟังเรื่องเล่าสุดแปลกประหลาดนั้น ก็ราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์บางอย่าง ครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง กว่าจะรู้ตัวว่าชายประหลาดคนนั้นจากไปแล้วก็ตอนที่ได้ยินเสียงประตูปิดกระแทกและเสียงสุนัขที่เฝ้าที่หน้าร้านเริ่มเห่าหอนอีกครั้ง เขาจึงได้สติอีกครั้งเขารีบมองหาชายประหลาดที่เคยนั่งอยู่ตรงหน้า แต่ก็พบเพียงแก้วน้ำที่ว่างเปล่า กับเศษเงินที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ มีเพียงรอยเท้าเปียก ๆ ที่ด้านหนึ่งเป็นรอยลากไปเป็นทาง เขาจึงรีบไปที่ประตู ก่อนที่จะเปิดออกไปดูและมองหาชายประหลาดคนนั้น แต่กับไม่พบเจออะไร มีเพียงรอยเท้าบนพื้นโคลน ที่ทอดไประยะหนึ่งก่อนที่มันจะหายไปเสียดื้อ ๆ และสุดท้ายเขาก็ไม่เคยพบเจอชายพิการคนนั้นอีกเลยในแบล็คพอร์ต
ความคิดเห็น