ตอนที่ 6 : พาหนี!!
ณ ถนนดิน ทางไปหมู่บ้านโจร
แม้จะทุลักทุเลแต่ว่ามันก็ยอมขยับแล้ว ผมบังคับให้มันเดินหน้าต่อไป แม้ว่ามันจะพยายามดีดผมให้ตกลงจากหลังของมันอยู่ตลอดเวลาแต่เนื่องจาก ม้าตัวนี้ขนาดไม่ใหญ่มากนัก และด้วยความหนักของคนสองคนที่ขี่มันอยู่ ทำให้มันไม่มีแรงมากพอ ที่จะสลัดคนบนหลังออกไป
แต่ในขณะนั้นเองเสียงร้องคำรามของใครสักคน ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไป ดูเหมือนว่าเจ้าโจรร่างผอมบางจะขี่ม้าตามเรามาเพียงคนเดียว มันควบม้าตามหลังพวกเรามาอยู่ไกลๆ ม้าตัวที่โจรขี่มามันถูกผูกไว้นอกคอกม้ามันเลยไม่โดนปล่อยไปด้วย และในตอนนี้ม้าของผมก็วิ่งไปช้ากว่าม้าของโจร เพราะมันพยายามเอาแต่สะบัดมากกว่าวิ่งไปดีๆ
โจร เริ่มยิงธนูใส่พวกเรา แม้จะมีความแม่นยำต่ำ แต่ก็มีโอกาสที่จะยิงโดน ผมจึงจิกหัวเด็กสาวก้มต่ำลงหลบลูกธนู และเมื่อมาถึงดอกที่สี่ มันก็ทำมันสำเร็จลูกธนูโดนเข้าที่ก้นของม้า มันค่อยๆ เซไปข้างหน้าก่อนจะล้มลงเบาๆ เราล่วงจากม้าแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ เด็กสาวพยายามจะวิ่งหนีเข้าไปในป่าทางข้างทางแต่ผมจับแขนเธอไว้ "ไม่!! ต้องทางนี้"ผมบอกกับเธอแล้วฉุดมือเธอวิ่งหนีเต็มแรงไปทางถนน
เมื่อโจรเห็นดังนั้นเลยเลือกใช้ดาบแทนแล้วก็ควบม้าเร่งความเร็วขึ้นถึงขีดสุด หวังจะปลิดชีพในคราวเดียว
ผมหันกลับมาพร้อมกับเหวี่ยงเด็กสาวกระเด็นออกไปจนพ้นวิถีดาบ โจรมันแสยะยิ้มราวกับเป็นยมทูตผู้ส่งวิญญาณ หลังจากยืดตัวง้างดาบขึ้นเล็งไปที่จุดตาย แต่ในทันใดนั้นเอง ก่อนที่โจรชั่วจะรู้ตัว ผมก็ส่งเขาไปพบกับยมทูตเรียบร้อยแล้ว
พลั่ก!! ตุ๊บ!!
เสียงของคนโดนผลักตกจากม้ากระแทกพื้น ลงไปนอนกองทั้งที่ยังมาไม่ถึงตัวผม
เด็กสาวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงก่อนจะกล่าวออกมาว่า"เวทมนตร์!!"
มันใช่เวทมนตร์ที่ไหนกันเล่า!! ผมขึงเชือกเถาวัลย์ขวางถนนเอาไว้ โจรมันขี่ม้ามาไม่ทันเห็นเลยโดนเถาวัลย์เกี่ยวจนคอหักตายต่างหาก หลังจากนั้นก็รีบเก็บสัมภาระของเขารวมทั้งม้าขี่แทน ส่วนม้าพยศที่ผมขี่มา ตอนนี้น้ำลายฟูมปากอยู่ข้างทางผมคิดว่ามันน่าจะโดนพิษจากลูกธนู เกือบไปแล้วสิ ถ้าผมโดนเข้าไปก็คงกลายเป็นแบบม้าตัวนั้นไปแล้ว คิดแล้วก็เสียวสันหลังขึ้นมา แต่ยังไงก็รอดมาได้ ผมรีบชิ่งหนีไปก่อนที่พวกมันจะแห่กันมาอีก
ในตอนนี้ผมรู้วิธีขี่ม้าแล้วมันต้องใช้เท้าสะกิดแถวลำตัว มันถึงจะเริ่มเดิน เกือบจะแย่เพราะขี่ม้าไม่เป็น แล้วดันไปตีมันอีก มันก็เลยเกลียดผมเลยพยายามจะสลัดให้ตก เกือบได้ตกม้าตายจริงๆ แล้วสิ
เราเดินทางกลับมาถึงที่พัก ท่ามกลางความโล่งใจของผม ความเหนื่อยล้าจากการที่ต้องเดินทางไปสังเกตการณ์ที่หมู่บ้านโจรติดต่อกันหลายวันและความผ่อนคลายจากความเครียดที่สะสมมา ทำให้ผมง่วงและต้องการพักผ่อนมากๆ แต่ยัยนี่ก็ส่งเสียงถามไม่ยอมหยุดสักที ซึ่งผมเองก็ฟังไม่ออกด้วยซ้ำว่าเธอต้องการอะไร ผมเลยเอาผลไม้ ผ้าและแหวน ของคุณป้าให้กับเธอ เธอเลิกพูดแล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้น ก่อนจะร้องไห้ออกมา ปัดโธ่ แบบนี้ผมก็ไม่ได้นอนกันพอดีน่ะสิ เรื่องอื่นเอาไว้พรุ่งนี้ได้ไหม ผมไม่ไหวแล้ว ผมดึงเธอเข้ามากอดแล้วก็ลูบหัวเธอเบาๆ ปลอบจนเธอหลับไปทั้งน้ำตา
ผมมองดูมือของตัวเองที่ยังสั่นไม่ยอมหยุด ตั้งแต่ฆ่าคนตายครั้งแรก ใบหน้าที่ยิ้มเยาะราวกับปีศาจตอนที่เขาง้างมือขึ้นจะฟันผม ความรู้สึกหวาดกลัวนั้นยังไม่จางหายไป ความกังวลความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาไม่ยอมหยุด แต่ผมจะแสดงความรู้สึกกลัวให้เธอเห็นไม่ได้ หากผมกลัวเธอก็จะกลัว ความกังวลจะทำให้สถานการณ์ของพวกเราทั้งคู่แย่ลงไปอีกผมตัดสินใจที่จะไม่แสดงความอ่อนแอออกมา เพื่อที่เธอจะได้ไว้ใจในตัวผม ก่อนที่จะหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า
ณ ถ้ำที่พักกลางป่า
ขณะที่ผมกำลังนอนหลับอย่างสบายบนเตียงหินที่ปูด้วยฟาง มีเสียงของใครบางคนพยายามจะปลุกผม แต่ไม่เอาอ่ะผมจะนอนต่อ
"นี่นาย" เสียงของเด็กสาว
"งืมม" ผมตอบกลับไปทั้งที่ยังไม่ลืมตา
"ตื่นได้แล้วเช้าแล้ว" เธอปลุกผมพร้อมทั้งเริ่มเอามือมาเขย่าแขนผม ผมสะลึมสะลือคว้ามือและดึงเธอเข้ามากอดแต่ เธอขัดขืนแล้วกัดมือของผมไม่ยอมปล่อย จนผมต้องเป็นคนยอมแพ้ในที่สุด
"ตื่นสักที แล้วก็เลิกเอาชั้นไปกอดแทนหมอนข้างได้แล้ว นี่นายเป็นเทนทาเคิลหรือยังไง เมื่อคืนก็เกาะแน่นไม่ยอมปล่อย" เธอส่งเสียงดัง
[**เทนทาเคิล เป็นมอนสเตอร์มีหนวดยุ่บยั่บคล้ายหนวดปลาหมึกคอยจับเหยื่อ]
"เมื่อวาน เรากอดกันทั้งคืน อยู่ดีๆ จะโวยวายทำไมเล่า งืมม.." ผมพูดเสร็จผมทำท่าจะนอนต่อ
"นี่ อย่าเพิ่งนอนสิลุกมาคุยกันก่อนเรื่องเมื่อคืนนี้เพราะนายฉวยโอกาสตอนที่ชั้นกำลังอ่อนแออยู่หรอกนะ นี่ยังพูดไม่จบอย่าพึงหลับเซ่ ตื่นน" เธอไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ เธอพยายามจะปลุกผมจากความขี้เกียจ ทำไมยัยนี่พูดมากจัง ทั้งที่เมื่อวานนี้เอาแต่พูดจาไม่รู้เรื่องแท้ๆ แต่เดี๋ยวก่อนนะ...ทำไม เธอพูดภาษาของผมได้?? ผมตาสว่างรีบลุกขึ้นมาทันที
"ตื่นได้สักทีเจ้าเทนทาเคิลขี้เซา" เด็กสาวกล่าวอย่างเหนื่อยใจที่กว่าจะปลุกชายคนที่นอนข้างๆลืมตาตื่น
"ทำไมเธอพูดภาษาของผมได้!!" ผมถามในสิ่งที่สงสัยทันที
"เรียกชั้นว่าเฟริซ่าใครเป็นคนส่งนายมา?" เธอถามกลับในสิ่งที่สงสัยเช่นเดียวกัน
ผม: "ไม่มีใครส่งมาทั้งนั้นแหละผมแค่อยากช่วยตามที่คุณป้าขอมา"
"คุณป้า??" เด็กสาวหน้าตามอมแมม แสดงอาการมึนงงเล็กน้อยหลังจากโดนชายแปลกหน้าพาแหกคุกมานอนในถ้ำกลางป่าลึก "คนที่อยู่กับเธอบนรถม้านั่นไง ผมพยายามจะช่วยชีวิตเธอแต่ไม่ทัน เธอมอบแหวนวงนี้ให้กับผมก่อนเสียชีวิต" ผมพยายามอธิบายก่อนที่เธอจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้แล้วก็ชี้ไปที่แหวนกับผ้าที่ให้เธอไปเมื่อคืน
"ห๊า!! นี่นายบุกเข้ารังโจรเพื่อช่วยคนที่ไม่รู้จักนี่นะ นายสติยังดีอยู่หรือเปล่า" เธอร้องอย่างตกใจเมื่อทราบว่าผม ไม่ได้รู้จักเธอแม้แต่น้อย
"โอเคงั้นคนสติไม่ดีจะพาเธอกลับไปส่งที่หมู่บ้านนั้นละกัน" ผมพูดสวนกลับไป ก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นมาเสียงอ่อยๆ"อย่าเพิ่งโกรธสิ คนปกติเขาไม่ทำกันหรอกนะ หรือว่านายจะเป็นผู้กล้า"
ผม: "ผมเป็นคนธรรมดาแต่เหมือนจะเสียความทรงจำไปบางส่วน" ผมตอบเธอตามความจริง
เฟริซ่า: "อ๋อ พวกสมองเสื่อม ว่าแล้วเชียว คนสมองปกติไม่มีใครทำแบบนั้นหรอก"
"นี่!! ให้มันน้อยๆหน่อย ผมไปเสี่ยงชีวิตช่วยเธอมานะ" ผมเริ่มไม่สบอารมณ์ นอกจากเธอไม่ขอบคุณผม ยังมาว่าผมอีก ก่อนที่เธอจะทำสีหน้าจริงจังและหันมาถามผม"แล้วนายต้องการอะไรจากชั้น ถึงได้ช่วยชั้นออกมาจากหมู่บ้านโจรนั่น"
"ไม่รู้สิผมก็ยังไม่ได้คิดไว้ แค่เห็นว่าเธอโดนจับก็เลยไปช่วย" ผมบอกปัดๆไปเพราะไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องผลประโยชน์ตอนนี้
เฟริซ่า: "ท่าทาง นายจะเป็นคนบ้าจริงๆ สินะ"
"ก็ได้ๆ งั้นช่วยตอบคนบ้าที ทำไมเธอถึงพูดภาษาของผมได้" ผมรีบตัดเข้าเรื่องที่ผมอยากรู้เพราะเบื่อที่จะต่อปากต่อคำกับแม่สาวน้อยผมทองปากมากคนนี้แล้ว
"โหย ไม่อยากจะโม้เพราะว่าชั้นเนี่ย…" เธอเล่าพร้อมกับเชิดหน้ายืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ สรุปได้ว่า เธอนั้นมีสกิลแปลภาษาที่สามารถแปลได้ทุกภาษาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เธอกำลังเดินทางกลับเมืองหลวงหลังจากทำงานแปลเอกสารให้กับผู้ว่าจ้างเสร็จ แต่ดันโชคร้ายไปโดน โจรปล้นซะก่อน ส่วนสองที่มาด้วยกันเป็นคนรับใช้ที่ดูแลเธอมาอย่างยาวนาน
เฟริซ่า: "แล้วนาย ชื่ออะไรล่ะ"
ผม :"ผมจำไม่ได้"
เฟริซ่า :"อ่าว แล้วจะเรียกนายว่าอะไรล่ะ มันลำบากนะ เวลาคุยกันแล้วนายไม่มีชื่อเนี่ย"
"ไว้คิดออกแล้วผมจะบอกนะ หรือไม่ก็เรียกผมว่าสามีก็ได้" ผมแกล้งขู่ให้เธอกลัว หลังจากรู้ตัวว่าเถียงไม่ชนะแน่
"ห๊า! หรือว่าที่นายมาช่วยชั้นเพราะอยากจะได้ร่างกายของชั้นงั้นเหรอ อี๋ โรคจิตชัดๆ" เธอพูดจบก็รีบเอามือมากอดอก ขยับตัวห่างส่งสายรังเกียจมาทางผมทันที
"ไม่ๆ อย่าเข้าใจผิดสิ ใครจะไปชอบโลลิอย่างเธอ" ผมรีบตอบกลับแก้ข้อกล่าวหา
"โลลิ นี่นายคิดว่าฉันอายุเท่าไรกัน?" ผมมองเธอที่ทำหน้าไม่พอใจหลังโดนเรียกว่าโลลิ ตั้งแต่หัวจดเท้า รูปร่างหน้าตาแบบนี้ ไม่มีทางอายุเกิน18แน่ๆ
ผม: "แล้วเธออายุเท่าไรละ?"
เฟริซ่า: "20แล้วย่ะ"
ผมต้องแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับมา เมื่อดูจากนิสัยของเธอมันเด็กน้อยประถมชัดๆ
"แหม่ๆ ทำเป็นบอกว่าฉันเป็นโลลิ จริงๆแล้วนายคงไม่เคยเห็นคนสวยเหมือนเทพธิดาอย่างฉันมาก่อนล่ะสิ นายคงเก็บสัญชาตญาณสัตว์ป่าไว้น่าดูเลยสิเนี่ย" เธอพูดแหย่ผม พร้อมกับแสดงท่าทางภาคภูมิใจอีกครั้ง ยัยนี่มันน่าจับไปปล่อยที่หมู่บ้านจริงๆ
ผมบิดขี้เกียจและลุกจากเตียงและหยิบผมไม้ แล้วโยนไปให้กับเฟริซ่า ก่อนจะไปตรวจสอบสัมภาระที่ชิงมาเมื่อวานนี้มันมีขวดน้ำสีเขียวหน้าตาน่ากลัวอยู่
"เฟริซ่าเธอรู้ไหมว่านี่คืออะไร?" ผมหยิบมันขึ้นมาโชว์ และถามเธอด้วยความสงสัย"ค่ะ สามีนั่นมันขวดยาพิษสกัดมาจากรากพืช" เธอตอบกลับราวกับรู้จักมันดี
ผม: "ไม่ต้องเรียกผมแบบนั้นก็ได้แล้วมันแรงพอจะฆ่าหมีสามแขนได้ไหม"
"ก็สามีเป็นคนบอกให้ชั้นเรียกเองนะ หมีสามแขนงั้นเหรอ นั่นมันสัตว์ในนิทานนี่ ปกติแล้วพิษแค่นี้ทำอะไรหมีสี่แขนไม่ได้หรอก" น่าเสียดายที่ฆ่ามันไม่ได้
ผมเอาธนูกับดาบของโจรมาตรวจดูพบว่าดาบมันใกล้จะพังมากแล้ว ดาบทื่อๆกับสนิมขึ้นเต็มไปหมด พวกโจรไม่ยอมซ่อมแซมอาวุธเลย "แล้ว..นิทานที่เธอว่าเรื่องมันเป็นยังไงเหรอ" ผมหาวิธีซ่อมดาบพลางชวนเธอคุยไปด้วย
"นายไม่เคยฟังงั้นหรอ อ่อ นายความจำเสื่อมนี่นา งั้นก็ช่วยไม่ได้แฮะ มาเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง.." จากเรื่องที่เธอเล่าก็คือ มีหมีสีแขนจอมดุร้าย มาลักพาตัวเด็กๆที่หมู่บ้านไป แล้วมีผู้กล้าที่ชื่อ มาร์เยร์ มงเปอร์ริเยร์ มาปราบ โดยได้ตัดแขนของหมีออกข้างหนึ่ง ก่อนที่มันจะตาย จนว่ากันว่าวิญญาณของเจ้าหมีสามแขนตัวนี้มันรอคอยที่จะกลับมาแก้แค้นผู้คนในหมู่บ้าน เลยมีการบูชายัญผู้หญิงในหมู่บ้านเพื่อให้เทพแห่งป่าคุ้มครองหมู่บ้านจากวิญญาณหมีร้าย
อื้อหือ โลกนี้มันโคตรเถื่อนสุดๆ เลยนี่หว่า มีกระทั่งจับคนไปบูชายัญด้วย
"ที่นี่คงมีนิทานที่เกี่ยวกับผู้กล้าเยอะเต็มไปหมดเลยสิ" ผมพูดขณะที่เอาดาบถูกับหินเพื่อล้บคมและลบสนิมออกจากดาบ
"ใช่แล้วค่ะท่านสามี ผู้กล้าที่นี่คือวีรบุรุษเลยมีอยู่ในนิทานเต็มไปหมด" เธอยังแกล้งเรียกผมว่าสามีไม่เลิกรอบนี้เติมท่านให้ด้วย
"เฟริซ่า ต่อไปนี้เรียกผมว่าเยมะ" ผมเบื่อกับคำที่เธอใช้เรียกเลยตั้งชื่อใหม่ขึ้นมาแบบส่งๆไป เอาไว้เดี๋ยวค่อยไปเปลี่ยนใหม่อีกรอบก็ได้
เฟริซ่า: "มาร์เยร์ เยมะ อยากเป็นผู้กล้าปราบหมีหรือไงยะ"
เยมะ: "ดีกว่าโดนเธอเรียกว่าสามีนั่นแหละ"
เฟริซ่า :"นี้ๆ ภรรยาหิวแล้วไปหาอะไรมาให้กินหน่อยสิ"
ดูท่าทางวันนี้ต้องมีคนโดนสั่งสอน ฮึ่มม
*******
โปรดติดตามตอนต่อไป
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

9 ความคิดเห็น
-
ความเห็นนี้ถูกลบแล้ว :(