ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักต้องตรวจ คุณตำรวจต้องรัก

    ลำดับตอนที่ #6 : ...6... วิสามัญฆาตกาม

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 55


    6
    วิสามัญฆาตกาม
     
     
     
                    ผู้ต้องหาสาวฝากขังน้ำตาไหลพรากขณะถูกล๊อคกุญแจมือทั้งสองข้างไว้ในท่านอนแผ่หราพร้อมให้เขาจัดการทำโทษจนสมใจอยู่บนเตียง ราวกับลูกหมาป่าตัวน้อยติดกับดักนายพรานถูกพาขึ้นเขียง แม้ดุร้ายแต่เขี้ยวเล็บยังไม่แหลมคมพอ เนื้อหนังก็นุ่มนิ่มอ่อนเยาว์สู้เขาไม่ได้ เพียงแค่ข่วนกัดเจ็บคันๆ กลายเป็นยั่วให้เขายิ่งอยากปราบพยศก็เท่านั้น!
                    เธอดิ้นรนจนเหนื่อยแทบขาดใจ เสื้อที่สวมใส่ไม่อยู่ในสภาพที่จะปกปิดนวลเนื้อเนียนใสไร้ใฝฝ้าราคีได้ เผยให้เขาเห็นเอวคอดกิ่ว... สะดือน้อยๆ... และเต้าตูมเต่งทั้งสองซึ่งมีชุดชั้นในลูกไม้ชิ้นบางกางกั้น หากไม่อาจบดบังสิ่งใดจากสายตาเขา ช่างเป็นภาพเย้ายวนชวนกระสันเหลือเกิน
                    “ไม่นะ... ไม่! ท่านสารวัตรโปรดไว้ชีวิตด้วย” เธออ้อนวอนด้วยความหวาดหวั่น
                    แต่นึกหรือ ว่าแค่นั้น จะทำเขาใจอ่อน
                    “ไหนทำเก่ง เรียกหาองคชาติชูไชไงเล่า ที่ไหนได้ พอเอาเข้าจริงๆ ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำเชียว” เสียงเหี้ยมเย้ยหยันกระซิบริมหูทำเอาเธอขนลุกซู่ไปทั้งร่าง
                    “ได้โปรดเถิด... ท่านสารวัตรต้องการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นนมชมพูหรืออะไร ฉันจะหามาให้นะคะ” พญายังเพียรอ้อน
                    หากสายตาที่เคยคมดุคู่นั้น มิได้ฉายแววเวทนาสงสารเธอเลยแม้แต่น้อย กลับจ้องมองดูที่... อา... นมชมพูที่ชูช่องดงามอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับจะกลืนกินก็ไม่ปาน
                    “ไม่ต้องหามาให้ลำบากหรอก ฉันขอรับแค่ที่มีอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว...”
                    ท่านสารวัตรพูดเพียงแค่นั้น เมื่อผ้าลูกไม้ชิ้นน้อยถูกกำจัดออกไป ริมฝีปากเขาก็ไม่ว่างอีกเลย
                    “อ๊า...” พญามารสาวดิ้นพล่านปานจะขาดใจ เมื่อเธอต้องตกเป็นนมชมพูของโปรดเขา ดูท่าสารวัตรหนุ่มจะติดใจรสนมหอมหวานบนร่างเธอ ถึงได้ดูดเอาดูดเอาราวกับหิวกระหายมาจากชาติปางไหน
                    หากเมื่ออิ่มหนำเป็นที่พึงใจ เล่นเอาผู้ต้องหาสาวนอนหอบระรวยรินแทบสิ้นใจแล้ว เขาก็กลับกลายเป็นตำรวจไทยใจซื่อมือสะอาดอีกครั้ง...
                    “นมชมพูที่เธอมอบให้ฉัน ฉันรับไว้ ดูดพอเป็นพิธีไม่ให้เสียน้ำใจ แต่จำไว้นะ ว่านี่ไม่ใช่ ‘ใต้โต๊ะ’ แต่เป็นบนเตียง! ดังนั้น อย่าหวังว่าเธอจะพ้นผิดโดยไม่ต้องได้รับการลงโทษ!”
                    ว่าแล้ว ท่านสารวัตรก็กำจัดกางเกงยีนส์รัดรูปที่เธอสวมใส่ อีกทั้งกางเกงในผ้าลูกไม้เนื้อบางให้พ้นไป...
                    บัดนั้น ร่างทั้งร่างก็ปราศจากสิ่งกีดขวางใดๆ เปิดเผยทุกส่วนสัดให้สารวัตรหนุ่มกระทำการกับร่างเธอได้อย่างเต็มที่!
                    “ไม่นะ... ไม่... ได้โปรด…”
                    เพราะพ่ายแพ้แก่น้ำตาของนักโทษประหาร หรือด้วยความสงสารอย่างไร เธอก็ไม่อาจทราบได้ ก่อนที่จะลงมือจัดการสำเร็จโทษ เขาจึงใช้เนคไทของตนแทนผ้าผูกตาปิดการมองเห็นไว้มิให้เธอรับภาพความโหดร้ายก่อนตายด้วยการ ‘วิสามัญฆาตกาม’
                    “กลั้นใจอดทนไว้นะ แค่เจ็บนิดเดียว แต่ฉันสัญญาว่าจะส่งเธอไปให้ถึงสวรรค์!” สารวัตรหนุ่มกระซิบปลอบประโลมยามจับข้อเท้าเล็กแยกออกจากกันจนขาเรียวอ้ากว้าง...
                    ด้วยความคมกริบของสายตาคู่นั้น แม้นักโทษสาวถูกปิดตา แต่ความรู้สึกก็ยังสัมผัสได้ว่า ส่วนใดของเธอกำลังถูกเขาจ้องมองอยู่นานเพียงไร ก่อนจะชักปืนใหญ่คู่กายออกมาจ่อเล็งตรงเป้า แล้วกระหน่ำยิง... ยิง... ยิงระรัวอย่างไร้ความปราณี ส่งกระสุนของเขาฝังเข้าไปในร่างนักโทษสาวลูกแล้วลูกเล่าอยู่นานจนหมดแม๊ก!
     
                “คุณพญาขอรับ... คุณพญา... ท่านผู้กำกับขอร้าบบบบ...!!!”
                    เสียงจ่ายิ้มปลุกเธอให้สะดุ้งตื่นจากห้วงภวังค์
                    พญามารสาวไม่ได้ฝัน... แค่ ‘คิด’! …คิดชั่ววูบ (ความคิดชั่วที่ทำให้รู้สึกร้อนวูบๆ ในอก)
                    “อ่า... อะไรนะคะ?”
                    เธอกระพริบตาแล้วเพิ่งจะรู้ว่าเผลอเหม่อมองใบหน้าคมเข้มของสารวัตรหนุ่มที่วิสามัญฆาตกามเธออย่างโหดเหี้ยมมาโดยตลอดช่วงเวลาแห่งจินตนาการอันบรรเจิด
                    กรี๊ดดด!... นี่นางสาวพญาผู้ใสซื่อบริสุทธิ์คิดฉากเลิฟซีนอลังการงานสร้างขนาดนั้นได้อย่างไร สงสัยพักนี้เธอยืมหนังผู้ใหญ่มาศึกษามากไป ความคิดเห็นแบบผู้ใหญ่ๆ เลยติดหัวมาโดยไม่ตั้งใจ แย่แล้วๆ หวังว่าเขาคงไม่เห็นภาพในสมองผ่านสองนัยน์ตาของเธอหรอกนะ อายตายเลย!
                    โชคดีที่เขาไม่เห็นความคิดชั่ววูบของเธออย่างที่นึกหวาดระแวง แต่รู้สึกประหลาดพิกลกับตากลมแป๋วของผู้ต้องหาสาวที่มองเขาด้วยสีหน้าท่าทางแปลกๆ นัยน์ตาคมดุจึงจ้องเธอกลับภายใต้คิ้วเข้มพาดเฉียงขมวดมุ่นครุ่นคิดอย่างไม่ไว้วางใจระคนหวาดหวั่น!
                    “นี่เธอ… มองหน้าฉันแบบนั้น ไม่ทราบว่ามันหมายความอย่างไร?”
                    มองเหมือน... เขาไม่ใช่ตำรวจที่กำลังจับจะเธอเข้าห้องขัง แต่เป็นเหยื่อที่เธอกำลังจะตะครุบเข้าปาก!
                    ไม่สิ... บังเอิญว่าเหยื่อที่พญาปีศาจสาวหมายจับกินทั้งแข็งแรงและตัวโตกว่าเธอมากมายจนไม่มีปัญญาตะครุบเข้าปากได้อย่างที่อยากทำ จึงได้แต่แทะๆ เล็มๆ ตามกำลังที่มี ให้ความรู้สึกจั๊กจี้ แสบๆ คันๆ ลึกๆ ในอกจนน่าหงุดหงิด
                    “แหะๆ... ท่านสารวัตรจะจับฉันยิงเป้าจริงๆ หรือคะ?” ผู้ต้องหาถามอายๆ บิดตัวไปมา
                    “…” ท่านสารวัตรพูดไม่ออกบอกไม่ถูก...
                    ไม่ไหวล่ะ ถ้าขืนให้เธออยู่ใกล้เขาต่อไปล่ะก็ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความอดทนของเขาสิ้นสุดลงเมื่อไรมิอาจคาดเดา ถึงตอนนั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจหน้ามืดขึ้นมา จับเธอวิสามัญฆาตกามจริงๆ ก็ได้ ใครจะรู้!
     
                ในที่สุด สารวัตรองค์อาตม์ก็ถอดใจ... ปลดกุญแจมือให้นางสาวพญา
                    “ฉันจะลงบันทึกประจำวันไว้ แต่ยังไม่แจ้งข้อหาดำเนินคดี”
                    ผู้ต้องหาสาวได้ยินคุณตำรวจบอกว่าจะยังไม่เอาผิดเธอก็หน้าบานขึ้นมาทันที สารวัตรหนุ่มจึงต้องปั้นหน้าเข้มกว่าเดิมปรามเธอเสียงโหด...
                    “ระหว่างนี้ เธอต้องทำตัวดีๆ ห้ามไปก่อความวุ่นวาย มีปัญหากับใครที่ไหนอีก ไม่งั้นล่ะก็... เธอเสร็จฉันแน่!”
                    โห... เสร็จเลยหรือคะ ดุจัง! ...นัยน์ตากลมโตมองหน้าเขาตาแป๋วพร้อมอมยิ้มราวกับแกล้งแซวเขา ทำเอาคนดุแอบเขินจนโมโหตัวเอง รีบแก้คำพูดที่ฟังดูสองแง่สามง่ามโดยไม่ตั้งใจนั้นเสียใหม่...
                    “ฉันจะไม่ปราณีใดๆ ทั้งสิ้น คราวนี้เอาจริงนะ!”
                    โห... เอาจริงเลยหรือคะ โหดจัง! …นัยน์ตากลมโตคู่เดิมกระพริบแทนคำพูด ทำเอาคนโหดแทบจะบ้า มันน่าจับมายิงเป้าเสียให้เข็ด!
                    “กลับบ้านไปได้แล้ว” รีบๆ ไล่เธอไปให้พ้นๆ ดีกว่า ก่อนที่เขาจะทนไม่ไหวขึ้นมา...
                    “โธ่... ท่านสารวัตร ปล่อยพญามารร้ายออกไปเพ่นพ่านแบบนี้ได้อย่างไร เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายกับประชาชนเปล่าๆ มิสู้เอาขังไว้ในห้องส่วนตัว ท่านทำงานเหนื่อยๆ กลับบ้านไปก็จะได้ไม่เหงา มีเป้าไว้ยิงทุกวันคืนชื่นบานแจ่มใส” จ่ายิ้มแนะนำผู้บังคับบัญชาหนุ่มด้วยความปรารถนาดี
                    “จ่ายิ้ม!” ท่านสารวัตรเพียงเอ่ยเรียกเสียงเรียบ ลูกน้องวัยอาวุโสช่างยุก็รู้ว่ามิบังควรปากมากไปกว่านี้ รีบเผ่นเป็นดีที่สุด จึงตะเบ๊ะหลังตรง...
                    “ขอรับพ้ม... กระผมขอลาท่านกลับบ้านก่อนนะขอรับ”
                    “กลับไปบ้านไปให้หมด!”
                    เขากระดิกปลายนิ้วเป็นเชิงสะบัดมือไล่ทั้งลูกน้องและผู้ต้องหา แล้วหันหลังให้พวกเขา ไม่สนใจใครเดินจากไป ตั้งหน้าตั้งตาจัดแฟ้มเอกสารเพื่อเรียกสติคืนกลับมา รู้สึกว่า งานกระดาษที่เขาเคยรู้สึกว่าน่าเบื่อกลับให้ความสงบใจกับเขา ช่วยบรรเทาอาการแสบคันในหัวใจได้เป็นอย่างดี
                    หากก็แค่บรรเทา... ยังไม่ทันได้หายขาด ก็เกิดแสบคันยุบยับขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็รู้สึกถึงสัมผัสทางสายตาของใครบางคนที่กำลังจ้องมองบั้นท้ายเขา เมื่อหันขวับมา ก็พบว่า เป็นนัยน์ตากลมแป๋วคู่เดิมของผู้ต้องหาสาวเจ้าเก่าที่เขาเพิ่งปล่อยตัว!
                    “เธอยังอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ทำไมไม่รีบกลับบ้าน?” เสียงโหดดุใส่ แต่เธอกลับเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้
                    “ฉันอยากแสดงความขอบคุณคุณตำรวจค่ะ”
                    เขาเพิ่งเห็นว่า ในมือเธอมีแก้วพลาสติกใสใส่เครื่องดื่มสีชมพูหวานแหววซึ่งใครๆ รู้กันอยู่ว่าเป็นของโปรดเขา
                    “นมชมพูไงคะ แหะๆ”
                    สารวัตรหนุ่มมองนมชมพูที่เธอยื่นให้เขาด้วยความรู้สึกแสนแปลก...
                    พญามารร้ายรู้ว่าเขาไม่รับสินบน หากไม่ปฏิเสธน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ก็อุตส่าห์ไปหามาให้เขาหรือนี่?
                    “หน้าขาวด้วยค่ะ” เธอโฆษณาสรรพคุณ
                    “อ้อ... ขอบคุณครับ” มือใหญ่ผิวเข้มรับของจากมือน้อยขาวผ่อง ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องแอบเก้อเขินกับของธรรมดาสามัญที่เธอหยิบยื่นให้ ไม่ได้รับอย่างสบายใจเหมือนรับจากป้าน้ำหวาน โดยเฉพาะเมื่อนัยน์ตากลมแป๋วมองหน้าเขาไม่กระพริบ ราวกับว่า แม้เขาจะรับของไป แต่ภาระกิจของเธอยังไม่ลุล่วง ตราบใดที่ยังไม่เห็นว่าเขาดื่มมันกับตา
                    เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ สารวัตรหนุ่มจึงทำตามความประสงค์ของผู้ให้ โดยดูดเครื่องดื่มจากหลอดที่เสียบไว้คำหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ หากเมื่อเห็นรอยยิ้มซุกซนของเธอแล้วก็กลับรู้สึกหวาดระแวง ...นี่เขากินอะไรพิศดารลงไปหรือเปล่า?
                    ซึ่งความจริงในนมชมพูของพญามารสาวไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ เธอก็แค่... อยากเห็นพระเอกตำรวจสุดหล่อมาดเข้มคมดุตอนดูดนมชมพูเท่านั้นเอง
                    อ๊าย... ริมฝีปากหนาได้รูปยามดูดนมชมพูช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกิน พญากรี๊ดกร๊าดในใจไม่ต่างจากเด็กสาวแอบปลื้มศิลปินหนุ่มคนโปรด เขาทำอะไรก็น่ารักไปหมด ยิ่งถ้าขัดแย้งกับบุคลิคอย่างนมชมพูกับความคมเข้มของเขาด้วยแล้ว
                    ขนาดไม่ได้ยินเสียงกรี๊ด เขายังรู้สึกเขินจนร้อนไปหมดทั้งใบหน้า รู้สึกขอบคุณบิดามารดาที่ให้กำเนิดมามีสีผิวหน้าคร้ามเข้ม ไม่เช่นนั้นล่ะก็ เธอคงจับได้แน่ว่าเขากำลังหน้าแดงด้วยความเขิน
                    “อะแฮ่ม... ถ้าเธออยากจะขอบคุณผู้ใหญ่” เขาเน้นคำว่าผู้ใหญ่ เพื่อสร้างระยะห่างขึ้นมาปรามเธอ พร้อมสั่งสอนมารยาทด้วยเสียงนุ่มลึก “...ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ก็ได้ แค่ยกมือไหว้ขอบคุณสวยๆ ก็พอ”
                    “แหม... ฉันก็อยากแสดงความกตัญญูนี่นา”
                    “ความจริง... แค่เธอทำตัวดีๆ ไม่ก่อความวุ่นวายให้ฉันปวดหัว ก็ถือว่าแสดงความกตัญญูแล้ว”
                    ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มให้เธอด้วยความเอ็นดู แต่วินาทีต่อมามันกลับหายวับไปไหนไม่รู้
                    “ฉันไม่ได้ขอบคุณที่คุณตำรวจปล่อยตัวผู้ต้องหานะคะ ฉันขอบคุณที่ท่านสารวัตรจะช่วยส่งฉันกลับบ้านต่างหากค่ะ”
                    “?”
                    “แหะๆ ...ช่วยส่งฉันกลับบ้านหน่อยนะคะ”
                    นั่นไงเล่า ว่าแล้วเชียว มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล! สัญชาตญาณของเขาเชื่อถือได้จริงๆ
                    “คุณดูดนมชมพูของฉันแล้ว ห้ามปฏิเสธความรับผิดชอบด้วย” พญามารพูดราวกับหญิงสาวเสียตัวกำลังเรียกร้องค่าเสียหายจากชายหนุ่ม หากครั้นเธอเห็นคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันก็รีบเปลี่ยนลีลาเป็นอ้อนเสียงจ๋อย
                    “สงสารฉันเถอะค่ะ... ฉันไม่มีรถกลับบ้านค่ะ ตอนโดนจับมาที่นี่ ก็มากับรถตำรวจ พ่อแม่พี่ชายก็ไม่มีใครยอมมารับ จะกลับแท๊กซี่ มืดค่ำป่านนี้ ฉันกลัว...”
                    ทั้งที่รู้ทันพญามารสาวจอมเจ้าเล่ห์ แต่สารวัตรหนุ่มฟังเหตุผลของเธอแล้วอดใจอ่อนไม่ได้... ทั้งห่วงหวงเธอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แค่คิดว่า ถ้าเธอโดนใครทำร้ายใดๆ ระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็รู้สึกแทบด่าวดิ้น
                    “ก็ได้!”
                    เห็นรอยยิ้มอย่างมีชัยของพญามารร้ายแล้ว เขาก็ได้แต่ถอนใจ
                    “ฉันกลัวแท๊กซี่จะมีอันตรายจากคนร้ายที่ฉันเป็นคนปล่อยออกไปหรอกนะ เลยต้องรับผิดชอบ!”
                    “ขอบคุณมากค่า” พญารีบยกมือไหว้สวย ทำให้คนสอนมารยาทต้องแอบซ่อนยิ้ม
                    ให้มันได้อย่างนี้สิ!
     
                    ‘บ้านเวชวิวัฒน์วงศ์’ ตั้งอยู่บนที่ดินกว่าแปดไร่ ในอณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลประกอบไปด้วยบ้านหลายหลัง ล้วนเป็นของบรรดาเครือญาติในตระกูลทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละครัวเรือนแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนด้วยการจัดสวน ทำให้ดูครื้มไปด้วยแมกไม้เขียวขจี หากในยามค่ำคืนเช่นนี้ จึงเห็นความร่มรื่นนั้นเป็นเพียงเงาดำทะมึนโอบล้อมบ้านแต่ละหลังไว้ ให้ความรู้สึกวังเวงวิเวก
                    ยิ่งเมื่อบ้านแต่ละหลังปิดไฟมืดสนิท… มืดจนคนเป็นตำรวจถึงกับเปิดไฟสูงที่หน้ารถแล้วยังรู้สึกไม่ปลอดภัยพอ ต้องเปิดไฟกระพริบสีแดงน้ำเงินที่อยู่เหนือรถตำรวจอีก ถ้าไม่เกรงว่าประชาชนจะแตกตื่น เขาอยากเปิดเสียงไซเรนด้วยซ้ำไป ขู่ให้รู้ว่าตำรวจมาแล้วนะ ผู้ร้ายไปให้พ้น ใครอย่าได้หาญกล้ามาทำอันตรายลูกสาวบ้านนี้เชียว!
                    ทั้งๆ ที่ข้าราชการผู้ซื่อสัตย์อย่างเขา ไม่เคยเอาของหลวงมาใช้ทำกิจส่วนตัวเลยสักครั้ง แต่นี่เขาถึงกับขับรถตำรวจมาส่งผู้ต้องหา ไม่พอยังกระพริบไฟ ‘เบ่ง’ อีกต่างหาก
                    “ชิ... ทีตะกี๊ ฉันเปิดไซเรนหน่อยล่ะทำเป็นดุ” พญาต่อว่าคุณตำรวจใจร้ายที่ไม่ยอมให้เธอ ‘เปิดหวอซิ่ง’ บนท้องถนน อุตส่าห์ได้นั่งรถตำรวจทั้งที โดนตีมืออีกต่างหาก “...ตอนนี้ถึงบ้านแล้วจะเปิดทำไมคะ ไม่มีใครเห็นสักหน่อย”
                    “คนอื่นๆ ไปไหนกันหมด?”
                    เขาเคยมาที่นี่วิ่งเล่นกับไอ้หมอนพเพื่อนรักหลายครั้งเมื่อตอนยังเด็ก จำได้ว่ามีญาติๆ มากมาย แม้พื้นที่กว้างใหญ่แต่ก็อบอุ่น ไม่รู้สึกเงียบเหงาร้างไร้ผู้คนแบบนี้
                    “ทำไมทั้งเงียบทั้งมืดมิดเหมือนบ้านร้างเลยล่ะ?” เขาถามด้วยความสงสัย ขณะขับรถเข้ามาในรั้วเพื่อส่งเธอให้ถึงที่
                    “ก็ไม่มีใครอยู่แล้วนี่นา”
                    “ไม่มีใครอยู่?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
                    “พวกเขาย้ายไปอยู่โรงพยาบาลกันหมด”
                    เขารู้อยู่แล้วว่า ครอบครัวนี้เป็นหมอกันทั้งบ้าน และเพื่อนของเขา... ไอ้หมอนพเป็นทายาทโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังซึ่งก่อตั้งโดยปู่ของเธอ แต่เพิ่งจะรู้จากเธอวันนี้เองว่า ชั้นบนสุดของอาคารหอพักผู้ป่วยใหม่ สร้างเป็นห้องชุดสำหรับผู้บริหารและคณะแพทย์วีไอพีซึ่งก็คือบรรดาหมอๆ ตระกูลนี้พักอาศัย
                    แรกทีเดียว ก็อยู่ที่นั่นแค่ชั่วคราวเฉพาะในวันทำงาน แต่ด้วยสถานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกสบายกว่า พวกเขาก็ค่อยๆ ย้ายกันไปอยู่ที่นั่นเกือบจะถาวร ทิ้งบ้านหลังใหญ่หลายหลังไว้ให้พญามารสาวครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
                    “เธออยู่คนเดียว แปดไร่?!!” สารวัตรหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในห้องชุดขนาดไม่กี่ตารางเมตรของแฟลตตำรวจตั้งคำถาม... “ความหนาแน่นประชากรเบาบางเกินไปหน่อยไหม?”
                    เขาบ่น แต่ในใจเป็นห่วงเธออย่างบอกไม่ถูก... ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวจะอยู่ได้อย่างไร?
                    “หรือคุณตำรวจจะมาอยู่ด้วยช่วยเพิ่มประชากรล่ะคะ?”
                    อ่า... เธอกำลังทาบทามเขาเข้าสังกัดมารับบทเป็นพระเอกหรอกนะ ไม่ได้คิดลึกเลยจริงๆ ...หุหุ
                    พญามารสาวเปิดไฟให้แสงสว่างทั่วบ้านเพื่ออวดผู้มาเยือน ภาพอาคารหลังใหญ่ตรงหน้าซึ่งปรากฎแก่สายตาก็ทำให้เขาตะลึง
                    อา... นี่มันอะไรกันนี่ นี่ไม่ใช่บ้าน แต่เป็น... รังพญามารร้าย!
                    “กลางคืนมีฉันนอนอยู่ที่นี่คนเดียวกก็จริง แต่ตอนกลางวัน ที่นี่คือ...” เสียงใสทำซาวน์เอ็กเฟ็ค... “ทาแด้ม... แทม... แทม... พญาสตูดิโอแอนด์โปรดักชั่นเฮ้าส์!”
                    บ้านหลังใหญ่สุดตั้งอยู่ตรงกลางสร้างตั้งแต่รุ่นปู่ของพญา เป็นบ้านหลังแรกบนที่ดิน ซึ่งสมาชิกครอบครัวเวชวิวัฒน์วงศ์รุ่นพ่อเติบโตขึ้นมา เป็นมรดกตกทอดแก่บิดาของเธอซึ่งเป็นทายาท ส่วนลุงๆ ป้าๆ แยกเรือนออกไปสร้างบ้านหลังอื่นๆ ภายในบริเวณเดียวกัน
                    ตระกูลอื่นเขามีปัญหาฆ่ากันแย่งสมบัติ แต่ลูกหลานเวชวิวัฒน์วงศ์กลับไม่มีใครสนใจ ปล่อยให้หลานสาวนอกคอกหัวศิลปินละเลงบ้านแต่ละหลัง ดัดแปลงเป็นโรงถ่ายภาพยนตร์ แบบชนิดที่อย่าว่าแต่คนนอกอย่างเขาแค่เคยมาวิ่งเล่นเมื่อตอนเป็นเด็กจำแทบไม่ได้เลย ต่อให้วิญญาณคุณปู่ผู้สร้างจะบินจากสวรรค์กลับมาเยี่ยมบ้านตัวเองก็คงแลนดิ้งลงไม่ถูกเพราะจำไม่ได้เหมือนกัน
                    “นี่บ้านฉันเอง ฉันนอนชั้นบนคนเดียวก็จริง แต่ข้างล่างเป็นออฟฟิส ตอนกลางวันมีทีมงานเข้าออกคึกคัก... นู่นบ้านของลุง ใช้เป็นโรงงานผลิตพร็อพและอุปกรณ์ประกอบฉาก... นั่นบ้านป้า กลายเป็นห้องตัดต่อและพากย์เสียง... โน่นบ้านอาหญิง...” พญามารสาวจูงท่านสารวัตรพาทัวร์อวดผลงาน คนตัวโตก็เพลินเดินตามเธอต้อยๆ อย่างว่าง่าย จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังสุดท้ายริมรั้ว ดูบรรยากาศวังเวงนี่กลัว...
                    “หลังนี้ของป้าหมอพรทิพย์ ฉันตกแต่งเป็นฉากสยองขวัญ มีห้องทรมานนักโทษด้วยนะคะ อิอิ”
                    เขาปล่อยให้มือน้อยลากเข้าไปใน ‘ห้องทรมาน’ ซึ่งเป็นห้องปิดทึบ มีเครื่องมือทรมานแบบต่างๆ ที่เธอดัดแปลงมาจากอุปกรณ์การแพทย์เก่าๆ ที่ขอจากทางโรงพยาบาล ทำให้คนเป็นตำรวจเห็นแล้วเกิดไอเดีย...
                    “เยี่ยมไปเลย ฉันรู้แล้วว่า ถ้าเธอก่อเรื่องจนโดนจับอีกที ฉันควรสอบปากคำเธอที่ไหนดี!”
                    คนเป็นตำรวจเห็นเครื่องไม้เครื่องมือแล้วรู้สึกมันเขี้ยวอยากสั่งสอนผู้ต้องหาสาวสุดแสบสักที แต่เธอหากลัวไม่ กลับกล้าย้อนเขา...
                    “ชิ... ใครจะยอมให้จับง่ายๆ คราวหน้าฉันจะเตรียมให้พร้อม ซ้อมบีบจุดอ่อนโดยไม่ต้องเสียเวลามัวคลำหา” เธอไม่พูดเปล่า ยังทำมือประกอบคำว่า ‘บีบ’ ที่ให้ความรู้สึกน่าหวาดเสียวแทนชายทั้งโลก “...รับรองได้ว่าท่านสารวัตรตายแน่ๆ ฮ่าๆๆ”
                    นี่แม่คุณ ลืมตัวไปหรือเปล่าว่า กำลังซ่าอยู่กับใคร ถึงที่นี่จะเป็นอณาจักรของเธอ แต่ตอนนี้ มีกันอยู่เพียงสองคน หากเขาทำอะไร ลำพังร่างบอบบางอย่างเธอไม่มีทางสู้แรงคนตัวโตอย่างเขาไหว บ้านหรือก็กว้างใหญ่ ต้นไม้รกครื้มขนาดนี้ ร้องให้ตายก็ไม่มีคนได้ยิน ใครจะมาช่วยทัน? กว่าจะมีคนเข้ามาทำงานตอนกลางวันก็สายเสียแล้ว!
                    “ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายนะ... พญา ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด ถ้าแหย่ฉันจนทนไม่ไหวขึ้นมาล่ะก็... ฮึ่ม!”
                   
                   
                   
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×