คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ...2... FBI Vs ตำรวจไทย
2
FBI Vs ตำรวจไทย
เมื่อราว 1 ปีก่อนหน้านี้
พี่ชายสุดหล่อแสนดีของนางสาวพญาแต่งงาน... เมื่อทราบข่าวมงคล คนเป็นน้องสาวซึ่งขณะนั้นกำลังฝึกงานอยู่แดนไกลก็รีบบินกลับบ้านมาร่วมงานทันที ด้วยสดใสน่ารักไม่เหมือนใคร เธอจึงได้รับความเอ็นดูจากพี่สะใภ้เป็นพิเศษ ถึงกับลำเอียงโยนช่อดอกไม้แสนสวยของเจ้าสาวเล็งตรงมามอบให้เธอโดยเฉพาะ
ถ้าเป็นหญิงสาวคนอื่นคงดีใจ ดอกไม้ช่อนี้เป็นเหมือนคำอวยพร... ขอให้ได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป
แต่ไม่ใช่ ‘นางสาวพญา’ ตราบใดที่ความฝันยังไม่บรรลุ เธอจะไม่มีวันยอมกลายร่างเป็น ‘นางพญา’ เด็ดขาด ขอกอดเก็บความสาวเอาไว้กับตัว ให้หนังของเธอจะได้ไปร่วมงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ (le Festival de Cannes) ก่อนเถอะ แล้วผู้กำกับค่อยสลัดความสาวทิ้งโดดลงจากคานกลายเป็นนางพญามารเต็มตัว!
ดังนั้น เมื่อบูเก้...ดอกไม้ของเจ้าสาวถูกโยนมาให้เธอโดยไม่ทันรู้ตัว ด้วยความกลัวตกคานก่อนจะได้ส่งหนังไปคานส์ เธอจึง ‘ส่งต่อ’ ด้วยระบบอัตโนมัติของร่างกายที่ถูกสั่งการโดยจิตใต้สำนึกให้สิ่งที่ไม่ปรารถนาพ้นตัวทันที
ทว่า... ด้วยแรงบุพเพสันนิวาสหรือไร มิอาจรู้ได้ ดอกไม้ช่องามลอยละลิ่วปลิวไปหล่นใส่ศีรษะของเขา
คืนนั้น สารวัตรองค์อาตม์คือหนุ่มเข้มมาดขรึมสุดเท่ห์ในชุดสูทสีดำ นั่นทำให้พญามารสาวจำเขาไม่ได้เมื่อพบกันอีกครั้งในชุดเครื่องแบบตำรวจ หากนัยน์ตาคมกริบวับวาวราวกับติดอาวุธพร้อมปาดหัวใจคู่นั้น เธอจดจำได้ไม่มีวันลืม
นึกถึงความระทึกตอนที่เขาค่อยๆ ย่างเข้ามาหาเธอ ทีละก้าว... ทีละก้าว... เพื่อนำดอกไม้ช่อนั้นมาส่งคืนแล้ว ก็ยังอกใจสั่นหวั่นไหวไม่รู้หาย
เธออธิบายไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไร ทั้งหวาดกลัวอยู่เร้นลึก ทั้งประหม่าเขินอาย ทั้งตื่นเต้นยินดีราวกับหนุ่มหล่อคมเข้มคนนี้ตั้งใจซื้อดอกไม้มามอบให้เธอเพื่อบอกรักก็ไม่ปาน
หากด้วยความเป็นพญามารซึ่งอุดมไปด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดในยามคับขัน ดังเช่นตอนเป็นเด็ก เธอเผลอตดในที่สาธารณะ แต่รีบหันขวับไปมองหน้าเพื่อนข้างๆ แล้วเอานิ้วอุดจมูกเล็กๆ พร้อมทำท่ารังเกียจหน้าตาเฉย มาบัดนี้ อายุเลยวัยเบญจเพสมาหนึ่งขวบปีแล้วก็ยังนิสัยไม่เปลี่ยน ทำเนียนชี้ไปทางเจ้าสาว ราวกับดอกไม้นี้ถูกโยนลงมาจากบนเวทีส่งตรงถึงเขา
แต่มีหรือ ที่คนอย่างองค์อาตม์จะยอมเชื่อ ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการสัมผัสกับเหล่าร้ายมาตลอดอายุงาน แค่เธออ้าปาก เขาก็เห็นทะลุเลยลงไปถึงทวารไหนๆ แถมยังมีพยานปากหลายร้อยชีวิตอีกทั้งงานที่พร้อมใจกันชี้ตัวคนร้ายเป็นจุดเดียว
กรี๊ดดด!!! เขาเป็นตำรวจหรือนี่... มิน่าเล่า เธอจึงว่าเขาคุ้นหน้านัก
“ฉันไม่แปลกใจเลยที่กล่องบ้าๆ นี่เป็นฝีมือเธอ...”
“ไม่นะคะ... ไม่ใช่ฝีมือฉันสักหน่อย” ...ฝีมือทีมงานทำพร็อพต่างหาก พญานึกต่อในใจ เธอแค่สั่งเขาทำเท่านั้นเอง
“ถ้าไม่ใช่ฝีมือเธอ งั้นก็เป็นแผนการร้ายสุดพิเรนของเธอ?”
อ๋อย... ทำไมต้องรู้ทันด้วยนะ? แต่เรื่องลื่นไหลอย่ามาดูถูกพญามารสาวคนนี้เลยเชียว
“ไม่ใช่แผนการร้ายพิเรนอะไรของฉันด้วยค่ะ” ...แผนการประหยัดงบสร้างหนังต่างหาก
“เดี๋ยวฉันจะส่งหลักฐานพยานวัตถุไปตรวจสอบ
”
ข้อนี้นางสาวพญาไม่กลัว รับรองได้ว่าบนกล่องหัวใจนี้ไม่มีรอยนิ้วมือเธอ!
“...ทั้งหมด!” ว่าแล้วมือใหญ่แข็งแรงก็แหวกพุ่มไม้แล้วคว้าเอาอุปกรณ์หากินของผู้กำกับมือใหม่ออกมายกเช็ต!
ตาย! ตาย! ตายแล้ว!!!
พญามอง ARRI Alexa
กล้องคู่ชีพระบบดิจิตอลรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งเธอถอยมาในราคาสองล้านกว่าบาทตาละห้อย มันเป็นของรักของหวงที่สุดในชีวิตเธอ ตื้อขอตังค์พ่อแม่ไม่ให้ พี่ชายก็ใจร้ายไม่ช่วย เลยต้องแอบๆ อ้อนขอยืมพี่สะใภ้ด้วยการจับหลานรักตัวน้อยๆ มาเรียกค่าไถ่ กว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็น นี่ยังไม่ได้เริ่มผ่อนคืนเลย หากต้องถูกเขาริบไป ให้แลกกับอะไรเธอก็ยอม!
อย่าว่าแต่... ขาตั้งกล้อง และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายถูกเขาทะยอยขนออกมาเรียงราย...
“ฮึ! ยังจะเถียงอีกว่าไม่ใช่แผนก่อการร้ายของเธอ ถ้าเธอไม่รู้มาก่อนว่าระเบิดนั่นเป็นของปลอม เธอยังจะใจเย็นแอบซุ่มถ่ายอะไรอยู่ในพุ่มไม้นี่หรือ?”
เขาช่างวิเคราะห์พฤติกรรมคนร้ายได้อย่างชาญฉลาดยิ่งนัก แต่ตอนนี้มิใช่เวลามัวนั่งชื่นชมเขา เธอต้องรีบไหล...
“ฉันก็ว่าจะรีบหนี แต่พอดีเห็นคุณตำรวจมา เลยอยากเก็บภาพคนหล่อ เอ้ย... เก็บภาพการกู้ระเบิดน่ะค่ะ”
สารวัตรหนุ่มฟังคำแก้ตัวของคนร้ายแล้วเกิดอาการมึนหัว รู้สึกเหมือนเธอเป็นนางพญาผึ้งตัวน้อยบินฉวัดเฉวียนไปมาอยู่เหนือศีรษะเขา อยากจะตีให้ตาย แต่ก็... ทำไม่ลง หากจะปล่อยให้แม่ตัวดีบินวนเวียนชวนปวดเศียรเวียนเกล้าไปเรื่อยๆ ล่ะก็ ไม่มีทาง เขาต้องหาหลักฐานมัดตัวให้แน่นแบบดิ้นหนีไม่รอด
“นี่อะไร?” เขาหยิบ Slate
สเลทขึ้นมา
มันคือ แผ่นกระดานสีขาวดำที่เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับฉากที่ถ่ายทำ มีก้านอยู่ด้านบนไว้ตีให้เกิดเสียง ใช้ถือไว้หน้ากล้อง ให้ภาพสเลทเป็นเฟรมแรก เพื่อประโยชน์ในการทำงานขั้นตอนต่อๆ ไป ซึ่งถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์
“พญาโปรดักชัน... ซีน 23 ระเบิด... คัท 7
เทค 1...” เขาอ่านรายละเอียดบนสเลทในมือ แล้วหันมายิ้มเหี้ยม “...หลักฐานมัดตัวคนร้ายชิ้นสำคัญ หรือนี่ยังไม่ชัดพอที่จะระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือเธอ?”
ไม่รอให้พญามารร้ายโต้ตอบ เขาก็หยิบหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมา... กระดาษปึกใหญ่เข้าเล่มเป็นชุดๆ พิมพ์หน้าปกว่า...
บทภาพยนตร์
รักต้องตรวจ คุณตำรวจต้องรัก
ตอน ระเบิดกำเนิดรัก
สารวัตรหนุ่มพลิกเนื้อหาภายในดู จนพบใจความสำคัญ แล้วจึงอ่านออกเสียง...
“ชาวบ้านเห็นตัวเลขดิจิตอลบนกล่องรูปหัวใจสีแดงสดลดลงทุกๆ วินาที ก็พากันหนีตายจ้าละหวั่น...”
จบประโยคนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมาหรี่ตาคมเฉียบถามเสียงเรียบ...
“แค่นี้ ฉันก็มีหลักฐานพอที่จะจับเธอในข้อหา ‘สร้างความแตกตื่นแก่ประชาชน ทำลายความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ’ แล้ว!”
และนั่นคือที่มาของข้อหาแรก!!!
ส่วนอีกเจ็ดข้อหาต่อๆ มา...
ติดสินบนเจ้าหน้าที่...
ด้วยความเคยชินกับการ ‘จ่ายแล้วจบ’ ...พญาเห็นว่าหลักฐานมัดตัว ก็รีบควักกระเป๋าเงินออกมา หยิบแบงค์ร้อยหนึ่งใบถ้วนสะบัดยื่นส่งให้เขาอย่างสุดแสนเสียดาย แต่ยังอุตส่าห์ฝืนปั้นใบหน้าสดใสส่งยิ้มหวานจ๋อยจีบปากน้อยๆ ประจบเสียงเจื้อยแจ้ว...
“ท่านสารวัตรคงไม่ต้องการ แต่ฉันเกรงใจ อย่างไรก็ต้องมี ‘ปัจจัย’ บ้างตามธรรมเนียมนะคะ เล็กๆ น้อยๆ เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชา อย่าปฏิเสธให้เสียน้ำใจเลยค่ะ... หุหุ”
ธนบัตรสีแดงที่มือเรียวยาวขาวผ่องของเธอเสนอมาให้เขา ทำเอาหัวใจสารวัตรหนุ่มเดือดพล่าน! เขาโมโหจนแทบจะระเบิด รู้สึกหน้ามืดเกิดอาการมันเขี้ยวอยากกัดนิ้วน้อยๆ ตรงหน้าแล้วเคี้ยวกลืนลงท้องไปในคำเดียว!
มันจะมากไปแล้ว เธอกล้าบังอาจดูถูกเขา!
สิ่งที่เขาเกลียดที่สุด... คอรัปชั่น หรือที่ศัพท์ชาวบ้านเรียก ‘ใต้โต๊ะ’ !!!
‘ใต้โต๊ะ’ กลายเป็น ‘เรื่องปกติ’ ของค่านิยมในสังคมไทยตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ รู้แต่ว่า มันมีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ระดับชาติ และประชาชนก็ชาชินกับมันราวกับรู้เห็นเป็นใจ
หากคนอย่างสารวัตรองค์อาตม์... ตำรวจไทยผู้มีจิตปณิธานอันแรงกล้า เรื่องใต้โต๊ะ เขาไม่เคยแตะ
มิใช่กลัว ป.ป.ช. หรือหน่วยงานใดๆ แต่มันมาจากหัวใจที่หล่อเลี้ยงด้วยเลือดผู้พิทักษ์สัติราษฏร์อันเข้มข้น
ตระกูล ‘ชาติชูชัย’ ของเขานับเป็นตระกูลเก่าแก่แต่โบราณ ครั้งเจ้าคุณทวดลงมาล้วนเป็นตำรวจหรือไม่ก็ทหาร สรุปว่าเป็นคนในเครื่องแบบกันหมดทั้งบ้านมาหลายชั่วคน
และวีรบุรุษในดวงใจผู้มีอิทธิพลกับเขามากที่สุดนั้น ก็คือบิดาของเขา... อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนดัง เจ้าของภาพพจน์ผู้ใหญ่ใจซื่อมือสะอาด
หากแล้ว... เขากลับต้องอกหักเพราะรักพ่อ หมดศรัทธาในตัวบิดา เมื่อพบเงินสดๆ กว่าพันล้านบาทในบ้านตัวเอง
นี่หรือที่พ่ออ้างว่า บ้านเรารวยด้วยมรดกเก่า? แล้วเงินเป็นปึกๆ ในกระเป๋าเดินทางใบใหม่เอี่ยมเหล่านั้นเล่า มันมาจากไหนอย่างไร?
ลำพังเงินบำนาญข้าราชการเกษียณฯ ก็แค่ไม่กี่หมื่นบาท ขนาดผบ.ตร. ข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจเอก ขณะอยู่ในตำแหน่งมีอัตราเงินเดือนอยู่ที่ 80,000 บาท ค่าตอบแทนอีก 30,000 บาท รวมแล้ว มีรายได้ 110,000 บาทต่อเดือน ต้องทำงานกี่เดือนจึงจะมีเงินพันกว่าล้าน?
คำตอบคือ... 10,000 เดือน หรือ เกือบพันปี!
“พ่อทำงานมาพันปีเลยหรือ ถึงได้มีเงินเก็บมากมายขนาดนี้?” คนตรงอย่างองค์อาตม์ยังแอบหวังว่าพ่อของเขาจะเป็นคนดี แม้ความหวังนั้นจะริบหรี่เพียงใด
หรือว่าจริงๆ เขาไม่ได้มีสายเลือดตำรวจหรอก แต่เป็นแวมไพร์?
“ฉันแก่ปูนนี้แล้ว จะเอาเงินไปทำไมมากมาย... ที่ฉันทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อแกนะ... ไอ้อาตม์!”
“ไม่! ผมไม่ต้องการ... เงินสกปรกของพ่อ พ่อเอาลงโลงไปด้วยก็แล้วกัน ใช้คลุมศพแทนธงชาติเยี่ยงวีรบุรุษผู้กล้า... กล้าโกงประชาชน!”
“ไอ้อาตม์!!!”
“ในฐานะลูกชายคนเดียวของพ่อ ผมขอเตือนให้พ่อจัดการส่งมันคืนไปสู่ที่ชอบๆ ภายในสามวัน มิเช่นนั้น ผมจะจัดการกับพ่อในฐานะตำรวจไทย!”
สิ้นสุดคำพูดนั้น เขาก็ประกาศอิสรภาพ ทิ้งทรัพย์สมบัติมหาศาลพร้อมเงินสดอีกพันกว่าล้าน สละตำแหน่งทายาทท่านผบ.ตร. ออกจากคฤหาสน์หรูมาอยู่แฟลตตำรวจ!
ใครจะว่าอย่างไร เขาก็ไม่แคร์... ลาออกจาก FBI ละทิ้งตำแหน่งและเงินเดือนหลักแสนพร้อมสวัสดิการมากมาย มากินเงินเดือนตำรวจไทยหลักหมื่น เขาก็ทำได้ และทำมาแล้ว...
แม้สืบเชื้อสายตระกูลตำรวจไทยแท้ๆ แต่องค์อาตม์กลับถือสองสัญชาติ เขาเกิดในสหรัฐฯ มีมารดาเป็นคนไทยในอเมริกา พบรักกับบิดาของเขาระหว่างศึกษาอยู่ต่างแดน จนคลอดลูกชายแล้วค่อยพากันย้ายกลับเมืองไทยในขณะที่เขาอายุได้ไม่ถึงสองปี
พอเขาเรียนจบชั้นมัธยมต้น ก็ถูกส่งกลับไปอยู่กับคุณตาคุณยายซึ่งทำธุรกิจอยู่แคลิฟอร์เนียเพื่อเรียนต่อจนจบปริญญาด้านวิศวกรรมศาสตร์จากเบิร์กลีย์
ด้วยความที่เขามีความฝันอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก เมื่อ FBI (Federal Bureau of Investigation) รับสมัครบัณฑิตซึ่งจบจากคณะวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และกฎหมาย ที่มีคะแนน GPA 3.00 ขึ้นไปเข้าอบรมในสถาบัน
ภายหลังผ่านการอบรมแล้ว เขาก็เข้าทำงานในตำแหน่ง Special Agent รับผิดชอบคดีอาชญากรรมที่ส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ และเนื่องจากมีความสามารถและสนใจศึกษาเกี่ยวอาวุธต่างๆ เกือบทุกประเภท อาร์เธอร์จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านอาวุธและวัตถุระเบิด แม้จะมีความสุขกับงาน หากยังมีสิ่งหนึ่งที่เขาคาใจ...
FBI ไม่ใช่ ‘ตำรวจ’ เป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเสมือนตำรวจ เฉพาะคดีพิเศษซึ่งใหญ่ระดับชาติ ท้าทายความสามารถยิ่งกว่า ทว่า... ไม่มียศ... ไม่สวมเครื่องแบบ...
ย้อนกลับมาดูว่า ตำรวจในฝันของเขาคือใคร... พ่อ...
รูปพ่อในเครื่องแบบพลตำรวจเอกเต็มยศช่างดูสง่างามเหลือเกินในความรู้สึกของเขา หากดาว มงกุฎ และช่อชัยพฤกษ์ที่บ่า ก็ยังไม่น่าเลื่อมใสศรัทธาเท่ากับชื่อเสียงอันดีงาม
ตำรวจไทยใจซื่อมือสะอาดมากความสามารถ
ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจ... FBI หรือจะสู้ ‘ตำรวจไทย’ ได้? ...มิสู้กลับบ้านไปรับราชการทำงานรับใช้ประชาชนคนไทยด้วยกันดีกว่า
ถึงเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกามาหลายปี เกือบจะครึ่งชีวิตก็ว่าได้ ทั้งยังถือสัญชาติอเมริกันด้วย แต่อาร์เธอร์... ‘องค์อาตม์ ชาติชูชัย’ ถูกสอนให้เป็น ‘คนไทย’ และ ‘รักชาติยิ่งชีพ’ !
หากรักชาติก็ส่วนรักชาติ... ระบบราชการน่ารักแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง!
“อะไรนะ... ยังใช้ดินสอไม้แบบเหลากบสเก็ตรูปหน้าคนร้ายตามคำบอกเล่าของผู้เสียหายอยู่อีกหรือ?” องค์อาตม์ดูภาพวาดดินสอบนกระดาษเหมือนที่เห็นในหนังจีนฮ่องเต้ให้ทางการติดประกาศตามตลาดแล้วขมวดคิ้ว เขานั่งไทม์แมชชีนย้อนยุคมาทำงานหรือนี่?
“เหตุเกิดกลางสี่แยก ทำไมไม่หารูปจากกล้องวงจรปิดช่วงเวลาที่เกิดเหตุ แล้วส่งไฟล์ภาพไปค้นในระบบ Identification record ล่ะ?” เขาถามร้อยเวร
“เอ่อ... มันคืออะไรครับท่านสารวัตร?” ผู้หมวดงง
“ก็ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ประมวลผลเปรียบเทียบจากฐานข้อมูลของหน่วยงานกลาง เพื่อหาตัวคนร้ายไงเล่า” เขาเฉลย
“อ้อ... คอมพิวเตอร์ทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรือครับ เราเอาไว้ใช้พิมพ์สำนวนกับเล่นเกมส์ แหะๆ... แต่ตอนนี้จอเสียไปสามเครื่อง ผมทำเรื่องขอขึ้นไปตั้งนานแล้ว เขายังไม่ส่งเครื่องใหม่ลงมาให้ เลยต้องใช้พิมพ์ดีดไปก่อน”
FBI เก่าเห็นพิมพ์ดีดรุ่นพระเจ้าเหาที่ร้อยแวรนั่งพิมพ์เสียงเปาะแปะๆ แล้วอึ้ง
“ที่สี่แยกนี้ก็ไม่มีกล้องวงจรปิดด้วยครับ” จ่าได้ยินผู้หมวดกับสารวัตรคุยกันก็เข้ามาแจม
“อะไรกัน ผมเห็นมีกล้องติดอยู่ที่เสาไฟตั้งหลายตัว” สารวัตรหนุ่มแย้ง
“นั่นเราติดหลอกๆ ครับ ประชาชนเห็นแล้วคิดว่ามีกล้องจะได้ไม่กล้าทำผิดกฏจราจร”
เห็นสีหน้า ‘ท่านสารวัตรเด็กนอก’ แล้วจ่าตำรวจผู้มากประสบการณ์ก็ยิ้มเอ็นดู คุณหนูลูกผบ.ตร.รู้จักความเป็นไทยน้อยไปแล้ว
“เรายังมีรูปตำรวจตัวเท่าจริงตั้งไว้ตามจุดต่างๆ ไว้ขู่ประชาชนไม่ให้ทำผิดกฎหมายด้วยนะครับ บางสน.งบเยอะหน่อย ทำเป็นรูปปั้นเหมือนจริงด้วย ไม่รู้เอาใครเป็นนายแบบ หล่อสู้ท่านสารวัตรก็ไม่ได้!” จ่าได้ทีแอบประจบนาย
ตกลงประชาชนประเทศนี้เป็นอีกาหรือ ถึงได้ทำหุ้นไล่กามาหลอก?
“ผมว่า เราคงได้ไอเดียมาจากฝรั่ง”
“หา???” FBI เก่ายืนยัน “ไม่มีนะ... ฝรั่งไม่เคยทำอะไรแบบนี้”
“ก็แมคโดนัลกับผู้พันเคเอฟซีไงครับ ตั้งเด่อยู่หน้าร้าน เราเลยตั้งเด่หน้าป้อมบ้าง ไม่ให้น้อยหน้าเขา” จ่าก็... ว่าไปโน่นนน...!
แต่ที่ทำให้เขาทึ่ง... รูปสเก็ตดินสอเหลากบนั้น จับผู้ร้ายได้จริงๆ ด้วย แถมผู้ร้ายที่จับมาได้ ยังหน้าตาเหมือนในรูปวาดเป๊ะอีกต่างหาก!
ตำรวจไทยทำได้!!!
FBI สู้ไหวหรือ? ...สุดไฮเทคมาเจอภูมิปัญญาโปลิดไทยเข้าไป!
เนื่องจากงบน้อยและ ‘รอยรั่ว’ ในระบบราชการ เครื่องมือไฮเทคใดล้วนไม่ต้องพูดถึง เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการจึงต้องใช้อุปกรณ์เท่าที่มีอย่างสุดกำลังความสามารถ หลายๆ อย่างก็ซื้อหากันเอง
แม้แต่อาวุธคู่ชีพอย่างปืนพกและกระสุน ตำรวจส่วนมากไม่ใช้ของทางการ เพราะคุณภาพที่ได้มาไม่คุ้มค่าความรับผิดชอบต่อทรัพย์สินราชการ เข้าทำงานวันแรก ก็เสียค่าใช้จ่ายมากมาย แค่ตัดเครื่องแบบก็ปาเข้าไปเท่าไรแล้ว...ยังมีโทรศัพท์มือถือ... โน๊ตบุ๊ค... พาหนะ
เงินเดือนตำรวจจะเหลือเก็บหรือ?
ใครบ้านรวยก็สบายไป แต่ถ้าไม่ ก็เป็นหนี้เป็นสินต้องผ่อนใช้ไปตามระเบียบ ทำให้ต้องตั้งด่าน... เอ้ย ตั้งหน้าตั้งตาหารายได้เสริมกันจนประชาชนเห็นชินตาเสียแล้ว
พอตำแหน่งใหญ่ขึ้นมา ก็กลายเป็น ‘เพื่อนรักมาเฟีย’ ช่วยเฮียคุมบ่อน คุมซ่อง ติดเป็นภาพพจน์ตำรวจในสังคมสมัยนี้ ยิ่งระดับผู้บริหาร ก็ยิ่งมีโอกาสในการหารายได้ใต้โต๊ะ... เกิดเป็น ‘รอยรั่ว’ ในระบบ วนเวียนเป็นวัฏจักร
ณ ที่ไหนๆ ในโลกนี้ ก็มีทั้งคนดีและเลวปะปนกันไป คอรัปชั่นไม่ใช่ลิขสิทธิ์ของคนไทย ถึงจะได้มีที่สยามประเทศเพียงแห่งเดียว เพียงแต่ที่อื่น เขาแบ่งแยกถูกผิดชัดเจน มิใช่ตำรวจกับนักเลงแยกกันไม่ออก ประชาชนเห็นใต้โต๊ะเป็นเพียง ‘พฤติกรรมธรรมชาติราชการ’ อย่างพี่ไทยเรา
ยอดตำรวจผู้เปี่ยมด้วยอุดมการณ์อย่างสารวัตรองค์อาตม์ แม้เป็นที่เคารพเลื่อมใส หากกลับสร้างความเกริ่งเกรงให้ใครๆ รู้สึกขยาดเขาตั้งแต่เจ้านายยันไปจนถึงผู้ใต้บังคับบัญชา... อย่าให้เขาจับได้เลยเชียวว่าใครแอบกินบ้างโกงเมือง เขาไม่เอาไว้ ดูอย่างผู้กองเต๋ากับหมวดก้องลูกน้องเก่าของเขานั่นไง โดนดีไปแล้ว
แต่ถึงอย่างไร อดีต FBI ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบไทยๆ บ้าง บางสิ่งบางอย่างสร้างความแปลกใจ... บ้างก็ต้องทำใจ... และอีกหลายครั้ง ซึ้งน้ำใจ...
โดยเฉพาะ ‘น้ำใจไทยๆ’ ของชาวบ้านร้านตลาดที่มีให้ ช่วยเป็นกำลังใจแก่เขา...
คุณป้าขายน้ำหวานหน้าป้ายรถเมล์คคยมาร้องห่มร้องไห้ที่โรงพัก แจ้งความว่าหลานแกหายตัวไปสองวันแล้ว แต่ร้อยเวรยังไม่ว่างสำหรับเรื่องเล็กๆ เพราะ กำลังทำคดีใหญ่ รถเบนซ์เฉี่ยวบีเอ็มเป็นรอยถลอกที่กันชน
สารวัตรหนุ่มรู้เรื่องเข้าก็ด่า ‘ไอ้(ร้อย)เวร’ เห็นทรัพย์สินมีค่ากว่าชีวิตคนได้อย่างไร มิน่าเล่า ประเทศไทยจึงเป็นประเทศเดียว ที่ชาวบ้านวิ่งไปร้องทุกข์กับ ‘สถานีโทรทัศน์’ แทนที่จะมา ‘สถานีตำรวจ’ ผู้หมวดโดนนักอ่านข่าวแย่งบทพระเอก!
ว่าแล้วองค์อาตม์ก็รีบสั่งการช่วยป้าน้ำหวานตามหาหลาน ในที่สุดก็พบเด็กน้อยเล่นซุกซนจนหัวไปติดอยู่ในลูกกรงรั้วบ้านร้างสุดซอยเปลี่ยว หาทางออกไม่ได้ อดข้าวร้องไห้มาตลอดสองวันจนสลบไป ต้องหาช่างช่วยกันเลื่อยเหล็กพาเด็กน้อยออกมา
หลังจากนั้นมา ป้าเห็นสารวัตรหนุ่มสุดหล่อเดินผ่านแผงน้ำหวานทีไร เป็นต้องยิ้มหน้าบานกวักมือเรียกเขาทุกครั้ง...
เขาไม่ใช่ตำรวจตรวจตลาดเพื่อเดินกินบุปเฟต์ฟรี แม้มีเงินไม่มาก ลำพังแค่ค่าครองชีพหนุ่มโสดก็แทบไม่เหลือแล้ว ยังมีซองผ้าป่า จ่าขอยืม หมวดแต่งงาน นายขึ้นบ้านใหม่ และเทศกาลงานสารพัด หากเขาก็ไม่เคยไถชาวบ้าน กินเท่าไร จ่ายเท่านั้น แต่ตำแหน่งขวัญใจประชาอย่างเขา ชาวบ้านให้ด้วยน้ำใจจริงๆ ไม่รับก็ไม่ได้
“โอเลี้ยงเย็นๆ สักถุงไหมค้า ท่านสารวัตร”
องค์อาตม์แม้มาดเข้ม แต่เขาไม่ชอบกาแฟ เมื่อกวาดตามองบนรถเข็นที่เต็มไปด้วยโถบรรจุเครื่องดื่มหลายสีแล้ว เขาก็ตัดสินใจเลือกสีชมพู...
“ขอเป็น ‘นมชมพู’ ดีกว่าครับ”
เนื่องจากไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน จนลืมไปแล้วว่านมสีชมพูหวาน ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า ‘นมเย็น’! ไม่นึกว่า มันจะกลายเป็นเรื่องฮากันทั้งบาง!
ก็เขาเห็นมันเป็นสีชมพูจริงๆ นี่นา!
ที่ขายหน้ากว่านั้น ท่านสารวัตรยังบอกป้าน้ำหวานด้วยว่า...
“ขอนมขาวใส่หน้าเยอะๆ นะครับ”
แล้วชาวบ้านก็เม้ากันให้สนั่นว่า ท่านสารวัตรชอบดูด ‘นมชมพูหน้าขาว’ ...ด้วยความรักและเคารพอย่างสูง!
ความคิดเห็น