ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสัวสองหน้า

    ลำดับตอนที่ #9 : ยิ่งยื้อยิ่งหนี

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 56


    เจ้าสัวสองหน้า

    ตอนที่ ๙ ยิ่งยื้อยิ่งหนี

     

                    รังสฤษฏิ์ควบรถสปอร์ตคันงาม  ตระเวนไปตามแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี  กินดื่ม…ฟังเพลง…เต้นรำ โดยหวัง

    สลัดความกลัดกลุ้มภายในใจให้จางหาย  ทั้งเรื่องป๊า…เรื่องปัญหาของรดา  จนกระทั่งค่อยๆ ประคองสติที่เหลืออยู่น้อย

    นิด เดินทางมาถึงที่หมายสุดท้าย คือ บ้านของกันตพงศ์อย่างปลอดภัย

                    “เฮ้ย…มาอะไรป่านนี้เนี่ย”

                    กันตพงศ์…เดินออกมาเปิดประตูรถ  ประคองเพื่อนรักเข้ามาในห้องรับแขก ภายหลังถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกให้เขา

    ลุกขึ้นจากที่นอน

                    “รดา…รดาอยู่ป่าวเพื่อน” รังสฤษฏิ์พูดอย่างคนกำลังเมาจัด

                    “อะไรของแกวะ” กันตพงศ์วางร่างสูงใหญ่ลงบนโซฟาตัวยาว “โหย…เหม็นเหล้า!  เกิดเฮี้ยนอะไร…ถึงได้ดื่มหนัก

    ขนาดนี้…ดีนะที่ไม่ตายไปซะก่อนมาถึงบ้านฉันเนี่ย”

                    รังสฤษฏิ์ยังคงร้องเรียกมัทธุรดาต่อไปอีก  ยิ่งเรียกเสียงก็ยิ่งดังขึ้นทุกที

                    “เฮ้ย…เบาๆ หน่อยสิวะ เดี๋ยวชาวบ้านชาวช่อง เขาก็ตื่นขึ้นมากันหมดหรอก”

                    พูดจบ รังสฤษฏิ์ก็อาเจียนออกมา เปรอะเลอะเสื้อผ้าเต็มไปหมด กันตพงศ์บ่นอุบ ดูสารรูปว่าที่เจ้าสัวคนใหม่

    นอนหมดท่าแล้วก็ถึงกับส่ายหัว

                    “เกิดอะไรขึ้นพี่พงศ์” สมฤทัยร้องถามพี่ชาย เธอเดินลงบันไดมาพร้อมมัทธุรดา

                    “ดูเอา!”

                    สองสาวเห็นแขกผู้มาเยือนยามวิกาลแล้ว  ต่างก็เบิกตาด้วยความตกใจ

                    “หือ” สมฤทัยบีบจมูก “เจ้านายพี่กินเหล้ามานี่”

                    “ใช่น่ะสิ ไม่รู้นึกครึ้มอะไรขึ้นมา ช่วงหัวค่ำยังดีๆ อยู่เลย  ฤทัยกับรดาขึ้นไปนอนก่อนเถอะ ไว้ทางนี้พี่จัดการเอง เฮ้อ…เปื้อนไปหมดแล้วเนี่ย”

                    คนเมาที่กำลังนอนอยู่บนโซฟา…พร้ำเพ้อเรียกแต่ชื่อรดาไม่หยุด ทำให้หญิงสาวเจ้าของชื่อต้องประหลาดใจ

    เป็นอย่างยิ่ง

                    “อย่าแปลกใจ อย่าถือสาคุณหริดเขาเลยนะรดา  สงสัยสมองมันเออเร่อน่ะ ถึงได้เพ้ออะไรเรื่อยเปื่อย”

                    กันตพงศ์พูดจบก็กระพริบตาถี่ๆ เป็นเชิงส่งสัญญาณให้น้องสาว รีบพารุ่นพี่ของเธอขึ้นไปนอนให้เร็วที่สุด…

    ไอ้หริดน้า  ความจะแตกซะแล้วมั้ยนี่  ดูสิเพ้อเรียกชื่อรดาไม่หยุด แทนที่จะไปหาท่านเจ้าสัวอรุณเสียก่อน  ดันกลับวิ่งโร่

    มาหาสาวก่อนแบบนี้  เห็นทีจะโดนท่านเจ้าสัวเล่นงานกันหมดแน่ๆ เลยคราวนี้

                   

                    อาหารมื้อเช้า…ถูกจัดไว้บนโต๊ะอาหารพร้อมสรรพ  เมื่อได้เวลาเมตตาและสิริมา ก็เข้ามานั่งประจำที่

                    “ตาหริดล่ะสิ ทำไมยังไม่ลงมาอีก  ให้ใครขึ้นไปปลุกซิ  กลับบ้านแล้วจะมาทำตัวเหลวไหลไม่ได้  เพราะป๊าจะ

    เอ็ดเอา” เมตตาพูดอย่างเป็นกังวล

                    “เอ่อ…พี่หริด…ไม่…อยู่…ค่ะแม่!” สิริมาแจ้งแก่มารดาด้วยความยากเย็น

                    ไม่กี่นาทีถัดมา คุณผู้หญิงของบ้านก็เรียกตัวนายแห้วมาสอบสวน

                    “ไม่ทราบว่าไปไหนครับคุณผู้หญิง  แต่มาเซราติไม่อยู่ที่โรงรถแล้วครับ”

                    “อะไรนะ”

                    ขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียดเรื่องของรังสฤษฏิ์อยู่นั้น คนใช้ในบ้าน ก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องอาหาร

                    “ท่านเจ้าสัวอรุณ  กลับมาแล้วค่ะ”

                    เมตตาอุทานตกใจ พร้อมยกมือทาบอก “ตายแล้ว ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย  อีกสองวันถึงจะออกจากโรงบาลนี่ ตา

    หริด โอ้ยแล้วอยู่ๆ ป๊าของหนูออกมาได้ยังไง แล้วแบบนี้แม่บอกกับป๊าว่ายังไงล่ะ”

                    “อย่าเพิ่งคิดอะไรเลยค่ะแม่  รีบออกไปรับป๊าก่อนเถอะ”

                    เมตตารีบลุกจากที่ “สิ แม่จะพยายามให้ป๊าไปพักที่ห้องก่อนนะลูก  ขืนให้เข้ามาตอนนี้มีหวัง ได้ถูกสอบสวน

    หนักแน่ๆ”

                    แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร  เจ้าสัวอรุณก็เดินตัวปลิวเข้ามาในห้องอาหารเสียแล้ว

                    “คุณพี่!”

     

                    เจ้าสัวอรุณ…โกรธจัดจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่  ประมุขของบ้านเอามือปัดแก้วน้ำตรงหน้าหล่นลงกับพื้น

    แตกกระจาย

                    “ไอ้ลูกไม่รักดี หือ…หือ” ชายสูงวัยเข็ดเคี้ยวเคี้ยวฟัน “เมื่อคืนมันพาใครมาร่วมงานเลี้ยง ฉันรู้หมดแล้ว  แล้วนี่

    มันยังหายหัวออกไปอีก  มัน…มันกล้าท้าทายฉันถึงขนาดนี้เลยเหรอ เรียนจบมันก็ไม่ยอมกลับเมืองไทย  คราวนี้พอมัน

    กลับมา  มันก็ไม่ยอมโผล่หน้าไปหาฉันที่กำลังนอนเจ็บป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลอีก  ไอ้ลูกเวร ไอ้ลูกทรพี”

                    “เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณพี่”

    ยัยคุณหญิงร่มแก้ว  นี่หล่อนถือวิสาสะไปแจ้งคุณพี่ถึงที่โรงพยาบาลเลยเชียวหรือนี่  คุณพี่ก็รึ…ดูไม่ออกหรือยังไง

    ว่า  หล่อนต้องการจะจับลูกของเรา  เพื่อหวังเอาเงินไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง

                    “ป๊าใจเย็นๆ ก่อน คือผู้หญิงคนนั้น…”

    สิริมายังอธิบายไม่จบ เจ้าสัวอรุณก็ตวาดใส่เธอ

                    “ไม่ต้องพูด ถึงฉันไม่อยู่ ฉันก็รู้หมดแล้วว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น นี่ดีนะที่เป็นงานเลี้ยงในครอบครัว  ถ้าเกิดมีคนอื่นมา

    ร่วมด้วย เขาคงนินทาว่าไอ้หริดกับไอ้รุจา มันแย่งผู้หญิงชั้นต่ำถึงบนโต๊ะอาหาร”

                    “ก็ดีแล้วนี่คะคุณพี่…ที่คนอื่นเขาไม่รู้” เมตตาแสดงสีหน้าประชดประชันใส่สามี “เพราะถ้าคนอื่นเขารู้  มันจะเป็น

    เรื่องงามหน้าในสังคม คุณพี่ก็จำใส่ใจเอาไว้แล้วกันนะคะ”

                    ว่าแล้วเมตตาก็เดินสะบัดออกไป  สิริมาฟังถ้อยคำของแม่แล้ว ไม่เข้าใจเอาเสียเลย…เหมือนคนละเรื่องเดียวกัน

    แท้ๆ นี่แม่พูดอะไรกันเนี่ย แล้วทำไมต้องไม่พอใจถึงขนาดนี้ด้วยนะ

                    ฝ่ายเจ้าสัวอรุณ ได้ฟังคำพูดของภรรยาก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ  แต่แล้วประมุขของบ้านก็ค่อยๆ ใช้ไม้เท้ายันตัวเอง

    ขึ้นจากเก้าอี้ เร่งบอกให้คนรับใช้ไปตามรุจากับรังสฤษฏิ์ไปพบที่ห้องทำงานส่วนตัว ซึ่งอยู่ชั้นบน  พร้อมคาดโทษนายแห้ว กับเดือนเพ็ญว่าหากพารังสฤษฏิ์และรุจามาพบเขาภายในหนึ่งชั่วโมงไม่ได้  จะถูกลงโทษอย่างหนัก

                    เดือดร้อนถึงสิริมา ต้องร่วมด้วยช่วยกันตามหาบุคคลทั้งสองมาให้ได้

                    “ฉันจะลองโทรหานายพงศ์ดูเผื่อรู้ว่าพี่หริดอยู่ที่ไหน ส่วนพี่รุจาคุณแม่บ้านก็ไปตามมาก็แล้วกัน”  สิริมาหันไปพูด

    กับเดือนเพ็ญ

                    “คุณหนูเล็กคะ” เดือนเพ็ญเอ่ยสีหน้าเป็นกังวลจัด “รุจาออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืดแล้วค่ะ”

                    “ถ้าอย่างนั้นก็โทรหาสิ ให้รีบกลับมา”

                    “คือดิฉันลองโทรหาแล้ว  แต่ไม่ติด  ไม่ทราบว่าแบตหมด หรือลืมเปิดเครื่องกันแน่น่ะค่ะ” เดือนเพ็ญเร่งเอ่ย

                    “โอ้ย หรือจะมีประชุมด่วน” สิริมาหนักใจจนต้องถอนหายใจออกมา “เอาน่า…ให้มาสักคนก็ยังดี”

                    สิริมารีบต่อโทรศัพท์ถึงกันตพงศ์  พอคนปลายสายกดรับเธอก็แทบไม่ต้องพูดอะไร…

                    “หริดอยู่ที่นี่ครับเจ้” กันตพงศ์ตอบยียวน

                “ถ้าอย่างนั้นบอกที  ให้รีบกลับมาที่บ้านเดี๋ยวนี้”

                “เห็นจะไม่ได้หรอก”

                “นี่นายพงศ์ นายจะเอายังไงกับฉันเนี่ย รู้ไหมว่าตอนนี้ป๊าฉันอยู่ที่บ้าน อาละวาดเรียกหาพี่หริดอยู่เมื่อตะกี้นี้เอง

    อย่ามากวนฉันได้ไหม”

                “ผมไม่ได้กวนอาเจ้หรอกนะ  แต่ตอนนี้ให้กระทืบมัน มันก็ไม่ตื่นหรอก เพราะมันเมาผลอยหลับลึกอยู่กับผมเนี่ย!”

     

                    พอสิริมารู้เรื่อง เธอก็รีบให้นายแห้วขับรถพาเธอไปที่บ้านกันตพงศ์ทันที  พอไปถึงเธอก็เห็นพี่ชายกำลังนอนหลับ

    ไหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงนอนในห้องของกันตพงศ์

                    “ขอบใจมากนะ ที่นายช่วยดูแลพี่หริด”

                    “ไม่เป็นไรครับคุณผู้หญิง” กันตพงศ์นั่งง่วงหลังพิงตู้เสื้อผ้าอยู่ใกล้ๆ สิริมา “แต่ตอนนี้คุณมาแล้ว  ผมขอนอนก่อน

    น้า พี่ใคร…คนนั้นก็ดูแลเอาก็แล้วกัน”

                    ว่าแล้วกันตพงศ์ก็ล้มตัวลงนอนแผ่หรากับพื้น สิริมาเห็นเข้าก็โวยวาย

                    “ลุกขึ้นมาก่อนนายพงศ์” สิริมารีบเดินไปเขย่าแขนชายหนุ่ม “นี่นายจะให้ฉันอยู่ในห้องนอนผู้ชายได้ยังไง  งั้นฉัน

    ออกไปแล้วนะ”

                    กันตพงศ์ซึ่งกำลังงัวเงียด้วยความง่วง  เผลอคว้าแขนหญิงสาวไว้ สิริมาพยายามแกะออก แต่ชายหนุ่มกำต้นแขน

    เธอไว้แน่น ทำให้เสียหลัก…

                    “ว้าย”

                    ร่างบางล้มลงไปซุกกับอกของชายหนุ่ม  ขณะนั้นมัทธุรดาเดินถือกาแฟดำ เปิดประตูเข้ามาในห้องเห็นเข้า จึง

    อุทานออกมาด้วยความตกใจ

                    “ฉะ…ฉันขอโทษค่ะ  ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาเอ่อ…”

                    สิริมารีบผละจากอกชายหนุ่ม “ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ  คือ ฉันแค่เสียหลักล้มลงน่ะ”

                    พูดจบเสียงกรนของกันตพงศ์ก็ดังขึ้นคับห้อง  สองสาวซึ่งอยู่ในอาการตกใจเมื่อครู่ กลับหัวเราะขบขันไปตามๆ

    กัน  แต่แล้วสิริมาก็ทำสีหน้าจริงจังอีก

                    “เอ่อ…คุณที่ไปกินข้าวเมื่อคืนใช่ไหม” สิริมาเอ่ยถามมัทธุรดา

                    “ค่ะ”

                    “ถ้าอย่างนั้นดีเลย  รบกวนเธอช่วยฉันปลุกพี่ชายของฉันทีเถอะนะ  ฉันมีธุระด่วนต้องพาเขาไปพบป๊าที่บ้านน่ะ”

                    สองสาวช่วยกันปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากหลับใหล  แต่ปลุกเท่าไหร่รังสฤษฏิ์ก็ไม่ตื่นขึ้นมาสักที  สิริมาเหนื่อยจน

    รู้สึกปลง  จึงชวนมัทธุรดาลงไปหาเครื่องดื่มข้างล่าง

                    มัทธุรดาชงโกโก้ร้อนให้แขก  เสิร์ฟพร้อมแคร็กเกอร์สี่ห้าชิ้น  สิริมาสังเกตอาการกิริยาของหญิงสาวตรงหน้าโดย

    ละเอียดมาตั้งแต่อยู่ในห้อง  จนกระทั่งถึงบัดนี้…

                    จัดว่าเธอเป็นคนสวยมากทีเดียวนะ  มิน่าล่ะ…ถึงได้ทำให้พี่หริดกับพี่รุจา หลงรักหลงแย่งกันออกนอกหน้าขนาด

    นั้น  เอ…ดูกิริยาก็ไม่น่าจะออกไปในแนวยั่วสวาทนี่  แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ ผู้หญิงสมัยนี้ จะหวังบูชาความรักคงไม่มีแล้วล่ะ

    ไม่อย่างนั้นจะเล่นเกมปั่นหัวผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกันแบบนี้ได้ยังไง

                    “เธอชื่อรดาใช่ไหม”

                    มัทธุรดาพยักหน้าน้อยๆ “ค่ะ”

                    “ดูจากเมื่อคืน เธอรู้จักทั้งพี่รุจาผู้ช่วยป๊า และพี่ชายของฉัน” สิริมาถามคู่สนทนาเสียงเรียบ ท่าทางไว้เชิงไม่เบา

                    “สำหรับคุณรุจา ดิฉันรู้จักโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้  แต่กับท่านเจ้าสัว…”

                    “ท่านเจ้าสัว…เธอหมายถึงพี่ชายของฉันอย่างนั้นใช่ไหม” สิริมาออกอาการตกใจเล็กน้อย

                    “ที่ฉันเรียกท่านว่าเจ้าสัว  เพราะทราบมาว่า ท่านกำลังจะรับตำแหน่งเป็นประธานบริษัทคนใหม่”

                    สิริมาจะยิงคำถามถามเธออีก แต่มัทธุรดาเอ่ยขัดขึ้น

                    “ถ้าคุณจะถามฉันว่า  ไปงานเลี้ยงเมื่อคืนได้ยังไง  ฉันบอกคุณตามตรงว่า ฉันถูกบังคับกลายๆ ใจจริงฉันไม่ต้อง

    การไปที่บ้านของคุณเลย” มัทธุรดาเริ่มรู้สึกว่ากำลังถูกคู่สนทนาสอบสวน…นี่มันไม่มากไปหน่อยเหรอ  ถึงถามฉันเอาๆ

    แบบนี้  คุณคงคิดอยู่ใช่ไหม ว่าฉันกำลังจะจับพี่ชายของคุณอยู่

                    หึ…บอกมาได้ว่า  ไม่ต้องการไปร่วมงานเลี้ยง  แต่ดูเธอเตรียมตัวดียิ่งกว่าใครเสียอีกนะ  ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ไหน

    จะเครื่องเพชรที่คอ เอ๊ะ…สร้อยเพชรนั่น ราคาไม่ใช่น้อย

                    “ถ้าอย่างนั้นเธอคงรู้สึกลำบากใจมากเลยสินะ ที่ต้องร่วมกินข้าวกับครอบครัวฉัน” สิริมาประชดประชันเล็กน้อย

    “แต่เธอดูเป็นคนมีฐานะมากเลยนะ  ถ้าให้เดา ตระกูลของเธอคงทำธุรกิจใช่ไหม”

                    มัทธุรดาลำบากใจเหลือเกิน  หญิงสาวเบือนหน้าไปทางหนึ่ง ถอนหายใจยาว คิดไม่ถึงว่าน้องสาวว่าที่เจ้าสัวคน

    ใหม่คนนี้  จะปากคอจัดจ้านกับเธอได้ถึงขนาดนี้

                    “คุยอะไรกันอยู่”

                    รังสฤษฏิ์เดินลงบันไดมา ร้องถามสองสาวที่กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก  พอชายหนุ่มเดินลงมานั่งกุมขมับอยู่ที่

    โซฟารับแขก  มัทธุรดาซึ่งสีหน้าไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว  ก็รีบลุกขึ้น

                    “ขอโทษนะคะ ฉันขอตัวก่อน”

                    หญิงสาวเดินขึ้นบันได แต่ชายหนุ่มที่หน้าตาซีดเซียว กำลังนั่งเอามือกุมขมับตัวเองอยู่เรียกเธอไว้

                    “เดี๋ยวรดา…คุณจะไปไหน”

                    มัทธุรดาไม่หยุด เธอขึ้นบันไดหายลับไปอย่างรวดเร็ว  พอไปถึงห้องนอนสมฤทัย  หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปพร้อม

    กระแทกประตู…

                    ไม่น่ามาที่นี่เลย  ฉันน่าจะขอลงข้างทาง แล้วหาห้องพักรายวันอยู่ไปก่อนก็ดีหรอก จะได้ไม่ต้องอับอาย ไม่ต้องมา

    นั่งให้เขาเหน็บแนม สอบสวนต่างๆ นานาแบบนี้  ทำไมคนรวยๆ ถึงได้มีนิสัยแปลกประหลาดแบบนี้นะ  คิดจะทำอะไรก็ทำ

    เหมือนมีเงินแล้วจะทำทุกอย่างได้อย่างนั้นเหรอ  บังคับ…ต่อว่า ทั้งใช้สายตากิริยาท่าทางข่มคนอื่น  ที่เขาอยู่ต่ำต้อยกว่า

    มันสนุกนักหรือไง  ต่อไปนี้ฉันจะไม่อยู่ให้คนพวกนี้ข่มเหงได้อีก  ฉันจะไปตามทางของฉัน!

                    มัทธุรดารีบเก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็ว พอเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็รีบถือกระเป๋าเดินลง

    บันได  หวังเดินทางไปต่างจังหวัด  เพื่อสัมภาษณ์งานตามที่นายจ้างเรียกทางอินเตอร์เน็ต

                    “รดา คุณจะไปไหน” รังสฤษฏิ์ที่กำลังจิบกาแฟดำร้อนๆ เพื่อให้สร่างเมารีบหุนหันเดินเข้าไปหาหญิงสาว

                    “ขอโทษนะคะ ฉันมีธุระต้องไปทำ ฉันลาล่ะค่ะ”

                    “เดี๋ยวก่อน คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณกำลังจะไปที่ไหน  บอกผมมาสิครับ ผมจะได้ไปส่งคุณ หรือ…ไอ้พงศ์

    มันไล่คุณใช่ไหม”

                    “พอเถอะค่ะ  หยุดเสียทีเถอะ” หญิงสาวอารมณ์ขึ้น หันมองไปที่สิริมา “คุณเห็นแล้วใช่ไหมคะ ว่าฉันไม่ได้ต้อง

    การเกี่ยวข้องอะไรกับพี่ชายของคุณ”

                    เธอพูดจบก็รีบเปิดกระเป๋าถือ ส่งสร้อยเพชรน้ำงามคืนชายหนุ่ม

                    “นี่อะไรกันครับ”

                    “ของที่คุณให้ฉันใส่เมื่อคืนไงคะ  ส่วนชุดเมื่อคืน” มัทธุรดาชูถุงกระดาษให้เขาดู “ฉันจะส่งซักรีด แล้วไปรษณีย์

    มาคืนคุณก็แล้วกันนะคะ  ขอตัวล่ะค่ะ”

                    “ไม่ได้ ผมไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้นน่ะ” รังสฤษฏิ์สร่างเมาขึ้นมาทันที ชายหนุ่มแย่งสัมภาระจากมือของเธอ

                    สิริมาเห็นเข้าคงทนไม่ได้  รีบเดินมาหาพี่ชายทันที “พี่หริด นี่มันอะไรกันเนี่ย…เธอเป็นอะไรกับพี่กันแน่คะ”

                    มัทธุรดายื้อแย่งกระเป๋ากับรังสฤษฏิ์

                    “ปล่อย  ฉันบอกให้ปล่อยได้ยินไหม  คุณไม่มีสิทธิ์มาห้ามฉัน ปล่อย”

                    “ผมมีสิทธิ์ห้ามคุณสิครับ  เพราะคุณเป็นลูกจ้างของผมแล้ว  คุณถึงไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เพราะคุณต้องทำงาน

    ที่บริษัทของผม”

                    “ฉันยังไม่ได้ตกปากรับคำกับคุณทั้งนั้น  เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เพราะฉะนั้นหยุดสั่งฉันได้แล้ว”

                    รังสฤษฏิ์ไม่ยอมปล่อยมือเธอ  เขาหันไปหาสิริมา “สิใช่ไหม  สิไปพูดอะไรกับรดา  เธอถึงหุนหันจะไปแบบนี้”

                    สมฤทัยขับรถกลับมาจากตลาด เห็นเข้าก็รีบเดินเข้ามาทันที  พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอรีบขอร้องให้รังสฤษฏิ์ใจ

    เย็นๆ และปล่อยเธอก่อน

                    “พี่รดาคะ  อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยนะ  ถ้าพี่รดาไม่สบายใจที่จะอยู่ที่นี่  ฤทัยจะพาพี่ออกจากบ้านนี้ทันที”

                    มัทธุรดาพยายามสงบสติอารมณ์ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วเบือนหน้าหนีชายหนุ่มตรงหน้า  ที่ยอมหยุดฟัง

    สมฤทัย

                    “คุณหริดคะ  ขอเวลาฤทัยสักหน่อย ถ้าขืนทำแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกนะคะ  ปล่อยพี่รดาไปตามที่

    เธอต้องการเถอะนะคะ”

                    สิริมามองมัทธุรดา  รู้สึกงุนงงในท่าทีของเธอนัก…นี่แสดงว่าเธอเป็นคนที่แสนจะสำคัญของพี่หริดแน่ๆ พี่หริด

    ถึงได้ร้อนรนรั้งเธอถึงขนาดนี้  แต่เธอสำคัญยังไงล่ะ…แล้วนี่ไปพบกันตอนไหน เธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร โอ้ย…ฉันงง งง

    ไปหมดแล้ว

                    ฝ่ายรังสฤษฏิ์นั้นกำลังคิดโทษตัวเอง  ที่หุนหันแสดงตัวว่าชอบเธอก่อนถึงเวลาที่เหมาะสม  จนอาจต้องเสีย

    เธอไปในวันนี้

                    “รดา ผมขอโทษที่ทำร้ายจิตใจคุณโดยไม่ตั้งใจนะครับ  แต่ผมอยากให้คุณสงบจิตสงบใจ  แล้วลองพิจารณา

    ข้อเสนอของผมอีกครั้ง”

                    สมฤทัยขอเวลาไปเก็บของในครัว ประเดี๋ยวเธอก็รีบพามัทธุรดาไปที่รถ  แล้วขับพาเธอออกจากบ้านไปในที่สุด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×