ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสัวสองหน้า

    ลำดับตอนที่ #8 : เธอเป็นใคร

    • อัปเดตล่าสุด 1 ม.ค. 56


    เจ้าสัวสองหน้า

    ตอนที่ ๘ เธอเป็นใคร

     

                    กรุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆ กับผิวเนื้อนวลเนียนของเธอ ช่างเย้ายวนใจชายหนุ่มให้หลงใหลเคลิบเคลิ้ม จนเขาเกือบ

    เผลอใจ…ลิ้มรสสัมผัสมัน ดั่งคล้ายกับต้องมนต์สะกด!

                    รังสฤษฏิ์ถอยห่างจากร่างบาง สูดลมหายใจเข้ายาวๆ เพื่อเรียกสติ

                    “เสร็จแล้วครับคุณรดา”

                    สิ้นคำ…หญิงสาวเขยิบกายหนี หันกลับมากล่าวขอบคุณ  รังสฤษฏิ์แลเห็นผิวแก้มของเธอบ่มแดงขึ้น

                    “คุณสวยมากเลยรู้ไหมครับ” รังสฤษฏิ์ส่งสายตาวิบวับ “ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตควงคุณออกงานดินเนอร์คืนนี้นะ”

                    ว่าแล้วเขาก็ยื่นดอกกุหลาบสีแดงสดดอกใหญ่ให้เธอหนึ่งดอก หญิงสาวค่อยๆ เอื้อมมือไปรับมันอย่างช้าๆ จาก

    นั้น ชายหนุ่มก็เขยิบกายเข้าไปข้างๆ ตัวเธอ และยกข้อศอกขึ้น เพื่อให้เธอคล้องแขน แต่มัทธุรดากลับปฏิเสธด้วยการส่าย

    หน้า  ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ

                    “ขอโทษครับ ผมติดธรรมเนียมฝรั่งไปหน่อย ผู้หญิงไทยบางคนไม่ชอบถูกเนื้อต้องตัวผู้ชาย…เหมือนคุณใช่ไหม”

                    “ค่ะ…เอ่อ…ฉันว่า…เดินทางกันดีกว่าค่ะท่าน”

     

                    เวลาเดียวกันนั้น คุณหญิงร่มแก้ว ภริยาท่านรัฐมนตรีฯ พร้อมลูกสาวคนเล็กคือ “ดุจเดือน” เดินทางมาถึงบ้าน

    เจ้าสัวอรุณ เพื่อร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำ  โดยมาแบบไม่ได้รับคำเชิญ แต่บังเอิญหล่อนรู้ข่าว จากการคุยโทรศัพท์กับ

    เมตตา

                    คุณหญิงเจ้ายศเจ้าอย่างผู้นี้  พยายามจับคู่ลูกสาวกับรังสฤษฏิ์ให้จงได้  แต่เมตตาไม่ค่อยปลื้มเธอนัก ผิดกับ

    เจ้าสัวอรุณ ที่พยายามผลักดันเธอมาสักระยะหนึ่งแล้ว

                    “สวัสดีค่ะคุณพี่” เมตตาเดินมารับเธอที่รถยนต์คันหรู ซึ่งมาจอดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ “อ้าวหนูเดือนก็มา”

                    “สวัสดีค่ะคุณน้า” ดุจเดือนยกมือไหว้พร้อมก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม

                    เมตตาเห็นสองแม่ลูกแล้วรู้สึกหนักใจนัก…เพราะไม่ชอบนิสัยเจ้ายศเจ้าอย่าง อีกทั้งยังชอบเจ้ากี้เจ้าการเรื่อง

    ของเธอไม่หยุดหย่อน

                    “แหม…บ้านคุณน้องตอนค่ำนี่สวยจังนะคะ  ดูนั่นสิ” ร่มแก้วชี้มือไปที่น้ำพุหน้าอาคาร ซึ่งเปลี่ยนสีได้หลายสี

    “แหม…เหมือนสวนอัมพร” พูดแล้วหล่อนก็ยักหน้าเม้มปาก สะพายกระเป๋าหรู เดินเข้าไปในบ้านอย่างถือวิสาสะ

                    เมตตาเดินตามสองแม่ลูกเข้าบ้าน ได้ยินเสียงหล่อนติโน่นตินั่นไปทั่ว โดยเฉพาะ…

                    “ใครจัดดอกไม้ให้คุณน้องคะ”

                    เมตตาพยายามยิ้ม “พวกเด็กๆ ในบ้านช่วยกันจัดน่ะค่ะ”

                    “มิน่าล่ะ เหมือนจัดถวายศาลพระภูมิ  นี่ต้องปรับนะคะคุณน้องต้องปรับด่วน เพราะดูสิคฤหาสน์ก็ใหญ่โต

    อลังการ  แต่นั่นโอ้ย…พรมเช็ดเท้าหน้าห้องนั่นสีไม่เข้าพวก นี่…เอาดอกบัวมาจัดแจกันอีก  ที่บ้านน่ะสงวนไว้ถวาย

    พระ ถวายศาลเจ้าที่หน้าคฤหาสน์ของคุณพี่นะคะ”

                    “คือ ตาหริดชอบดอกบัวน่ะค่ะคุณพี่” เมตตาตัดบท “เชิญคุณพี่นั่งที่โถงก่อนนะคะ”

                    เมตตาผายมือเชื้อเชิญแขกให้นั่งรอที่ชุดรับแขกสไตล์หลุยหุ้มหนังสีน้ำตาลกรอบดำขริบทอง หน้าบันไดใหญ่

                    “คุณพี่จะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ ดิฉันจะได้ให้เด็กมาเสิร์ฟ”

                    “พี่ไม่รับ…ลูกเดือนล่ะคะ ดื่มน้ำส้มสักแก้วไหม” ร่มแก้วหันไปถามลูกสาว แสร้งยกนิ้วมือจับปอยผมเล่น เพื่อ

    โชว์แหวนเพชรวงใหม่ตามนิสัยขี้โอ่

                    “ไม่ดีกว่าค่ะคุณหญิงแม่  เดือนอยากเห็นพี่หริดอย่างเดียวค่ะ เพราะไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้ว คิดถึง”

                    เมตตาฝืนยิ้ม “เอ่อ ตาหริดไปบ้านเพื่อน ยังไม่กลับ…ไม่รับอะไรใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวไปอาบน้ำ

    เปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบนก่อนนะคะ”

                    คุณผู้หญิงของบ้านตัดบท รีบเดินไปที่ลิฟท์ ด้านข้างบันไดใหญ่ เพื่อทำภารกิจ ทำให้ร่มแก้วบ่นกับลูกสาวไม่

    หยุด ขณะนั้นเลิศกับ “ชลันธร” ลูกชายคนเดียวของเขา เดินเข้ามาพอดี  จึงได้ร่วมวงสนทนากันไปเรื่อยๆ ชนิด…ต่าง

    คน ต่างสวมหน้ากากเข้าหากัน

                    เวลาผ่านไปไม่นานนัก หนุ่มสาวสองคู่ เดินเข้ามาที่โถง  เมื่อรังสฤษฏิ์เห็นคนที่นั่งอยู่ก่อน  เขาก็รีบพามัทธุรดา

    กับเพื่อน หลบเข้าไปในห้องนั่งเล่น ทางประตูขวา พอทั้งหมดนั่งลง รังสฤษฏิ์ก็บ่นขึ้นทันที

                    “เฮ้อ…คู่แม่ลูกจอมยุ่งมาได้ยังไงเนี่ย  เห็นทีคืนนี้ฤกษ์จะไม่ดีซะแล้วสิ”

                    “แกคงไม่คิดหนีดินเนอร์นะเว้ยหริด” กันตพงศ์เอ่ยอย่างกังวล “ถ้าขืนแกหนีอีก มีหวังรับรองบ้านนี้ได้ลุกเป็น

    ไฟแน่ ถ้าท่านเจ้าสัวรู้เข้า”

                    “ฉันไม่หนีหรอกน่า  ผู้หญิงที่ฉันรู้จักคนนึง ยังยอมอยู่ต่อสู้กับปัญหา แล้วทำไมฉันจะต้องหนีด้วยล่ะ” ว่าแล้ว

    เขาก็หันมองมัทธุรดา ที่กำลังนั่งตัวเกร็งอยู่บนโซฟาหนานุ่ม

                    “คะ…ค่ะ อะไรนะคะ”

                    สมฤทัยคงเห็นเธอประหม่า จึงเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้ “ไม่ต้องเกร็งนะคะพี่รดา  แค่กินข้าวเท่านั้น เดี๋ยวก็เสร็จ”

                    มัทธุรดาส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้รุ่นน้อง…แค่กินข้าวเหรอฤทัย  พี่รู้สึกเกร็งเสียยิ่งกว่าไปกินข้าวตามโรงแรมหรูๆ เสียอีก

    ทำไมบ้านช่องของเจ้าสัวหนุ่มคนนี้  ถึงได้ใหญ่โตอลังการแบบนี้นะ  แล้วนี่เราต้องไปเจอพ่อแม่เขาอีก แล้วยังต้องเจอแขก

    คนไหนอีกก็ไม่รู้  รู้ไหมฤทัย…ตอนนี้พี่อยากจะออกไปให้พ้นๆ จากที่นี่เต็มทน  รู้สึกเหมือนเรากับเขา เป็นคนละชนชั้น

    คนละระดับ  จนไม่น่าจะมาร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันได้เลย

                    “คิดอะไรอยู่เหรอคุณรดา” รังสฤษฏิ์ส่งยิ้มหวานให้เธอ “เอ๊ะ…ถ้าผมฟังไม่ผิด ท้องคุณร้องแล้วด้วย”

                    “อ๋อ ฉัน…”

                    ตายแล้ว ขายหน้าเค้าจัง นี่ฉันหิวถึงขนาดนี้เลยนี่  ใช่สิ! ตั้งแต่บ่ายเรายังไม่ได้กินอะไรเลยนี่

                    รังสฤษฏิ์ต่อสายเข้าไปในห้องแม่บ้าน ประเดี๋ยวเดียว เดือนเพ็ญก็เดินเข้ามา พร้อมเสิร์ฟผลไม้แช่เย็นกับน้ำส้ม

    ให้แขก พร้อมรายงานให้เจ้านายทราบว่า คุณผู้หญิงกำลังเตรียมตัวอยู่ข้างบน

                    “ขอตัวเดี๋ยวนะครับคุณรดา คุณกินผลไม้รองท้องก่อน”

                    “จะไปไหนวะหริด แหมฉันกับฤทัยนั่งอยู่ตรงนี้ บอกแต่ว่าที่นักวิจัยคนใหม่คนเดียวเลยน้า” กันตพงศ์แซว

                    “จะขึ้นบันไดอีกฝั่งไปหาแม่หน่อย คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”

                   

                    รังสฤษฏิ์ใช้ประตูห้องนั่งเล่นอีกฝั่ง เดินออกสู่บันไดเล็ก ไม่นานนักรุจาก็เดินเข้ามา เพื่อจะเชิญทุกคนร่วมโต๊ะ

    อาหาร แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เขาก็เห็นมัทธุรดาเสียก่อน

                    “รดา…รดาจริงๆ ด้วย”

                    “ซวยแล้วสิ” กันตพงศ์รำพึงออกมา…หนึ่งหญิงสองชาย ในบ้านท่านเจ้าสัวอรุณ เฮ้อ…ทำไมตรูลืมคิดเรื่องนี้

    ไปได้น้า!

                    รุจาก้มหัวให้มัทธุรดาเล็กน้อย ก่อนนั่งลงที่โซฟาข้างๆ กับเธอ

                    “คุณรุจา…ฉันดีใจจังเลยค่ะ ที่ได้เจอคุณที่นี่”

                    “ก็ผมอยู่ที่นี่ไงครับ  นี่…คุณมากินมื้อค่ำที่นี่ใช่ไหม”

                    “ค่ะ”

                    กันตพงศ์กระแอมทีหนึ่ง…ไม่น่าเชื่อ เจ้าชายเย็นชาอย่างคุณผู้ช่วย ไหงเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้!

                    “เอ่อ…พอดีคุณหริดไปเยี่ยมผมที่บ้าน ก็เลยชวนกันมาหมดนี่เลยครับคุณผู้ช่วย”

                    “อย่างนั้นเองหรอกเหรอ” รุจาส่งยิ้มกว้างให้กันตพงศ์ แล้วหันไปหามัทธุรดาอีก “วันนี้คุณสวยมากเลยนะครับ

    ไม่เหมือนกับวันแรกที่เราเจอกัน  วันนี้คุณดูดีมากๆ”

                    สมฤทัยเอียงหน้าหาพี่ชาย “ไม่เห็นบอกฤทัยเลยว่า พี่รดากับคุณผู้ช่วยรู้จักกัน”

                    “ก็ฉันลืม…เข้าใจหรือยัง”

                    “ถ้างั้นก็ศึกชิงนางชัดๆ สิ”

                    “เออ”

     

                    ทุกคนเดินเข้าไปนั่งประจำโต๊ะรับประทานอาหารที่ทั้งยาวและใหญ่ มัทธุรดาตื่นตากับการประดับประดาในห้อง

    นี้เป็นอย่างมาก  ทุกอย่างถูกจัดแต่งในโทนสีครีม เหนือโต๊ะอาหารเป็นแชงกาเรียแบบเชิงเทียน ถึงสามช่อ ต่างประดับด้วย

    คริสตัลระยิบระยับ ขอบโต๊ะ และมุมต่างๆ ประดับด้วยบัวลายคลาสิค เข้ากันดีกับผ้าม่านและเฟอนิเจอร์สไตล์หลุย

                    เมื่อทุกคนเข้านั่งประจำที่แล้ว รุจาจึงรีบเชิญให้มัทธุรดานั่งเก้าอี้ข้างกับเขา ซึ่งมัทธุรดาก็ยินดีอย่างยิ่ง

                    เมตตา รังสฤษฏิ์และสิริมา มาถึงในอีกห้านาทีถัดมา  อาหารเลิศรสถูกเสิร์ฟวางไว้กลางโต๊ะสามชุด ประกอบด้วย

    ห่อหมกมะพร้าวอ่อน ปลาแซลมอนอบซอสฝรั่งเศล แกงเขียวหวานหมู กุ้งแม่น้ำสามรส ซี่โครงหมูอบราดซอสน้ำแดง และ

    ผัดไก่เม็ดมะม่วงหิมพานต์

                    ระหว่างการรับประทาน…รังสฤษฏิ์แทบไม่สนใจเมนูโปรดของเขาบนโต๊ะอาหารเลยสักนิด สายตาของเขาจับจ้อง

    ไปที่มัทธุรดา ซึ่งนั่งอยู่เยื้องกับเขา จนไม่สนใจดุจเดือนที่นั่งหน้าเสียอยู่ข้างๆ ตัวเขาเลยสักนิด

                    “นี่หลาน ช่วยตักอาหารให้หนูเดือนหน่อยสิคะ พอดีลูกเดือนตัวเล็ก เอื้อมไม่ถนัด”

                    รังสฤษฏิ์พยายามระงับอารมณ์ รีบตักห่อหมกในลูกมะพร้าวอ่อนเสียคำใหญ่ แล้วใส่ลงในจานของดุจเดือน

                    “อุ้ยตาย…น่าเอ็นดู หลานหริดไม่ต้องตักคำใหญ่ขนาดนั้นก็ได้นี่คะ”

                    “หริดเขาคงอยากให้หนูดุจเดือนรับประทานเยอะๆ นะครับ” เลิศเอ่ย

                    ชลันธร เฝ้าสังเกตอาการรังสฤษฏิ์อยู่นานแล้ว จึงเอ่ยแซวเขากลางโต๊ะอาหาร “คงไม่ละมั้งครับ  พี่หริดคงกำลัง

    มองดอกไม้สวยๆ ก็เลยกะผิดไปนิดเดียว”

                    ว่าแล้วชลันธรก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ตามประสาคนไม่ค่อยมีมารยาทที่ดี

                    “เอ่อ พูดอะไรแบบนั้น” เลิศเอ็ดลูกชาย “หริด อาขอโทษแทนน้องด้วยนะ ธรมันชอบแซวเรื่อยเปื่อย”

                    “ไม่เป็นไรครับ”

                    เมตตาเห็นหน้าลูกชายไม่ค่อยดี  จึงรีบเอ่ยเพื่อสร้างบรรยากาศ “แหม สองคนนี้เค้าวิ่งเล่น กันตั้งแต่เด็กๆ ชอบ

    แซวกันไปเรื่อย ตามประสาผู้ชายที่สนิทกันน่ะค่ะ”

                    “เหรอคะ” ร่มแก้วเอ่ยรับ มองจ้องไปที่มัทธุรดา ซึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอย่างสุภาพ “ว่าแต่ว่า…วันนี้

    มีคนที่ฉันไม่เคยเห็นหน้าอยู่คนนึง…เธอเป็นใคร ช่วยแนะนำตัวให้เป็นที่รู้จักหน่อยสิ”

                    มัทธุรดารีบวางช้อน เช็ดปากเล็กน้อย “ฉัน…เอ่อ”

                    ทันใดนั้น รังสฤษฏิ์และรุจาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน

                    “เธอเป็นเพื่อนของผมเอง…”              

                    ทุกคนหยุดรับประทานอาหาร บรรยากาศภายในห้องเงียบสนิท!!!

                    สองหนุ่มมองจ้องหน้า ต่างคนต่างคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาแบบนี้  ร่มแก้วเช็ดปากวางผ้าเช็ดหน้าลง

    แล้วสะบัดหน้าหนีอย่างไม่พอใจเอาเสียเลย

                    “อย่างนั้นเองน่ะเหรอ”

                    เมตตามองหน้าลูกชาย สีหน้าของเธอแสดงอาการไม่ค่อยพอใจรังสฤษฏิ์นัก แต่ข่มใจยิ้มแย้ม

                    “หยุดทำไมล่ะคะ ทานต่อคะทาน เดี๋ยวยังมีของหวานกับผลไม้อีก…ใช่ไหมเดือนเพ็ญ”

                    เดือนเพ็ญที่กำลังยืนอยู่ใกล้ๆ เมตตารีบเอ่ยรับ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น  ผู้หญิงคนนั้น เป็นใครกันนะ ถึงสามารถทำให้

    ผู้ชายสองคน เอ่ยแทนเธอได้ถึงขนาดนี้

                    “ดิฉัน…ขอตัวก่อนนะคะ” มัทธุรดาท่าทางประหม่าจัด รีบลุกเดินออกจากห้องไป

                    สมฤทัยเป็นห่วงรุ่นพี่ ก็รีบลุกเดินตามไปอีกคน  ส่วนสองหนุ่มผู้สร้างประเด็น ถูกมารดาของแต่ละฝ่ายปรามด้วย

    สายตา จึงยังคงนั่งอยู่ไม่ได้ลุกออกไป

                    เลิศยิ้มมุมปาก ท่าทางสนุกสนานและสะใจที่เกิดเรื่องบนโต๊ะอาหาร ชลันธรเริ่มลงมือกินอาหารอร่อยต่อไป  ส่วน

    สิริมาขออนุญาตมารดา แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอีกคน

                   

                    มัทธุรดาออกไปยืนอยู่ที่น้ำพุหน้าตึกใหญ่  รู้สึกอายและสับสนเป็นอย่างยิ่ง  ที่ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของคน

    แปลกหน้า

                    “พี่รดา” สมฤทัยเดินไปยืนข้างๆ กับเธอ “อย่าคิดมากเลยนะคะ”

                    มัทธุรดายกมือกอดอก “ก็อยากทำให้ได้เหมือนกันนะฤทัย”

                    สิริมาแอบมองหญิงสาวสองคนยืนคุยอยู่หน้าน้ำพุ…เอ…ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันนะ  แล้วไปรู้จักพี่หริดกับพี่รุจา

    ตอนไหนกันเนี่ย  ที่สำคัญ…มากินข้าวที่บ้านเราได้ยังไงกัน  นี่แสดงว่า เธอน่าจะเป็นคนสำคัญของ…ของใครล่ะ หือ…หรือ

    ว่าสำคัญสำหรับพี่ทั้งสองคน

                    “ทำอะไรอยู่คุณหนูเล็ก”

                    “ว้าย” สิริมายกมือทาบอก พอหันไปก็เห็นกันตพงศ์ยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง “บ้าจริงนายพงศ์  เห็นไหมฉันตกใจหมด

    แล้วเนี่ย…คนบ้า”

                    “จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงล่ะ ก็คุณหนูเล็กกำลังแอบดูคนเค้าคุยกันอยู่เนี่ย”

                    “นี่นาย…”

                    “ช่ายครับ ผมกำลังว่าคุณหนูเล็กอยู่เนี่ย”

                    สิริมายกมือจะทุบกันตพงศ์  ชายหนุ่มหลบได้เสียก่อน

                    “นี่ทำไมนายชอบกวนฉันอยู่เรื่อยเลย” สิริมาค้อนชายหนุ่ม “ว่าแต่นายเหอะ เป็นเพื่อนสนิทพี่หริด ช่วยบอกฉันที

    ว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แล้วมากินข้าวเย็นกับเราที่นี่ได้ยังไง”

                    “ไม่รู้” กันตพงค์ทำหน้ายียวนหญิงสาว

                    “ไม่รู้เหรอ ไม่รู้ก็ไปไกลๆ เลย” ว่าแล้วหญิงสาวก็หันไปสังเกตการณ์ต่อ “ฉันก็นึกว่านายจะรู้เสียอีก  นี่ดีนะที่ป๊า

    ไม่อยู่  ขืนป๊าอยู่ร่วมโต๊ะด้วยมีหวังได้บ้านแตกแน่ๆ”

    สิริมาพูดอย่างกังวล และแล้วพอหันมาอีกที กันตพงศ์ก็หายตัวไปเสียแล้ว จึงทำให้เธอโกรธจนลมออกหู

     

                    หลังอาหารมื้อค่ำ  เมตตาบอกให้ลูกชายเข้าไปรอพบเธอในห้องหนังสือ  พอถึงเวลาสิริมาเดินตามแม่เข้าไปด้วย

                    “หริด ใครเชิญผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นเข้ามาในบ้าน” เมตตาตั้งคำถาม

                    ชายหนุ่มจึงรีบวางนิตยสารภาษาอังกฤษลงบนโต๊ะ “เธอไม่ใช่คนแปลกหน้า  แต่เธอเป็นเพื่อนของผมจริงๆ”

                    “ถ้าอย่างนั้นก็บอกแม่มาสิ ว่าไปรู้จักเธอที่ไหน แล้วรู้จักกันได้ยังไง”

                    สิริมาที่กำลังนั่งจ้องหน้าพี่ชาย พูดขยายประเด็นขึ้นไปอีก “นั่นสิ พี่หริดเพิ่งกลับจากอังกฤษแท้ๆ จะไปรู้จัก

    เธอตอนไหน ที่สำคัญพี่รุจาก็ดูสนิทสนมกับผู้หญิงคนนั้นจนออกนอกหน้า  จนสิแทบไม่เชื่อสายตาเลยว่า คนหน้าตาย

    อย่างพี่รุจา  จะทำหน้าระรื่นมีความสุขได้ถึงขนาดนี้น่ะ”

                    “เอ่อ…ฉันรู้จักผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค”

                    “ไม่จริง สิเข้าเฟสพี่ อินสตาแกรม ลาย ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้เลยสักครั้ง  มีแต่หน้าสาวฝรั่งกับสาวลูกครึ่ง

    ทั้งนั้น” สิริมาว่าเป็นชุด

                    “นี่แกกำลังจับผิดพี่ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่นะรู้ไหม”

                    “หริด” เมตตาขึ้นเสียง “หยุดเฉไฉแม่กับน้องเสียที บอกแม่มาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร  แค่แม่ดูสายตาที่หริด

    มองเธอ แม่ก็รู้แล้วว่าลูกคิดยังไงกับเธอ  เลิกปิดบังแม่เสียที”

                    “แม่ครับ” รังสฤษฏิ์ทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่กลับนั่งลง “เธอเป็นผู้หญิงที่ผมกำลังคิดจะคบหาดูใจอยู่ ผม

    ขออนุญาตไม่แจ้งรายละเอียดกับแม่ กับยัยสิ จนกว่าผมจะมั่นใจว่าเธอคู่ควรกับผมจะได้หรือเปล่าครับ”

                    ที่ประตูห้อง…เดือนเพ็ญซึ่งเพิ่งคาดคั้นรุจามาหมาดๆ รู้สึกตกใจที่ลูกชายของเธอ ไปชอบผู้หญิงคนเดียวกับ

    เจ้านาย…

                    “แม่ครับ ผมไม่เคยโกหกแม่ก็ทราบ  แต่เรื่องนี้…เป็นเรื่องส่วนตัวของผม  ผมขอนะครับแม่  ผมขอเวลาสักพัก

    ขอให้ผมได้คบกับเธอต่อไป  แล้วถ้าวันหนึ่งผมแน่ใจ ผมจะบอกทุกอย่างให้แม่ทราบนะครับ”

     

                    เดือนเพ็ญซึ่งกำลังยกมือทาบอก เอาหลังพิงฝา ต้องตกใจเมื่อรังสฤษฏิ์ เดินสวนออกมาจากประตูห้องหนังสือ

    คุณหนูใหญ่หยุดมองหญิงสูงวัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นเขาก็เดินขึ้นบันไดไป

                    

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×