ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสัวสองหน้า

    ลำดับตอนที่ #6 : ข่าวใหญ่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 121
      0
      1 ม.ค. 56

    เจ้าสัวสองหน้า

    ตอนที่ ๖ ข่าวใหญ่

     

                    รังสฤษฏิ์…คิดระแวง ความสัมพันธ์ระหว่างมัทธุรดากับรุจาไปต่างๆ นานา  ยิ่งได้เห็นกับตาว่า รุจามีความสุขล้น

    ถึงขนาดไหน เขาก็ยิ่งระแวงขึ้นเป็นทวีคูณ…

                    แบบนี้มันต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม!

                    ทันใดนั้น แผนสกัดดาวรุ่งพลันปรากฏขึ้นในหัว รังสฤษฏิ์รีบต่อโทรศัพท์ถึงรุจาทันที ตั้งใจไว้ว่าจะเอาเรื่องงานขึ้น

    มาอ้าง เพื่อให้เขากลับรีสอร์ทให้เร็วที่สุด

                    แต่แล้วรุจากลับนิ่งเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                    “หนอยๆ เวลาออกมาจีบสาว  ไม่สนใจจะรับโทรศัพท์เลยนะ!”

                    รังสฤษฏิ์หงุดหงิดใจนัก

                    “คุณหนูใหญ่โทรหาใครเหรอครับ” นายแห้วซึ่งยืนแอบอยู่ข้างหลังรังสฤษฏิ์นานแล้ว เอ่ยถามเจ้านายอย่างสงสัย

                    “เฮ้ย…ยุ่งอะไรด้วยเนี่ย  ฉันจะโทรศัพท์หาใคร  ก็ไม่ใช่ธุระอะไรของแกเลยนะไอ้แห้ว”

                    “แห้วก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคุณหนูหรอก” ท้ายประโยคแห้วขึ้นเสียงสูง ตีหน้าทะเล้นใส่ผู้เป็นนาย “แต่ถ้าคุณหนูใหญ่

    กำลังโทรหาคุณผู้ช่วยแล้วล่ะก็ จ้างให้ก็ติดต่อไม่ได้หรอกคร้าบ”

                    “ทำไมวะ”

                    นายแห้วทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง “ก็คุณรุจาลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องนั่งเล่นตั้งแต่เมื่อคืนสิครับคุณหนูใหญ่”

                    “…”

                    โอ้ยแค้น…นี่หมายถึงฉันจะต้องยืนดูสองคนนั่นจีบกันอย่างนั้นเหรอ  รู้งี้อยู่กับเธอต่อก็ดีแล้ว เฮ้ย…ทำไมถึงคิด

    มาสำนึกผิด ยอมกลับใจเป็นคนดีเสียตั้งแต่ตอนนี้กันนะ

     

                    และแล้วรุจากับมัทธุรดา ก็มาเที่ยวตลาดเช้าในเมืองด้วยกัน สองหนุ่มสาวแวะถวายภัตตาหารพระบิณฑบาตริม

    ทางเท้า ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันที่ร้านโจ๊กข้างทาง โดยไม่ทันได้สังเกตว่า รังสฤษฏิ์กำลังสะกดรอยตามพวกเขา

    อยู่ไม่ห่าง

                    รังสฤษฏิ์จับตาดูคนทั้งคู่...ชนิดไม่ให้คลาดสายตา  เขาซื้อหนังสือพิมพ์ ทำทีอ่านข่าวอย่างสนใจอยู่ที่หัวถนน...

                    ท่าทางกระหนุงกระหนิงกันจังนะ เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามรดาก็ว่าง  ไม่รู้จักนั่ง...ทำไมต้องมานั่งชิดกันด้วยเนี่ย

                    ขณะรังสฤษฏิ์กำลังคิดระแวงไปเรื่อยเปื่อย เสียงผู้ประกาศข่าวสาวในโทรทัศน์ตรงร้านขายหนังสือ ได้เอ่ยชื่อและ

    นามสกุลเขาออกอากาศ ทันใดนั้นเอง ภาพถ่ายของเขาเมื่อสี่ปีที่แล้ว ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าจอ...

                    อีกสี่วัน เราจะได้เห็นโฉมหน้าเจ้าสัวคนใหม่ ของบริษัท บะหมี่ไทย คือคุณ รังสฤษฏิ์  ผู้เป็นทายาทลำดับที่หนึ่ง

    ของดร.อรุณ ชัยพาณิชการกุล กันแล้วนะคะ  จากคำให้สัมภาษณ์ของท่านเจ้าสัวอรุณ ซึ่งเพิ่งผ่านการผ่าตัดบายพาสเส้น

    เลือดเลี้ยงหัวใจ ให้รายละเอียดถึงทายาทสุดหล่อผู้นี้ว่า  จบ MBA จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ในอังกฤษมาหมาดๆ เหตุที่ท่าน

    ยอมสละตำแหน่งผู้บริหารหมายเลขหนึ่งในครั้งนี้  เนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพ และต้องการเปิดทางให้ผู้บริหารรุ่นใหม่

    ไฟแรงเข้าทำหน้าที่แทน...

                นอกจากจะให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์แล้ว นี่ป๊ายังให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์อีกเหรอเนี่ย...

                    รังสฤษฏิ์ช็อคไปชั่วขณะ เมื่อเห็นภาพเจ้าสัวอรุณใส่ชุดคนไข้ กำลังให้สัมภาษณ์กับนักข่าว หน้าระรื่น...

                    และแล้วพอนึกได้ รังสฤษฏิ์หันกลับไปที่ร้านโจ๊ก  รุจากับมัทธุรดาก็หายไปเสียแล้ว!

     

                    รุจาขับรถพามัทธุรดาไปที่ชายหาด ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากตลาด ชายหนุ่มเชิญหญิงสาวไปเดินเล่นรับลมทะเล

    ขณะนั้นพระอาทิตย์กำลังส่องแสงอ่อนๆ กระทบเกลียวคลื่นบริเวณโขดหิน เกิดแสงระยิบระยับ

                    มัทธุรดายิ้มน้อยๆ เดินไปนั่งรับลมอยู่ที่โขดหิน  รุจาจึงเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ เธอ

                    ชายหนุ่มมองสบตาหญิงสาว แววตาหม่นเศร้าไม่สดใสเหมือนเมื่อครู่ “หลังจากวันนี้คุณจะไปอยู่ที่ไหนเหรอรดา”

                    มัทธุรดาหันมองออกไปในทะเลกว้าง สีหน้าเรียบเฉย “ยังไม่ทราบเลยค่ะ”

                    คำตอบของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอ้างวางในใจเหลือเกิน... รดา ผมไม่อยากให้เราจากกันโดยที่ไม่ได้พบ

    กันอีก  ผมจะบอกคุณยังไงดีนะ ว่าผมอยากคบกับคุณ อยากเจอคุณทุกวัน

                    “แต่คุณยังอยู่ในกรุงเทพใช่ไหมครับ  ว่างๆ ผมจะได้พาคุณมากินข้าวอีก” รุจาพยายามมองหน้าเธอ

                    “บางที...อาจไม่ใช่ ตอนนี้ฉันมืดแปดด้าน ไม่รู้จริงๆ ว่า ชะตากรรมของฉัน มันจะลงเอยยังไง” มัทธุรดาก้มลง

    เขียนลายเส้นอิสระลงบนผืนทราย ไม่นานคลื่นก็ซัดรอยทรายมลายหายไป “เอาไว้ฉันมีที่ปักหลักแน่นอน  แล้วฉันจะบอก

    คุณเป็นคนแรกเลยนะคะคุณรุจา”

                    “มีอะไรที่ผมพอช่วยคุณได้ไหมครับ” รุจาเอ่ยถามเธอตรงๆ รู้สึกผิวหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

                    มัทธุรดายิ้มน้อยๆ หันมองรุจา “ไม่ต้องแล้วล่ะค่ะ แค่นี้ฉันก็เกรงใจคุณจะแย่อยู่แล้ว  ขอบคุณมากนะคะที่คอย

    ช่วยเหลือฉันมาตลอด  ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันยังพอช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นเพราะนายจ้างของฉัน ช่วยเหลือฉันเป็นอย่างดี”     “คุณหมายถึง ผู้ชายที่ไว้หนวดไว้เคราคนนั้นเหรอครับ ”

                    “คุณรู้จักเขาด้วยเหรอคะ” มัทธุรดาทำหน้าแปลกใจ “เท่าที่ฉันจำได้ คุณยังไม่เคยพบเขาเลยนี่คะ”

                    “เอ่อ” รุจาอึกอัก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมตัวเผลอพูด เรื่องนายจ้างของเธอ ที่เขารู้ข้อมูลจากการจ้างนักสืบสะกดรอย

                    ระหว่างรุจาขับรถมาส่งมัทธุรดาที่บังกะโล  เขาตัดสินใจเล่าเรื่องรังสฤษฏิ์ให้เธอฟัง เพราะไม่ต้องการโกหกเธอ

    อีกทั้งต้องการแสดงให้เธอเห็นว่า เขามีความจำเป็นต้องให้นักสืบสะกดรอยตามกันตพงศ์มา

                    “แล้วตกลงคุณบ๊อบบี้ เป็นคนคนเดียวกับคุณรังสฤษฏิ์หรือเปล่าคะ” มัทธุรดาถามเขาอย่างสนใจใคร่รู้นัก

                     “ทีแรกผมคิดว่าใช่...”

    รุจาพูดแล้วนิ่งไป คิดย้อนทบทวนเปรียบเทียบรูปพรรณสัณฐานของบ๊อบบี้กับรังสฤษฏิ์ ในความรู้สึกของเขา

    แม้บุคคลทั้งสองจะมีส่วนสูง และสีผิวที่ใกล้เคียงกัน  แต่คืนวันนั้น รังสฤษฏิ์กลับมาปรากฏตัวเสียก่อน

                    “ตกลงว่าที่เจ้าสัวคนใหม่ คือ คุณบ๊อบบี้ใช่ไหมคะคุณรุจา”

                    “ถ้าคืนนั้น คุณรังสฤษฏิ์ไม่มาตามนัด ผมก็คงจะสรุปว่า เขาน่าจะเป็นคนคนเดียวกันครับ  แต่มันเป็นไปไม่ได้ คุณ

    ลองดูรูปนี้สิครับ”

                    รุจาส่งรูปถ่ายของรังสฤษฏิ์เมื่อสี่ปีก่อนให้มัทธุรดาดู เธอสังเกตเห็นแววตาของคนทั้งสองเหมือนกันมาก!

                    แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ  ในเมื่ออีกคนเป็นถึงว่าที่เจ้าสัว เรียนจบ MBA จากเมืองนอก  ส่วนอีกคนเป็นจิตรกร

    ธรรมดาๆ แต่มีลักษณะดวงตาที่คล้ายกันโดยบังเอิญเท่านั้น

                    “เท่าที่ฉันดู ก็มีส่วนคล้ายกันนะ  แต่คุณบ๊อบบี้มีใบหน้าใหญ่กว่า  ไม่ได้สมส่วนเหมือนเจ้านายของคุณ” 

                    เอ...เขาเป็นคนจีน แต่ทำไมสีผิวของเขาเข้มแบบนี้นะ  หน้าตากระเดียดไปทางลูกครึ่ง หล่อเหลาอย่างกับ

    พระเอก แต่ถ้าตัวจริงเขาสูงเท่าคุณบ๊อบบี้ เขาคงต้องเป็นผู้ชายที่ทั้งสมาร์ทและหล่อเอามากๆ เลยนะ

     

                    รุจาจอดรถข้างบังกะโล แล้วเดินไปส่งเธอข้างบน  พอกันตพงศ์เห็นคุณผู้ช่วย เขาก็ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ ประเดี๋ยว

    ก็ทำใจกล้า มองลอดบานหน้าต่างฝั่งบันไดดูเหตุการณ์อย่างสนใจ

                    “คุณรอเดี๋ยวนะคะ”

                    มัทธุรดาบอกให้รุจารอ แล้วเธอก็รีบเดินเข้าห้องพัก ไม่นานเธอก็กลับออกมาพร้อมถือถุงกระดาษใบเล็กติดมือ

    มาด้วย เธอยิ้มแล้วส่งมันให้ชายหนุ่ม

                    “อะไรกันครับ!

                    “โทรศัพท์กับสายชาร์ตค่ะ  ส่วนนี่...” มัทธุรดาหยิบซองสีขาว ภายในบรรจุเงินจำนวนสี่พัน ที่เขาเคยให้เธอเอาไว้

                    “ผมไม่คิดจะเอาคืนหรอกครับ ผมอยากให้คุณเก็บไว้” รุจาปฏิเสธ

                    แต่หญิงสาวไม่ยอมรับ รุจาจึงจำใจต้องรับของพร้อมเงินกลับคืนมา ภายในใจรู้สึกเสียใจ  ที่เธอไม่ยอมรับความ

    ช่วยเหลือ และยังรู้สึกอ้างว้างหนักอกเสียอีก เพราะกำลังจะต้องจากเธอไปเสียแล้ว

                    “คุณรุจาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

                    รุจาไม่ตอบ...สีหน้าท่าทางของเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก มีอาการคล้ายคนกำลังหมดเรี่ยวแรง มัทธุรดาจึงถามเขาซ้ำอีก

    ครั้ง

                    “ครับ...เอ่อ...คุณว่าอะไรนะครับ”

                    “ไม่มีอะไรค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปส่งคุณที่รถนะคะ”

                    ก่อนรุจาออกรถ  เขาส่งนามบัตรส่วนตัวให้เธอเก็บเอาไว้ บอกเธอ...และย้ำกับเธอหลายครั้งว่า หากมีปัญหา ขอ

    ให้นึกถึงเขา และ “ขอได้โปรดโทรหาผม ไม่ต้องเกรงใจ ขอให้คุณจำไว้นะครับว่า ผมยินดีและเต็มใจที่สุด ที่ได้ช่วยคุณ”

     

                    รังสฤษฏิ์เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนั่งเล่นหลายรอบแล้ว...

                    อืม ทำไมยังไม่กลับมาอีกนะ  ป่านนี้ไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วล่ะ นายรุจา...นายนี่ร้ายไม่เบาเลยจริงๆ เห็นหงิ๋มๆ

    ติ๋มๆ มาตั้งแต่เด็ก พอฉันไปอยู่อังกฤษแค่สี่ปี กลับมานายเป็นคาสโนว่าตัวพ่อไปได้ยังไงกันวะ!

                    “คุณหนูใหญ่ โจ๊กพร้อมอยู่ในห้องรับประทานอาหารแล้วครับ” นายแห้วยิ้มแก้มปริ เดินมาเชิญเจ้านาย

                    “ใครบอกให้แกซื้อโจ๊กมา” รังสฤษฏิ์ทำตาเขียวใส่นายแห้ว

                    “อ้าว ปกติตอนเช้า ไม่เสิร์ฟข้าวต้ม ก็ โจ๊ก  เมื่อก่อนคุณหนูใหญ่ชอบรับประทานโจ๊กตอนเช้านี่ครับ แห้วจำได้”

                    “แต่ตอนนี้ฉันไม่ชอบกินแล้วโว้ย”

                    นายแห้วเกาศีรษะ ทำหน้ามึนงงอยู่สักพัก “อ๋อ คุณหนูใหญ่เห็นคุณผู้ช่วยเกี้ยวผู้หญิงสวยๆ คนนั้นที่ตลาดเลยทำ

    ให้ฝืดคอ รับประทานเช้าไม่ลงเลยน่ะเหรอครับ”

                    “ไอ้แห้ว”

    รังสฤษฏิ์ตวาด ปรี่ทำท่าจะเข้าไปเตะก้นสารถีส่วนตัวอีก นายแห้วจึงวิ่งหนี เลยไปชนรุจาที่กำลังเดินมาที่ห้อง

    นั่งเล่นเข้าอย่างจัง

                    “คุณผู้ช่วย” นายแห้วประนมมือท้วมหัว “แห้ว…แห้วขอโทษครับ”

                    รุจายืนนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย รังสฤษฏิ์วิ่งเข้ามาเห็นรุจาจึงหยุด

                    “มีอะไรกันเหรอครับคุณหนูใหญ่” รุจาเสียงขรึม

                    “เปล่า ฉันแค่หยอกนายแห้วเล่นก็เท่านั้น” รังสฤษฏิ์ยักไหล่ ใบหน้าบึงตึง

                    รุจาส่งสายตานิ่งๆ ปรามสารถีหนุ่ม แล้วจึงหันไปโค้งน้อยๆ ให้คุณหนูใหญ่

                    “คุณหนูกำลังจะเป็นเจ้าสัว…เป็นประธานใหญ่ของบะหมี่ไทย คุมพนักงานเป็นพันๆ คน  ไม่ควรมาวิ่งไล่กัน

    เหมือนเด็กๆ อีกต่อไป เพราะลูกน้องจะไม่เชื่อถือ และท่านเจ้าสัวอรุณจะไม่พอใจนะครับ”

                    รังสฤษฏิ์ได้ฟังดังนั้น ก็รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาทันที…

                    นี่นายชักจะเหมือนป๊าเข้าไปทุกทีแล้วนะ  ทำไม…ทำไมฉันจะต้องคอยมาซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อ

    คนอื่น  เย็นไว้…เย็นไว้หริด มัทธุรดายังทนพ่อขี้เหล้าได้เลย  ฉัน…ก็ต้องทนสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นครอบครัวของฉันให้

    ได้สิ นายรุจา นายกับฉันมีเรื่องต้องสะสางกัน

                    “นายไปไหนมา  ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์”

                    “ขอโทษด้วยครับ” รุจาโค้งให้คุณหนูใหญ่อีกครั้ง “คุณหนูใหญ่มีเรื่องอะไรจะใช้ผมหรือเปล่าครับ”

                    “นายไปไหนมา!”

                    รุจาก้มหน้ามองพื้น “ผมไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งมาครับ”

                    รังสฤษฏิ์ยิ้มมุมปาก “ผู้หญิงสิท่า ถึงได้รีบร้อนออกไปแต่เช้าขนาดนี้ แฟนนายเหรอ”

                   

                    “ผู้หญิงครับ…แต่เป็นเพื่อนครับ ไม่ใช่แฟน” รุจามีท่าทีอึดอัด เขาหายใจเข้าลึกๆ จนบ่าขยับ “ต้องขอโทษด้วย ที่

    ทำให้คุณหนูใหญ่ไม่พอใจ แต่ผมอาจจะไม่ได้พบเพื่อนคนนี้อีกแล้ว ถึงได้ตัดสินใจไปหาเธอ”

                    รังสฤษฏิ์ค่อนข้างพอใจกับคำตอบ เขาจึงพยักหน้ารับ “อืม ไปเตรียมตัวเถอะ ฉันจะกลับกรุงเทพแล้ว”

                    ที่แท้ก็เป็นแค่เพื่อนกันอย่างนั้นเหรอ!

                    รุจาค่อยๆ เดินผ่านหน้ารังสฤษฏิ์

                    “เดี๋ยว…”

                    “มีอะไรครับคุณหนูใหญ่”

                    “เมื่อกี้ที่นายเตือนสติฉัน  ขอบใจนะ”

                    รุจายิ้มน้อยๆ โค้งให้เขา “คุณหนูใหญ่ไปเตรียมตัวนะครับ ไม่เกินสองชั่วโมงเราจะเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว” พูด

    จบเขาก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว

     

                    เมื่อรุจาเดินออกไปแล้ว รังสฤษฏิ์เริ่มมีอาการเครียดและกดดันอย่างหนักอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนว่า ตัวเอง

    กำลังเดินเข้าสู่ห้องขัง…กำลังจะหมดอิสรภาพ เข้าก่อกวนจิตใจอีกครั้ง จนปรากฏอาการทางกายตามไปด้วย ดังนั้นพอเข้า

    ไปถึงห้องพัก ชายหนุ่มก็ถึงกับอาเจียนออกมาอย่างหนัก

                    เวลาผ่านไปนาน รุจาจึงใช้ให้นายแห้วมาเรียนเชิญคุณหนูใหญ่ ออกเดินทาง พอนายแห้วเข้าไปในห้อง

                    “อ้าว ทำไมคุณหนูใหญ่ยังไม่อาบน้ำแต่งตัวอีกล่ะครับ เอ๊ะแล้วทำไมหน้าซีดแบบนี้ คุณหนูไม่สบายเหรอครับ”

                    รังสฤษฏิ์ซึ่งกำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นดูสารถีคนสนิท

                    “ฉันไม่เป็นอะไรหรอก เพลียๆ  ก็เลยเผลอหลับไป” เขายันตัวลุกขึ้นจากเตียง “แกไปบอกให้คุณผู้ช่วยรอฉันหน่อย

    เสร็จแล้วจะรีบลงไปทันที”

                    นี่ฉันต้องกลับเข้าคุกอีกแล้วเหรอเนี่ย…เฮ้อ…ฉันจะต้องทนแบบนี้ใช่ไหมรดา ฉันจะต้องทนจนชิน เหมือนกับเธอ

    แล้วฉันถึงจะอยู่ได้ใช่ไหม…ใช่ไหมรดา

     

                    กันตพงศ์ขับรถพามัทธุรดามาส่งที่กรุงเทพ ระหว่างทางเขาชักชวนให้เธอ สมัครเป็นเจ้าหน้าที่วิจัยและพัฒนา

    ผลิตภัณฑ์ของบะหมี่ไทย แต่เธอยังรู้สึกลังเล เพราะเคยทำงานให้บริษัทคู่แข่งคือไทยราเมน เธอจึงกลัวว่ามันไม่สมควร

                    “โอ้ยคิดอะไรแบบนั้นกันล่ะ สมัยนี้เขาไม่ถือกันแล้วล่ะรดา” กันตพงศ์เอ่ยขณะจอดรถติดไฟแดง

                    “พี่พงศ์ไม่คิด แต่คนอื่นๆ โดยเฉพาะเจ้าของเขาคิดนี่คะ” มัทธุรดาเอ่ย สายตามองออกนอกหน้าต่างข้างตัว

                    “เชื่อพี่…เขาไม่คิดหรอก แถมยังจะดีใจจนเนื้อเต้นสิไม่ว่า”

                    หญิงสาวหันมองกันตพงศ์ทันที “ดูพี่พงศ์จะมั่นใจเหลือเกินนะคะ ทำอย่างกับเป็นเจ้าของซะเอง”

                    “เอ่อ” กันตพงศ์เสยผมแก้เก้อ “ก…ก็แหม…พี่เป็นถึงผู้จัดการฝ่ายบุคคลเชียวนะ พี่ก็ต้องรู้สิว่า คุณสมบัติอย่าง

    รดาน่ะ เป็นที่ต้องการของบริษัทมากแค่ไหน”

                    “แต่…”

                    “ไม่ต้องต่งต้องแต่หรอก เตรียมเอกสารให้พี่หนึ่งชุด แล้วเดี๋ยวจะเรียกสัมภาษณ์เลยพรุ่งนี้”

                    “อะไรนะคะ”

                    บ้าแท้ๆ มีบริษัทแบบนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ อยู่ๆ ก็ส่งเทียบมาเชิญเราถึงที่ โอ้ย…แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ ถ้าเขา

    ถามว่า…ทำไมเราถึงออกจากไทยราเมน…แล้วฉันจะบอกกับคนสัมภาษณ์ว่ายังไง  แต่เอ…บริษัทนี้ก็อยู่ในกรุงเทพเสีย

    ด้วย  ตอนจบมหา’ลัยใหม่ๆ ถ้าไม่ติดที่ไทยราเมนมาติดต่อให้เข้าทำงาน เราก็กะจะเข้าไปสมัครเป็นที่แรก

                    “เอ้าคิดอะไรอยู่ล่ะรดา  ว่าแต่ว่า  จะกลับเข้าบ้านเลยไหม พี่จะได้ไปส่ง” กันตพงศ์ถามเธอ เมื่อขับรถมาถึงถนน

    รามคำแหง  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของหญิงสาว

                    “ยังค่ะ คือ...ระยะหลัง ฉันชอบเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ เพราะเป็นส่วนตัวดี”

                    “อะไรกัน เป็นผู้หญิงบ้านช่องก็มีอยู่ ทำไมถึงไม่กลับบ้านล่ะรดา  นี่รู้ไหม สมัยนี้ภัยรอบตัว ผู้หญิงพักอยู่ตัวคน

    เดียวมันไม่ดีหรอก” กันตพงศ์พูดแล้วนิ่งคิดไปสักพัก “เอางี้…คืนนี้ไปพักบ้านพี่ ไปอยู่กับฤทัยก่อนก็แล้วกัน  แล้วค่อยคิด

    หาที่อยู่  ดีเหมือนกันจะได้ขอหลักฐานสมัครงานของรดาเลย พรุ่งนี้พี่เข้าบริษัท จะได้รีบดำเนินการให้เสร็จ รดาจะได้มีที่

    ทำงานเป็นหลักเป็นแหล่ง  ไม่ต้องมาระหกระเหินแบบนี้”

                    “เอ่อแต่…” มัทธุรดาทำหน้าแหย

                    “ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด นี่ก็บ่ายมากแล้วจะไปหาที่พักที่ไหนล่ะ เราน่ะไม่ใช่ผู้ชาย ถึงจะเทียวไปพักที่ไหนก็ได้นะ

    เข้าใจไหม” กันตพงศ์ทำเสียงดุใส่เธอ

                    นี่ฉันต้องตกกระไดพลอยโจรเหรอเนี่ย  โอ้ย…ฉัน…ฉันจะพูดเรื่องเหตุผลที่ต้องออกจากไทยราเมนยังไงดี รู้ถึง

    ไหน ก็อายเขาไปถึงนั่น ฉันจะทำยังไงดี!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×