ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสัวสองหน้า

    ลำดับตอนที่ #5 : คนที่หมายปอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 139
      1
      24 ธ.ค. 55

    เจ้าสัวสองหน้า

    ตอนที่ ๕ คนที่หมายปอง

     

                    กันตพงศ์...เปิดห้องในโรงแรมริมหาดหัวหิน ที่แสนหรูหราให้แก่รังสฤษฏิ์ใช้แปลงโฉม เปลี่ยนบุคลิกให้เหมาะ

    สมกับตำแหน่งว่าที่เจ้าสัวคนใหม่

                    ห้องพักขนาดกำลังดี ถูกตกแต่งอย่างประณีตงดงามในแบบไทยร่วมสมัย  มีระเบียงกว้างมองเห็นสระว่ายน้ำ

    ขนาดใหญ่ของโรงแรม ที่มีซุ้มพักผ่อนแบบเรือนไทยปลูกเรียงรายไปตามทางเดินริมสระ รายล้อมด้วยสวนพืชเมืองร้อน

    เรื่อยไปจนถึงหาดทรายกว้าง จรดท้องทะเลที่แสนกว้างใหญ่

                    "ถูกใจไหมครับท่านเจ้าสัว" กันตพงศ์เอ่ยแซวเพื่อนรัก ขณะรังสฤษฏิ์เดินเข้ามาในห้อง

                    "อืมสวยนะ โดยเฉพาะภาพลายไทยปิดทองที่หัวเตียงนี่" รังสฤษฏิ์เอ่ย สายตาไม่ยอมละจากภาพบริเวณหัวเตียง

                    กันตพงศ์สำรวจบริเวณห้องน้ำที่มีอ่างจากุซซี่ ก็พบว่าพนักงานโรงแรม ได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ ตาม

    คำสั่งเขาทุกประการ  จึงเดินกลับออกมา แล้วไปที่ระเบียงกว้าง เพื่อบอกให้ช่างผมมือหนึ่ง ซึ่งกันตพงศ์นัดไว้เตรียมพร้อม

                    ไม่นานรังสฤษฏิ์ก็เข้ามานั่งประจำที่ที่ระเบียงเพื่อตัดผม แต่แล้วพอช่างผมกำลังจะลงกรรไกร

                    "เดี๋ยวก่อน"

                    ช่างผมชะงัก กันตพงศ์จึงเดินเข้ามาใกล้ๆ "มีอะไรเหรอ"

                    "ฉัน..." รังสฤษฏิ์ทำท่าขบคิด "ฉันอยากทำวิกผม"

                    "อะไรนะ นี่แกคิดจะทำอะไรพิเรนทร์อีกล่ะสิท่า" กันตพงศ์เอ่ยอย่างรู้ทัน

                    "ช่างฉันเถอะน่า" ว่าแล้วรังสฤษฏิ์ก็เอียงหน้าหันไปพูดกับนายช่างผม "ฉันอยากให้คุณตัดผมเก็บไว้ทำวิก"

                    ช่างผมตรึกตรองแล้วพยักหน้า "ได้ครับ ผมมีเพื่อนเป็นช่างทำวิกอยู่พอดี แต่คงต้องตัดผมของคุณให้สั้นหน่อยนะ

    ครับ ถ้าคุณอยากให้วิกผม มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับผมทรงเดิมของคุณ"

                    รังสฤษฏิ์พยักหน้ารับ

                    การตัดผมกินเวลาราวสี่สิบนาที จากนั้นช่างผมก็บรรจงโกนหนวดโกนเคราของเขาจนเกลี้ยงเกลา เปลี่ยนบุคลิก

    หนุ่มมาดเซอร์ ให้กลับมาเป็นคุณชายที่แสนหล่อเหลาจนช่างผมอดที่จะเอ่ยชมลูกค้ากระเป๋าหนักของเขาไม่ได้

                    "หล่อที่สุดเลยฮ้า...โอ้ยตายโอ้ย...อุ้ย!!!" ช่างผมมือหนึ่งมองหน้ารังสฤษฏิ์มุมนั้นมุมนี้ พร้อมเปรยออกมาอย่าง

    ลืมตัว พอนึกได้ว่าแอ๊บแมนหลุด เขาก็รีบยกมือขึ้นป้องปาก

                    กันตพงศ์ยิ้มแก้มปริ เมื่อเห็นเพื่อนรักในทรงผมสั้น ด้านข้างเปิดใบหู ด้านหลังซอยสั้น ส่วนด้านหน้าปัดเป๋ เปิด

    หน้าผากที่กว้างได้รูป จนคิ้วเข้มๆ กับขนตายาวเป็นแผงเด่นชัดรับ กรอบหน้าคมสันสมส่วน ยิ่งดูรวมกับรูปร่างที่สูงโปร่ง

    ของเขาแล้ว จึงดูราวกับว่า เขาเป็นลูกครึ่งที่มีผิวสีแทนอ่อนๆ ซึ่งเหมือนกับผิวของคุณนาย "เมตตา" แม่ของรังสฤษฏิ์ไม่

    ผิดเพี้ยน

                    แต่ดูเหมือนรังสฤษฏิ์จะไม่ค่อยปลื้มกับลุคใหม่ของเขานัก สีหน้าและแววตาของเขา จึงแสดงอาการไม่มั่นใจ เมื่อ

    เขามองหน้าตัวเองผ่านกระจก

                    "เอาน่าเพื่อน อย่ากังวลสิ" กันตพงศ์เอ่ยปลอบเพื่อนรักพร้อมเดินมาตบไหล่ "ขั้นตอนต่อไป ต้องผ่อนคลายความ

    เครียด และบำรุงผิวสักหน่อย"

                    "หา...นี่ยังไม่หมดอีกเหรอ"

                    กันตพงศ์บอกให้เพื่อนรักไปผลัดผ้า ใส่เสื้อคลุมเพื่อทำสปา พอเขานอนลงบนเตียงพนักงานสปาสาวสองคน  ก็

    ค่อยๆ บรรจงไล้น้ำมันหอม ลงบนผิวกายสีน้ำผึ้งของเขาตั้งแต่คอ...ไหล่กว้าง เรื่อยลงมาจนถึงแผ่นหลังและบั้นเอว ที่ค่อยๆ คอดลงอย่างสมส่วน แล้วจึงลงมือนวดคลึงเพื่อผ่อนคลายมัดกล้ามเนื้อตึงแน่นของเขา พร้อมทรีทเม้นท์ผิวทั่วทั้งตัวรวมถึง

    ผิวหน้า จนมันกลับมาผ่องใสอีกครั้ง

    พอเสร็จจากขั้นตอนนี้แล้ว รังสฤษฏิ์ก็ลงไปนอนแช่ในอ่างน้ำวนเพื่อผ่อนคลาย กลิ่นน้ำมันอโรม่าผสานเครื่อง

    เทศสมุนไพร และผิวมะนาวหอมกรุ่นกลิ่นอ่อนๆ ไปทั่วทั้งห้องน้ำ  ชายหนุ่มรู้สึกเบาสบายกาย ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก

    จนเคลิ้มหลับฝันไปชั่วขณะ แลเห็นใบหน้าสวยหวานของรดาปรากฏขึ้น ก็สะดุ้งตื่น

                    "รดา...รดา"

     

                    ริมหาดส่วนตัวหน้ารีสอร์ทของเจ้าสัวอรุณ สว่างไสวด้วยแสงไฟจากสปอร์ตไลท์  รุจา...กำลังเฝ้ารอการปรากฏตัว

    ของคุณหนูใหญ่อย่างใจจดใจจ่อ  ขณะนี้ได้ล่วงเลยเวลานัดหมายมาแล้วเกือบสองชั่วโมงแล้ว  แต่กลับไม่ปรากฏวี่แววของ

    คุณหนูใหญ่เลยสักนิด  ทั้งแอปพลิเคชั่นระบุตำแหน่งบนมือถือ ทั้งโทรศัพท์...ต่างก็ไม่มีการแสดงตำแหน่ง หรือการติดต่อ

    เข้ามาหาเขาเลยสักนิด...

                    นี่คุณหนูเล่นตลกอะไรกับผมอีก  คุณหนูรู้ไหมครับ ว่าผมเครียดกับเรื่องของคุณหนู จนแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว

                    "นายรุจา"

                    เสียงเรียกชื่อเขาดังมาจากข้างหลัง รุจาจึงรีบหันไปดู...

                    "คุณหนูใหญ่"

                    รังสฤษฏิ์เดินลงบันไดหน้าสระน้ำ  มาหารุจาที่หาดทรายในชุดสูทสีเทาเข้ม เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน

                    "ขอโทษที่ฉันมาช้า หวังว่านายคงจะไม่ถือสาหาความนะท่านผู้ช่วย"

                    รุจายกมือไหว้คุณหนูใหญ่  แต่รังสฤษฏิ์กลับดันมือเขาลง "ขอบคุณครับ ที่คุณหนูใหญ่มาตามนัด"

                    ทั้งสองเดินกลับเข้าไปนั่งที่ริมสระน้ำกว้าง หน้าคฤหาสถ์ตากอากาศที่ผนังด้านนอก  บุด้วยหินอ่อนสีขาวอย่างดี

    จากอิตาลี และติดกระจกบานใหญ่เป็นแนวยาว เพื่อจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของท้องทะเลทั้งชั้นบนและชั้นล่าง

                    หลังทักทายกันแล้ว รุจารีบแจ้งให้คุณหนูใหญ่ทราบถึงข่าวของเจ้าสัวอรุณ

                    "ฉันไม่แปลกใจหรอก  เพราะมันถึงเวลาที่พ่อจะบีบให้ฉันกลับบ้าน เพื่อทำหน้าที่สำคัญ  แต่สุดท้าย...นายกลับ

    เป็นฝ่ายรับเคราะห์แทน" รังสฤษฏิ์พูดแล้วหัวเราะอย่างขมขื่น "เหมือนตอนเด็กๆ ที่ป๊าหยิบไม้ตะพดไล่ตีฉัน โทษฐานที่ฉัน

    ขัดคำสั่ง เอาสมุดกับดินสอสีมาวาดรูป  แต่คนที่ถูกตีกลับเป็นนาย  ที่ยอมเอาตัวกันไม้เรียวให้ฉัน"

                    "มันเป็นหน้าที่ครับคุณหนูใหญ่" รุจาสบตารังสฤษฏิ์

                    "หึ...หน้าที่อีกแล้ว  ดูเหมือนตั้งแต่ที่ฉันรู้จักนายมา นายทำอะไรเพราะหน้าที่ที่ต้องทำเสียทุกอย่างเลยนะ  นาย

    ไม่คิดที่จะทำอะไรที่มันมาจากความต้องการของตัวเอง หรือ...ทำในสิ่งที่หัวใจมันเรียกร้องบ้างเลยหรือไง"

                    รุจาก้มหน้านิ่ง ไม่พูดอะไรออกมา

                    "ฉันไม่แปลกใจเลย ที่ทำไมป๊าถึงได้เอานายมาไว้ใกล้ตัว  นายมันเป็นคนสนิทของป๊า เป็นคนที่ป๊าทั้งรักทั้งหวง...

    ผิดกับฉัน  ที่เป็นลูกแท้ๆ ของท่าน  แต่กลับไม่เอาอ่าวอะไรเลยสักนิด  ผิดกับนายรุจา...ผิดกับนาย ที่ได้ดั่งใจป๊าไปเสียทุก

    อย่างรวมถึงครั้งนี้ด้วย  ที่นายสามารถพาตัวฉันกลับบ้านได้สำเร็จ"

                    "คุณหนูอย่าพูดแบบนั้นเลยครับ  เพราะคุณหนูใหญ่ ได้เดินทางไปเรียนปริญญาโทบริหาร  ตามที่ท่านเจ้าสัวต้อง

    การ  และกลับมารับงานต่อจากท่านแล้ว  เพราะฉะนั้น จะไม่มีใครว่าอะไรคุณหนูใหญ่อีกนะครับ"

                    รังสฤษฏิ์นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาอีก ขณะนั้น"นายแห้ว" ซึ่งเคยเป็นคนขับรถของเขา  แต่ปัจจุบันเจ้าสัวอรุณ

    มอบหมายให้เขามาดูแลรีสอร์ท เดินเข้ามาเสิร์ฟของว่างเพิ่ม

                    "แม่เป็นยังไงบ้าง" รังสฤษฏิ์ถามรุจาแล้วจิบชาร้อน

                    "คุณผู้หญิงสบายกายดีอยู่ครับ  แต่ใจไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เพราะคิดถึงแต่คุณหนู" รุจารายงาน

                    รังสฤษฏิ์พยักหน้าพร้อมวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ ภายในใจรู้สึกผิดและทุกข์ร้อนที่แม่ต้องมาทุกข์เพราะเขา

                    "เอ่อคุณหนูครับ" รุจาเอ่ยถามรังสฤษฏิ์อย่างเกรงๆ "ที่คุณหนูพูดเมื่อครู่ คุณหนูจะกลับบ้านจริงๆ นะครับ"

                    "ใช่" รังสฤษฏิ์ใช้มือปัดฝุ่นที่ปกเสื้อสูทโดยไม่มองหน้าของรุจา "นายไม่เชื่อเหรอ"

                    "ปะ...เปล่าครับ เพียงแต่ที่ผ่านมา คุณหนูใหญ่ไม่เคยยอมท่านเจ้าสัวง่ายๆ อย่างคราวนี้"

                    "ก็เพราะในตอนนี้ ฉันมีใครคนหนึ่ง ที่ทำให้ฉันคิดได้ว่า ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่ต้องหนี แต่เป็นเรื่องที่เราต้องอยู่กับ

    มันให้ได้ยังไงล่ะ" รังสฤษฏิ์พูดแล้วดวงตาเป็นประกาย

                    "คุณหนูใหญ่หมายถึงใครครับ" รุจาแสดงท่าทางแปลกใจนัก

                    "แล้วนายจะได้รู้เองนั่นแหละ!”

     

                    มัทธุรดากำลังนั่งอยู่ที่โถงหน้าห้องพัก เธอกำลังนั่งก้มหน้าดูรายชื่อบริษัท ที่เรียกเธอสัมภาษณ์งาน บนกระดาษ

    ที่เธอพิมพ์ออกมาจากร้านอินเตอร์เน็ตในเมือง...

                    เฮ้อ...ทำไมมีแต่ต่างจังหวัดไกลๆ น้า  ไม่มีในกรุงเทพเลยเหรอเนี่ย  แต่ไม่ทำก็คงไม่ได้แล้วล่ะ  เพราะเราไม่มีจะ

    กินแล้ว  แถมยังมีหนี้บัตรเครดิตท่วมหัวอีก

                    ขณะนั้นมีเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดบ้านมา

                    "กลับมาแล้วเหรอคะคุณบ๊อบบี้  คุณหายไปไหนมา ฉันเป็นห่วงคุณแทบแย่  ของที่คุณใช้ให้ฉัน...!"

                    แต่แล้วพอเธอหันไปดู คนที่เดินขึ้นบันไดมากลับกลายเป็นกันตพงศ์  ที่กำลังยืนส่งยิ้มแหยๆ อยู่ข้างหลังเธอ

                    "พี่พงศ์" เธอหันมองแสดงอาการตกใจเล็กน้อย "แล้วคุณบ๊อบบี้ล่ะคะ"

                    "เอ่อ..."

                    กันตพงศ์บอกเธอว่า บ๊อบบี้ติดงานด่วน ไม่สามารถพักที่นี่ได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็ยื่นซองสีน้ำตาลให้เธอ ตามที่

    รังสฤษฏิ์สั่งไว้

                    "อะไรคะ"

    มัทธุรดารับซอง ใบหน้าหม่นเศร้าลงอย่างชัดเจน เธอรีบเปิดซอง  หยิบกระดาษเขียนจดหมายขึ้นมาอ่านอย่าง

    สนใจใคร่รู้...

                    รดา

                            ก่อนอื่นผมต้องขอโทษคุณด้วย  ที่ไม่ได้บอกคุณล่วงหน้า เรื่องที่ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตามกำหนด

                ผมมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ มันสำคัญมากสำหรับครอบครัวผม

                            เราจะได้พบกันในเวลาอันใกล้นี้ และขอขอบคุณสำหรับกำลังที่ยิ่งใหญ่ ที่คุณให้กับผมนะรดา

     

                                                                                                    บ๊อบบี้

                ปล. ผมฝากค่าแรง และค่าทำขวัญให้คุณเป็นเช็คหนึ่งฉบับ โปรดรับไว้ด้วย เพราะเงินจำนวนนี้ มันเทียบไม่ได้

                กับสิ่งที่คุณให้ผม…ขอบคุณอีกครั้งครับ

     

                    มัทธุรดากางซองออกจนเห็นเช็ค ก็รีบหยิบมันออกมาดู…

                    “อะไรกันเนี่ย!”

                    กันตพงศ์ซึ่งกำลังดื่มน้ำอยู่ แทบสำลักเมื่อได้ยินเสียงร้องตกใจของหญิงสาว

                    “อะไรรดา”

                    “เช็คค่ะ คุณบ๊อบบี้…เอ่อ…ทำไมมันมากมายขนาดนี้”

                    กันตพงศ์เดินมาดูจำนวนเงินที่ระบุในหน้าเช็ค ก็ต้องตาโตตกใจตามไปด้วยอีกคนหนึ่ง

                    “หนึ่งแสนบาท…หนึ่ง…แสน…บาทเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มดูตัวเลขเช็คซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าตาไม่ได้ฝาด

                    มันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ  หริดถึงให้เงินค่าเหนื่อยกับรดาถึงขนาดนี้…หรือว่า!!!

                    “พี่พงศ์…ฉันรับเช็คนี้ไว้ไม่ได้หรอกค่ะ  มันมากมายกว่าที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก” มัทธุรดาเอ่ยอย่างกังวล

                    “เอ่อ…ไม่ได้  รดาต้องรับไว้นะ เพราะไอ้บ๊อบบี้สั่งนักสั่งหนาว่า ถ้ารดาไม่รับเช็ค มันจะไล่พี่ออกจากงาน”

    กันตพงศ์เผลอพูดเรื่องความลับออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

                    “อะไรนะคะ นี่พี่พงศ์เป็นลูกน้องคุณบ๊อบบี้หรอกหรือคะ  พี่ไม่ได้ทำงานที่บริษัททำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหรอ”

                    “เอ๋อ…คือ…พี่หมายถึง…หมายถึง ถ้ารดาไม่รับเช็ค ไอ้บ๊อบบี้มันจะไล่พี่ออกจากความเป็นเพื่อนน่ะรดา”

                    กันตพงศ์พูดแก้ตัวจบ ก็รีบยกมือขึ้นปาดเหงื่อ…

                    ไอ้หริดนะ…ทำไมแกจะต้องปิดบังความจริงเรื่องงานกับเรื่องฐานะของแกด้วยวะ แล้วอีกอย่างแกก็จะทำวิก

    ผมเข้าไปอีก  นี่แกเป็นเอฟบีไอ หรือ จิตรกรกันแน่วะเนี่ย อีกเรื่องนึง…ทำไมแกต้องให้ฉันตั้งตำแหน่งใหม่ขึ้นมาเพื่อรดา

    ด้วยวะ  นี่…นี่แสดงว่าแกหลงรักแม่รดาคนนี้เข้าให้แล้วเหรอเนี่ย…ไวไฟจริงจริ๊ง

     

                    ในค่ำคืนนั้น มัทธุรดาไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ง่ายๆ  เพราะเธอเฝ้าคิดถึงแต่บ๊อบบี้…

                    คุณเป็นใครกันนะ  และทำไมจู่ๆ คุณก็หายตัวไป และทิ้งค่าแรงให้ฉันตั้งมากตั้งมายขนาดนี้…ไหนคุณบอกกับ

    ฉันว่า คุณเป็นแค่จิตรกรจนๆ คนนึง  แต่ทำไมคุณถึงสามารถจับจ่ายใช้สอยข้าวของได้ตามใจ กับให้เงินฉันแบบนี้…

                    “รดา…คุณมีความคิดแบบผู้หญิงสมัยใหม่หรือเปล่า” รังสฤษฏิ์ถามเธอ

                “ฉันไม่เข้าใจที่คุณถามค่ะ” มัทธุรดาตอบเขา

                “เงินไงรดา  ผู้หญิงสมัยนี้ยอมทำทุกอย่างได้เพราะเงิน  แต่งงานเพราะเงิน  เอาตัวเข้าแลกเพราะเงิน อยู่กับคน

    รวยๆ ได้ โดยที่ไม่มีความรัก” รังสฤษฏิ์อธิบายหญิงสาว

                “…” มัทธุรดาไม่ตอบ

     

                    …คุณบ๊อบบี้  ฉันยังไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะคะ  ว่าฉันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า  ฉันถึงยังไม่ได้ตอบคุณออกไป แต่

    สำหรับฉัน…ในคืนนี้…ในคืนที่ไม่มีคุณอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ หลังนี้  ฉันรู้สึกว่า  บางครั้งผู้หญิง ก็คงไม่ได้คิดว่าเงินเป็นใหญ่

    กว่าความรักเสมอไปหรอกนะคะ เพราะเงินอาจซื้ออะไรได้มากมายก็จริง แต่เงินก็ไม่ได้ซื้ออะไรได้หมดทั้งโลกหรอกค่ะ โดย

    เฉพาะ…ความอ้างว้างที่ฉันกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้ฉันจะมีเงินมากมายแต่มันคงไม่สามารถทำให้ฉันหายอ้างว้าง

    ได้หรอก….

                    ทำไมคืนนี้ฉันถึงคิดถึงเขามากมายขนาดนี้นะ…รดา…ทำไมกันรดา

     

                    รุ่งสางรุจารีบตื่นนอนแต่เช้าตรู่  เดินมุ่งหน้าไปที่รถแล้วรีบขับมันออกจากรีสอร์ทหรู  เพื่อไปหามัทธุรดาที่บังกะโล

    รังสฤษฏิ์ก็เช่นเดียวกัน  รีบเดินไปปลุกแห้วถึงที่พัก  แต่แล้วเขาก็ต้องหัวเสีย  เมื่อไม่เห็นแห้วอยู่ในห้อง

                    “ไอ้แห้ว แกไปไหนของแกวะ  แกรู้ไหมว่าฉันต้องไปทำธุระด่วนมากขนาดไหน…กุญแจ…กุญแจรถ”

                    คิดได้แล้ว รังสฤษฏิ์ก็รีบเดินไปที่รถยุโรปหรู  ซึ่งจอดอยู่ในโรงรถ  โดยหวังว่าคนขับรถตัวดี  จะค้างกุญแจเอาไว้

    แต่แล้วกลับผิดคาด

                    “ไอ้แห้วเว้ยไอ้แห้ว…ไอ้แห้ว…ไอ้แห้ว”

                    ขณะกำลังงุ่นง่ามราวตัวเองเป็นเสือที่กำลังติดจั่นอยู่นั้น พลันก็สังเกตเห็นรถอีกคันหายไป…

                    นายรุจา…

                    รังสฤษฏิ์กระพริบตาถี่ พยายามนึกเท่าไหรก็นึกไม่ออกว่า ผู้ช่วยคนสำคัญของป๊าคนนี้ เหตุใดต้องคว้ารถขับออก

    ไปทั้งๆ ที่ยังเช้าตรู่ขนาดนี้

                    “โถ่เว้ย…จะมีคนขับรถไว้ทำไมวะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็รีบเดินกลับไปคว้าโทรศัพท์หาลุง คนที่เขาว่าจ้างให้มารับ

    มัทธุรดาทุกเช้า เพื่อให้มารับเขา

                    “ขอโทษด้วยครับ วันนี้ลุงไม่ว่างครับ” ลุงโชเฟอร์เอ่ยบอกเขาเสียงเรียบ

                    ให้ตายเหอะ  ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ…เอ๊ะไม่เป็นไร เราออกประตูหารถโบกก็ได้นี่หว่า

                    แต่แล้วรังสฤษฏิ์ก็ไม่สามารถเปิดประตูได้ เนื่องจากระบบรักษาความปลอดภัยที่ประตูใหญ่  ต้องกดรหัสนิรภัย

    ก่อน  จึงจะเปิดได้  รังสฤษฏิ์โมโหจัด คิดอะไรไม่ออกจึงได้ปีนรั้วบ้าน หวังจะออกไปโบกรถ เพื่อแอบไปดูมัทธุรดา และแล้ว

    เสียงไซเรน แจ้งว่ามีผู้บุกรุกก็ดังขึ้น นายแห้วซึ่งเดินออกไปซื้อของใช้ส่วนตัว พอได้ยินเสียงไซเรนดัง ก็รีบวิ่งกลับมาที่รีสอร์ท

    อย่างรวดเร็ว  นายแห้วเปิดประตูเข้าบ้านได้อย่างง่ายดาย  แต่ไม่ทันสังเกตเห็นเจ้านายของตัวเอง  กำลังนั่งค้างอยู่บน

    สันกำแพงสูง

                    “ไอ้แห้ว”

                    “เสียงอะไรวะ คุ้นๆ” นายแห้วมองไปรอบตัว แต่กลับไม่เห็นอะไร

                    รังสฤษฏิ์เรียกนายแห้วซ้ำอีก  เสียงไซเรนดังระงม “อ้าว…คุณหนู…คุณหนูขึ้นไปนั่งทำไมบนสันกำแพงครับเนี่ย”

                    “ไอ้แห้ว เอาบันไดมาเดี๋ยวนี่  รู้ไหมว่าฉันมีธุระด่วน ต้องการเอารถออกเดี๋ยวนี่” รังสฤษฏิ์ตะโกนแข่งเสียงไซเรน

                    นายแห้วรีบวิ่งไปปิดเสียงไซเรนในบ้าน  จากนั้นก็รีบวิ่งไปเอาบันไดอลูมีเนียมออกมาจากห้องเก็บของ พอมาถึง

    กำแพง ก็รีบกางบันไดออก รังสฤษฏิ์ค่อยๆ ไต่ลงมา พอถึงพื้นก็เตะก้นนายแห้วไปเสียทีหนึ่ง

                    “เอารถออก”

                    “จะไปไหนครับคุณหนู  ตะวันยังไม่แยงก้นเลยครับเนี่ย”

                    “จะเอาอีกสักทีนึงไหม”

                    นายแห้วรีบวิ่งไปเอากุญแจรถ  สองสามนาทีต่อมารถยุโรปคันโตก็พุ่งทะยานออกสู่ถนนใหญ่ มุ่งไปที่บังกะโล

    หลังเล็ก

                    เวลาเดียวกันนั้น กันตพงศ์ซึ่งพักอยู่ที่ห้องด้านหน้า  กำลังตื่นตกใจใหญ่  เพราะแขกที่มาเยือนแต่เช้าตรู่ คือคุณ

    ผู้ช่วยรุจา

                    “อะไรกันวะเนี่ย  พอหริดไป คุณผู้ช่วยก็มาหารดาเลยเหรอเนี่ย”

                    เสียงกริ่งดังได้ยินอย่างชัดเจน ตามมาด้วยเสียงเรียกชื่อมัทธุรดา

                    หญิงสาวค่อยๆ เปิดประตูออกมา พอเห็นว่าเป็นรุจา เธอก็รีบสวัสดีเขาทันที “คุณรุจามาได้ยังไงกันคะเนี่ย”

                    “ผมมาธุระที่หัวหินน่ะครับ  ก็เลยถือโอกาสชวนคุณไปทานข้าวเช้าด้วยกันที่ตลาด” รุจาเอ่ยแล้วยิ้มกว้างอย่าง

    มีชีวิตชีวานัก

                    “อ๋อค่ะ”

     

                    รุจาเดินลงไปนั่งรอเธอที่โต๊ะกินข้าว  หญิงสาวเตรียมชุดเสร็จ ก็รีบอาบน้ำทันที  ระหว่างนั้นนายแห้วก็ขับรถพา

    รังสฤษฏิ์มาถึงบังกะโลแล้ว

                    “นั่นรถคุณรุจานี่ครับคุณหนูใหญ่” นายแห้วเลี้ยวรถเข้าซอยแล้ว ร้องบอกผู้เป็นนาย

                    “หยุด…หยุดอย่าเพิ่งเข้าไป  ถอยออกมาจอดที่ถนนใหญ่เร็วเข้า”

                    นายแห้วรีบทำตามคำสั่ง ถอยรถออกสู่ถนนใหญ่ แล้วจอดแอบข้างทาง  รังสฤษฏิ์รีบเดินลงไปด่อมๆ มองๆ เห็น

    รุจากำลังนั่งกระดิกขา อมยิ้มอยู่ที่โต๊ะกินข้าวชั้นล่าง…

                    เฮ้ยเป็นไปได้ไงวะ ฉันตาฟาดไปหรือเปล่า  นายรุจา…นายยิ้มกรุ้มกริ่มกระดิกขาได้ด้วยเหรอเนี่ย  นี่แสดงว่านาย

    คิดจะจีบมัทธุรดาอยู่ใช่ไหม…หรือว่า จริงๆ แล้ว นายกับ…กับรดา…ปะ…ปะ…เป็นแฟนกันอย่างนั้นเหรอ!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×