ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสัวสองหน้า

    ลำดับตอนที่ #4 : มอบตัว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 145
      1
      19 ธ.ค. 55

    เจ้าสัวสองหน้า

    ตอนที่ ๔ มอบตัว

     

                รังสฤษฏิ์ยืนทอดสายตามองท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ภายในใจรู้สึกสับสนหนัก เพราะรุจาเข้ามาเหยียบจมูกเขา

    ถึงบันไดบ้าน  แม้รดาจะบอกว่า ไม่เคยรู้จักชายที่อาสามาส่งเธอก็จริง แต่ฝ่ายรุจาล่ะ! อาจจะกำลังสะกดรอยตามเขา พอ

    รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่  จึงต้องเดินทางมาดูให้เห็นกับตา

                    กันตพงศ์เอ่ยเรียกเพื่อนรัก

                    “ถึงเวลาที่แกต้องกลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริงแล้วนะ”

                    รังสฤษฏิ์ถอนหายใจยาว...เขาไม่อยากได้ยินถ้อยคำในทำนองนี้เลยสักนิด...

                    หึ...โลกของความเป็นจริงเหรอ...งั้นตอนนี้ฉันก็อยู่ในโลกของความฝันน่ะสิ

                    “หริดแกหนีโลกของความเป็นจริงไปไม่พ้นหรอก เพราะมันเป็นชีวิตที่แท้จริงของแกเอง มันเป็นครอบครัว เป็น

    ญาติพี่น้องซึ่งเป็นสายเลือดแท้ๆของแกเอง ไม่ว่าแกจะไปอยู่ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำที่ไหนมาก็ตาม ในที่สุดแกก็ต้องกลับบ้าน

                    “ไอ้พงศ์ฉันทำใจไม่ได้ว่ะรังสฤษฏิ์รู้สึกในลำคอตีบตันไปหมด

                    กันตพงศ์โอบไหล่เพื่อนรักเพื่อปลอบโยน แกคงเต็มตื้นสินะ

                    รังสฤษฏิ์พยักหน้าน้ำตาแทบรินไหลออกมาแกรู้ไหมตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วฉันรู้สึกยังไงกับป๊า...รัก

    หรือเกลียดขยะแขยงฉันยังตอบตัวเองไม่ได้เลย

                    กันตพงศ์ตบไหล่เพื่อนรักพยักหน้าน้อยๆ ถ้าตอบไม่ได้ก็อย่าเพิ่งหาคำตอบเลยวะเพื่อน

                    “เอางั้นเหรอเอ่ยจบรังสฤษฏิ์ก็วิ่งลงไปในทะเลแล้วร้องตะโกนเสียงดัง

                    …โว้ยทำไมมันต้องเป็นแบบนี้  ป๊าไอ้ศิลปะนี่มันผิดนักเหรอ  ผิดนักเหรอ...โว้ย...โว้ย

                    เขาร้องตะโกนได้เพียงเท่านี้  พลันน้ำตาก็รินไหลลงอาบแก้ม  จนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก

                    จิตกรหนุ่มทรุดกายลง  ปล่อยให้เกลียวคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า  ถาโถมเข้าใส่ตัว ไม่อยากจะคิด ไม่อยากจะ

    ยุ่งวุ่นวายกับใครในเวลานี้

                    กันตพงศ์เดินถอยห่างออกมา  แต่ยังคงเฝ้ามองเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง

                    “ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ” มัทธุรดาเดินถือถาดผลไม้ พร้อมเครื่องดื่มเย็น  เข้ามา

                    หญิงสาวมองหาคนที่หายไปอยู่สักพัก

                    “อยู่โน่นแน่ะ” กันตพงศ์ชี้มือไปในท้องทะเลที่มืดสลัว ใบหน้าเครียดขึง “รดากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ พี่ขออยู่

    เป็นเพื่อนมันก่อน”

                    มัทธุรดาเดินกลับเข้ามาในครัวเฉพาะกิจวางของลง รู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า เกิดอะไรขึ้นกับนายจ้างหนุ่ม แต่

    ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเรื่องนั้น...เป็นเรื่องอะไร  เธอก็พอจะเดาออกว่า  มันต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

     

                    เช้าวันรุ่งขึ้น...รุจาได้ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับคนในตระกูลของท่านเจ้าสัวอรุณเหมือนเช่นทุกวัน  แต่วันนี้...ผู้

    ร่วมโต๊ะมีเพียงเขากับ “สิริมา” น้องสาวของรังสฤษฏิ์เท่านั้น

                    เมื่อ “เดือนเพ็ญ” มารดาของรุจาเสิร์ฟข้าวต้มกุ้ง ให้แก่คนทั้งสองเสร็จแล้ว  เธอก็เดินไปยืนอยู่ที่มุมห้อง ซึ่งอยู่

    ไม่ไกลจากโต๊ะอาหารขนาดยี่สิบสี่ที่นั่ง ที่สุดแสนหรูหราในสไตล์หลุย  เพื่อรอให้บริการตามคำสั่งของเจ้านาย

                    สิริมานั่งอยู่ในที่นั่งตัวแรกฝั่งขวาของเก้าอี้ตัวประธาน ส่งยิ้มน้อยๆ ให้รุจา พร้อมยื่นหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับหนึ่ง

    ให้เขา “เช้านี้มีข่าวเซอร์ไพร์สพี่รุจาด้วยนะคะ”

                    ชายหนุ่มรีบหยิบหนังสือพิมพ์คลี่อ่านพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง  ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น รุจาก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้น

    หลังอ่านสรุปเนื้อความจบอย่างรวดเร็ว  เขาค่อยๆ พับหนังสือพิมพ์อย่างช้าๆ วางมันลงบนโต๊ะ พยายามปรับ

    สีหน้าให้เป็นปกติทั้งๆ ที่ภายในใจกำลังร้อนรุ่มอย่างหนัก

                    “ถ้าป๊าให้ข่าวแบบนี้  แสดงว่าพี่รุจาทราบแล้วเหรอคะ ว่าพี่หริดอยู่ที่ไหน” สิริมาเอ่ยถามชายหนุ่ม แล้วตักข้าวต้ม

    เข้าปาก

                    “กระผมยังไม่ทราบครับคุณหนู” รุจาไม่มีอารมณ์จะกินอาหารมื้อเช้าเสียแล้ว

                    “ตายแล้ว  ถ้าอย่างนั้นพี่รุจาคงถูกไม้ตายของป๊าเข้าแล้ว” เอ่ยจบสิริมาก็ถอนหายใจยาว เธอจ้องหน้ารุจาที่กำลัง

    นั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอ “แล้วแบบนี้พี่รุจาจะทำยังไงต่อไปคะ  เพราะในเนื้อข่าวแจ้งว่า ป๊ากำลังจะจัดงานเลี้ยง

    ฉลอง  ตำแหน่งเจ้าสัวคนใหม่ของตระกูล ในอีกสามวันข้างหน้า  ป่านนี้ป๊าคงสั่งลูกน้องจองโรงแรม ออกการ์ดเชิญแขก

    เหรื่อแล้วล่ะ”

                    รุจาไม่พูดอะไรเลย  ชายหนุ่มฝืนใจก้มหน้ากินข้าวต้มกุ้งฝีมือแม่ตัวเอง  ราวกับว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเลย

                    เดือนเพ็ญต่างหาก กลับมีริ้วรอยความกังวลบนใบหน้า จนสิริมารู้สึกสงสารเห็นใจ คุณแม่บ้านเก่าแก่ผู้นี้นัก...

    เฮ้อป๊าไม่เคยเปลี่ยนเลย  ตั้งแต่หนุ่มจนแก่  ยังคงทำตัวเป็นพระเจ้าชี้นิ้วสั่งเป็นสั่งตายคนอื่นอยู่ร่ำไป พี่รุจารึก็นะ

    ยอมให้ป๊าจนป๊าได้ใจ  ตัวเองก็เรียนสูงจบโทบริหาร  จะย้ายออกไปทำงานที่ไหน  ใครเขาก็รับ  ทำไมหนอทำไม  จะต้องมา

    อยู่รับใช้ป๊าด้วยก็ไม่รู้  คิดจะใช้ทุนที่เขาอุตส่าห์ส่งเรียนรึไงนะ

                    “เอ่อ...อิ่มแล้วเหรอ” เดือนเพ็ญเอ่ยถามรุจา ที่กำลังลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมยกชามข้าวต้มที่กินหมดแล้วขึ้นมาด้วย  “ส่งมาเถอะ  แม่จะล้างให้เองนะจ๊ะ”

                    “ไม่ต้องหรอกครับแม่  ผมจะล้างมันเอง” รุจาค้อมตัวลงเล็กน้อย เพื่อทำความเคารพคุณหนูเล็ก แล้วรีบเดินออก

    จากห้องรับประทานอาหารไปอย่างรวดเร็ว

                    “ป้าเดือน  ช่วงนี้ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้  ป๊าไม่อยู่  ก็ปล่อยให้พี่รุจาทำอย่างที่ตัวเองต้องการเถอะ  โถ...ถ้าสิเป็นพี่

    รุจา  สิคงลำบากใจแย่ ที่แม่แท้ๆ ต้องกลายมาเป็นคนคอยรับใช้ตัวเองแบบนี้  สิไม่ฟ้องป๊าหรอกค่ะ ป้าเดือนสบายใจได้”

                    เมื่อได้ฟังคำพูดของคุณหนูเล็ก เดือนเพ็ญก็ได้ยืนส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปอย่างเจียมตัว

     

                    วันนี้รุจายังคงทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมแทนเจ้าสัวอรุณต่อไป  พอตกบ่ายก็รีบติดตามงานของฝ่ายต่างๆ

    อย่างเคร่งเครียด  มารู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงห้าโมงเย็นแล้ว

                    ขณะมองนาฬิกายี่ห้อดังราคาแพงระยับที่ข้อมือตัวเอง เสียงแจ้งเตือนสถานะในโทรศัพท์ก็ดังขึ้น…

                    เมื่อรุจาเลื่อนแถบสถานะการเตือนลงมา  จึงรู้ว่าแอปพลิเคชั่นที่คอยติดตามพิกัดของรังสฤษฏิ์  ได้รายงาน

    ว่า ชายหนุ่มกำลังอาศัยอยู่ในประเทศไทย  พอเขาเปิดแอปพลิเคชั่นตัวนี้ขึ้นมา…มันก็รายงานพิกัดของรังสฤษฏิ์เป็น

    กราฟิควงกลมสีแดงกระพริบ  อยู่ในแผนที่โลก ระบุตำแหน่งว่าอยู่ที่หัวหิน!...

                    นี่คุณหนูตั้งใจเปิดแอปฯ นี้ให้ผมรู้…หรือว่าเผลอไปกดจีพีเอสกันแน่…แต่ทำไมต้องบังเอิญเป็นหัวหินด้วยล่ะ

                    รุจารีบเปิดภาพที่นักสืบส่งมาให้เขาดูเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง…

                    ชายหนวดเครารกรุงรังคนนี้ รุจารีบต่อโทรศัพท์ถึงรังสฤษฏิ์ทันที

     

                    ณ หาดทรายขาวหน้าที่พักชั่วคราวของรังสฤษฏิ์  ชายหนุ่มพูดโทรศัพท์เพียงสั้นๆ แล้ววางสาย  ในความรู้สึกของ

    เขาเวลานี้  ไม่ต่างอะไรกับนักโทษแหกคุก  ที่บังเอิญหนีไปไหนไม่รอด  จนต้องยอมมอบตัวและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมา

    จับตัวเขาเข้าไปขังในตาราง

                    รังสฤษฏิ์ถอนหายใจยาว  รู้สึกตัวว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ  เขารู้สึกเหนื่อยอยู่ลึกๆ ในใจ  เพราะเพิ่งแจ้งรุจาไป

    แล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน…

                    “สี่ทุ่ม นายมาเจอฉันที่รีสอร์ทตากอากาศของท่านเจ้าสัวได้เลย” รังสฤษฏิ์เอ่ยบอกรุจา

                “หมายความว่ายังไงครับคุณหนู…แค่มาเจอกันเท่านั้นหรือครับ” รุจาเอ่ยถามอย่างสงสัย

                “แค่นี้นะ ฉันมีเวลาไม่มาก เพราะฉันต้องสะสางเรื่องส่วนตัวก่อน”

                แล้วรังสฤษฏิ์ก็กดวางสาย

                    กันตพงศ์รู้ถึงการตัดสินใจของเพื่อนรักทางโทรศัพท์ในอีกห้านาทีต่อมา

                    “เฮ้ยตกลงแก…แกทำใจได้แล้วใช่ไหม ถึงได้โทรบอกคุณผู้ช่วยไปแบบนั้นน่ะ  แล้วแกจะทนไหวเหรอ” กันตพงศ์

    เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลจัด

                “ไอ้พงศ์ เมื่อคืนแกเพิ่งบอกฉันว่า ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริงอยู่หยกๆ รังสฤษฏิ์พยายาม

    พูดให้น้ำเสียงมีชีวิตชีวา “ก็นี่ไงล่ะ ฉันก็ทำตามที่แกบอกแล้วไง”

                “โธ่ไอ้เพื่อนรัก…ฉันก็แคอยากให้แกคิดตรึกตรองน่ะ  ความจริงฉันรู้ว่าแกยังไม่พร้อม  แต่ฉันก็จำใจจะต้องพูดกับ

    แกแบบนั้น  เพราะมันเป็นทางที่ถูกต้องที่สุดแล้ว”

                “หึ…ก็เพราะฉันนอนคิดมาทั้งคืนน่ะสิ ว่าสิ่งที่แกพูดมันเป็นความถูกต้อง ฉันเลยทำไง เพราะถ้าให้ฉันรอให้ใจฉัน

    พร้อม…ชาติหน้าละมั้ง ฉันถึงได้กลับบ้าน”

     

                    กลิ่นอาหารเย็นของมัทธุรดา  หอมกรุ่นไปทั่วห้องครัวเฉพาะกิจ  หญิงสาวหยิบจับเครื่องปรุงทำกับข้าวอย่าง

    ทะมัดทะแมง  จนรังสฤษฏิ์ซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวสี่เหลี่ยมเล็กๆ มองมันอย่างเพลิดเพลิน

                    “นี่คุณ  ไม่ต้องกลัวตกงานแล้วล่ะ”

                    “ใครว่าฉันกลัวตกงานคะคุณบ๊อบบี้” มัทธุรดาพูดในขณะชิมแกงที่ตัวเองทำ

                    “อ้าวผมก็นึกว่าคุณกลัวตกงานนะเนี่ยนะ” รังสฤษฏิ์ย่นคิ้วเข้าหากัน

                    มัทธุรดาเดินถือช้อนที่มีน้ำแกงมาให้รังสฤษฏิ์ชิมถึงปาก “ลองชิมดูหน่อยนะคะ  แกงแบบนี้ฉันไม่ได้ทำมาตั้งนาน

    แล้วค่ะ  ไม่รู้คุณชอบหรือเปล่า”

                    “เขาเรียกแกงอะไร” รังสฤษฏิ์สบตาหญิงสาว นัยน์ตาเป็นประกาย

                    “แกงเผ็ดฟักทอง ใส่ปลาทูสูตรโบราณค่ะ” มัทธุรดาเป่าน้ำแกงแล้วป้อนเข้าปากรังสฤษฏิ์ตามคำสั่งของเขา “เอ่อ

    เป็นยังไงคะ”

                    “อืม...อร่อยมากครับ น้ำแกงข้นกะทิแตกมัน หอมมาก หวานกำลังดี แล้วก็ไม่เผ็ดเท่าไหร่” รังสฤษฏิ์รายงานผล

                    “ไม่เผ็ดเท่าไหร่ แสดงว่าเผ็ดสิคะ นี่ฉันอุตส่าห์เพลามือ ไม่ใส่พริกเยอะตอนตำเครื่องแกงแล้วนะคะ”

                    “เผ็ดไปนิด แต่รับรองว่าผมกินได้ครับ”

    รังสฤษฏิ์เอ่ยพร้อมสบตาหญิงสาวนิ่งและนาน สายตาหวานหวามของเขาทำให้หญิงสาวหน้าแดงก่ำ ในที่สุด

    เธอก็ต้องหลบตา แล้วรีบกลับไปปิดเตาแก๊ส เตรียมเสิร์ฟอาหารเย็นสุดแสนอร่อยให้เขา...

                    ปูจ๋า...แกงเผ็ดฟักทอง ซึ่งเธอได้บรรจงแกะเนื้อปลาทูโขลกกับครกแล้วปั้นเป็นลูก อย่างที่คุณยายของเธอเคยทำ

    ให้เธอกินบ่อยๆ ครั้งเธอยังเด็ก ปิดท้ายด้วยทะเลผัดผงกระหรี่  ที่่รังสฤษฏิ์ชมอย่างไม่ขาดปากว่า  อร่อยและเป็นเมนูโปรด

    ที่เขาไม่ได้กินมานานหลายปีแล้ว

                    “ตอนค่ำฉันมีโปรแกรม จะพาคุณไปเที่ยวที่ตลาดโต้รุ่งในตัวเมืองหัวหิน  ฉันจะพาคุณไปกินโรตีเจ้าอร่อย กาแฟ

    โบราณที่ทั้งหอม มัน กินกับปลาท่องโก๋กรอบนอกนุ่มในร้อนๆ รับรองว่า คุณบ๊อบบี้จะลืมประเทศอังกฤษไปเลยล่ะค่ะ”

                    พอเธอพูดชวนเขา  ชายหนุ่มก็ออกอาการเศร้าสร้อยขึ้นมาทันที...

                    รดา...ผมอยากอยู่กับคุณ และอยากไปเที่ยวกับคุณจริงๆ นะครับ  แต่...แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ และวันนี้ครับ

                    “รดา” รังสฤษฏิ์เอ่ยเรียกหญิงสาว “เราไปเดินเล่นริมทะเลกันเถอะ”

                    พูดจบรังสฤษฏิ์ก็คว้ามือหญิงสาวทันที  เขาพาเธอออกวิ่งไปที่ริมทะเล  ซึ่งมีระลอกคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง เขาจูง

    กระชับฝ่ามือของเธอแน่น  หลายครั้งเขาบีบมันไว้ อย่างต้องการสื่อให้เธอรู้ว่า เธอเป็นคนที่เขาต้องการอยากคบหาด้วย

                    แสงสุริยาแผดแผ่วลงแล้ว มันกำลังแผ่ลำแสงสีแดงทาบทับแผ่นฟ้ากว้าง เป็นเครื่องหมายของเวลาช่วงสุดท้าย

    ของวัน เสียงคลื่นกระทบฝั่งซูซ่าไม่ขาดระยะ หมู่นกทะเลบินต่อแถวเรียงกันอยู่บนฟ้า แทรกเสียงร้องออกมาเป็นระยะๆ

                    “เมื่อคืนผมทำอะไรบ้าๆ ไปตั้งเยอะ” รังสฤษฏิ์เอ่ยพร้อมพาเธอนั่งบนหาดทราย “คุณเห็นแล้ว คงคิดว่าผมบ้าไป

    แล้วแน่ๆ เลยใช่ไหม”

                    “ฉันยังไม่ได้คิดแบบนั้นเลยค่ะ” มัทธุรดาหันหน้ามองชายหนุ่ม “แต่ฉัน...รู้สึกเป็นห่วงคุณมากต่างหากล่ะคะ”

                    “ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงผม”

                    หนุ่มสาวนั่งชันเขาเคียงข้างกัน ทอดสายตามองท้องทะเลจรดฟากฟ้ากว้างใหญ่

                    “ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้แหละค่ะ มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้างปนๆ กันไป  ไม่มีใครมีความสุขได้ตลอดเวลาหรอกค่ะ ดีเสีย

    อีก ที่คุณบ๊อบบี้ระบายมันออกมาบ้าง  ดีกว่าเก็บเอาไว้ในใจคนเดียว  มันจะยิ่งทำให้เราทุกข์ทรมานมากขึ้นไปอีก”

                    “ก็ถูกของคุณนะรดา  แต่เรื่องบางเรื่อง ระบายยังไงมันก็ไม่หาย  คุณเคยเป็นแบบนี้ไหม” รังสฤษฏิ์ถามเธออย่าง

    สนใจนัก

                    “ฉันเรียกมันว่าชะตาชีวิตค่ะ” มัทธุรดาพูดพร้อมหยิบเปลือกหอยสีขาวขึ้นมาดู “เพราะมันจะต้องอยู่กับเราไป

    ตลอดชีวิต หรือ...ไม่รู้ได้...ว่าเมื่อไหร่มันจะจบลง”

                    “หมายความว่า เราต้องเผชิญกับมันใช่ไหม” รังสฤษฏิ์แบมือออก มัทธุรดาวางเปลือกหอยในมือของเขา

                    “ใช่ค่ะ... เรื่องบางเรื่อง มันเป็นเรื่องที่เราแก้ไขไม่ได้จริงๆ อย่างเรื่องของพ่อฉัน  ทำยังไงพ่อก็ไม่เลิกกินเหล้า

    กับเล่นการพนัน  ฉันไม่เข้าใจเลย ว่าสิ่งที่ไม่ดีแบบนี้  ทำไมพ่อถึงยังทำอยู่  ไม่ว่าใครในบ้านจะพูดยังไง พ่อก็ไม่ยอมเลิก

    จนฉันชักจะเริ่มชินกับมันแล้วล่ะ”

                    “ชินเหรอรดา  แสดงว่าคุณอยู่กับความทุกข์จนชินแบบนั้นเหรอครับ” รังสฤษฤิ์เอ่ยแล้วขว้างเปลือกหอยสีขาว

    ลงทะเล

                    “ค่ะ ในเมื่อมันแก้ที่พ่อไม่ได้  ฉันก็ต้องทำใจเผชิญหน้ากับมันไป” ว่าแล้วมัทธุรดาก็ถอนใจ “เฮ้อ...ไม่ใช่จะชิน

    กับมันจริงๆ หรอก  เพียงแต่ฉันเริ่มรู้แล้ว  ว่าควรจะรับมือกับพ่อยังไงต่างหากคะ และฉันก็ต้องพยายามทำให้ทุกอย่างมัน

    อยู่ต่อไปให้ได้ ไม่พยายามคิดถึงอนาคต ไม่พยายามคิดถึงอดีต  แต่ฉันคิดถึงปัจจุบัน แก้ปัญหาเป็นจุดๆ ไป ไม่คิดมากจน

    เกินจำเป็น  แล้วฉันก็อยู่กับมันได้”

                    “คุณนี่เป็นนักสู้จริงๆ นะ  เป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำผมเสียความมั่นใจเลยนะนี่” ว่าแล้วรังสฤษฏิ์ก็หัวเราะออกมาเสียง

    ดัง “ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ผมเลือกแต่จะหนีความจริงในข้อนี้เสียตลอดเวลา กว่าจะรู้ว่าตัวเองฝันไป ใจก็เตลิดไปไกล จนแทบ

    กู่ไม่กลับแล้ว”

                    “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นคิดใหม่ก็ได้นี่คะคุณบ๊อบบี้ เดี๋ยวๆ ก็จะชินไปเอง สู้ๆ ค่ะ สู้ๆ”

                    มัทธุรดายื่นฝ่ามือออกไป รังสฤษฏิ์จึงรีบยื่นมือไปจับฝ่ามือของเธอไว้ “สู้ๆ สู้ๆ สู้ๆ”

                    สองหนุ่มสาวยิ้มให้กัน ต่างพยักหน้ารับกันเป็นเชิงให้กำลังใจอยู่อย่างเนิ่นนาน  รังสฤษฏิ์ไม่คิดเลยว่า การได้มา

    พบกับหญิงสาวแสนสวย แสนน่ารักคนนี้  จะทำให้ระบบความคิดของตัวเอง แปรเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้...

                    รดา...ผมคงต้องจากคุณไปก่อนนะ  เวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่กับคุณ  มันช่างมีค่ากับผมเหลือเกิน

                    “คุณเจอตุ๊กแกในห้องของคุณไหม” รังสฤษฏิ์ถามเธอแล้วหัวเราะออกมาเบา

                    “ฉันรู้แล้วล่ะค่ะ ว่าจริงๆ ตุ๊กแกมันอยู่ในห้องของคุณ  ไม่ใช่ในห้องของฉัน” มัทธุรดาค้อนขวับ

                    รังสฤษฏิ์หัวร่องอหาย

                    “คุณรู้ได้ยังไง”

                    “ฉันเจอมันตอนเข้าไปหยิบเงินค่ากับข้าว  และเมื่อเช้า พี่พงศ์ก็บอกฉันอีกว่า คุณแกล้งหลอกฉัน”

                    รังสฤษฏิ์ฟังที่เธอพูด เขาจึงหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง  เวลานี้ เขารู้สึกมีกำลังใจอย่างมหาศาล  ที่จะสู้รบกับ

    ปัญหาที่ป๊าเป็นผู้วางไว้ให้เขา

                    “รดา...คืนนี้ผมคงไปเที่ยวตลาดโต้รุ่งในเมืองกับคุณไม่ได้หรอกนะครับ  เพราะผมมีงานด่วนที่จะต้องทำ”

    พูดแล้วสีหน้าของเขาพลันเศร้าลง “ผมขอแรงคุณ ไปซื้อพู่กันกับสีที่ในเมืองให้ผมหน่อย”

                    รังสฤษฏิ์เดินพาเธอกลับมาที่พัก สารถีซึ่งเป็นชายสูงวัยคนเดิม ก็มาจอดรถรอเธออยู่แล้ว

                    “รดา โชเฟอร์เขารู้จักร้านนั้นดี  รีบไปเถอะขอให้โชคดีนะครับ”

                    ในความรู้สึกของมัทธุรดา  คำพูดของบ๊อบบี้ คล้ายเป็นคำเอ่ยลาเธอมากกว่าคำอวยพรโดยปกติ...

                    คิดมากไปมั้งรดา  เอ...แต่เขาดูแปลกๆ พิกล แต่ช่างเถอะ รีบไปรีบกลับ ก็ดีเหมือนกันได้เข้าเมืองตอนนี้ จะได้

    เช็คอีเมล์เสียเลย  จะได้รู้ว่ามีบริษัทไหนเรียกเราสัมภาษณ์งานบ้าง

     

                    เมื่อรถสองแถวที่มัทธุรดานั่งอยู่นั้นเคลื่อนตัวออก  กันตพงศ์ก็ขับรถเข้ามารับรังสฤษฏิ์ไปในเมืองเช่นกัน

                    “แกแน่ใจแล้วเหรอวะ  ว่าจะกลับบ้านทั้งๆ ที่ใจแกไม่พร้อมแบบนี้” กันตพงศ์ถามสีหน้าเป็นกังวลจัด

                    “สู้ๆ ว่ะ  ผู้หญิงตัวเล็กๆ ยังสู้ปัญหาหนักอกได้  แล้วผู้ชายอกสามศอกอย่างฉัน ทำไมจะไม่ลองสู้กับปัญหาที่

    ป๊าเป็นคนวางเอาไว้บ้างล่ะ” รังสฤษฏิ์พูดแววตาฉายแววเด็ดเดี่ยวเอาจริงเอาจังนัก

                    “นี่แก...คงไม่ได้หมายถึง...รดาหรอกนะ” กันตพงศ์ด้นเดา

                    รังสฤษฏิ์ฟังคำของเพื่อนรักแล้ว  ไม่ได้ตอบอะไร  เขาได้แต่นั่งอมยิ้ม ในใจเฝ้าคิดถึงแต่รดา หญิงสาวที่แสน

    สวย แสนน่ารัก...อยู่เงียบๆ เพียงคนเดียว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×