ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสัวสองหน้า

    ลำดับตอนที่ #3 : สะกดใจ สะกดรอย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 154
      1
      16 ธ.ค. 55

    เจ้าสัวสองหน้า

    ตอนที่ ๓ สะกดใจ สะกดรอย
     

                    รังสฤษฏิ์มองมัทธุรดาอย่างสำรวจ...

                    เธอเป็นผู้หญิงรูปร่างดีหน้าตาดี  ใจกล้ามาทำงานอยู่กับผู้ชายแบบนี้  คงไม่เบาเลยสินะ...

                    แต่ดูจากรูปลักษณ์การแต่งตัวของเธอแล้ว  ก็ไม่ได้ส่อไปในทำนองยั่วผู้ชายเลยนี่หว่า!...หน้าก็ไม่แต่ง ผมเผ้าก็

    ไม่ได้เซ็ทให้สวย  แค่หวีเรียบๆ แล้วมัดไว้ข้างหลังเท่านั้นเอง...

                    ยิ่งเสื้อผ้าด้วยแล้ว  อย่างกับถอดแบบมาจากผู้ชาย...นี่ขนาดยังไม่แต่งองค์ทรงเครื่อง ยังสวยได้ถึงขนาดนี้ และ

    ถ้าเธอลุกขึ้นมาแต่งตัวละก็...จะสวยหยาดเยิ้มสักแค่ไหนเชียว

                    มัทธุรดากระแอม

                    “จะให้ฉันพักตรงไหนคะ” เธอถามเขา ผิวหน้าร้อนผ่าวเพราะถูกชายตรงหน้าจ้องมองอย่างไม่วางตา...พลางคิด

    ถึงคำพูดที่กันตพงศ์รับรองกับเธอว่า  เขาเป็นคนไว้ใจได้นั้น  จริงๆ แล้วจะเป็นอย่างที่พูดไว้หรือเปล่า

                    “ห้องนั้นไง” เขาชี้ไปที่ห้องหลังบ้าน “แต่ห้องข้างหลังมีตุ๊กแกนะคุณ เมื่อวานตอนผมมาถึงใหม่ๆ ไอ้พงศ์มันเข้าไป

    ดูให้  บอกผมว่ามีโคตรพ่อโคตรแม่ตุ๊กแกอยู่คู่นึง  มันเลยบอกให้ผมนอนห้องข้างหลัง  แต่ผมกลัวตุ๊กแก ผมเลยขอนอนห้อง

    ข้างหน้าดีกว่า”

                    ฟังเขาพูดแค่นั้น เธอก็นึกขยาด “อ๋อ...ฉันไม่กลัวตุ๊กแกหรอกคะ  โชคดีจังจะได้มีเพื่อนอยู่ ไม่เหงาดี” มัทธุรดาฝืน

    ใจพูด  ความจริงแล้วเธอกลัวตุ๊กแก และสัตว์เลื้อยคลานเกือบทุกชนิด

                    “เอ้า...งั้นก็สมดุลกันนะ  คุณไม่กลัวก็อยู่กับตุ๊กแกไป  ส่วนผมกลัวตุ๊กแกก็นอนห้องที่ไม่มีตุ๊กแก” รังสฤษฏิ์พูดแล้ว

    อมยิ้ม แววตาของเขายียวนนัก “ก็ระวังๆ หน่อยแล้วกันนะครับ  ไม่รู้มีแมลงพอให้มันกินหรือเปล่า  เดี๋ยวตอนกลางคืนมัน

    อาจจะมาขออาหารกินน่ะ”

                    พูดแล้วเขาก็รีบเดินเข้าห้องพักหน้าตาเฉย  ทิ้งให้เธอยืนตัวแข็งทื่ออยู่พักใหญ่  เพราะไม่กล้าเข้าห้องพักของตัว

    เอง...

                    คุณพระคุณเจ้า...ทำไมต้องเป็นแบบนี้นะ  แล้วอย่างนี้ฉันจะนอนหลับได้ยังไงล่ะ 

                    เสียงน้ำจากห้องน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างห้องนอนสองห้อง ดังแว่วเข้าไปในห้องพักของรังสฤษฏิ์  ชายหนุ่มนอนแผ่อยู่

    บนเตียงนอนขนาดพอดีตัว  คิดสนอกสนใจแม่บ้านคนใหม่ของเขานัก เมื่อเสียงน้ำเงียบลงสักพัก  เขาจึงเปิดประตูออกไป

    ดูเธออีกครั้ง

                    “อ้าวทำไมคุณยังไม่เอากระเป๋าเสื้อผ้า  เข้าไปเก็บในห้องอีกล่ะ” รังสฤษฏิ์ถามอย่างสงสัย

                    “ก็ฉันอยากอาบน้ำก่อนนี่คะ  เพราะรู้สึกเหนียวตัว” หญิงสาวก้าวออกมาจากห้องน้ำพอดี  เธอสวมชุดใหม่

    เรียบร้อย กำลังจัดแจงคลุมเรือนผมด้วยผ้าเช็ดตัว

                    เธอสวยไม่ใช่เล่น ปากนิดจมูกหน่อย ดวงตากลมโตใบหน้าเรียบผิวนวลเนียนกว่าเมื่อตะกี้เป็นกอง  นี่ถ้าเปลี่ยน

    เป็นชุดนอนกระโปรง ผ้าบางๆ เธอคงสวยเซ็กซี่อย่าบอกใครเชียว

                    “คุณแม่บ้านมีกระเป๋าเดินทางแค่ใบเดียวเองเหรอ  ผมนึกว่าคุณจะหอบเสื้อผ้าของใช้มาเยอะกว่านี้  หรือยังอยู่

    ข้างล่าง  ผมจะได้ช่วยยกขึ้นมาให้” รังสฤษฏิ์พูดพร้อมจ้องมองหน้าเธอต่อไปอย่างพึงพอใจ

                    “มีแค่นี้แหละค่ะ  ฉันมีเสื้อผ้าไม่มากหรอก  เพราะไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนๆ แล้ว” มัทธุรดาพูดแล้วอึ้งไป

    รู้สึกฉุนตัวเองนัก ที่เผลอพูดเรื่องส่วนตัวให้เขาฟัง

                    “อ้าวทำไมล่ะ ผมนึกว่าคุณอยู่บ้านกับพ่อแม่เสียอีก” รังสฤษฏิ์ถามอย่างสงสัย

                    “เอ๋อไม่มีอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวพอฉันเสร็จงานของคุณ ฉันตั้งใจจะกลับบ้านอยู่พอดี” ว่าแล้วเธอก็รีบคว้ากระเป๋า

    เดินเข้าไปในห้องพัก

                    รังสฤษฏิ์มองตามเธอไปยังไม่หายสงสัย “อะไร...ไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนๆ” ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปในห้อง

    ต่อโทรศัพท์ถึงกันตพงศ์ เพื่อถามประวัติหญิงสาวทันที

     

                    เช้าวันรุ่งขึ้น มัทธุรดาตื่นแต่เช้า  แต่รังสฤษฏิ์กลับตื่นเช้ากว่าเธอเสียอีก  เขาเขียนโน้ตสั้นๆ ติดไว้ตรงประตูห้องว่า

                    ‘ผมเตรียมเงินค่ากับข้าวกับเบี้ยเลี้ยงประจำวันให้คุณอยู่ในลิ้นชักโต๊ะหน้ากระจกให้แล้ว  คุณหาอะไรอร่อยๆ ให้

    ผมกินด้วย  แล้วเรามาปิกนิคกันที่ชายหาด  มาหาผมตามแผนที่นั่นแหละ...เร็วๆ นะจ๊ะ ผมหิ้วท้องรอคุณอยู่

                    แล้วเขาก็วาดรูปของเธอด้วยลายเส้นดินสอติดเอาไว้ด้วย  มัทธุรดาเห็นแล้วรู้สึกทึ่งในฝีมือของผู้วาดรูปนัก  แม้ดู

    ดูเรียบๆ ไม่ได้ลงสีอะไร  แต่ลายเส้นคมๆ กับจุดเด่นบนใบหน้าซึ่งถูกเน้นออกมาเป็นพิเศษ  ได้แปลงหน้าของเธอให้กลาย

    เป็นรูปการ์ตูนที่สวยน่ามอง

                    มัทธุรดาบรรจงแกะรูปออกจากประตู แล้วจึงเดินเข้าห้องรังสฤษฏิ์ เพื่อหยิบเงินค่าแรงในลิ้นชัก  อยู่ๆ เสียงร้อง

    ของตุ๊กแกก็ดังลั่นห้อง

                    เธอกรี๊ดสุดเสียงเมื่อพบว่า ตุ๊กแกตัวเขื่อง กำลังเกาะอยู่ที่ผนัง เหนือกระจกบานใหญ่หน้าลิ้นชัก  เธอรีบเปิดประตู

    ห้องวิ่งหนีลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว  เมื่อตั้งสติได้แล้วจึงพบว่า  มีชายคนหนึ่ง เดินออกมาจากใต้ถุนบ้าน

                    “เป็นอะไรครับ” ชายวัยกลางคนผมสองสี ซึ่งอยู่ในอาการแปลกใจ ถามเธอ

                    หญิงสาวถอยห่างออกมา  รู้สึกตกใจที่เห็นชายแปลกหน้าอยู่ในตัวบ้าน “ลุงเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่!”

                    “ลุงมาทำธุระตามที่คุณบ๊อบบี้สั่งครับ” ชายกลางคนรายงานพร้อมส่งยิ้มให้เธอ “ผมนำเตาแก๊สและอุปกรณ์จำ

    เป็นในการทำครัวมาให้แล้วครับ”

                    หญิงสาวกวาดสายตามองบริเวณใต้ถุนบ้าน บัดนี้มันได้กลายมาเป็นครัวขนาดย่อม ซึ่งมีโต๊ะรับประทานอาหาร

    เล็กๆ ขนาดสองคน พร้อมชุดรับประทานอาหารพร้อมสรรพ

                    “ขาดเหลืออะไรบอกลุงเลยนะครับ  เพราะทุกเช้าคุณบ๊อบบี้สั่งให้ผมมารับคุณหนูไปตลาด”

                    “อย่างนั้นเหรอคะ” มัทธุรดาแปลกใจนักว่า  ทำไมเขาถึงต้องจัดหาข้าวของเครื่องใช้มากมายขนาดนี้ เพราะมี

    กำหนดพักที่บังกะโลแห่งนี้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น…นายเป็นคนยังไงกันนะ  ท่าทางคงมีตังค์เยอะน่าดู ถึงได้สามารถเนรมิต

    อะไรต่อมิอะไรได้ถึงขนาดนี้  เอ…แต่ถ้ามีตังค์เยอะแล้วทำไม  ถึงได้มาเช่าบังกะโลธรรมดาอยู่ล่ะ  ความจริงเขาน่าจะไป

    เช่ารีสอร์ทที่มีหาดส่วนตัวอยู่เสียมากกว่านี่

     

                    หลังกลับจากตลาด มัทธุรดารีบจัดแจงทำอาหารมื้อเช้าให้นายจ้างทันที เพียงไม่นานแกงเขียวหวานไก่ ไข่เจียว

    ยัดไส้ และผัดกระเพราปลากระพงก็เสร็จสรรพ  พร้อมเสิร์ฟกับข้าวหอมมะลิร้อนๆ หอมกรุ่น  อยู่ในเถาทับเปอร์แวร์ขนาด

    เขื่อง

                    เพียงแรกเห็นอาหารมื้อเช้า รังสฤษฏิ์ก็รีบวางมือจากงานเขียนภาพทันที เขาก้มหน้าดมกลิ่นอาหาร พอเงยหน้า

    ขึ้นก็เอ่ยชมเธอว่า มันหอมน่ากินเหลือเกิน

                    “ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์ชม”

                    บรรยากาศบนหาดทรายริมทะเลยามเช้าอันเงียบสงบ  ดวงอาทิตย์กำลังทอแสงอยู่บนแผ่นฟ้า  มีหมู่เมฆลอย

    เรื่อยอยู่บางๆ คนทั้งสองร่วมรับประทานอาหารบนเสื่อผืนเล็กๆ แวดล้อมด้วยธรรมชาติอันแสนงดงาม

                    “คุณรู้ไหม ผมไม่ได้กินอาหารไทยอร่อยๆ แบบนี้มาตั้งนานแล้วน้า”

                    “ดีใจที่คุณชอบค่ะ  ฉันแค่ทำอาหารได้ แต่ทำไม่เก่งหรอก” มัทธุรดาพูดถ่อมตัว

                    “ถ่อมตัว…ผมไม่ใช่จระเข้นะ ถึงได้ไม่รู้ว่าอะไรอร่อยหรือไม่อร่อย  ฝีมือแบบนี้เป็นแม่ครัวเปิดร้านอาหารขายได้

    เลยล่ะ” พูดแล้วรังสฤษฏิ์ก็นึกถึงเรื่องที่คุยกับกันตพงศ์เมื่อคืนขึ้นมาได้…

                    “เธอจบวทบ. วิชาเอกวิทยาศาสตร์การอาหารเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง” กันตพงศ์บอกรังสฤษฏิ์

                    “หา...เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง วิทยาศาสตร์การอาหารด้วยเหรอ  แล้วทำไมถึงไม่ทำงานตรงสาขาล่ะวะไอ้พงศ์”

    รังสฤษฏิ์เอ่ยถามเพื่อนรักอย่างแปลกใจ

                “ข้อนั้นฉันไม่รู้ว่ะ  น้องสาวฉันบอกไม่รู้ แต่ที่รู้คือเมื่อก่อนเธอทำงานที่บริษัทไทยราเมน คู่แข่งบริษัทเราเลยล่ะ”

    กันตพงศ์บอกเพื่อนรัก ทั้งๆ ที่งัวเงียจัด

                “ช่วยสืบให้หน่อยดิวะ ฉันอยากรู้” รังสฤษฏิ์แจ้งความต้องการทันควัน

                “ทำไมวะอยู่ๆ ก็เกิดสนใจเธอขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ  บอกไว้ก่อนนะ...คนนี้เป็นเพื่อนน้องสาวฉัน  ห้ามทำอะไร

    รุ่มร่าม มิดีมิร้ายกับเธออย่างเด็ดขาด” กันตพงศ์ได้โอกาสปรามเพื่อนรัก

                “........”

                    “เห๊อะ…ไอ้เพื่อนพงศ์!” รังสฤษฏิ์เปรยออกมาอย่างลืมตัว

                    มัทธุรดาเงยหน้ามองเขาอย่างแปลกใจ จากนั้นเธอก็เผยรอยยิ้มขันๆ เพราะคราบอาหารเปรอะเลอะเคราหนาๆ เข้าให้แล้ว  เธอจึงรีบดึงทิชชูส่งให้เขา

                    “ผมมองไม่เห็น  คุณเช็ดให้ผมหน่อยสิ”

                    มัทธุรดาเม้มริมฝีปากแน่น  เธอมองเขาที่กำลังเขยิบกายเข้าใกล้ตัวเธอ จนต้นขาชนกัน และเขายังยื่นหน้าที่เต็ม

    ไปด้วยหนวดเครามาใกล้ๆ หน้าของเธออีก พร้อมพูดขอร้องออกมาเป็นครั้งที่สอง

                    มัทธุรดารู้สึกตื่นเต้นหัวใจเต้นถี่ เธอหลบตาเขามองเคราที่เปื้อน ค่อยๆ บรรจงเช็ดคราบเลอะช้าๆ  ส่วนชายหนุ่ม

    เพ่งมองดวงหน้าเล็กๆ ได้รูปของเธออย่างลืมตัว  เมื่อได้ใกล้…จึงรู้ว่าใบหน้าของเธอช่างสวยน่ารักเหลือเกิน  จนเขาต้อง

    กลั้นใจ  ห้ามความรู้สึกจากภายใน

                    “ไม่เลอะแล้วค่ะ” เธอบอกเขาเบาๆ พร้อมกระถดตัวหน่อยหลัง หันหน้ามองคลื่นน้ำซัดหาดทรายขาว เพื่อซ่อน

    ความเขินอาย

                    ขายหนุ่มเผยยิ้มบางๆ พลางคิดสงสัยอยู่ว่า  เธอยังโสดสนิท หรือ มีคู่ใจไปแล้วนะ  สวยน่ารักขนาดนี้ จะมีคน

    สอยเธอลงมาครอบครองแล้วหรือไม่หนอ

                   

                    รุจาลุกขึ้นจากโซฟาเป็นคนสุดท้าย  ภายหลังการประชุมหารือนอกรอบจบลง ผู้บริหารระดับสูงค่อยๆ ทยอยออก

    จากห้องพักของเจ้าสัวอรุณในโรงพยาบาล

                    “เดี๋ยวก่อน” เจ้าสัวอรุณเอ่ยเสียงดัง

                    รุจาจึงหยุด หันมองท่านเจ้าสัวพร้อมก้มหัวทำความเคารพ

                    “ฉันรอให้แกรายงานเรื่องเจ้ารังสฤษฏิ์อยู่นานแล้วนะ  ตกลงแกทำอะไรอยู่  ทำไมมันถึงไม่กลับมาสักที” เจ้าสัว

    อรุณเอ่ยพร้อมทำท่าจะลุกขึ้นยืน  รุจาจึงรีบเข้าไปหมายจะประคอง  “ไม่ต้องฉันยืนเองได้”

                    “แต่ท่านครับ ท่านยังต้องทำกายภาพอีกหลายครั้ง” รุจาเอ่ยอย่างเป็นห่วง

                    เจ้าสัวอรุณชี้หน้ารุจา “แกมันไม่ได้เรื่อง  คนเพียงคนเดียว  เอากลับมาไม่ได้  แล้วอย่างนี้แกจะไปทำอะไรกินหา

    นี่ฉันให้เวลาแกตั้งหลายเดือนแล้วนะ”

                    รุจารู้สึกอึดอัดใจนัก  เวลาที่ผ่านมานั้น เขาไม่เคยเพิกเฉยกับเรื่องนี้เลย  ตรงกันข้ามเขาทั้งโทรทั้งอีเมล์เร่งรัดให้

    รังสฤษฏิ์กลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด  แต่แล้วยิ่งเร่ง…รังสฤษฏิ์ก็ยิ่งเย็นชาใส่เขา  จนในที่สุดเขาก็หายไปและติดต่อไม่ได้อีก

    เลย

                    “ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน” เจ้าสัวอรุณเพ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่พอใจ

                    “กระผม” รุจาก้มหน้า “ไม่ทราบจริงๆ ครับ”

                    ทันใดนั้นเจ้าสัวก็เหวี่ยงแจกันกุหลาบใส่รุจา…

                    แจกันกระแทกหน้าอกชายหนุ่มอย่างแรง  ก่อนมันร่วงลงกระทบพื้นจนเศษแก้ว…น้ำและกุหลาบ เกลื่อน

    กระจายเต็มพื้นไปหมด

                    “ไอ้เลว…ไอ้ไม่ได้เรื่อง…ไอ้โง่” เจ้าสัวเดินตรงมากระชากคอเสื้อนอกของรุจาอย่างแรง “แกไปตามมันกลับมา

    ให้ได้  ไม่ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่  ภายในอาทิตย์นี้แกต้องเอามันกลับมาหาฉันให้ได้”

                    รุจาก้มหน้านิ่งพูดอะไรไม่ออก  เจ้าสัว…ไล่เขาออกจากห้องอย่างไม่ปราณี

                    ยิ่งคิด…รุจาก็ยิ่งมืดแปดด้านไปหมด  รังสฤษฏิ์หายตัวไปเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว  โทรศัพท์ไปก็ไม่มีสัญญาณ

    หลังคิดตรึกตรองหาทางออกอยู่นาน  ชายหนุ่มก็นึกถึงกันตพงศ์ เพื่อนรักของรังสฤษฏิ์  ซึ่งทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล

    อยู่บริษัทเดียวกัน

                    ถ้าพบกันซึ่งๆ หน้า นายพงศ์คงไม่ยอมเปิดปากบอกเราแน่ ถ้าอย่างนั้นคงต้องใช้เครื่องทุ่นแรง!!!…

                    ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบติดต่อนักสืบ ให้สะกดรอยตามกันตพงศ์ทันที

                   

                    ช่วงหัวค่ำ…ขณะมัทธุรดากำลังทำอาหารมื้อเย็นอยู่ข้างล่าง รังสฤษฏิ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์ของรุจา  ซึ่งโทร

    เข้าหมายเลขใหม่ของเขา ในคืนที่มัทธุรดามาถึง  ชายหนุ่ม เฝ้าคิดเท่าไหร่…ก็คิดไม่ออกว่าคนสนิทของป๊าผู้นี้  จะรู้เบอร์ที่

    เขาเพิ่งเปิดใช้ได้ยังไง

                    “อะไรนะ!” กันตพงศ์ซึ่งกำลังเดินทางมาหารังสฤษฏิ์ที่หัวหิน พูดผ่านลำโพงโทรศัพท์เสียงดัง “แล้วหลังจากนั้น

    ผู้ช่วยโทรมาอีกหรือเปล่า”

                    “ไม่” รังสฤษฏิ์ตอบเพื่อนรัก “แต่ฉันไม่กล้าใช้แล้วว่ะ”

                    “ทำไมวะ  ไม่เห็นต้องซีเรียสขนาดนั้นเลยนี่หว่า  ก็อีกไม่กี่วันแกก็ต้องกลับเข้าบ้านแล้ว” กันตพงศ์แสดงความคิด

    เห็น…แต่แล้ว “เฮ้ย…นี่แกอย่าบอกฉันนะเว้ย  ว่าแกจะอยู่ต่อแบบไม่มีกำหนด”

                    “เออ ฉันกำลังคิดแบบนั้นอยู่”

                    “เฮ้ยไม่ได้ๆ นี่แกทำผิดหลายเรื่องแล้วนะ  ตั้งแต่หลบท่านเจ้าสัวไปเรียนศิลปะ แทนที่จะเรียนบริหาร  แล้วตอน

    อยู่อังกฤษแกก็ไม่ยอมกลับเมืองไทย  คราวนี้พอกลับเมืองไทยแกก็ยังไม่ยอมกลับบ้านอีก  รู้ไหมฉันไม่เป็นอันทำงานแล้ว

    เพราะ ผู้ช่วยพยายามจะพบฉันให้ได้  จนตอนนี้ฉันแทบจะย้ายที่ทำงานไปอยู่ในห้องน้ำถาวรแล้ว  อีกอย่างนึง…แกไม่ห่วง

    แม่แกบางหรือไง  ฉันได้ข่าวว่าท่านกำลังตรอมใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับมาระยะนึงแล้วนะเว้ย”

                    “โอ้ยให้ตายเหอะ นี่ฉันต้องกลับไปรับตำแหน่งเจ้าสัวจริงๆ เหรอวะเนี่ย”

                    “ก็เออน่ะสิ  นี่ฉันขับเข้าเขตหัวหินแล้ว  อีกเดี๋ยวค่อยคุยกันตอนกินข้าวก็แล้วกันนะ”

                   

                    กันตพงศ์ขับรถมาจอดอยู่ข้างบังกะโล  ครั้งแรกที่มัทธุรดาเห็นเขา  หญิงสาวออกอาการดีใจ  รีบต้อนรับขับสู้

    เป็นการใหญ่  ผิดกับรังสฤษฏิ์ที่มีอาการเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด

                    “ฝีมือทำอาหารของรดานี่  หาตัวจับยากจริงๆ” กันตพงศ์เอ่ยชมเพื่อนน้องสาว หลังได้ลิ้มรสโป๊ะแตกของเธอ

                    “ชมเกินไปแล้วค่ะพี่พงศ์ ฉันก็แค่ทำตามที่แม่สอนเท่านั้นแหละ”

                    “อ้าว ที่มหาลัยไม่ได้สอนเรื่องทำอาหารหรอกเหรอ” รังสฤษฏิ์ถามอย่างสงสัย “เห็นเรียนวิทยาศาสตร์การอาหาร”

                    มัทธุรดารู้สึกตกใจ  ที่นายจ้างรู้ข้อมูลในเชิงลึกของเธอเข้า เธอจึงชำเลืองมองเขาอย่างระแวง

                    “เอ่อพี่บอกนายบ๊อบบี้เขาไปเองน่ะ” กันตพงศ์พูดแทรกขึ้นทันควัน แล้วหันไปอธิบายให้เพื่อนรักฟังว่า “สาขาวิชา

    วิทยาศาสตร์การอาหาร  ไม่ใช่เรียนทำอาหาร  แต่เขาเรียนเรื่องเกี่ยวกับการผลิตอาหารในเชิงอุตสาหกรรมโว้ยไอ้บ๊อบบี้”

                    “อ้าวเหรอ ฉันก็นึกว่าคล้ายๆ คหกรรมศาสตร์ แล้วทำไมแกรู้ดีนักวะ” รังสฤษฏิ์ถามไปกินไป

                    “ก็ยัยโอ๋เป็นรุ่นน้องของรดาไง” กันตพงศ์อ้างถึงน้องสาวของเขา พร้อมหันไปพูดคุยสารทุกข์สุกดิบของรดาต่อ

    “ว่าแต่ที่นี่ไกลพอสมควรนะ  ขามารดามายังไงล่ะ”

                    “มีคนใจดีอาสามาส่งฉันค่ะ  คืนนั้นถ้าฉันไม่เจอเขา  ฉันคงมาไม่ถึงที่นี่แล้ว  เพราะฉันถูกโกงค่าแรงไปหมด เงิน

    ในกระเป๋าก็ไม่เหลือสักบาท  แถมโทรศัพท์แบตยังมาหมดเสียอีก  คืนนั้นฉันเลยขอยืมโทรศัพท์ของเขาโทรหาคุณบ๊อบบี้

    ตั้งหลายครั้งคุณบ๊อบบี้ก็ไม่รับสาย”

     

                    “เหรอ อืม…ฉันนี่นะไม่รับสายของเธอ!”

                    พูดจบรังสฤษฏิ์ก็อ้าปากค้างอึ้งไป  กันตพงศ์กับมัทธุรดาจึงหันมองเขาอย่างสงสัยเต็มที

                    “แกเป็นอะไรของแกวะ อยู่ๆ ก็หน้าตาตื่นยังกับเห็นผี  เอ่อแล้วทำไมแกถึงไม่รับสายของรดาวะ  นี่ถ้าเกิดเหตุร้าย

    แล้วรดาโทรมาขอความช่วยเหลือจากแก  แล้วจะทำไง  ติสแตกโลกส่วนตัวเยอะไปมั้งเพื่อน”

                    ระหว่างทั้งสามกำลังร่วมรับประทานอาหารบริเวณใต้ถุนบังกะโลอยู่นั้น  ห่างออกไปไม่ไกลนัก  บรรดานักสืบ

    เอกชนที่รุจาว่าจ้างมา  กำลังจอดรถดูความเคลื่อนไหวของทุกคนอยู่

                    นักสืบโทรกลับไปรายงานผู้ว่าจ้างว่า…

                    ‘คุณพงศ์ กำลังกินข้าวอยู่กับบุคคลสองคน  คนหนึ่งเป็นผู้หญิง…แต่ไม่เห็นหน้า เพราะเธอนั่งหันหลังให้  ส่วนอีก

    คนเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ไว้หนวดไว้เคราจนรกรุงรัง…และผมยาว’

                    นักสืบยังใช้กล้องที่มีเลนส์ถ่ายระยะไกล จับภาพคนทั้งสามเอาไว้อย่างคมชัด แล้วส่งรูปผ่านโปรแกรมโซเชียล

    เน็ตเวิร์ค ถึงมือถือของรุจาในทันทีอีกด้วย

     

                    หลังอาหารมื้อค่ำ…รังสฤษฏิ์พากันตพงศ์ ปลีกตัวมาเดินปรึกษากันที่ริมทะเล

                    “ฉันจะย้ายไปนอนโรงแรมว่ะ”

                    “อะไรนะ  นี่แกหมายความว่ายังไงว่ะไอ้หริด” กันตพงศ์รู้สึกงงงันกับคำพูดของเพื่อนรักนัก

                    “ฟังนะ” รังสฤษฏิ์สีหน้าจริงจัง จ้องหน้ากันตพงศ์ “คนที่มาส่งรดาในคืนนั้น คือ นายรุจา ผู้ช่วยของป๊าฉันนะสิ”

                    “เฮ้ยเป็นไปได้ไงวะ  ผู้ช่วยกับรดาไม่รู้จักกันสักหน่อย” กันตพงศ์แย้ง

                    “ฉันไม่รู้ว่ารดารู้จักนายรุจาได้ยังไง  แต่คืนนั้นเบอร์ที่่โทรเข้ามาหาฉัน แล้วฉันไม่รับมีอยู่เบอร์เดียว นั่นคือเบอร์

    ของนายรุจา!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×