ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสัวสองหน้า

    ลำดับตอนที่ #1 : นักโทษของพ่อ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 274
      1
      17 ธ.ค. 55

    เจ้าสัวสองหน้า

    ตอนที่ ๑ นักโทษของพ่อ

     

                    ทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ “รังสฤษฏิ์” ก็สิ้นอิสรภาพ เขารู้สึกเหมือนกับว่า  ตัวเองนั้นมีชะตากรรมที่

    ไม่ต่างอะไรกับนักโทษ  ที่กำลังเดินเข้าสู่ห้องคุมขังแคบๆ ที่แสนจะอับทึบ  เต็มไปด้วยราวลูกกรงเหล็กแน่นหนา  ที่เขาไม่มีวันจะหนีไปไหนพ้น  ยิ่งเวลาที่ฝ่าเท้าแตะพื้นอาคารสนามบิน  เขายิ่งอึดอัดคับข้องใจ  จนแทบก้าวขาไม่ออก  ในโสต

    ประสาท  มีแต่เสียงของพ่อที่กำลังพูดประโยคแสนจะอมตะ ซึ่งเขาเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งเขาโตจนอายุได้ยี่สิบเจ็ด ยังคงผุดขึ้นมาหลอกหลอนเขาได้อีก

                    ‘ไอ้พู่กันกับสีเน่าๆ ของแกน่ะ  มันกินได้ไหมหาไอ้สริด’

    ประโยคอมตะนี้เป็นของเจ้าสัวอรุณ  พ่อของรังสฤษฏิ์ซึ่งในเวลานี้  กำลังนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล

                    ชายหนุ่มเครียด…หยุดยืนถอนหายใจยาว พลางคิดกับตัวเองว่า  เวลานี้มันน่าจะมีวิวัฒนาการทางการแพทย์อะไรสัก

    อย่าง   ที่มันสามารถจะล้างข้อมูลในหยักสมอง   ตรงส่วนที่บันทึกเสียงของพ่อในเรื่องทำนองนี้   ให้ออกไปจากหัวของเขาเสียที

    เพราะเวลาที่มันผุดขึ้นมานั้น  เขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว  เหมือนวันเก่าๆ ที่พ่อคว้าไม้ตะพดขึ้นมา แล้ววิ่งไล่ตีเขาที่เพียงแค่หยิบ

    สมุดวาดเขียนกับดินสอสีขึ้นมาเพื่อสร้างสรรค์รูปสวยๆ ดังใจ

                    ‘ไอ้ลูกไม่รักดี  ฉันสั่งแกกี่ครั้งกี่หนแล้วไม่ให้วาดไอ้รูปบ้าๆ นี่  แกยังกล้าขัดคำสั่งฉันซ้ำๆ กันอย่างนี้อีกหรือหา  แก

    อยากเป็นไอ้ศิลปิน เนื้อตัวเน่าๆ สกปรก ไม่มีเงินกินข้าว วันๆ เอาแต่วาดรูปบ้าๆ นั้น  มา…มา ฉันจะตีสั่งสอนแกให้หลาบจำ มา

    …ไอ้สริด  ไอ้ลูกสอนไม่รู้จักจำ’

                    “ไร้เหตุผลที่สุด” รังสฤษฏิ์เหวี่ยงกระเป๋าเดินทาง ทรุดนั่งลงกับที่นั่ง เอาฝ่ามือทั้งสองขึ้นมาปิดหน้า  ไม่อยากเห็น ไม่

    อยากได้ยิน ไม่อยากสัมผัสประสบการณ์ที่แสนเลวร้ายอย่างนั้นอีก พลางคิดโทษตัวเองว่า ไม่น่ากลับมาที่นี่เลย เราน่าจะหนี

    หาย  ไม่ให้คนที่บ้านได้รับรู้  หนีไปอยู่ในที่ที่เขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ  ไปตามฝันเพื่อเป็นจิตกรใหญ่  อย่างที่ใจต้องการ

                    “ไม่ใช่กลับมาเป็นผู้บริหาร โถ่เว้ย…โถ่เว้ย…โถ่เว้ย” รังสฤษฏิ์ตะโกนระบายอารมณ์ออกมาอย่างลืมตัว พลางใช้เท้า

    ถีบกระเป๋าเดินทางของตัวเองเสียจนกระเด็นไปไกล

                    ผู้คนซึ่งเดินสัญจรอยู่ในอาคารสนามบิน  ต่างตกใจหันมองเขาเป็นตาเดียว รังสฤษฏิ์เห็นแล้วก็รู้สึกอึ้งกับการกระทำ

    ของตัวเองไปเหมือนกัน

                    ‘เฮ้อ…ทำไปได้ไงวะเนี่ย  นี่แสดงว่าเราเก็บกดมากถึงขนาดนี้เชียวเหรอวะ โอ้ยเหนื่อยใจจริงจริ๊งผับผ่าสิ’

                    ชายหนุ่มก้มมองพื้น ยกฝ่ามือขึ้นมาลูบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรัง  และแล้วเขาก็ได้ยินเสียงคุ้นหู  เอ่ยทัก

    ทายเขามาจากข้างตัว

                    “เอ่อ…ใช่คุณชายสริดหรือเปล่าครับ”

                    เสียงนั้นทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครเขาก็รีบลุกขึ้น แล้วโอบกอดเพื่อนรักคือ “กันตพงศ์” ทันที

                    “ไอ้พง…โหไอ้พงเพื่อนยาก  ฉันคิดถึงแกจังว่ะ” รังสฤษฏิ์พร่ำเรียกชื่อเพื่อนรักไม่หยุด

                    “เออ…เออ…ฉันก็คิดถึงแกจนใจแทบขาดเลย” กันตพงศ์เอ่ยขึ้นบ้าง

                    แรงกอดของรังสฤษฏิ์  เพื่อนรักที่จากกันมาเกือบสี่ปี  ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก “เบาวะเพื่อน เบา…เบา…แกตัว

    ใหญ่ขนาดนี้ยั้งๆ มือบ้าง”

                    รังสฤษฏิ์ผละออกจากร่างของกันตพงศ์  ซึ่งเป็นคนผอมบางและเตี้ยกว่ารังสฤษฏิ์ราวห้าเซนติเมตร  หนวดเคราซึ่งขึ้น

    จนถึงขั้นรกรุงรัง  กับทรงผมยาวหยักโศกที่ยาวลงไปเกือบถึงกลางหลัง  ทำให้กันตพงศ์ถึงกับมองแล้วอ้าปากค้าง เพราะไม่คิด

    ว่าเพื่อนรัก ซึ่งเดินทางกลับจากสหราชอาณาจักรคนนี้ จะกล้าเปลี่ยนบุคลิกตัวเองได้ถึงเพียงนี้

                    “เอ้ยไอ้พง ที่แกว่าแกคิดถึงฉันใจแทบขาดเนี่ย  ไม่ได้คิดอะไรกันฉันใช่ไหมวะ” รังสฤษฏิ์ยิงคำถามแล้วยิ้มกว้าง

                    กันตพงศ์เห็นแต่ไรฟันขาวเรียงสนิทชิดกัน  กับหนวดยาวๆ จนแทบมองไม่เห็นริมฝีปากของเพื่อนรัก “เออ…ใครจะไป

    คิดกับแกแบบนั้นวะ  ดูสารรูปตัวเองบางสิ  จากฟ้า…มาเป็นเหวแล้วรู้ตัวไหมวะเนี่ย”

                    “เฮ้ย…พูดงี้เดี๋ยวสวย  ฉันออกจะติสนะเว้ยเฮ้ย” รังสฤษฏิ์พูดแล้วเอาฝ่ามือยันไหล่เพื่อนรัก

                    “ติสแตกหลุดโลกอ่ะดิ  เฮ้อ…แต่ฉันก็เข้าใจแกนะไอ้สริด ไอ้อดีตคุณชาย”

                    ทั้งสองเดินออกจากอาคารสนามบิน ไปที่อาคารจอดรถ กันตพงศ์สังเกตสีหน้าท่าทางของเพื่อนรัก หม่นเศร้าแววตา

    เหม่อลอย  รวมถึงเวลาส่งยิ้มกลับมานั้น  มันแห้งแล้งเสียจนเขาอดใจหายไม่ได้  ดังนั้นพอทั้งสองเข้าไปนั่งประจำที่ในรถแล้ว

    กันตพงศ์ก็รีบเอ่ยให้เพื่อนรักรู้ว่า  สิ่งที่สั่งไว้…เขาจัดการให้หมดทุกอย่างแล้ว

                    “ขอบใจมากวะเพื่อน” รังสฤษฏิ์เอ่ยขอบคุณเพื่อนรักที่อุตส่าห์ทำสัญญาเช่าบ้านที่ริมทะเลหัวหินให้เรียบร้อยแล้ว

                    “ไม่เป็นไรหรอก  ว่าแต่แกเถอะ…คิดจะอยู่ที่หัวหินไปอีกนานแค่ไหนวะ  เพราะตอนนี้พ่อแกก็ป่วย  กิจการก็ต้องมีผู้

    รับช่วง  ขืนแกยังเอาแต่ขอเวลาทำใจแบบนี้  ฉันว่ามันจะยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งวุ่นวายขึ้นอีกนะ”

                    กันตพงศ์รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนรักอย่างยิ่ง  เพราะหลังจากเจ้าสัว “อรุณ” พ่อของรังสฤษฏิ์มีคำสั่งให้ลูกชายคนเดียวของ

    เขากลับบ้านที่เมืองไทยแล้ว  รังสฤษฏิ์ยังยื้อเวลาขออยู่ที่อังกฤษอีกกว่าสองเดือน  แล้วพอกลับมาถึงเมืองไทย  ยังไม่ยอมกลับ

    บ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่อีก  แล้วแบบนี้สถานการณ์มันจะเลวร้ายลงไปถึงขนาดไหน

                    “เอ่อ…ว่าจะไม่พูดแล้วนะเว้ย” กันตพงศ์เปรยขึ้นขณะขับรถพาเพื่อนไปหัวหิน “เมื่อสักอาทิตย์ก่อน  ข่าวในเน็ตมีลง

    ข่าวของแกด้วยว่ะ”

                    “เฮ้ยดูผิดหรือเปล่า  ฉันไม่ได้เป็นคนดังนะเว้ย  แถมยังไม่ได้อยู่เมืองไทยด้วย  แล้วจะมีข่าวเกี่ยวกับฉันได้ยังไง”

    รังสฤษฏิ์มีท่าทางขันๆ เพื่อนรัก

                    “ใช่แกพูดถูกทุกอย่าง  แต่ต้องไม่ลืมว่า  จริงๆ แล้วแกเป็นลูกท่านเจ้าสัวอรุณ เจ้าของโรงงานบะหมี่ไทย  ซึ่งท่านมี

    ดำริว่าจะสละตำแหน่งประธานใหญ่ของบริษัท” กันตพงศ์อธิบาย

                    “อ้าวแล้วไงวะ  พ่อเขาก็มีคนช่วยบริหารเยอะแยะ  ที่สำคัญ…เขาไม่ยอมลงจากตำแหน่งผู้คุมบังเหยียณง่ายๆ หรอก

    เพราะเขาหวงบริษัทที่เขาสร้างมากับมือจะตายไป” รังสฤษฏิ์แสดงความคิดเห็น

                    “แกฟังฉันดีๆ นะ” กันตพงศ์หันมองเพื่อนรัก “เจ้าสัวให้ข่าวว่า กำลังจะแต่งตั้งคุณรังสฤษฏิ์ ชัยพาณิชยการกุล ลูกชาย

    คนเดียวของท่านเป็น…เจ้าสัวคนใหม่ของบะหมี่ไทย”

                    “อะไรนะ!!!” รังสฤษฏิ์ทำท่าเหมือนช็อคไปทันทีที่รู้ว่า เขาได้กลายมาเป็นว่าที่เจ้าสัวใหญ่เสียแล้ว

     

                    ณ โรงพยาบาลเอกชนระดับอินเตอร์เนชั่นแนล  เจ้าสัวอรุณซึ่งผ่านการผ่าตัดใหญ่ ทำบายพาสเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ

    ได้รับอนุญาตจากแพทย์เจ้าของไข้  ให้ย้ายตัวเจ้าสัว ออกจากหออภิบาลผู้ป่วยโรคหัวใจ  เขาพักรักษาอาการต่อในห้องพิเศษ

    ของโรงพยาบาล

                    วันแรก…ที่เจ้าสัวไม่ต้องใส่ท่อหายใจ  รวมถึงไม่ต้องใส่สายเซ็นเซอร์ต่างๆ ทำให้ชายสูงวัยเชื้อสายแดนมังกร  มีสีหน้า

    ที่สดใสขึ้นเป็นอย่างมาก

                    “ระวังครับนายท่าน” เสียงของ “รุจา” ชายหนุ่มวัยสามสิบสอง  ลูกน้องคนสนิทเอ่ยบอกผู้เป็นเจ้านายใหญ่  ให้ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงผู้ป่วย

                    “เฮ้อ…เจ็บที่สุดเลยคราวนี้” เจ้าสัวอรุณซึ่งลุกขึ้นนั่งบนเตียงได้แล้วพูดขึ้น พลางหันมองโต๊ะหัวเตียงซึ่งมีแจกันดอก

    กุหลาบสีแดงสดหลายดอก ถูกจัดไว้อย่างสวยงามวางอยู่ “แจกันนี่ใครเอามาล่ะ”

                    “เด็กส่งดอกไม้นำมาครับ เป็นของคุณหญิงร่มแก้ว ภริยาคุณหมอวิฑูรย์” รุจารายงาน

                    “หมอรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขนะเหรอ” เจ้าสัวอรุณเอ่ยถามรุจา

                    “ใช่ครับ เอะเดี๋ยวครับท่าน” รุจารู้สึกตกใจที่เห็นกระเป๋าถือของเด็กส่งดอกไม้ ลืมไว้ที่โซฟายาวในห้องพัก “พอดีเด็กที่

    มาส่งดอกไม้ลืมกระเป๋าถือไว้ครับ  ถ้าตามไปอาจจะทัน  ผมขอเอาไปให้เธอสักครู่นะครับ”

                    “ไม่ต้อง” เจ้าสัวแหวใส่รุจาเสียงลั่น “ไอ้เด็กกิ๊กก๊อก ลืมได้เดี๋ยวมันก็เดินกลับมาเอาของมันเองนั่นแหละ”

                    พูดจบเจ้าสัวอรุณมองรุจาตาขวาง  ทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงักยืนตัวตรงก้มหน้ามองพื้น  พอดีกับที่เด็กส่งดอกไม้คือ

    “มัทธุรดา”  เดินกลับมาถึงประตูห้องพักของเจ้าสัวพอดี  และก่อนที่เธอจะเคาะประตูห้อง  เธอก็ได้ยินเสียงเจ้าของห้องพัก

    ออกปากสั่งสอนลูกน้องในห้องเสียงลั่น

                    “เมื่อไหร่จะเลิกสงสาร เลิกใส่ใจไอ้พวกกระจอกๆ สักที  บอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว  ว่าคบกับไอ้พวกนี้ก็มีแต่เสียเงินเสียทอง

    ไอ้พวกนี้มันขี้ขอ  เหอะ!...ไอ้พวกเด็กส่งดอกไม้  ในกระเป๋ามันคงไม่มีอะไรนอกจากตั๋วจำนำละมั้ง ไหนหยิบส่งมาให้ฉันดูสิ”

                    มัทธุรดา…มองลอดกระจกบานประตูเข้าไป  เห็นผู้ป่วยสูงวัยผู้ทรงอิทธิพล  ราวกับเป็นเจ้าชีวิตทุกชีวิต ยื่นมือออกมา

    เตรียมรับกระเป๋าของเธออยู่  ส่วนชายหนุ่มผู้เป็นลูกน้อง  กำลังลังเลที่จะหยิบกระเป๋าของเธอส่งให้เขา  มัทธุรดาไม่รอช้ารีบ

    เคาะประตู  แล้วเดินเข้าไปในห้องทันที  พอเจ้าสัวเห็นเธอก็รีบต่อว่าทันที

                    “ใครอนุญาตให้เธอเข้ามาในห้อง”

                    “ขอโทษค่ะ ดิฉันได้เคาะประตูแล้ว” มัทธุรดาพูดสวนกลับไปทันควัน  ในใจรู้สึกกรุ่นโกรธที่ชายสูงวัย ทำเสียมารยาท

    จะขอดูของในกระเป๋าถือของเธอ

                    “แต่ฉันไม่ได้ยินเสียง…ไปกลับออกไป ฉันไม่ได้อนุญาต” เจ้าสัวตะโกนลั่น

                    รุจาคงเห็นท่านเจ้าสัวเพิ่งผ่านการผ่าตัดมา  จึงเดินเข้าไปพูดให้เขาสงบสติอารมณ์ลง แต่แล้วเจ้าสัวก็ออกปากไล่

    เธอซ้ำอีก

                    “ขอโทษค่ะ ดิฉันขอหยิบกระเป๋าถือของดิฉันก่อน  แล้วดิฉันถึงจะไป” มัทธุรดาเอ่ยบอกธุระของตัว

                    เจ้าสัวมองหญิงสาวหัวจรดเท้า  ตาขวางหน้าบึ้งตึง  ทำให้มัทธุรดามีอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นไปอีก  จนควันแทบออก

    จากหู  แต่พยายามสะกดกลั้นไว้  เพราะไม่อยากทำให้คนป่วยหนักต้องกระทบกระเทือน

                    “ขอประทานโทษค่ะ  ดิฉันขอกระเป๋าถือของดิฉันที่อยู่ในมือคุณคืนค่ะ แล้วดิฉันจะรีบออกจากห้องนี้”

                    รุจาหลบตาเธอ เหมือนคนละอายแก่ใจ แล้วจึงหันมองเธออีกคราพร้อมส่งกระเป๋าถือใบสีน้ำตาลอ่อนคืนเธอ

                    “ขอโทษครับ  ความจริงผมตั้งใจจะหยิบมันเดินไปคืนคุณ” รุจาพูดเหมือนแก้เก้อ

                    พอได้ฟังคำแก้ตัวของชายหนุ่มตรงหน้า  ทำให้มัทธุรดาเคืองใจจัดนัก เธอรีบหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้ายาวๆ พร้อม

    ยื่นมือคว้ากระเป๋าถือของเธอแล้วรีบเดินไปที่ประตู  แต่ไม่วายถูกเจ้าสัวอรุณถากถางแถมท้ายให้อีก

                    “กระเป๋ากับของในกระเป๋าเธอ  รวมกันมีค่าเท่าไหร่กัน  ถึงห้าร้อยไหม”

                    คราวนี้มัทธุรดาอดทนไม่ไหวอีกต่อไป  เธอหันควับจ้องมองเจ้าสัวใหญ่ตรงหน้า “ทำไมคะ…ถึงกระเป๋ากับของข้างใน

    จะมีค่ารวมกันไม่ถึงห้าร้อย  พวกคุณก็ไม่มีสิทธิ์เสียมารยาท เที่ยวหยิบของส่วนตัวของดิฉันขึ้นมาดู  และรู้เอาไว้ซะด้วย  ว่าของ

    กับกระเป๋าใบนี้มีค่ายิ่งกว่าคำพูดดูถูกของคุณ  แต่ดิฉันไม่จำเป็นต้องบอก  เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งดิฉันไม่คิดว่าจะมีใครเสีย

    มารยาทถามออกมาแบบนี้”

                    มัทธุรดาพูดเสียงดังปากคอสั่น มือไม้สั่น “ลาล่ะค่ะ”

                    หญิงสาวเปิดประตูแล้วรีบเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว  เจ้าสัวใหญ่โมโหจัดที่ถูกคนที่ได้ชื่อว่ากระจอกในสายตา

    ของเขา  พูดจาต่อว่ากลับรุนแรงถึงขนาดนี้

                    “ไอ้คนชั้นต่ำ….ชั้นต่ำจริงๆ…โอ้ย…”

    พูดจบเจ้าสัวอรุณก็เจ็บหน้าอก  เขาเจ็บจนใบหน้าบิดเบี้ยวจนรุจาต้องรีบประคองเขานอนบนเตียง

    ฝ่ายมัทธุรดา ยังระงับความกรุ่นโกธรในความเสียมารยาทของคนที่ได้ชื่อว่า มีหน้ามีตาใหญ่โตทางสังคมไม่ได้ง่ายๆ

    โธ่…นี่เหรอคนที่คนอื่นนับหน้าถือตา  ทำไมถึงมารยาทแย่ได้ถึงขนาดนี้นะ  เฮ้ย…ทำไมเราซวยชะมัด โธ่รดาเอ๋ยรดา

    ไม่น่าสะเพร่าลืมกระเป๋า  จนต้องมาถูกถากถางด่าว่าแบบนี้เลย  สาธุ…ทั้งชาตินี้และก็ถ้า…ชาติหน้ามีจริง เจ้าประคู้ณ  ขออย่า

    ได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลย

                    และพอเธอขี่มอเตอร์ไซด์กลับมาถึงร้านดอกไม้  ที่เธอทำงานอยู่มัทธุรดาก็มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ  เดินเข้าไปในร้าน

    แล้วหยิบเช็คที่เก็บมาจากลูกค้าส่งให้ หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านพร้อมถามว่า  มีงานให้ส่งดอกไม้อีกหรือเปล่า

                    “มี…แต่รอให้คนงานจัดดอกไม้ให้เสร็จเสียก่อน  ว่าแต่…ไปกินรังแตนที่ไหนกันเนี่ย  หน้าถึงเน่ายิ่งกว่าข้าวบูดในหม้อ

    เสียอีกเนี่ย”

                    “ไม่มีอะไรหรอก  ฉันก็เหม็นควันรถ  แดดร้อนก็เลยหงุดหงิดไปหน่อยเท่านั้นล่ะ…เอ่อเจ๊” มัทธุรดาหยุดรินน้ำใส่

    แก้ว “พรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว  ถ้ายังไงฉันขอเงินค่าจ้างเจ๊วันนี้เลยได้ไหม”

                    “จะได้ยังไงล่ะ  เธอยังต้องทำงานให้ฉันอีกตั้งวันนึง  ถ้าขืนฉันให้เงินค่าจ้างล่วงหน้าเธอไป  แล้วเธอเกิดเปี้ยวฉันขึ้น

    มา  ฉันก็แย่น่ะสิ” เจ้าของร้านบ่นอุบ

                    “โธ่…เจ๊ก็…เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เจ๊จ่ายให้ฉันถึงวันนี้ก่อน  แล้วถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่มีเจ๊จะได้ไม่เสียเงินฟรีไงดีไหมล่ะ”

    มัทธุรดาเสนอความคิด

                    แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของร้านก็ไม่ยอมให้เงินแก่เธอ  ในที่สุด เมื่อถึงตอนกลับบ้าน  เธอจึงไม่มีเงินค่ารถกลับหอพัก

    และที่สำคัญไม่มีเงินกินข้าวด้วยซ้ำ  ระหว่างที่เธอเดินเท้ากลับหอพัก ซึ่งอยู่ห่างจากร้านดอกไม้ราวสองกิโล  อยู่ๆ รถเก๋งสีดำ

    ค้นงาม  ก็ขับมาจอดเทียบที่ข้างตัวเธอ

                    “ขอโทษครับ”

                    กระจกประตูหน้าตรงข้ามคนขับเปิดออกอัตโนมัติ  ชายหนุ่มซึ่งเป็นคนขับรถก้มมองเธออยู่  พอมัทธุรดามองแว่บ

    เดียวก็รู้ว่า  เป็นชายหนุ่มลูกน้องเจ้าสัวที่เธอปะทะคารมเมื่อบ่ายวันนี้นี่เอง

                    “ฉันไม่มีธุระจะคุยกับคุณอีกแล้ว” มัทธุรดาพูดพร้อมก้าวเดินฉับๆ ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

                    แต่แล้วรุจากลับไม่ยอมให้เธอเดินจากไป  เขารีบลงจากรถวิ่งไปขวางทางเธอไว้ “ขอความกรุณาอย่าทำแบบนี้เลย

    นะครับ  ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำมิดีมิร้ายหรือด่าทอคุณหรอกนะครับ  แต่ผมอยากจะ…เอ่อ…อยากจะขอโทษเรื่องวันนี้น่ะครับ

    ผมขอโทษจริงๆ ครับที่ต้องเสียมารยาทหยิบกระเป๋าของคุณส่งให้ท่านเจ้าสัว  แต่ที่ผมพูดกับคุณว่าผมกำลังจะหยิบกระเป๋า

    เดินไปคืนคุณ  ผมพูดจริงๆ นะ แต่ท่านห้ามผมไว้ก่อน”

                    “ค่ะ…ดิฉันไม่ถือโทษโกรธคุณหรอก”

                    เชอะ! ฉันอยากจะต่อยท้องคุณชะมัดยาดเลยตอนนี้

                    “ขอบคุณครับที่ไม่ถือโทษโกรธผม  ถ้าอย่างนั้นดีเลยครับ  ผมยังรู้สึกผิดต่อคุณอยู่  นี่ก็ค่ำแล้วด้วย  ผมขอถือโอกาส

    เลี้ยงข้าวคุณสักมื้อเพื่อเป็นการขอโทษได้ไหมครับ” รุจาเอ่ยขอเธออย่างรวดเร็ว

                    “ไม่จำเป็นค่ะ” มัทธุรดาตอบเขาทันควัน

                    “เมื่อกี้คุณบอกผมเองว่าไม่ถือโทษโกรธผม  ถ้าอย่างนั้น คุณคงไม่ฝืนใจช่วยผมให้รู้สึกดีขึ้นหรอกนะครับ” รุจาเอ่ยดัก

    ทางเธอ “ให้เกียรติผมเลี้ยงข้าวสักมื้อเถิดนะครับ  คิดว่าช่วยทำเพื่อให้ผมรู้สึกผิดน้อยลงก็ได้นะครับผมขอร้อง”

                    โอ้ย…ศักดิ์ศรีนะศักดิ์ศรี  พวกเขาเพิ่งว่าเรามาหยกๆ ว่าไม่ให้คบกับคนกระจอกแบบเรานี่  แล้วเราจะไปกินกับเขาได้

    ยังไง  ฝันไปเถอะ

                    “ว่ายังไงครับคุณ  ผมหิวแล้ว  และรถก็ไม่ได้ดับเครื่องไม่ได้ล็อคด้วย  ให้เกียรติผมเถอะนะครับผมขอร้อง” รุจาพูดเร่ง

    เธออีก

                    เฮ้ย…จะเอาไงดีล่ะ  เย็นนี้ก็ไม่ได้กินข้าว  แถมต้องเดินไปอีกตั้งเป็นกิโลๆ พรุ่งนี้เช้า…เที่ยง…ก็คงไม่ได้กินข้าวอีกแน่ๆ

    เพราะในตัวไม่มีเงินเลย  โธ่รดานะรดา  อยู่ๆ ก็ทำตัวเองให้ลำบากตกงาน  แล้ว…แล้วนี่จะถือทิฐฐิหิ้วท้องเดินเผาพลังงานที่มี

    เหลืออยู่น้อยนิดนี้ไปอีกหรือไง  โอ้ย…เสียงท้องร้อง  โอ้ย!!!

                    “ก็ได้ค่ะ…แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ  ว่าเห็นแก่คุณ  ไม่อย่างนั้นฉันไม่ไปหรอกนะ”

                    “ขอบคุณที่ให้เกียรติผม  เชิญครับ” รุจาผายมือเชิญเธอเดินไปที่รถ

                    โอ้ยยัยบ้า…นี่เราทำอะไรลงไปเนี่ย  เรารับปากเขาไปแล้วเหรอเนี่ย  โห้ย…แต่ช่างเถอะ  ก็อาหารมันเป็นปัจจัยพื้นฐาน

    ของการดำรงชีพนี่  จะคิดอะไรมากล่ะ…ไปก็ไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×