ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
ณ ห้องโถงในเขตรั้วบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องบอกเลยก็รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของมีฐานะอย่างไร เพราะไม่ว่าจะเป็นขนาดพื้นที่ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับตกแต่งทั้งหลาย ล้วนมีราคาเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะมีได้
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่ดูภูมิฐาน ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนที่ถูกถลกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยให้พอขยับได้อย่างสบาย ผูกเนคไทสีกรมแบบหลวมๆเหมือนคนเพิ่งเลิกงาน แต่ชายเสื้อยังถูกเก็บอย่างเรียบร้อยไว้ภายใต้กางเกงสแล็คสีดำ กำลังเดินสำรวจสิ่งต่างๆอย่างใจเย็นอยู่ภายในห้องราวกับต้องการรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีสภาพเป็นอย่างไร พร้อมกับชายฉกรรจ์หนึ่งคนที่สวมเสื้อสูทสีดำแขนยาว ยืนหน้านิ่งอยู่อย่างนอบน้อมไม่ห่างจากชายผู้นั้น
ไม่ช้าชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ล้วงมือเข้าไปภายใต้เสื้อสูทของตนเหมือนเตรียมพร้อมหยิบอะไรบางอย่างออกจากเสื้อ ด้วยแววตาที่ดูเหี้ยมขึ้นเล็กน้อยแต่ใบหน้า และท่าทียังดูนิ่งเรียบและสุขุมเช่นเคย เมื่อเขาได้ยินเสียงกุกกักเล็กๆเล็ดรอดมาจากหน้าประตูห้องโถง แต่เมื่อผู้มาเยือนปรากฏกายเขาจึงกลับมาอยู่ในท่าเดิมพร้อมก้มศีรษะคำนับให้เล็กน้อย
“พ่อคะ!” หญิงสาวร่างบาง ผิวขาวเนียนลออ ผมที่ดำขลับยาวสลวยเป็นลอนเล็กน้อย คิ้วเรียวบางกับดวงตาชั้นเดียวที่มีแววตาดำสนิท จมูกเรียวที่ไม่โด่งมากนัก กับริมฝีปากบางอมชมพูขับให้ใบหน้าหวานแลดูน่ารัก ในชุดนักศึกษา เธอหยุดชะงักอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเดินเข้ามาและเห็นชายร่างสูงที่เดินไปเดินมาพลางสำรวจสิ่งต่างๆ โดยหันหลังให้เธออยู่ เธอตะโกนเอ่ยเรียกผู้เป็นพ่อด้วยความรู้สึกดีใจ และโหยหา แม้จะยังไม่เห็นหน้าเพราะคนผู้นั้นยืนหันหลังให้อยู่ แต่ก็รู้ได้ทันที
“นา!” ชายร่างสูงเมื่อได้ยินเสียงใสๆที่คุ้นเคย ก็ได้หันมาหาผู้ที่เรียกตน ด้วยรอยยิ้มอย่างดีใจไม่แพ้กัน พลางยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อรอรับร่างบางๆของลูกสาวที่วิ่งเข้ามาหาและสวมกอดตนอย่างคิดถึง ใช่ลูกสาวแสนรักของเขา ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมและตามใจ และเป็นสายเลือดของตระกูล มหาไพศาลทรัพย์... ของเขา กิตติการน์ โอบกอดลูกสาวของตนไว้ และลูบเบาๆที่ศีรษะของหญิงสาวไปมาอย่างอ่อนโยน
“เป็นไงคะ ลูกสาวคนดีของพ่อ อยู่ที่นี่เป็นเด็กดื้อหรือเปล่า” กิตติการน์เอ่ยถามลูกสาวของตนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานเป็นแรมปี เพราะต้องเดินทางไปสะสางงานที่ต่างประเทศและก็เป็นเช่นนี้ประจำ ทำให้เขาไม่ค่อยได้อยู่บ้านนัก และทิ้งให้ลูกสาวของเขาต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นี้ตามลำพัง แม้จะมีคนรับใช้อยู่รอบกายก็ตาม
“แหม่ คุณพ่อก็ ไม่เห็นหน้าลูกสาวตั้งนาน กลับมาก็หาว่านาเป็นเด็กดื้อซะละ อีกอย่างนาก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ เรียนอยู่ปีสี่แล้วอีกไม่นานก็จะได้เป็นแพทย์หญิงแสนสวยแล้วด้วย ว่าแต่คุณพ่อกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย น่าจะโทรมาบอกก่อน นาจะได้ไปรับ” เสียงใสๆของ ลลิตา เจือยแจ้วได้เป็นวรรคเป็นวา ทำให้ กิตติการน์ อดยิ้มไม่ได้กับท่าทางและคำพูดของลูกสาวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
“จ้าๆ ว่าที่คุณหมอในอนาคต พ่อเองก็พึ่งกลับมาถึงเมื่อสักพักนี้เองค่ะ แล้วที่ไม่ได้บอกก็เพราะพ่อไม่อยากให้เราต้องวุ่นวายไปรับพ่อ”
“โถ่ ไม่วุ่นวายหรอกค่ะ นาเต็มใจว่าแต่พี่แนนไม่ได้มาด้วยเหรอคะคุณพ่อ นาเองก็ไม่ได้เจอพี่เค้ามาตั้งนานแล้วด้วย ตั้งแต่ที่คุณพ่อลากพี่แนน ของนาไปทำงานด้วยเนี่ย” กิตติการน์ยิ้มอย่างอ่อนโยนกับใบหน้าที่ยิ้มแป้นและเปลี่ยนมาเป็นหนูน้อยแสนงอนเมื่อพูดถึงพี่สาวของตนที่ถูกผู้เป็นพ่อใช้ให้ไปดูแลงานที่ต่างประเทศด้วย แม้บุคคลที่ลลิตาเอ่ยถึงจะเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่เคยถูกมารดาที่เสียไปแล้วของเธอเก็บมาเลี้ยงตอนที่ยังไม่มีลลิตาก็ตาม แต่ด้วยการที่เป็นเพื่อนเล่นกับลลิตามาตั้งแต่เด็กอีกทั้งยังคอยเลี้ยงดูลลิตาเมื่อยามที่คุณหญิงของบ้านเสียไป ทำให้พวกเธอผูกผันกันอย่างพี่น้องแท้ๆ แม้อายุจะห่างกันมากเป็นสิบปี
“ตอนนี้พี่แนนของเราน่ะยังอยู่ที่สิงคโปร์อยู่ พ่อให้พี่เขาเคลียร์งานทางนู้นให้เสร็จก่อน...” กิตติการน์พูดไว้แค่นี้เพื่อรอดูปฏิกิริยาของลูกสาวตัวเอง แต่ก็เป็นไปตามคาดลูกสาวสุดรักของเขายิ่งทำหน้าบูดบึ้งหนักกว่าเดิม ทำให้ผู้เป็นพ่ออดยิ้มในท่าทีของลูกสาวไม่ได้จึงกล่าวต่อไปว่า
“แต่พ่อว่าจะให้พี่เขามาช่วยดูแลโรงแรมของเราที่นี่ ตั้งแต่อาทิตย์หน้าน...”
“จริงหรอคะคุณพ่อ” ยังไม่ทันที่กิตติการน์จะจบประโยคดี ก็โดนลูกสาวของตนกระโดดเข้าไปกอดคอพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความดีใจ
“โอ้โห ลูกสาวของพ่อดีใจขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย ถึงจะบอกว่าให้พี่เขามาดูแลโรงแรมที่นี่ก็เถอะ แต่พี่เขาคงไม่ว่างมาอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเราได้ตลอดหรอกนะเด็กน้อย” กิตติการน์กล่าวพร้อมยีหัวลูกสาวเล่น
“งื้อ คุณพ่อก็ นาก็ใช่ว่าจะอยู่กวนพี่เขาตลอดเวลานี่คะ อีกอย่างเมื่อกี้นาก็บอกไปแล้วนี่ว่านาไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ” ลลิตากล่าวกับผู้เป็นพ่ออย่างงอนๆ
“จ้าๆ ว่าที่คุณหมอตัวน้อยแสนงอนของพ่อ” กิตติการน์ยังไม่วายเอ่ยแซวลูกสาวของตนเล่น ทำให้เธอยิ่งงอนผู้เป็นพ่อหนักกว่าเดิม แล้วบ้านหลังใหญ่ที่เคยเงียบเหงาก็กลับมีเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างครื้นเครง
--------------------------------------------------
ณ สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง หญิงสาวร่างสูงใหญ่ดุจคนต่างชาติ ผิวสีแทนออกคล้ำเล็กน้อย ผมดำตรงยาวสลวยถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าที่คมเข้มแต่นิ่งเรียบจนทำให้ใครหลายๆคนเกรง และในขณะเดียวกันก็เป็นที่สนใจของหลายๆคนเช่นกันไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ด้วยบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์และน่าค้นหาเช่นนี้ เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยแจ๊คเก็ตสีกรมแขนยาวที่มีตราของกรมตำรวจติดไว้ที่ด้านหลังของเสื้อ กับกางเกงสแล็คสีน้ำตาลเข้ม และร้องเท้าหนังเนื้อดี เธอเดินอย่างรวดเร็วผ่านนายตำรวจชั้นผู้น้อยต่างๆที่ตะเบ๊ะให้เธออยู่ไม่ขาดสาย และมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องๆหนึ่งที่ป้ายชื่อหน้าห้องเขียนว่า พ.ต.ท.(พันตำรวจโท) ชาญเดช
ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ” เธอเคาะประตูหน้าห้อง ก่อนจะกล่าวขออนุญาตกับผู้ที่อยู่ด้านใน
“เชิญครับ”
“ดิฉันร้อยตำรวจเอก วรเนตร ขอรายงานตัวค่ะ” เธอกล่าวกับผู้ที่นั่งอ่านเอกสารอย่างขะมักเขม้นอยู่ที่โต๊ะของเขา ในท่ายืนตรงทำวันทยหัตถ์อย่างเคารพ
“ไม่ต้องพิธีรีตองกับผมนักก็ได้ครับผู้กองเชิญนั่งก่อนครับ” ชายหนุ่มที่นั่งหน้าเครียดอยู่เมื่อสักครู่ เมื่อได้ยินเสียงนุ่มที่ฟังดูแล้วหนักแน่น จำต้องเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองดูท่าทางของผู้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่เกิดขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย พลางผายมือไปทางเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามเป็นสัญญาณเชิญให้ผู้มาเยือนนั่งได้
“ขอบคุณค่ะสารวัตรมีอะไรรึเปล่าคะ” น้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่ราบเรียบของผู้พูดนั้นไม่รอช้า พลางเข้าประเด็นเนื้อหาที่เป็นสาเหตุของการทำให้เธอต้องมาอยู่ ณ ที่นี้ในทันที
“นี่น้องนิลจะไม่ถามสารทุกข์ของว่าที่คู่หมั้นเลยหรอครับเนี่ย นานๆจะได้คุยกันสักที” ชาญเดชยิ้มกับท่าทางของผู้ที่อยู่ตรงหน้าพลางเอ่ยแซวอย่างใจเย็นและนึกสนุกในที ใช่ เขาและวรเนตรรู้จักกันมานานพอสมควรแล้วตั้งแต่ที่หญิงสาวยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แม้ช่วงนั้นเขาจะเป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อยอยู่ก็ตาม แต่ที่รู้จักกันได้นั้นก็เพราะ ชาญเดช ต้องคอยอยู่รับใช้ผู้เป็นนายอยู่เสมอ นั่นก็คือคุณพิชิตผู้เป็นบิดาของวรเนตรที่ดำรงตำแน่งผู้กำกับในขณะนั้นอยู่นั่นเอง เขาจึงสามารถเข้าออกและทำความรู้จักกับคนในบ้านของเธอ และยังสนิทกับคนในบ้านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคุณนายลดาวัลย์ผู้เป็นมารดาของหญิงสาวที่ดูจะเจ้ากี้เจ้าการอยากให้ลูกสาวตนได้แต่งงานกับนายตำรวจอนาคตไกลอย่างชาญเดชซะเหลือเกิน
“เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยค่ะ พี่เดช พี่ก็รู้ว่านิลไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น” ถึงแม้จะเป็นคำพูดที่ฟังแล้วบอกอาการหงุดหงิดของผู้พูด แต่น้ำเสียงที่ราบเรียบกับใบหน้าที่ยังคงนิ่งเฉยทำให้ผู้รับฟังบอกไม่ได้ว่าผู้พูดรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับชาญเดชที่รู้จักวรเนตรมานานเขารู้ว่าวรเนตรรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่รู้สึกหงุดหงิด แต่น่าจะเรียกว่าเบื่อหน่ายมากกว่าสำหรับวรเนตรคนนี้
“อ่า เอาล่ะๆ งั้นพี่ว่าเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า” ชาญเดชรอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะค้นหาเอกสารชุดหนึ่งแล้วยื่นให้กับผู้กองวรเนตร เธอรับมาแล้วเปิดอ่านอย่างคร่าวๆ
“นี่มันคดียาเสพติดที่เราจับกุมเป้าหมายได้เมื่ออาทิตย์ก่อนนี่คะ?” วรเนตรเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจในเมื่อคดีนี้มันถูกปิดไปแล้ว แล้วจะเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกทำไม
“ครับ ถึงคดีจะจบไปแล้วก็จริง และนายสมศักดิ์หัวหน้ากลุ่มค้ายาเองก็สารภาพมาหมดแล้วเช่นกันตอนที่นิลนำกำลังเข้าจับกุม ทางผู้กำกับเองก็บอกให้ปิดคดีได้เลยหลังสอบปากคำเสร็จ แต่ก่อนที่เราจะนำตัวนายสมศักดิ์มาสอบปากคำจริงๆมันดันเกิดเรื่องขึ้น ก็ช่วงที่นิลขอลาพักร้อนหลังจับนายสมศักดิ์ได้นั่นแหละ” ชาญเดชกล่าวด้วยใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมขึ้น และหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาส่งให้วรเนตร ซึ่งก็คือรูปภาพของชายผู้หนึ่งที่อยู่ในสภาพนอนคว่ำจมกองเลือดอยู่ เมื่อสังเกตดูดีๆ ชายผู้นี้ก็คือนายสมศักดิ์นั่นเองเพราะสภาพศพใบหน้าหันออกด้านข้างเล็กน้อย และหน้าผากบริเวณกลางศีรษะมีเลือดไหลออกมาปริมาณมากบ่งบอกถึงการถูกยิงที่บริเวณนี้
“นี่มัน... หมอนี่โดนปิดปากงั้นหรอ ทั้งที่อยู่ในห้องขังของกรมตำรวจเนี่ยนะ” วรเนตรพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเช่นเดิม แต่ในใจกลับร้อนรุ่ม เพราะเธอตามคดีนี้อยู่ร่วมปี แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย
“พวกเราคงต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ จากสิ่งที่เกิดขึ้นคนที่เข้ามาลอบฆ่านายสมศักดิ์คงมีฝีมือไม่น้อยเลย ตำรวจที่เฝ้าเวรอยู่วันนั้น 5 นายไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหมดสติได้ยังไง กล้องวงจรปิดทุกตัวถูกตัดสายทิ้งจนใช้งานไม่ได้ และยังผู้ที่อยู่เบื้องหลังของคดีอีกคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่” ชาญเดชกล่าวพลางสังเกตปฏิกิริยาของวรเนตร แต่ก็พบเพียงความเรียบนิ่งของหญิงสาวที่กำลังจดจ่ออยู่กับรูปภาพ
“สภาพศพโดยรวมล่ะคะ”
“ศพถูกยิงสามนัดบริเวณหัวใจ คอหอย และศีรษะที่เห็นในรูปนั่นแหละ กระสุนที่คนร้ายใช้.50 A.E.”
“.50 A.E.
หึ ทั้งที่ยิงนัดเดียวก็ไปสวรรค์ได้แล้ว เล่นยิงสามนัดกะให้ไปยมโลกเลยหรือไงกัน” วรเนตรพึมพำออกมา แล้วขอตัวออกจากห้องไป โดยไม่ลืมที่จะคืนรูปให้ชาญเดช
“เฮ้อ เธอจะตามล่าพวกค้ายาไปถึงไหนกัน แม้จะจับรายหนึ่งได้รายต่อไปก็ต้องมีมาอีก เธอจะทำไปชั่วชีวิตเลยหรือไงวรเนตร แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะหน้าที่ก็ตาม” ชาญเดชถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นมาลอยๆให้กับหญิงสาวที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเขาแล้ว
ชาญเดชกลับมานั่งครุ่นคิดว่าเขาไม่ควรจะบอกวรเนตรกับเรื่องนี้เลย เขารู้ดีว่าหญิงสาวรู้สึกอย่างไร ความเจ็บช้ำและความโกรธแค้นของวรเนตรที่มีต่อพวกค้ายาไม่ใช่น้อยๆเลย เมื่อเธอต้องสูญเสียคนสำคัญไป ตอนเข้าจับกุมนายสมศักดิ์ก็เช่นกันเธอเกือบจะฆ่าเขาก่อนที่เขาจะถูกนำตัวมาจับขังด้วยซ้ำ และตอนนี้แม้ภายนอกหญิงสาวจะไม่แสดงออกก็ตาม แต่ภายในใจของวรเนตรนั้นต้องร้อนเป็นไฟแน่ และยิ่งคดีที่ทำมาร่วมปีต้องล้มไม่เป็นท่าด้วยแล้ว แต่จะไม่บอกกล่าวและไหว้วานก็ไม่ได้ เพราะวรเนตรถือเป็นบุคคลที่สำคัญของกรมตำรวจเลยทีเดียว ทั้งไหวพริบที่ชาญฉลาด และความสามารถด้านการต่อสู้ที่จำเป็นในการจับคนร้าย แม้จะเป็นตำรวจหญิงและยศยังไม่สูงนัก แต่ความสามารถก็เรียกได้ว่าสูงเอาการเลยทีเดียวคิดแล้วก็ได้แต่เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ
--------------------------------------------------
ภายในร้ายกาแฟแห่งหนึ่งที่อยู่ในบริเวณของย่านการค้าชื่อดัง วรเนตร ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่ถูกถลกปลายทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย กับกระดุมสองเม็ดบนที่ถูกปลดออกเผยให้เห็นผิวเนียนบริเวณเนินอกแลดูเซ็กซี่ยิ่งนัก กับกางเกงสแล็คสีน้ำตาลเข้ม เธอนั่งจิบกาแฟอยู่อย่างใจเย็นพลางมองออกไปข้างนอกร้านอย่างเหม่อลอยแม้จะนั่งเงียบๆอยู่ในมุมหนึ่งของร้านที่ดูจะเป็นมุมส่วนตัว แต่ร่างสูงกับบุคลิกของเธอก็เป็นจุดสนใจของใครหลายๆคนในบริเวณนั้นเลยทีเดียว
‘หลิน เธอต้องไม่ตายอย่างไร้ค่าแน่ คนพวกนั้น ไม่ว่ากี่ครั้งกี่หน ฉันก็จะจับพวกมันมาลงโทษให้ได้’ วรเนตรพึมพำอยู่ในใจ พลางมองสร้อยเงินที่ประดับด้วยจี้รูปหัวใจสีเดียวกันในมือและกำมันไว้แน่น
“ว๊ายยย! ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยจับผู้ชายคนนั้นที” เสียงร้องของหญิงสาวคนหนึ่งที่ร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากภายนอกร้าน ทำให้นิลการต้องหลุดออกจากความคิดของตนและหันไปมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่สวมหมวกปิดหน้าไว้กำลังวิ่งฝ่าฝูงชนอย่างเอาเป็นเอาตายพร้อมกับในมือถือกระเป๋าแบลนเนมยี่ห้อดังที่ดูก็รู้ว่าไปฉกมาจากใครสักคน และไม่ทันไรก็มีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษาวิ่งร้องเสียงดังไล่ตามมาอย่างกระหืดกระหอบ วรเนตรถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่ร่างกายจะขยับและวิ่งออกจากร้านตามชายผู้นั้นไป จี้ที่อยู่ในมือถูกนำเข้าไปเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างลวกๆ
จากเสียงร้องของหญิงสาวที่ขอความช่วยเหลือทำให้คนบริเวณนั้นต่างหันมาสนใจ บ้างก็ช่วยเข้ามาขวางทาง บ้างก็หลบออกไปเพราะกลัวลูกหลง แต่นั่นก็ช่วยทำให้วรเนตรตามชายผู้นั้นทัน ชายฉกรรจ์จำต้องหยุดขาเพราะตอนนี้เขาถูกล้อมรอบไปด้วยไทยมุขซะแล้ว
“กรี๊ด!” ไม่ทันไรเขาก็เข้าไปล็อคคอหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังยืนหอบตัวโยนและจ่อมีดไปที่คอของเธอ ไม่รู้เจ้ากรรมนายเวรตามมาทวงความแค้นคืนหรืออย่างไร เพราะหญิงสาวผู้นั้นคือคนที่วิ่งร้องขอความช่วยเหลือมาเมื่อสักครู่นั่นเอง
“พวกมึงอย่าเข้ามานะ ถอยออกไปให้หมด” ชายหนุ่มตะโกนร้องบอก มือข้างหนึ่งยังคงล็อคคอหญิงสาวอยู่ อีกข้างถือมีดส่ายไปมารอบๆตัวเพื่อให้ไทยมุงทั้งหลายเปิดทาง
“ย...อย่าทำอะไร ฉ...ฉันเลยนะ” หญิงสาวผู้เป็นตัวประกันร้องบอก
“หุบปาก!” ชายหนุ่มตวาดใส่ ทำให้ร่างบางที่ถูกมีดจี้คออยู่ต้องหยุดพูดทันที
“อั๊ก!! โอ๊ย!” อยู่ๆชายหนุ่มก็คลายมือออกจากหญิงสาวตัวประกัน เซไปด้านหน้าจนเกือบล้มลงกับพื้นและร้องออกมาด้วยความเจ็บเพราะถูกใครบางคนกระแทกที่ต้นคอด้านหลังโดยไม่ทันรู้ตัว ทำให้หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายหลุดออกไปได้
“ใครว...อั๊ก!? ” ชายหนุ่มหันไปตะคอกใส่ผู้ที่ทำให้ตนเจ็บ แต่ไม่ทันไรก็ต้องร้องออกมาอีกครั้งเมื่อโดนเตะสวนเข้าให้ที่ปลายคางเต็มๆจนหงายหลังสลบไปในที่สุดโดยที่ยังไม่ทันได้เห็นหน้าผู้ที่ทำให้ตนสลบเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวร่างสูงผิวสีแทน ผมยาวที่ถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อยในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กับกางเกงแสล็กสีน้ำตาลเข้ม และรองเท้าหนังเนื้อดี ค่อยๆก้มลงช้าๆและหยิบกระเป๋าแบนเนมสีขาวที่ตกอยู่ที่พื้นข้างตัวชายหนุ่มที่กำลังหลับไม่ได้สติอยู่ เธอปัดเบาๆสองสามทีที่กระเป๋าเป็นการทำความสะอาดเล็กน้อยแล้วเดินตรงไปยังหญิงสาวร่างบางผู้เคราะห์ร้ายที่ยืนหวาดๆอยู่ไม่ห่างในกลุ่มไทยมุงที่กำลังสลายตัวเมื่อเรื่องจบ
“เอ่อ...ข...ขอบคุ...ว๊าย!”
“ตามมา” ยังไม่ทันที่ร่างบางจะกล่าวขอบคุณเสร็จเธอก็ถูกร่างสูงคว้าข้อมือไว้แล้วจับลากไป ไทยมุงที่ยังเหลืออยู่ต่างก็หันกลับมาสนใจกันอีกครั้ง แต่ก็ยอมสลายตัวกันไปเมื่อร่างสูงกล่าวขึ้นมา
“ฉันเป็นคนรู้จักของเด็กคนนี้ค่ะ” พูดจบเธอก็ลากร่างบางออกจากบริเวณที่เกิดเหตุทันที
“ค...คุณ จ...จะพาฉันไปไหนค่ะ” เมื่อเดินมาได้สักพักร่างบางที่ยอมเดินตามร่างสูงเพราะถูกลากมาก็กล่าวขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ จนกระทั่งมาถึงบริเวณหนึ่งที่ไม่ค่อยจะมีคนเดินพลุกพล่านมากนัก หญิงสาวร่างสูงก็หยุดเท้าลงปล่อยมือจากร่างบางแล้วยื่นกระเป๋าสะพายสีขาวคืนให้
“ข...ขอบคุณค...”
“วันหลังก็ไม่ต้องเดินถือของมีราคาส่ายไปสายมาล่ะ มันเดือดร้อนคนอื่น” ร่างบางเงยหน้ามองร่างสูงและขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอโดนขัดจังหวะอีกครั้งหนึ่งแล้วในขณะที่จะกล่าวขอบคุณ แถมครั้งนี้ยังเป็นการขัดจังหวะที่ชวนหงุดหงิดดีแท้ แต่ก็ช่างเถอะถือว่าเจ๋ากันไปละกันกับการที่เขาช่วยเธอไว้ เธอยื่นมือไปรับกระเป๋าที่คนตรงหน้าเธอยื่นมาให้ เมื่อรับมาแล้วร่างสูงก็หันหลังเดินออกไปทันที แต่ก็ต้องหยุดเท้าเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงใสๆจากหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ทำไมคุณต้องพาฉันมาแถวนี้ด้วยล่ะ”
“เฮ้อ...เธออยากขึ้นโรงพักนักหรือไง ขืนอยู่แถวนั้นตำรวจได้แห่กันมาลากไปสอบปากคำอีก แต่ถ้าอยากไปนักก็เชิญกลับไปรอคนเดียวแล้วกัน” พูดจบร่างสูงก็เดินจากไป ปล่อยให้ร่างบางยืนเหวออยู่อย่างนั้น แม้จะอยากด่าไล่หลังแต่ก็ไม่รู้จะสันหาคำไหนดีเพราะที่เขาพูดมามันก็ถูกทั้งหมด แถมยังเป็นหนี้ที่เขาช่วยเอาไว้อีก แต่ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี และก่อนที่เธอจะก้าวขาเดินออกไปอย่างหัวเสียสายตาของร่างบางก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งๆหนึ่งบนพื้น เธอก้มลงไปเก็บก็พบว่าเป็นจี้รูปหัวใจสีเงินแบบเรียบๆ และมองหันซ้ายหันขวาหาผู้เป็นเจ้าของ แต่บริเวณที่เธออยู่ตอนนี้ก็ไม่มีใครแล้ว
--------------------------------------------------
จบตอนที่ 1
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น