ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลุ้นสลับคู่ รักสลับขั้ว (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #2 : คาบเรียนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 454
      0
      2 ส.ค. 54

    คาบเรียนที่ 2

    ณ มุมหนึ่งของตึกเรียน เนื่องจากยังอยู่ในเวลาเรียนบริเวณนี้จึงปราศจากผู้คน แต่ก็มีหญิงสาวร่างเล็กผู้หนึ่งนั่งปิดหน้าร้องไห้สะอื้นอยู่ เด็กสาวผู้มาใหม่อีกคนเมื่อเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ
     
    “หนูขอโทษนะคะอาจารย์ ที่ทำเหมือนไม่ให้เกียรติเมื่อครู่” เสียงเรียบๆของญาณินที่ฟังดูแล้วเหมือนคนกำลังสำนึกผิด ทำให้พิมลดาเงยหน้าขึ้นพลางปาดน้ำตาอย่างตกใจ เพราะเธอไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็นเธอในสภาพนี้ หรือพูดง่ายๆคือไม่คิดว่าจะมีใครตามเธอมานั่นเอง ยิ่งเป็นนักเรียนของเธอด้วยยิ่งแล้วใหญ่ และความรู้สึกเศร้าเมื่อครู่ก็แปลเปลี่ยนเป็นความเขินอายแทน
     
    “มะ...ไม่เป็นไร...ครู...ก็เป็นแบบนี้แหละ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้ ใช้ไม่ได้เลยใช่ไหม” พิมลดากล่าวแบบติดๆขัดๆได้ไม่เต็มเสียงนัก เพราะรู้สึกอายกับนิสัยขี้แยของตัวเอง โดยเฉพาะต่อหน้านักเรียน แต่ใบหน้าที่ขึ้นสีกับท่าทางเขินๆของเธอนั้น ก็เล่นทำเอาคนมองอย่างญาณินใจเต้นไม่เป็นส่ำ พลางยกมือขึ้นสัมผัสแก้มเนียนของคนตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว พิมลดาเองก็ตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดต่อว่าหรือถอยหนีแต่อย่างใด พลางหลับตาลงและยอมให้ญาณินเช็ดคาบน้ำตาให้แต่โดยดี และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ร่างเล็กสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนตรงหน้า แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องผละออกจากกันด้วยความตกใจเมื่อมีเสียงๆหนึ่งดังขึ้น
     
    “พวกเธอคิดจะทำอะไรกันน่ะ” เป็นมัณฑณีนั่นเองที่ยืนกอดอกจ้องหน้าคนทั้งสองอยู่ ความจริงเธอเองก็ไม่ได้คิดจะมาขัดจังหวะอะไรหรอกนะ เพียงแต่สถานที่ที่พวกเขาทั้งสองอยู่นี้มันเป็นที่ๆโล่งจนเกินไป แม้ตอนนี้บริเวณนี้จะปราศจากผู้คนก็ตาม และถึงจะบอกว่าปราศจากผู้คนแต่อย่างน้อยตอนนี้มันก็ประกอบด้วยเธอ และตัวปัญหาอีกสองคนตรงหน้าเธอ และหากยังมีใครมาแอบดูอีกอย่างที่เธอทำเมื่อครู่ เธอเองก็ไม่อยากคิดว่าทั้งคู่จะต้องเจอกับอะไรบ้างโดยเฉพาะพิมลดา
     
    “พี่...แป้ง... เอ่อ...มะ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เมื่อกี้พิมลื่นล้มน่ะค่ะ น้ำตามันเลยไหล ล...แล้วเด็กคนนี้ก็เข้ามาเห็นพอดี” พิมลดาละล่ำละลักบอกกับมัณฑณีที่ยืนจ้องเธอเขม็งอยู่
     
    “ช...ใช่ค่ะอาจารย์ หนูแค่...”
     
    “เอาล่ะ ครูเองก็ไม่ได้กะจะว่าอะไรสักหน่อย แล้วก็เธอ ญาณิน เดี๋ยวตามครูไปพบที่ห้องฝ่ายปกครองด้วยนะ” มัณฑณีตัดบทไปก่อนที่ญาณินจะกล่าวจบ เพราะเธอเองก็ขี้เกียจจะมานั่งฟังคำแก้ตัวของทั้งคู่ พูดเสร็จมัณฑณีก็หันหลังให้และเตรียมเดินจากไป สร้างความตกใจให้คนทั้งคู่ที่มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก แต่เสียงเรียกของรุ่นน้องก็ทำให้สาวใหญ่อย่างมัณฑณีต้องหยุดขาลง
     
    “พี่แป้งคะ เรื่องนี้เป็นความผิดของพิมเอง ไม่ได้เกี่ยวกับเด็กคนนี้นะคะ” พิมลดาพูดอย่างร้อนลน
     
    “พี่ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้จะว่าอะไรพวกเธอเมื่อกี้ แต่ที่เรียกเด็กคนนี้ไปก็แค่อยากตักเตือนเรื่องอื่นนิดหน่อยน่ะ” พูดจบสาวใหญ่อย่างมัณฑณีก็เดินอมยิ้มจากไป ทิ้งให้คนสองคนมองหน้ากันอย่างหน้าเสีย
     
    “เอ่อ...เดี๋ยวหนูขอตัวไปก่อนนะคะอาจารย์ แล้วก็...ขอโทษอีกครั้งนะคะที่ทำให้เดือดร้อน” ญาณินกล่าวคำขอโทษ พร้อมยกมือไหวหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะวิ่งตามมัณฑณีไป ด้วยใจที่กลัวๆอยู่ว่ามัณฑณีจะทำอะไรกับพวกเธอหรือเปล่า ถ้าโดนแค่เธอก็คงดีสินะ เด็กสาวเหลียวหลังเหลือบไปมองอาจารย์สาวร่างเล็กที่ดูเหมือนจะกำลังยืนงงอยู่เล็กน้อย ก่อนจะก้มหัวให้นิดหน่อยแล้วหันหน้าวิ่งไปทางเดิม

    .........
    ..................

    “เฮ่อ...แย่ตั้งแต่วันแรกเลยเหรอเนี่ยเรา” พิมลดาผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะนั่งลงไปที่เดิมด้วยความรู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรง พลางดูนาฬิกาข้อมือ แล้วพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง แม้จะยังไม่หมดคาบ แต่...จะให้เธอกลับเข้าไปในชั้นเรียนเดิมเธอก็ไม่กล้า ไม่รู้ว่าที่เธอร้องไห้วิ่งออกมาจะมีนักเรียนคนไหนเห็นอีกบ้างนอกจากเด็กสองคนนั้น และยิ่งห้องๆนั้นก็เป็นห้องที่เธอต้องคอยดูแลด้วยแล้ว คิดแล้วก็ให้ได้ผ่อนลมหายใจออกมาอีกรอบ และเธอก็ต้องขมวดคิ้วกับคำแซวที่แว่วเข้ามาจากด้านข้าง
     
    “ถอนหายใจมากๆเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอกอาจารย์” เด็กสาวร่างสูงผิวเข้มที่พิมลดาไม่รู้จักชื่อ แต่เธอรู้ว่าเป็นเด็กที่เธอเผลอตบหน้าไปเมื่อครู่ พลางกำลังจะกล่าวขอโทษที่พลั้งเผลอไปแบบนั้น แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูจะกวนๆก็ให้ได้รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ บวกกับคำแซวของเด็กตรงหน้าเมื่อกี้แล้ว คำขอโทษมันเลยโดนกลืนเข้าไป และได้แต่นั่งนิ่งๆทำเป็นไม่ใส่ใจเด็กสาวที่เข้ามาทักทายเธอ เล่นเอาฐิตินันท์ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน แต่ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาพลางนั่งลงข้างๆครูสาว   
     
    “อาจารย์จะไม่พูดอะไรหน่อยหรอคะ เนี่ย ตรงเนี้ย” ฐิตินันท์กล่าวด้วยน้ำเสียงกวนๆ พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้อาจารย์สาวแล้วชี้ไปที่แก้มของตนเองข้างที่มันยังมีรอยแดงๆอยู่ เล่นเอาพิมลดาถึงกับสะดุ้งพลางเขยิบตัวออกไปหน่อย พร้อมด้วยใบหน้าที่เคยขาวอมชมพูก็เกิดแดงขึ้นมา ซึ่งกิริยาท่าทางแบบนั้นก็ทำให้ฐิตินันท์ถึงกับยิ้มออกมา และรุกต่อไปอีกขั้น
     
    “เขินหรอคะอาจารย์” คำแซวงวดนี้ถึงกับทำให้พิมลดาต้องขมวดคิ้วพลางเงยหน้าจ้องมองใบหน้าของเด็กสาวเขม็ง
     
    “เมื่อกี้ครูบอกเธอไปแล้วไม่ใช่หรอ ว่าช่วยให้เกรียติครูบ้าง ถ้ายังคิดจะลามปามอีก คราวหน้าคงต้องเรียกผู้ปกครองเธอมาพบสักหน่อย” พิมลดาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับเด็กที่นั่งอยู่ข้างๆเธอโดยไม่ได้หันหน้าไปหา แม้เสียงเธอจะฟังดูเรียบแต่ในใจของเธอนั้นก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการพูดออกไป แม้นิสัยของเธอไม่คิดจะถือสาอะไรกับคำพูดแบบนั้น แต่ถ้าไม่ปรามไว้บ้างเธอก็คงทำให้นักเรียนเคารพเธอไม่ได้ แม้มันจะดูเป็นคำกล่าวที่ออกจะแรงไปเหมือนกัน และจากการที่เธอไม่ได้หันไปมองก็ทำให้เธอไม่ได้รับรู้ว่านักเรียนของเธอนั้นก็นั่งซึมไปเหมือนกัน
     
    “เอ่อ...แล้วก็ ครู...ขอโทษ...นะ” พิมลดาเอ่ยเสียงเบาลงด้วยเขินเล็กๆ แต่ก็พอได้ยินกันสองคน เพื่อขอโทษที่เธอเผลอตบหน้าเด็กสาวไป แต่นั่นก็ทำให้ฐิตินันท์ถึงกับยิ้มออกมาได้ ที่อาจารย์สุดน่ารักคนนี้ของเธอไม่ได้เฮียบนักหรือถือตัวอย่างที่คิด แต่จะว่าไปก็ไม่น่าใช่คนแบบนั้นอยู่แล้ว ก็ออกจะน่ารักขนาดนี้นี่นา  
     
    “อาจารย์คะ หนูก็ต้อง...ขอโทษเหมือนกันค่ะ แล้ว...อาจารย์ชื่ออะไรคะ หนู นันท์ ค่ะ ฐิตินันท์” ฐิตินันท์ลุกขึ้นยืนบ้างแล้วอ้อมไปดักอยู่หน้าอาจารย์สาวที่ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับเธอดีๆเสียที แต่ก็ต้องนิ่งอึ้งไปด้วยใจที่กระตุกวาบขึ้นมา เมื่อเห็นรอยยิ้มเต็มใบหน้าของพิมลดาที่ส่งมาให้พร้อมกับคำพูดสดใสที่ดูเหมือนจะไม่ได้ติดใจกับการกระทำของเธอเมื่อกี้แล้ว
     
    “พิม ค่ะ ครูชื่อพิมลดา นี่ก็ใกล้จะหมดคาบแล้ว เธอไปเข้าเรียนเถอะ หรือจะเดินไปด้วยกัน เพราะครูก็ไม่ได้หยิบสมุดออกจากห้องมะ...มา...” พิมลดาเอ่ยแนะนำตัวเอง พร้อมพูดจาอย่างเป็นมิตรกับเด็กตัวโตตรงหน้าเธอ แต่ก็ต้องมาสะดุดลงเมื่อนึกได้ว่าเธอทำอะไรไว้ที่ห้องเรียนก่อนจะวิ่งหนีออกมา เป็นห่วงนักเรียนในชั้นว่าจะเป็นอย่างไรบ้างที่เธอปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นก็เป็นห่วงอยู่ แต่เธอก็อายเกินกว่าที่จะกลับไปเอาสมุดที่ลืมไว้ คิดแล้วใบหน้าก็เริ่มแดงขึ้นมาอีกครั้ง
     
    “คะ” ฐิตินันท์เอียงคอมองอาจารย์สาวตรงหน้าอย่างสงสัยที่อยู่ๆก็เงียบไป และหน้าแดงขึ้นมาซะเฉยๆ หรือจะเขินที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอกันนะ คิดแล้วก็ยิ้มออกมาที่มุมปากพลางเกาแก้มตัวเองไปมา และเขินตามอาจารย์สาวไปด้วย
     
    “เอ่อ...คือ...เรื่องที่ ครูระ...ร้อง... นันท์ ช่วยไปเอาสมุดที่ครูลืมไว้...ออกมาให้หน่อย...ได้ไหม” แป่ว ที่เขินน่ะเรื่องนี้เองเหรอ ฐิตินันท์หุบยิ้มทันทีที่รู้ว่า อาจารย์สาวไม่ได้เขินเพราะตัวเธอเลย แต่ก็นะ เห็นแล้วคุณครูพิมของเธอนี่ก็น่ารักสุดๆเลยเวลาเขินเนี่ย แล้วอย่างนี้จะให้เลิกแซวได้ไงล่ะ อีกอย่างถึงจะเป็นอาจารย์ ก็ใช่ว่า จะจีบไม่ได้นิ
     
    “จัดให้ค่ะ แต่...มีข้อแม้นะคะ” ฐิตินันท์ยิ้มกว้างกล่าวพร้อมยื่นข้อเสนอให้อาจารย์สาว ที่ดูเหมือนจะทำหน้ายุ่งมองมาทางเธอ
     
    “อะไรล่ะ ถ้า...ครูให้ได้” ปกติเวลาครูหรืออาจารย์ใช้อะไรนักเรียนก็จะยอมทำแต่โดยดีไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงได้กล้ายื่นข้อเสนอกับเธอแบบนี้นะ หรือเห็นว่าเธอไม่น่าเคารพงั้นหรอ คิดแล้วพิมลดาก็ได้แต่รู้สึกเซ็งตัวเองอยู่ในใจ ที่เหมือนตกเป็นรองให้กับเด็กตัวโตตรงหน้าเธอ  

    .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... ..........

    ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องฝ่ายปกครองที่มีคนอยู่ภายในห้องกันแค่สองคน
     
    “นี่ เงยหน้าขึ้นมองครูหน่อยได้ไหมเนี่ย ครูไม่ได้จะทำอะไรเธอหรอกน่าญาณิน” มัณฑณีที่นั่งเขียนอะไรอยู่บนโต๊ะได้สักพัก เมื่อหันมองเด็กสาวที่เข้ามาก็ทำหน้าเศร้านั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้น และเงียบมาตลอด ก็ได้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ ที่ถามอะไรไปก็ค่ะๆ อย่างเดียว
     
    “ค่ะ” นั่น อีกและ ครูสาวฝ่ายปกครองชักเริ่มจะของขึ้น แต่ก็พยายามใจเย็นเข้าไว้ เพราะเดี๋ยวเกิดระเบิดอารมณ์ไป จะไม่ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ พลางลุกจากเก้าอี้ของตนลงมานั่งยองๆมองหน้าเด็กสาวที่ตอนนี้เหมือนจะตกใจในการกระทำของเธออยู่ไม่น้อยและก้มหน้างุดลงที่เดิม ทำให้มัณฑณีต้องยิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับท่าทางนั้นที่ดูๆไปก็น่ารักดีเหมือนกัน
     
    “เรื่องของเธอ กับครูพิมเมื่อกี้...” มัณฑณีหลอดคำพูดลงเล็กน้อยเพื่อดูปฏิกิริยาของเด็กตรงหน้าเธอ แต่ก็เป็นอย่างที่เธอคาดไว้
     
    “เรื่องนั้นอาจารย์พิมไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยนะคะ คือ...เอ่อ...” ญาณินเงยหน้ามองอาจารย์สาวตรงหน้าและพูดขึ้นทันที แต่พอสบตาเข้ากับมัณฑณีที่จ้องเธอกลับมานิ่งๆอย่างไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ก็ทำให้เด็กสาวพูดอะไรต่อไม่ออก
     
    “จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวไม่รู้ล่ะ แต่ที่ครูเห็นเมื่อกี้ เธอคิดว่ามันเป็นภาพที่ดีนักหรือไงที่ครูกับนักเรียนจะทำอะไรกันแบบนั้น” ครูสาวลุกขึ้นจากท่าเดิมและพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟาด้านหลังของญาณิน
     
    “แล้วทีอาจารย์กับฐิตินันท์ล่ะคะ อีกอย่างหนูกับครูพิมก็ไม่ได้ทำอะไรกันแบบนั้น” เด็กสาวแม้ปกติจะเป็นคนเงียบๆ แต่พอเอาเข้าจริงก็กล้าได้ที่เหมือนกันในความคิดของมัณฑณี
     
    “กล้าย้อนดีนี่ แล้วเธอเคยเห็นครูกับเพื่อนของเธอทำอะไรกันแบบนั้นกลางที่สาธารณะรึเปล่าล่ะ” คำกล่าวของอาจารย์สาวทำให้ญาณินถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่อาจารย์พูด ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิดเหมือนกับคนตรงหน้ากำลังบอกว่า ถ้าจะทำอะไรแบบนั้นก็ไม่ควรทำในที่โจ่งแจ้งงั้นหรอ
     
    “อื่ม สมแล้วที่ได้ที่หนึ่งของชั้นเรียน เข้าใจอะไรง่ายดี ครูเองก็ไม่ได้คิดจะต่อว่าอะไรเธอหรอกกับเรื่องแบบนี้ แค่อยากจะเตือนไว้เท่านั้นแหละ จะทำอะไรก็ให้ระวังไว้หน่อยเมื่ออยู่ในรั้วโรงเรียน” อาจารย์สาวยิ้มเล็กๆแล้วกล่าวออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กตรงหน้าที่พอจะเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดแล้ว  
     
    “ค่ะ” คำตอบสั้นๆของญาณิน ก็ทำให้มัณฑณีถอนหายใจออกมาอีกรอบ เพราะถ้าไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงไปกระตุ้นเด็กคนนี้คงพูดกับเธอได้แค่ ‘ค่ะ’ เท่านั้นมั้งเนี่ย   
     
    “แล้วเราจะเอาไงต่อ พิม น่ะให้ตายก็ไม่รู้หรอกว่าเธอคิดยังไงกับเขา ให้ครูช่วยมะ” ครูสาวกล่าวพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคนที่ทำหน้าเหวอมองมาที่เธอ
     
    “ม...ไม่ต้องหรอกคะ น...หนูเองก็เป็นแค่นักเรียน…” ญาณินกล่าวพร้อมกับก้มหน้ามุดมองดูพื้นเช่นเคย เมื่อเด็กสาวกล่าวจบเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากอาจารย์ตรงหน้าเธอ
     
    “แล้วไม่ตอบ ค่ะ แล้วเหรอ แต่ว่าครูอยากช่วยนะ เอาเป็นว่าว่างๆครูจะบอกพิมให้แล้วกัน ว่ามีนักเรียนแอบชอบอยู่ เธอไปได้ละ ครูเรียกเธอมาแค่นี้แหละ” มัณฑณีกล่าวอย่างยิ้มแย้ม แต่ถ้าดูให้ดีก็เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจเลยทีเดียว ก่อนจะลุกเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง พลางหยิบเอกสารข้างๆตัวมานั่งขีดๆเขียนๆโดยไม่ใส่ใจเด็กสาวที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม และดูเหมือนว่ายังไม่คิดจะลุกไปไหนตามที่เธอบอก
     
    “อาจารย์คะ คือ...ไม่บอกอาจารย์พิมได้ไหม...คะ” ญาณินเงยหน้ามองอาจารย์สาวตรงหน้า และกล่าวพลางขอร้อง เพราะหากคนตรงหน้าบอกอะไรกับอีกคนไป เธอคงไม่กล้าเข้าใกล้พิมลดาอีก อีกทั้งอาจจะเกิดความหมางเมินของอาจารย์สาวร่างเล็กไปเลยก็ได้
     
    “ไม่บอกก็ได้ แต่...” มัณฑณีละออกจากเอกสารตรงหน้าก้มลงมองเด็กสาวด้วยรอยยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่น่าไว้ใจ และนั่นก็ทำให้ญาณินถึงกับร้อนวูบเมื่อมองดูรอยยิ้มนั้น กับเงื่อนไขที่ดูจะไม่ธรรมดาที่จะมาหลังจากคำว่า ‘แต่’ ที่ครูสาวหยุดเอาไว้...

    .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... ..........

    ภายในห้องม.
    5/3 แม้จะไม่ใช่ห้องประจำที่จะอยู่กันในคาบโฮมรูม แต่ก็เป็นห้องสุดท้ายที่เด็ก ม.5/3 จะอยู่กันในวันนี้ หลังจากที่เสียงออดโรงเรียนเลิกดัง ทุกคนต่างก็เฮฮากันออกมาก่อนที่อาจารย์ภาษาอังกฤษที่ยืนอยู่หน้าห้องจะปล่อยเสียอีก
     
    “อาจารย์ หมดคาบแล้วค่ะ” เสียงใสๆของเด็กสาวคนหนึ่งดังมาจากกลางห้อง พร้อมกับยกมือโบกไปมาเหมือนกับเป็นการขออนุญาตก่อนพูด แต่ดูดีๆมันก็ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเด็กสาวพูดออกมาก่อนที่จะยกมือด้วยซ้ำ พร้อมกับยิ้มซะแก้มปริให้กับอาจารย์สาวที่ยืนอยู่หน้าห้อง
     
    “จ้าๆ รู้แล้วค่ะ ทวงมากต่ออีก 10 นาทีดีไหมคะ สิริณญา” เมื่ออาจารย์กล่าวจบ ก็ทำให้ทั้งห้องโฮ่ออกมาในทันที ที่พวกเขากล้าโฮ่กันออกมานั้นเพราะอาจารย์ภาษาอังกฤษคนนี้แกเป็นคนที่ใจดีมากเลยทีเดียว จึงทำให้ทุกคนรักแก
     
    “โอเคๆ ปล่อยก็ปล่อย” หญิงสาววัยยี่สิบห้ายี่สิบหกกล่าวกับเด็กนักเรียนภายในห้องที่ดูจะหน้าบานกันเป็นแถวๆ แต่มีเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่หลังห้องดูเหมือนจะหน้าหงิกตลอดคาบ ทั้งที่ปกติแล้วญาณินจะไม่ใช่เด็กแบบนั้น แม้จะดูเงียบๆแต่ก็มักจะมีความร่าเริงให้เห็นอยู่ในที ผิดกับคนข้างๆที่วันนี้ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่นั่งยิ้มตั้งใจฟังเธอสอนตลอดคาบ ซึ่งทุกทีไม่หลับบ้างก็แอบทำอะไรขยุกขยิกอยู่ใต้โต๊ะ แต่...เธอไม่เข้าไปยุ่งมันคงจะดีกว่า และเธอก็เดินออกจากห้องไปเมื่อนักเรียนในชั้นทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว...
     
    “ไอ ญา ออกนอกหน้าเลยนะแก แล้วไม่ตามจารไปวะ ทุกทีเห็นวิ่งไปปรนนิบัติ” เป็นฐิตินันท์ที่เอ่ยแซว สิริณญา เพื่อนร่างเล็กของเธอที่มักจะรื่นเริงทุกครั้งที่ได้เรียนภาษาอังกฤษ แล้วก็ได้ค้อนกลับมาหนึ่งวงหลังแซวเสร็จ พร้อมๆกับเสียงหัวเราะของเพื่อนภายในห้อง
     
    “ไม่แซวสักครั้งจะตายมะ ไอบ้านี่ ชิ” สิริณญาทำหน้าย่นใส่ฐิตินันท์ก่อนจะรีบเก็บของๆตัวเอง พร้อมเอ่ยลาเพื่อนๆและวิ่งตามอาจารย์สุรวรรณ อาจารย์สอนภาษาอังกฤษสุดสวยของเธอออกไป ฐิตินันท์ยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนสาวพลางหันมามองญาณินที่ทำหน้าเซ็งตลอดวันตั้งแต่หลังจากหมดคาบแรกไปเมื่อเช้านี้ พอถามอะไรไปก็ไม่ยอมตอบ
     
    “เฮ่ย ไปเล่นบาสฯกัน แก้เซ็ง นั่งหน้ามู่อยู่ได้ทั้งวันแกนี่” ฐิตินันท์เอ่ยชวนเพื่อนของเธอ ญาณินเองก็เงยหน้ามองเพื่อนไม่ได้ตอบอะไร และจะว่าไปไปเล่นแก้เซ็งอย่างที่คนตรงหน้าบอกมันก็คงดีเหมือนกัน เธอเองก็อยากจะบอกฐิตินันท์เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเงื่อนไขที่เธอได้รับมาจากอาจารย์มัณฑณีก็เกี่ยวกับคนที่ตอนนี้หันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นๆแล้วเต็มๆ แต่ถ้าบอกไปเธอเองต้องโดนโวยวายจากเพื่อนของเธอแน่ คิดแล้วพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้งและเก็บกระเป๋าเดินออกจากห้องในทันที
     
    “อ้าวเฮ้ย รอด้วยสิวะเล้ง” ฐิตินันท์หันมาเห็นว่าญาณินอยู่ๆก็เดินออกไป ทำให้เธอต้องรีบเก็บกระเป๋าและวิ่งตามออกไปแทบไม่ทัน  

    .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... ..........

    ณ สนามบาสกลางแจ้งของโรงเรียน เวลาประมาณ
    5 โมงเย็น เสื้อที่เปียกชื้นเพราะเหงื่อที่ไหลออกมาของร่างสูงสุดในกลุ่มที่ยืนอยู่กลางสนาม แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังหน้ามองสำหรับเด็กสาวหลายๆคนที่ยืนกรีดกร๊าดกันอยู่แถวนั้น
     
    “เฮ่อ ได้เหงื่อแล้วค่อยรู้สึกโล่งขึ้นมาหน่อย แกว่าไงวะเล้ง” ฐิตินันท์เอ่ยกับเพื่อนตัวขาวของเธอ ที่ดูเหมือนจะมีสีหน้าดีขึ้นมาหน่อยแล้ว และญาณินที่ตอนนี้มีสภาพไม่ค่อยต่างกันก็ยิ้มออกมาให้กับเพื่อนเธอตรงหน้า
     
    “ป่ะ งั้นเก็บของแล้วกลับบ้านกัน” ฐิตินันท์กล่าวพร้อมเดินไปเก็บของๆตัวเอง ญาณินก็เช่นกันก่อนจะหยุดชะงักลงเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างสันทัดยืนอยู่หน้าประตูพร้อมมองมาทางเธอไม่วางตา แต่เด็กสาวก็ก้มหน้าลงและตรงไปเก็บของๆตัวเองต่อ
     
    “เล้ง เดี๋ยวแกกลับไปก่อนแล้วกัน ฉันลืมของวะ” ฐิตินันท์หันมาบอกกับญาณิน และถึงแม้ไม่ได้กลับด้วยกันมันก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะบ้านของพวกเธอสองคนอยู่คนละทางกัน แค่เดินออกจากรั้วโรงเรียนก็ต่างคนต่างไปแล้ว และนั้นมันก็ดีเหมือนกันสำหรับญาณินในวันนี้ เพราะเธอยังกลับไม่ได้และก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาอ้างฐิตินันท์ด้วยว่าทำไมถึงยังไม่กลับ พลางหันไปมองหญิงสาวทางหน้าประตูโรงเรียนอีกครั้ง…

    .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... ..........

    ภายในห้องพักครูหมวดวิทยาศาสตร์ หญิงสาวร่างเล็กกำลังทำหน้ายุ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเองคนเดียวภายในห้อง เนื่องจากนี่ก็เป็นเวลาเย็นพอสมควรแล้ว อาจารย์ท่านอื่นๆก็ต่างกลับกันไป คงเหลือก็แต่พวกอาจารย์ที่ต้องอยู่เวรดูแลพวกนักเรียนที่ยังไม่กลับบ้าน และก็...เธออีกหนึ่งคน ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับ แต่...
     
    “หวัดดียามเย็นค่ะอาจารย์ กลับบ้านกันยังเอ่ย ได้เวลาเลิกงานแล้วนะคะ นันท์อุตส่าห์อยู่รอให้อาจารย์เลิกงานนะเนี่ย” ก็เพราะแบบนี้ไงเธอถึงได้ยังไม่อยากกลับ ก็เพราะข้อเสนอของฐิตินันท์คือ ขอให้เธอไปส่งบ้าน และเลี้ยงข้าวเย็นหนึ่งมื้อในวันนี้ แค่ให้ไปหยิบสมุดออกมาให้เท่านั้น แต่เหมือนเธอจะโดนเด็กคนนี้แกล้งมากกว่าเป็นสองเท่ายังไงยังงั้น
     
    “ครูไม่ได้ขอให้เธออยู่รอครูนี่ และถ้าเธอกลับเองป่านนี้ก็ได้ถึงบ้านไปนานแล้ว”
     
    “ถึงจะถึงบ้านเร็ว แต่ก็ยังไม่มีข้าวกินนี่คะ” ฐิตินันท์ลอยหน้าลอยตาตอบ พลางเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าโต๊ะหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่ปกติไม่ว่าจะสาวไหนก็ต้องละลายให้กับยิ้มนี้ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลกับหญิงสาวร่างเล็กที่มัวแต่เก็บของอยู่ตรงหน้า
     
    “แล้วพ่อกับแม่เธอล่ะ ไม่ได้กินข้าวด้วยกันหรือไง” พิมลดาเอ่ยพลางยืนหันหลังเก็บของของตัวเองไป แต่เพราะเสียงที่หม่นลงของเด็กสาวกับประโยคที่เธอกล่าวก็ทำให้พิมลดาต้องขมวดคิ้วและหันกลับมามองหน้าเด็กสาวแทน
     
    “ไม่ได้กินด้วยกันหรอกค่ะ เพราะพ่อกับแม่...ไม่อยู่แล้ว” ใช่ ไม่อยู่แล้ว ฐิตินันท์หมายความตามที่เธอพูดนั่นแหละ เพราะพ่อกับแม่เธอเสียไปในอุบัติเหตุเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และเธอก็อาศัยอยู่กับป้าของเธอเท่านั้น เพราะหญิงวัยกลางคนผู้นั้นไม่ได้แต่งงานหรือมีลูกเธอจึงรักฐิตินันท์เหมือนกับลูก แต่ก็ใช่ว่าป้าของเธอจะอยู่บ้านตลอด และบางทีก็ปล่อยให้เด็กสาวอยู่บ้านคนเดียวเช่นวันนี้
     
    “เอ่อ...ครู...ขอโทษค่ะ แล้ว...ตอนนี้เธออยู่กับใครล่ะ” พิมลดาไม่คิดจะถามอะไรต่อเกี่ยวกับพ่อและแม่ของเด็กคนนี้ และเลี่ยงไปถามอีกคำถามแทน เธอสงสัยว่าถ้าเด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่จริงแล้วเขาอยู่กับใครล่ะ ใครเป็นคนดูแล แล้วทำไมถึงได้ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลย หรือว่าจะชินกับสภาพของตัวเองแล้ว
     
    “ป้าค่ะ พี่สาวของแม่นันท์เอง ว่าแต่จะไปยังคะเนี่ย นันท์หิวแล้วนะ” พิมลดายืนงงกับเด็กตรงหน้าเธอที่ดูจะเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วนัก และเธอเองก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรต่อด้วย เพราะไม่รู้ว่าที่ฐิตินันท์ร่าเริงได้นี่เพราะปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองไว้ หรือไม่ได้คิดอะไรเลยกันแน่ หญิงสาวได้แต่พยักหน้าตอบรับเด็กสาวเพียงเท่านั้น
     
    “ไปรอครูที่ป้ายหลังโรงเรียนแล้วกัน เพราะออกไปพร้อมกัน...มันจะดูไม่ดี” พิมลดาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ซึ่งเด็กน้อยแต่ตัวโตของเธอก็ยิ้มตอบรับและขอตัวออกไปอย่างอารมณ์ดี โดยไม่ได้สังเกตว่าคนที่เธอโปรยยิ้มไปให้นั้นอยู่ๆก็เกิดอาการหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัวขึ้นมา...

    .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... .......... ..........

    จบคาบเรียนที่
    2


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×