ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ผมชื่อเจาะ
《เกิดเป็นคน เป็นคนโดยธรรมชาติ ชีวิตจิตใจนั้นสามารถรู้ขาดรู้ผู้รู้ซึ่ง》
ส่วนตอนนี้ผมก็นั่งมองดูมดเดินไปเดินมาจนจนถึงช่วงเที่ยงของอีกวัน คือนั่งมองจนข้ามวันข้ามคืนนั่นแหละ จากนั้นผมก็เข้าไปในครัวเพื่อหาอะไรกิน สำหรับผมนะถ้าหิวก็กิน ถ้าไม่หิวก็ไม่กินอ่ะนะ ไม่รู้จะกินไปทำไมเห็นไหมครับการใช้ชีวิตแบบผมนั้น มันง่ายๆสบายๆใช่ไหมล่ะ และผมรู้ว่าหลายๆคนนั้นคงอิจฉาผมกันล่ะสิ
สวัสดีครับ ผมชื่อเจาะ ใครๆก็ต่างให้สมยานามกับผมว่า "บักเจาะ เชาะกราว"ตอนนี้ผมมีอายุได้34ปีแล้ว สถานะโสด หน้าตาหล่อเหลาระดับพระเอกหนังไทยเลยล่ะ(คิดไปเอง)ส่วนเพลงที่ผมร้องไปน่ะ เป็นมันเพลงที่ผมชอบฟังบ่อยๆ แต่ว่าใครเป็นคนให้ฉายามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะอะไร? ทำไม? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน และผมก็ไม่เคยอยากรู้หรอกครับ จะสนใจทำไม แต่ก็ช่างหัวมารดามันเถอะ อ่ะ!ผมต้องขอโทษทีที่พูดคำหยาบออกไป เอาเป็นว่ามาเข้าเรื่องของผมต่อเลยก็แล้วกัน ผมน่ะเป็นคนที่ชอบมีงานอดิเรกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือการนั่งมองดูวิถีชีวิตของมด จะเรียกว่างานอดิเรกก็ไม่น่าจะใช่ เพราะการใช้ชีวิตของผมส่วนมากนอกจากช่วยงานร้านอาหารตามสั่งที่เป็นกิจการเล็กๆของบ้านแล้ว ซึ่งร้านจะเปิดแค่ตอนกลางคืนเริ่มที่ 6 โมงเย็น จนหมดของที่เตรียมไว้ก็น่าจะชัก 3-4ทุ่ม ถึงจะปิดร้าน แล้วพอเสร็จจากงาน ผมก็จะมานั่งดูมดหรือจองดูพวกมดที่มันเดินไปเดินมาภายในบริเวรบ้านอย่างมีความสุขแบบทั้งวันทั้งคืน แต่ก็แปลกมากครับมันไม่ทำให้ผมรู้สึกง่วงหรือรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าผมทำแบบนี้มามากกว่า 20 ปีแล้ว จนมารู้ตัวอีกทีผมก็ไม่เคยนอนหลับอีกเลยเป็นระยะเวลามากกว่าสิบปี แต่ว่าร่างกายของผมก็ยังคงปกติดีอยู่นะครับผมว่า
"เจาะโว้ย เจ้าเจาะ!เจ้าลูกเฮงซวย ! มาช่วยข้าจัด เตรียมร้านได้แล้ว ไปมุดหัวที่ไหนของมันเนี่ย"
อยู่ๆก็มีเสียงตะโกนของหญิงอาจจะไม่สาว ที่รู้สึกว่าเป็นภาษาที่ไพเราะเสนาะหูเป็นอย่างมาก ซึ่งมันเป็นภาษาที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เกิด และมันก็ดังมาจากทางหน้าบ้าน
"เร็วสิโว้ย!เจ้าลูกบ้าใจคอเอ็งจะให้ข้าทำเองคนเดียวหมดเลยรึไง!"
เสียงตะโกนยังคงดังมาอย่างต่อเนื่องซึ่งเจ้าของเสียงที่ไพเราะเสนาะหูนี้ก็คือแม่ของผมนั่นเอง
เมื่อผมฟ้งเสียงตะโกนของแม่จนหนำใจแล้ว ผมก็ค่อยๆเดินอย่างเอ่ยเฉ่ยไปหน้าบ้าน เพื่อที่จะไปช่วยแม่จัดเตรียมเปิดร้าน
"เอ้อ! กว่าจะออกมาช่วยกันได้ ต้องให้ข้าแหกปากเรียกอยู่ตั้งนานนะเอ็ง เจ้าเจาะ!"
พอแม่เห็นหน้าของผมแกก็บ่นออกมาอย่างไม่ขาดสายอีกครั้ง ซึ่งทำให้ผมได้แต่มองหน้าของแม่อย่างเซ็งๆแล้วผมก็เดินไปจัดโต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ภายในร้าน
"เอ้าๆ นี่ๆ เอ็งกล้ามองหน้าข้าด้วยสายตาแบบนี้เหรอ มันจะมากไปแล้วเจ้าลูกเวร แล้วนี่..เอ็งน่ะ ไม่คิดที่จะออกไปหาการหางานทำกับเค้าบ้างเลยเหรอ แล้วเอ็งจะเกาะข้ากินไปถึงอีกเมื่อไหร่กันห๊ะ ! โตเป็นควายอยู่แล้วเอ็งไม่รู้สึกอายชาวบ้านเค้าบ้างเลยเหรอหึ! ฉอดดดๆๆๆๆๆ"
เสียงแม่ของผมยังคงกร่นด่าออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีหรือที่คนอย่างผมจะสนใจ เพราะผมโดนแม่ด่าแบบนี้ทุกวันมาเป็นระยะเวลาถึงสิบกว่าปีแล้ว และผมก็ไม่เข้าใจว่าแม่จะบ่นไปเพื่ออะไรนักหนา ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะทำให้ผมอยากจะออกไปหางานทำเลย ก็อยู่อย่างนี้มันสบายกว่าอะ
เมื่อถึงเวลาเปิดร้าน ลูกค้าก็เริ่มเข้ามาทานอาหารที่ร้านอย่างคึกคักเหมือนอย่างเช่นทุกๆวัน ถึงจะเห็นว่าแม่ของผมจะปากจัดจานแบบนี้ แต่ฝีมือทำกับข้าวของแกนั้นจัดได้ว่าถึงขั้นสุยยอดไปเลยล่ะครับ เพราะแบบนี้ไง ร้านอาหารของพวกเราเลยเป็นที่เรื่องลือไป ทั่วย่านนี้เลยก็ว่าได้ ถึงมันจะเป็นร้านเล็กๆก็เถอะนะ
"เจาะโว้ย! รีบไปรับเมนูที่แขกโต๊ะเก้าหน่อย เร็ว"
เสียงแม่ของผมตะโกนสั่งงานเป็นระยะๆ
"คร๊าบบบ!"
ซึ่งผมก็ได้แต่ทำตามที่สั่งอย่างขยันขันแข็งถึงปกติจะเห็นผมเป็นคนเอ่ยเฉ่ยแบบนี้ แต่ถ้าเวลาทำงานผมก็ตั้งใจนะขอบอก ถึงจะยังทำแบบเรื่อยๆเอื่อยๆก็เถอะ
พวกเราสองคนแม่ลูกช่วยกันทำงานจนของที่จัดเตรียมไว้หมดเกลี้ยง และพอลูกค้าในร้านออกไปจนหมดแล้ว ผมกับแม่เริ่มช่วยกันเก็บร้านอย่างรวดเร็ว
ตึก!
"แม่ครับ เห็นไหมล่ะว่าร้านเราคนเยอะจะตายไป แล้วอย่างนี้ถ้าผมไปทำงานข้างนอกผมก็อาจจะมาช่วยแม่ทำงานในร้านไม่ไหวก็ได้น่ะ"
ผมพูดแม่กับขึ้นมาในระหว่างที่ช่วยกันเก็บร้าน
"เหอะ! อย่าทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลย เอ็งน่ะขี้เกียจมากกว่ามั้ง ถ้าไม่มีเอ็งช่วยข้าก็จ้างคนอื่นเอาก็ได้นิ ไม่เห็นจะยาก"
คำตอบจากแม่ของผมทำให้ผมสตั้นไปสองวิ นี่ผมคงไม่มีความหมายสำหรับแม่เลยใช่ไหมเนี่ย จากนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจ
เมื่อพวกเราเก็บร้านเสร็จแล้ว ก็พากันกินข้าว
แล้วก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวของใครของมัน และธุระส่วนตัวของผมน่ะเหรอ ก็คือหามดตัวเจ๋งๆ นั่งมองมันอย่างมีความสุข
ส่วนแม่ของผมน่ะ ปกติแกจะไปอาบน้ำแล้วก็จะมานั้งดูอนิเมะตรงหน้าทีวีที่ห้องโถงของบ้าน ฟังไม่ผิดหรอกครับ แม่ของผมน่ะติดอนิเมะจนเข้าเส้นเลยละค เพราะว่าตอนนี้ในบ้านของพวกเราเต็มไปด้วยของสะสมของแม่เกี่ยวกับอนิเมะเต็มบ้านไปหมดแล้วครับขอบอก
ส่วนตอนนี้ผมก็นั่งมองดูมดเดินไปเดินมาจนจนถึงช่วงเที่ยงของอีกวัน คือนั่งมองจนข้ามวันข้ามคืนนั่นแหละ จากนั้นผมก็เข้าไปในครัวเพื่อหาอะไรกิน สำหรับผมนะถ้าหิวก็กิน ถ้าไม่หิวก็ไม่กินอ่ะนะ ไม่รู้จะกินไปทำไมเห็นไหมครับการใช้ชีวิตแบบผมนั้น มันง่ายๆสบายๆใช่ไหมล่ะ และผมรู้ว่าหลายๆคนนั้นคงอิจฉาผมกันล่ะสิ
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว ผมก็เดินออกมาจากครัวเพื่อจะกลับไปดูมดที่ผมคัดเลือกเอาไว้ แต่ว่าอืม...ผมว่าผมลืมบอกเรื่องราวอะไรชักอย่างเกี่ยวกับผมรึเปล่านะ อืม..ขอผมคิดดูก่อน
อ่า..คิดออกแล้วเรื่องที่ผมอยากจะบอกอีกเรื่องก็คือผมน่ะมีความสามารถพิเศษด้วยนะครับ เรื่องมันก็มีอยู่ว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ผมกำลังนั่งมองดูมดอย่างมีความสุขอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง โดยวันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส ลมพัดเอ่ยๆเย็นสบายท่ามกลางแมกไม้พลิวไหวไปตามลม ดูรื่นรมณ์ร่มรื่นเขียวขจีทั่วทั้งบริเวร และมันช่างเป็นวันเวลาพร้อมทั้งสถานที่ที่เหมาะแก่การจองมองดูวิถีชีวิตอันแสนมหัศจรรย์ของเหล่ามดเป็นอย่างมาก ผมจึงหาม้านั่งในมุมๆหนึ่งของสวนสาธารณะ ซึ่งมันมีรังมดดำอยู่ตรงแถวนั้นพอดี ผมจึงตัดสินใจปักหลักเฝ้าสังเกตุการณ์เหล่าบรรดามดดำที่อาศัยอยู่ในรังนั้นด้วยความตั้งใจ ผมใช้เวลานั่งดูเหล่ามดดำไปได้ชักระยะหนึ่ง แต่อยู่ๆผมก็รู้สึกว่าสติของผมแจ่มชัดขึ้นมาทันที ตอนนั้นมันเหมือนกับว่าโลกทั้งใบนั้นหยุดหมุนไปชั่วขณะ...ไม่สิจะว่าหยุดก็คงไม่ถูก มันเหมือนกับว่าหมุนช้าลงมากกว่า ช้าลงจนผมสังเกตุเห็นสิ่งที่อยู่รอบๆได้ชัดเจนแจ่มแจ้งไปชะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเครื่อนไหวของบรรดามด การไหวของต้นไม้ใบหญ้า การร่องลอยของฝุ่นละอองในอากาศ รู้สึกได้ยินเสียงและรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตมากมาย แม้ว่าจะไกลตัวผมออกไปหลายสิบกิโลเมตรก็ตาม
ผมรู้สึกออกไปภายนอกตัวผมเรื่อยๆๆ จนไม่รู้ว่ามันออกไปไกลแค่ไหน เมื่อสติการรับรู้ไกลออกไปถึงจุดๆหนึ่ง มันก็ค่อยๆเริ่มกลับเข้ามา และกลับเข้าภายในตัวของผม แล้วสติมันก็เข้ามารับรู้ทุกอย่างภายในตัว รู้ๆๆๆรู้ทุกๆโมเลกุลในร่างการของผม พอรู้จนทั่วทั้งตัว เหมือนสติของผมนั้นมันหายไป จากนั้นผมก็รู้สึกถึงการระเบิดของจิตใจจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งโลกธาตุหาที่สุดประมาณไม่ได้ แล้วผมก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง แต่การรู้สึกตัวครั้งนี้มันทำให้จิตใจของผมสดชื่นมีความสุขอย่างมหาศาล ผมมีความรู้สึกแบบนี้อยู่นานประมาณหนึ่งเดือน และภายในหนึ่งเดือนนี้ ผมไม่จำเป็นต้องกินต้องนอนก็ทำให้ผมอยู่ได้อย่างสบายๆเลยละครับ และเพื่อที่จะรู้ว่าสิ่งที่เกิดกับผมนั้นมันคืออะไรยังไง ผมจึงใช้เวลาภายในหนึ่งเดือนที่ผมยังมีความรู้สึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ผมจึงได้หาข้อมูลมากมายเพื่อจะหาคำตอบของมัน จนบางครั้งแม่ของผมยังรู้สึกสงสัยเลยว่าช่วงนั้นตัวผมเปลี่ยนไปเพราะผมไม่ค่อยจ้องมองดูมดเหมือนก่อนหน้านี้ แต่แกคงไม่อยากที่จะมายุ่งเรื่องของผมมากนักเลยทำเป็นไม่สนใจไปซะ หรือเป็นเพราะว่าอนิเมะของแกสำคัญกว่าลูกตัวเองผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
เมื่อผมหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมทั้งในอินเตอร์เน็ตในหนังสือ และอีกหลายๆที่ที่พอจะให้ข้อมูลกับผมได้ ผมจึงสรุปได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมอาจจะเป็นการปลุกพลังของจิตใต้สำนึกขึ้นมาก็เป็นได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมปลุกพลังของจิตใต้สำนึกขึ้นมานั้น ก็น่าจะมาจากการที่ผมชอบจองมองดูมดจนจิตของผมเกิดเป็นสมาธิขั้นสูงจนเลยไปถึงขั้นปลุกพลังของจิตได้สำนึกขึ้นมานั่นเอง
แล้วพลังจิตใต้สำนึกมันสามารถทำอะไรได้บ้างเหรอเรื่องนั้นน่ะอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องนอนหลับอาจจะตลอดชีวิตก็เป็นได้นะครับ ส่วนมันยังสามารถทำอะไรได้อีกบ้าง เอาไว้ค่อยเล่าทีหลังแล้วกันนะครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญชักเท่าไหร่ ลืมๆมันไปเถอะครับ เอาเป็นว่าผมศึกษาและฝึกฝนพลังจิตใต้สำนึกอยู่ได้ประมาณสองปีผมก็เลิก เพราะผมรู้สึกว่าการจองมองดูวิถีชีวิตของเหล่าบรรดามดนั้นมีความน่าตื่นเต้นแล้วก็น่าสนใจมากกว่า ผมจึงทิ้งเรื่องเกี่ยวกับพลังจิตใต้สำนึกไป และถึงแม้ชีวิตผมจะดูมั่วซั่วแบบแปลกๆแต่ผมยืนยันได้ว่าสิ่งที่ผมเล่ามานั้นเป็นความจริงทั้งหมดทุกประการ แต่ก็ว่าแหละมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาตั้งนานแล้วอย่าไปสนใจมันเลยดีกว่า
ตอนนี้ผมได้เดินออกมาจากครัวแล้วก็กลับไปดูมดต่อที่หลังบ้าน แล้วพอถึงตอนบ่ายๆก็ไปช่วยแม่ของผมจัดเตรียมร้าน แล้วก็ช่วยกันขายอาหารเหมือนอย่างเช่นทุกๆวัน
เคร้ง! ตึก!
"เหนื่อยจริงโว้ย!เมื่อไหร่จะรวยกับเค้าชักทีเนี่ย!"
ตอนนี้ผมกับแม่กำลังช่วยกันปิดร้านโดยที่แม่ของผมยังคงบ่นตามประสาของแกออกมาอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน และพอพวกเราเก็บร้านเสร็จเรียบร้อย ผมก็มานั่งรอแม่ทำกับข้าวอยู่ที่โต๊ะกินข้าวในคร้ว
แต่ในขณะที่ผมนั่งรอแม่ทำกับข้าวอยู่นั่นเอง ผมก็สังเกตุเห็นมดตัวหนึ่ง ซึ่งมันวิ่งไต่ขึ้นมาบนโต๊ะกินข้าวอย่างรวดเร็ว ผมจึงค่อยๆจ้องมองดูมันอย่างไม่ละสายตา ซึ่งมดตัวนี้ทำให้ผมเกิดความรู้สึกหลงไหลในตัวของมันอย่างบอกไม่ถูก จนผมเกิดความรู้สึกที่อยากจะลองสัมผัสมันดูชักครั้งทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดจะสัมผัสมดตัวใดๆเลยแม้แต่นิดเดียว แต่สำหรับเจ้ามดตัวนี้มันมีพลังบางอย่างที่ทำให้ผมเหมือนตกอยู่ในภวังค์
ผมจึงค่อยๆใช้นิ้วมืออันเรียวงามของผมแหย่ไปที่มดตัวนั้นอย่างช้าๆ
อ่า...ความรู้สึกนี้มันช่าง..
เมื่อผมใช้มือสัมผัสถูกตัวของมดตัวนั้นมันทำให้ผมรู้สึกซาบซ่านสุดติ่งจุ๊กกระริ้งดุ้งดิ้งที่ไม่สามารถจะอธิบายออกมาเป็นภาษาสมมุติของมนุษย์ได้ แต่แล้วเมื่อผมยิ่งสัมผัสตัวมันมันก็ยิ่งวิ่งหนีผมไปเรื่อยๆ ผมจึงได้ใช้มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ทำการปิดกั้นเส้นทางหนีของมัน จนมันวิ่งหนีขึ้นมาบนมือของผม ผมจึงได้แต่อยู่นิ่งๆคอยสังเกตุดูมดมันวิ่งขึ้นมาบนมือ จนไต่มาถึงแขน ข้อศอก หัวไหล่ ใบหน้า มันไต่ขึ้นมาเรื่อยๆโดยที่ผมยังคงกลอกตาคอยสังเกตุดูมันอย่างตั้งใจ จนมดมันไต่มาอยู่ที่ปลายจมูกของผม แต่มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น เจ้ามดตัวดีมันวิ่งไต่เข้าไปในโพรงจมูกของผมอย่างรวดเร็ว
โอ้ย! อึก
ผมเจ็บจิ๊ดเหมือนโดนอะไรบ้างอย่างทิ่มแทงอยู่ในโพรงจมูก ไม่สิต้องเป็นเจ้ามดตัวนั้นแน่นอนที่เข้าไปกัดผมถึงข้างในโพรงจมูก
มันคงแค้นผมมากสินะที่ผมไปไล่สัมผัสตัวของมัน มันจึงทำร้ายผมได้เจ็บแสบขนาดนี้ ผมพยายามสั่งมันออกมาแต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
แฟ่บ! แฟ่บ
ผมพยายามสั่งมันออกมาเกือบๆหนึ่งนาที จนแม่ของผมที่กำลังทำกับข้าวอยู่เริ่มหันมามองเป็นระยะๆแต่อยู่ๆผมก็รู้สึกหน้ามืด อึดอัด และเริ่มหายใจไม่ออก
อึก! มะ..แม..
ผมพยายามเรียกแม่ของผมเพราะผมรู้สึกว่าผมเริ่มที่จะประครองสติไว้ไม่ได้แล้ว
โครม! ตึ้ง! ตุบ !
ผมหมดแรงต้านทานอาการที่เกิดขึ้นพร้อมกับค่อยๆหงายหลังลงไปทั้งเก้าอี้ และภาพที่ผมเห็นในหัวตอนนี้มันเป็นเหมือนภาพชโลโมชั่นที่เป็นเหมือนภาพอดีตของผมในชาตินี้ตั้งแต่เล็กจนโตอืม..ดูๆแล้วชีวิตที่ผ่านมาของผมมันช่างไร้สาระสิ้นดี แต่ว่าก่อนที่ผมจะหมดสติลงไปผมขอสาบานกับตัวเองว่าผมจะต้องกลับมาแก้แค้นเจ้ามดตัวนั้นให้จงได้
และสุดท้ายผมก็หมดสติหงายหลังตึงล้มไปพร้อมกับเก้าอี้...แล้วอาจหลับไปเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีนี้เลยก็เป็นได้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น