ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Maid-At-Arms สาวใช้พันธุ์ดุ

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 1: Act VIII

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.พ. 65


    เด็กสาวร่างเล็กในชุดเมดถีบประตูห้อง... เธอพยายามใช้คริสตัลสีฟ้าส่องเข้าไปในห้องแต่ก็ไร้วี่แววของเมลิซซ่า

    จะรอช้าไม่ได้แล้ว  เสียงปืนด้านล่างเริ่มดังสนั่นหวั่นไหวเป็นสัญญาณว่าเมดสงครามซีเรียที่อยู่รั้งท้ายคงเริ่มร่ายรำเป็นครั้งสุดท้าย

    แต่กระนั้นอุปสรรคที่กำลังเผชิญหน้าดูจะหนักหนาสำหรับเด็กสาวเหลือเกิน... เธอวิ่งผ่านห้องแล้วห้องเล่าภายในปราสาทร้างที่มืดมิดโดยมีเพียงคริสตัลสีฟ้าในมือที่คอยส่องสว่างนำทางในเขาวงกต

    “เมลิซซ่า !  ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”

    เธอตะโกนเสียงสุดแรงเกิด  มันดูแหบแห้งจากการใช้เส้นเสียงจนเกินความสามารถ  กระนั้นเธอก็ยังไม่หยุด...

    ต้องรีบหาเมลิซซ่าให้เจอก่อนที่ซีเรียจะต้านพวกนั้นไม่ไหว

    เด็กสาวรู้สภาพของเมดสงครามที่เดินทางมาด้วยดี... หากกุหลาบพันหนามซีเรียอยู่ในสภาพที่พร้อมแล้วไม่มีทางที่จะแพ้พวกมือสมัครเล่นแค่สิบยี่สิบคนอย่างแน่นอน  ทว่าหล่อนเองก็ไม่ต่างจากเมลิซซ่านัก  ซีเรียสูญเสียเจ้านายของตนมาได้ครึ่งปีแล้ว  และการสู้กับเมลิซซ่าเองก็ทำให้พลังชีวิตของหล่อนแทบจะหมดเกลี้ยงแล้วเช่นกัน

    มันจึงขึ้นอยู่กับเวลาก่อนที่เมดผู้คุ้มกันจะหมดแรงสู้

    “เมลิซซ่า !” 

    เด็กสาวยืนชันเข่าด้วยความเหนื่อยอ่อน... ดูเหมือนว่าเมดกำมะลอผู้นี้ก็ยังเหนื่อยอ่อนจากการปะทะกับเมลิซซ่าเมื่อสักครู่

    มันเหนื่อยแทบขาดใจ...

    ใช่แล้ว  ทำไมต้องมาทรมานอย่างนี้ด้วยล่ะ  ทำไมต้องเสี่ยงชีวิตอย่างนี้ด้วย

    หากแค่ปล่อยวางเสีย  ให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน  เรื่องทุกอย่างจะได้จบเสีย...

    ในตอนที่เธอกำลังจะตัดใจนั้นเอง  ศีรษะก็พลันปวดแปล้บขึ้นมาทันที...

    เธอกำลังมองเห็นภาพนิมิต

    ภาพนิมิตที่ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมาน  ต้องหนีการไล่ล่า  เดินทางขึ้นเหนือยังดินแดนทุรกันดาน  ต้องมาเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับเมดสงคราม...

    และในเวลาเดียวกันมันก็เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับสิ่งที่เธอปรารถนามากที่สุด...

    เสียงระเบิดจากเบื้องล่างปลุกให้เด็กสาวตื่นขึ้นจากภวังค์ 

    ระยะเวลาที่เธอเห็นภาพนิมิตเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ  แต่มันก็มากพอที่ทำให้รู้ถึงที่ซ่อนตัวของเมลิซซ่า

    เธอรีบออกตัววิ่งอีกครั้ง  คราวนี้มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่มองเห็นในห้วงนิมิต  ผ่านห้องหับแสนเหม็นอับ 

    ในที่สุด...

    “เมลิซซ่า !”

    เธอถีบประตูห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบที่ซ่อนตัวแยกออกมาจากห้องอื่นภายในปราสาท

    ทันที่หล่อนเปิดประตูออก  พลั่วโลหะก็พุ่งเข้าใส่หน้าอย่างจัง

    ทว่าก่อนที่อาวุธซัดจะมาสัมผัสใบหน้าอันอ่อนวัย  พลั่วด้ามนั้นก็สลายกลายเป็นกากเพชรกลางอากาศ

    ดูท่าเธอจะมาถูกห้องแล้ว

    เด็กสาวฉายคริสตัลสีฟ้าเข้าไปข้างใน  มันเป็นเพียงห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่มีแต่ม้วนกระดาษและภาพวาดเต็มไปหมด

    เมลิซซ่านั่งชันเข่าอยู่ในห้องอย่างเดียวดาย… ที่อยู่ติดกับเธอไม่ห่างคือรูปภาพสีน้ำมันของหญิงสาวผู้หนึ่ง  ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามปกป้องรูปภาพนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ

    ใบหน้าอิดโรยของเมดสงครามจ้องมองเด็กสาวผู้บุกรุกด้วยความโกรธแค้น  แต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว... แม้แต่จะซัดอาวุธแมทีเรียลไลซ์ใส่เมื่อสักครู่มันยังไม่อาจคงสภาพจนโดนเป้าหมายได้เลย

    “ไงยายเมดกำมะลอ  สุดท้ายเธอก็ไม่ใช่เมดอย่างที่เราคิดจริง ๆ ด้วยสินะ”

    เด็กสาวในชุดเมดไม่ตอบอะไร

    “นี่ล่ะคือสมบัติที่เหลืออยู่ของปราสาทนี้”  เมลิซซ่ากล่าวอย่างแดกดัน  “จงชื่นชมมันเสียให้พอใจเลยสิ”

    เด็กสาวมองรูปภาพต่าง ๆ ในห้องแล้วก็เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าทำไมหล่อนถึงกล่าวเสียงแดกดันเช่นนั้น  รูปภาพทั้งหมดในห้องเป็นเพียงภาพร่างของศิลปินไร้นามที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรสักแดง 

    มีแต่ภาพสีน้ำมันบนขาตั้งเท่านั้นที่ดูเหมือนจะเป็นภาพวาดโดยศิลปินที่มีชื่อเสียง

    “รูปนั้น... บารอนเนสคลาริสสินะ” 

    ในรูปนั้นเป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบกว่า ๆ ผู้มีหน้าตางดงามดั่งดอกไม้แรกแย้มยามฤดูใบไม้ผลิ  ด้วยแสงสีฟ้าจากคริสตัลทำให้ดูไม่ออกว่าผมเผ้าของเธอมีสีอะไร  แต่มันคงเป็นสีน้ำตาลไม่ก็สีแดง  เธอมีรอยยิ้มเศร้า ๆ ที่ดูจับใจผู้ที่ได้เห็นภาพ  สวมชุดเดรสผ้าเนื้อดีนั่งอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่

    เมลิซซ่าเพียงแต่พยักหน้าเบา ๆ

    เด็กสาวเห็นดังนั้นจึงหยิบดูม้วนภาพอื่นขึ้นมา

    “อย่ายุ่งกับรูปพวกนั้นนะ !”

    เมลิซซ่าแยกเขี้ยวตะโกนขู่ราวกับแม่สุนัขกำลังปกป้องลูกน้อย  แต่เธอก็ทำได้แต่ขู่  เรี่ยวแรงที่จะขยับยังไม่มีเหลือ  เธอจึงได้แต่ปล่อยให้ผู้บุกรุกรุ่นเล็กย่ำยีสมบัติสุดท้ายที่เธอพยายามปกป้อง

    เมื่อคลี่ออกมาเด็กสาวก็ต้องพบว่ามันเป็นภาพร่างดินสอของบารอนเนสคลาริสกับเมดสงครามเมลิซซ่าในกิจกรรมต่าง ๆ

    ภาพแผ่นแล้วแผ่นเล่าบอกเล่าเรื่องราวความผูกพันธุ์ระหว่างนายหญิงผู้งดงามและเมดสงครามสาวผู้รับใช้ในปราสาทที่ห่างไกลจากผู้คน

    ใบหน้าของทั้งสองดูมีความสุขมากจนราวกับว่าโลกทั้งสองมีเพียงกันและกัน 

    สายตาที่ทั้งสองมองกันนั้นราวกับสายตาของคู่สามีภรรยาที่อยู่กินด้วยกันมาทั้งชีวิต

    ภาพสุดท้ายสรุปสิ่งที่เด็กสาวคาดการณ์ไว้  มันเป็นภาพร่างของหญิงสาวสองคนที่นอนกอดกันเปลือยเปล่าบนเตียง  มือของหญิงสาวกุมมือของอีกฝ่ายราวกับไม่อยากปล่อยอีกครึ่งชีวิตไปตลอดกาล

    “ดูท่าบารอนเนสคลาริสจะเป็นคนสำคัญของเธอมาเลยนะ”

    “นายหญิงเป็นโลกทั้งใบของเรา...”

    ในตอนนั้นเด็กสาวก็เอ่ยปากถามคำถามที่สำคัญที่สุดออกมา

    “ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่ล่ะ ? เถาวัลย์สวรรค์ เมลิซซ่า... ทำไมเมดสงครามที่ผูกพันธุ์กับเจ้านายอย่างเธอถึงยังไม่สลายตามเจ้านายไปล่ะ...” 

    เมลิซซ่าไม่ตอบ  เธอได้แต่นั่งชันเข่าซ่อนใบหน้าทรุดโทรมไว้ใต้ผ้ากันเปื้อนที่ขาดรุ่งริ่ง

    “ได้โปรดเถอะ  ปล่อยให้เราไปหานายหญิงอย่างสงบเถอะ” 

    ราวกับว่ามีบางอย่างกระตุกในศีรษะของเด็กสาว  เธอวางกระดาษภาพร่างคืนที่เดิมก่อนเดินอาด ๆ ไปหาเมลิซซ่า

    “ลุกขึ้นแล้วตอบมาเดี๋ยวนี้ว่าทำไมเธอยังไม่สลายตามเจ้านายไป !”  เด็กสาวกระชากคอเสื้อเมลิซซ่าที่ตัวโตกว่าขึ้นมาก่อนจะตะคอกใส่  “บารอนเนสสั่งอะไรเธอไว้เป็นสิ่งสุดท้ายก่อนตาย !”

    “เธออยากรู้ไปทำไมล่ะ”  เมลิซซ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย

    “มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องรู้ !”  เด็กสาวจ้องเข้าไปในนัยน์ตาที่ไร้ความหวังของเมดสงครามไร้นาย  “ซีเรียกำลังสู้อยู่ข้างล่าง !”

    “สรุปเธอคนนั้นคือกุหลาบพันหนามซีเรียสินะ...”

    “ใช่ ! เธอคือกุหลาบพันหนามซีเรีย  เมดสงครามส่วนตัวของกษัตริย์ราฟาเอลที่ 12  และถึงแม้เจ้านายของเธอจะสิ้นไปตั้งนานแล้ว  แต่เธอก็ยังมีชีวิตอยู่  คงรู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไร ?”

    “......”

    “เธอยังมีชีวิตอยู่เพราะคำสั่งสุดท้ายที่เสด็จพ่อสั่งให้ปกป้องเราจากพวกคณะปฏิวัติ  และตอนนี้เธอก็กำลังปฏิบัติตามคำสั่งนั่นเป็นครั้งสุดท้าย ! ใช่ ! เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อให้เรามีเวลาคุยกันอยู่ในตอนนี้”

    “ก็เหมือนกับเธอนั่นล่ะ  พวกเราก็ได้รับปณิธานอันแรงกล้าของคนที่จากไปแล้วเช่นกัน  เราไม่มีทางจะปล่อยให้มันล้มเหลวเด็ดขาด ―”

    “เพราะฉะนั้นตอบเรามาเดี๋ยวนี้ ! ทำไมเธอถึงไม่สลายตามเจ้านายไป !”

    เมื่อสิ้นคำพูด  เมดสงครามที่น่าหวาดหวั่นก็ปล่อยเสียงร้องไห้โฮราวกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ

    “นายหญิง... นายหญิงกุมมือเราไว้ตอนก่อนจะสิ้นลม ล...แล้วบอกว่า”

    เมลิซซ่าสำลักน้ำมูกราวกับเขื่อนที่ปิดกั้นอารมณ์ได้ถล่มลงพร้อมกับความรู้สึกที่เอ่อทะลักออกมา

    “นายหญิงอยากให้เราอยู่ต่อไปเพื่อตามหาความสุขที่แท้จริงของเรา...”

    “เราเหงาเหลือเกิน... ชีวิตที่ไร้นายหญิงมันช่างว่างเปล่า... ไร้ค่า...”

    “แต่เราก็ยังสลายไปไม่ได้ ! เราอยากจะตามไปหานายหญิงใจจะขาด  แต่เราก็ต้องยังอยู่ในโลกนี้ต่อเพื่อทำตามคำสั่งสุดท้ายของนายหญิง !”

    “เราเฝ้าค้นหาถึงความหมายของความสุขนั่นอยู่ตลอด  ต้องทนกับความเหงาที่ไม่เคยหายไป...  เราพยายามแล้ว... พยายามอยู่ตลอด... พยายามหาความสุขที่ว่านั่น”

    “แต่ว่าเราล้มเหลว... จนถึงตอนนี้เรายังไม่อาจตามหาความสุขที่แท้จริงนั่นได้เลย...  เรามันไร้ค่า ...  ไม่อาจทำตามคำปรารถนาสุดท้ายของนายหญิงได้” 

    เด็กสาวปล่อยมือออกจากคอเสื้อของเมลิซซ่า  ก่อนจะจ้องเมดสงครามที่จวนใกล้ถึงเวลาดับสูญด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด

    “อย่างนี้นี่เอง...”

    ในที่สุดเด็กสาวก็เข้าใจเสียทีว่านิมิตที่คอยปรากฏขึ้นมานั้นต้องการให้เธอทำอะไร

    ทุกอย่างที่เธอเห็นก็เพื่อช่วงเวลานี้

    เมดกำมะลอค่อย ๆ ช้อนคางของเมลิซซ่าขึ้นมาอย่างอ่อนโยน  พลางจ้องตรงไปยังนัยน์ตาสีทองแดงที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาที่กำลังสับสน

    “นี่เมลิซซ่า  ลองบอกเราสิว่าความสุขของเมดสงครามคืออะไร ?” 

    “ความสุข...ของพวกเราเหรอ ?”

    “ใช่... ความสุขของพวกเธอนั่นล่ะ  ช่วยบอกเราสิว่าอะไรทำให้เมดสงครามมีความสุขที่สุด”

    “ความสุขที่สุดของพวกเราคือการได้รับใช้เจ้านาย  ไม่มีสิ่งใดอื่นที่มีความสุขมากไปกว่าการที่พวกเรามีประโยชน์ต่อเจ้านายอีกแล้ว”

    ในตอนนั้นเองที่รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กสาวราวกับต้องการปลอบประโลมเมดผมสีเงินสกปรกที่กำลังแตกสลาย 

    “เห... ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นยากเลย  เธอก็มาเป็นเมดสงครามของเราเสียก็สิ้นเรื่องสิ”

    “เอ๋”

    ทว่าก่อนที่เมลิซซ่าจะได้ทันตั้งตัว  เด็กสาวก็ประทับรอยจูบอันร้อนแรงบนริมฝีปากคู่บางนั่นเสียแล้ว

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×