คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 1: Act VIII
เด็กสาวร่างเล็กในชุดเมดถีบประตูห้อง... เธอพยายามใช้คริสตัลสีฟ้าส่องเข้าไปในห้องแต่ก็ไร้วี่แววของเมลิซซ่า
จะรอช้าไม่ได้แล้ว เสียงปืนด้านล่างเริ่มดังสนั่นหวั่นไหวเป็นสัญญาณว่าเมดสงครามซีเรียที่อยู่รั้งท้ายคงเริ่มร่ายรำเป็นครั้งสุดท้าย
แต่กระนั้นอุปสรรคที่กำลังเผชิญหน้าดูจะหนักหนาสำหรับเด็กสาวเหลือเกิน... เธอวิ่งผ่านห้องแล้วห้องเล่าภายในปราสาทร้างที่มืดมิดโดยมีเพียงคริสตัลสีฟ้าในมือที่คอยส่องสว่างนำทางในเขาวงกต
“เมลิซซ่า ! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
เธอตะโกนเสียงสุดแรงเกิด มันดูแหบแห้งจากการใช้เส้นเสียงจนเกินความสามารถ กระนั้นเธอก็ยังไม่หยุด...
ต้องรีบหาเมลิซซ่าให้เจอก่อนที่ซีเรียจะต้านพวกนั้นไม่ไหว
เด็กสาวรู้สภาพของเมดสงครามที่เดินทางมาด้วยดี... หากกุหลาบพันหนามซีเรียอยู่ในสภาพที่พร้อมแล้วไม่มีทางที่จะแพ้พวกมือสมัครเล่นแค่สิบยี่สิบคนอย่างแน่นอน ทว่าหล่อนเองก็ไม่ต่างจากเมลิซซ่านัก ซีเรียสูญเสียเจ้านายของตนมาได้ครึ่งปีแล้ว และการสู้กับเมลิซซ่าเองก็ทำให้พลังชีวิตของหล่อนแทบจะหมดเกลี้ยงแล้วเช่นกัน
มันจึงขึ้นอยู่กับเวลาก่อนที่เมดผู้คุ้มกันจะหมดแรงสู้
“เมลิซซ่า !”
เด็กสาวยืนชันเข่าด้วยความเหนื่อยอ่อน... ดูเหมือนว่าเมดกำมะลอผู้นี้ก็ยังเหนื่อยอ่อนจากการปะทะกับเมลิซซ่าเมื่อสักครู่
มันเหนื่อยแทบขาดใจ...
ใช่แล้ว ทำไมต้องมาทรมานอย่างนี้ด้วยล่ะ ทำไมต้องเสี่ยงชีวิตอย่างนี้ด้วย
หากแค่ปล่อยวางเสีย ให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน เรื่องทุกอย่างจะได้จบเสีย...
ในตอนที่เธอกำลังจะตัดใจนั้นเอง ศีรษะก็พลันปวดแปล้บขึ้นมาทันที...
เธอกำลังมองเห็นภาพนิมิต
ภาพนิมิตที่ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมาน ต้องหนีการไล่ล่า เดินทางขึ้นเหนือยังดินแดนทุรกันดาน ต้องมาเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับเมดสงคราม...
และในเวลาเดียวกันมันก็เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับสิ่งที่เธอปรารถนามากที่สุด...
เสียงระเบิดจากเบื้องล่างปลุกให้เด็กสาวตื่นขึ้นจากภวังค์
ระยะเวลาที่เธอเห็นภาพนิมิตเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก็มากพอที่ทำให้รู้ถึงที่ซ่อนตัวของเมลิซซ่า
เธอรีบออกตัววิ่งอีกครั้ง คราวนี้มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่มองเห็นในห้วงนิมิต ผ่านห้องหับแสนเหม็นอับ
ในที่สุด...
“เมลิซซ่า !”
เธอถีบประตูห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบที่ซ่อนตัวแยกออกมาจากห้องอื่นภายในปราสาท
ทันที่หล่อนเปิดประตูออก พลั่วโลหะก็พุ่งเข้าใส่หน้าอย่างจัง
ทว่าก่อนที่อาวุธซัดจะมาสัมผัสใบหน้าอันอ่อนวัย พลั่วด้ามนั้นก็สลายกลายเป็นกากเพชรกลางอากาศ
ดูท่าเธอจะมาถูกห้องแล้ว
เด็กสาวฉายคริสตัลสีฟ้าเข้าไปข้างใน มันเป็นเพียงห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่มีแต่ม้วนกระดาษและภาพวาดเต็มไปหมด
เมลิซซ่านั่งชันเข่าอยู่ในห้องอย่างเดียวดาย… ที่อยู่ติดกับเธอไม่ห่างคือรูปภาพสีน้ำมันของหญิงสาวผู้หนึ่ง ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามปกป้องรูปภาพนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ
ใบหน้าอิดโรยของเมดสงครามจ้องมองเด็กสาวผู้บุกรุกด้วยความโกรธแค้น แต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว... แม้แต่จะซัดอาวุธแมทีเรียลไลซ์ใส่เมื่อสักครู่มันยังไม่อาจคงสภาพจนโดนเป้าหมายได้เลย
“ไงยายเมดกำมะลอ สุดท้ายเธอก็ไม่ใช่เมดอย่างที่เราคิดจริง ๆ ด้วยสินะ”
เด็กสาวในชุดเมดไม่ตอบอะไร
“นี่ล่ะคือสมบัติที่เหลืออยู่ของปราสาทนี้” เมลิซซ่ากล่าวอย่างแดกดัน “จงชื่นชมมันเสียให้พอใจเลยสิ”
เด็กสาวมองรูปภาพต่าง ๆ ในห้องแล้วก็เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าทำไมหล่อนถึงกล่าวเสียงแดกดันเช่นนั้น รูปภาพทั้งหมดในห้องเป็นเพียงภาพร่างของศิลปินไร้นามที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรสักแดง
มีแต่ภาพสีน้ำมันบนขาตั้งเท่านั้นที่ดูเหมือนจะเป็นภาพวาดโดยศิลปินที่มีชื่อเสียง
“รูปนั้น... บารอนเนสคลาริสสินะ”
ในรูปนั้นเป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบกว่า ๆ ผู้มีหน้าตางดงามดั่งดอกไม้แรกแย้มยามฤดูใบไม้ผลิ ด้วยแสงสีฟ้าจากคริสตัลทำให้ดูไม่ออกว่าผมเผ้าของเธอมีสีอะไร แต่มันคงเป็นสีน้ำตาลไม่ก็สีแดง เธอมีรอยยิ้มเศร้า ๆ ที่ดูจับใจผู้ที่ได้เห็นภาพ สวมชุดเดรสผ้าเนื้อดีนั่งอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่
เมลิซซ่าเพียงแต่พยักหน้าเบา ๆ
เด็กสาวเห็นดังนั้นจึงหยิบดูม้วนภาพอื่นขึ้นมา
“อย่ายุ่งกับรูปพวกนั้นนะ !”
เมลิซซ่าแยกเขี้ยวตะโกนขู่ราวกับแม่สุนัขกำลังปกป้องลูกน้อย แต่เธอก็ทำได้แต่ขู่ เรี่ยวแรงที่จะขยับยังไม่มีเหลือ เธอจึงได้แต่ปล่อยให้ผู้บุกรุกรุ่นเล็กย่ำยีสมบัติสุดท้ายที่เธอพยายามปกป้อง
เมื่อคลี่ออกมาเด็กสาวก็ต้องพบว่ามันเป็นภาพร่างดินสอของบารอนเนสคลาริสกับเมดสงครามเมลิซซ่าในกิจกรรมต่าง ๆ
ภาพแผ่นแล้วแผ่นเล่าบอกเล่าเรื่องราวความผูกพันธุ์ระหว่างนายหญิงผู้งดงามและเมดสงครามสาวผู้รับใช้ในปราสาทที่ห่างไกลจากผู้คน
ใบหน้าของทั้งสองดูมีความสุขมากจนราวกับว่าโลกทั้งสองมีเพียงกันและกัน
สายตาที่ทั้งสองมองกันนั้นราวกับสายตาของคู่สามีภรรยาที่อยู่กินด้วยกันมาทั้งชีวิต
ภาพสุดท้ายสรุปสิ่งที่เด็กสาวคาดการณ์ไว้ มันเป็นภาพร่างของหญิงสาวสองคนที่นอนกอดกันเปลือยเปล่าบนเตียง มือของหญิงสาวกุมมือของอีกฝ่ายราวกับไม่อยากปล่อยอีกครึ่งชีวิตไปตลอดกาล
“ดูท่าบารอนเนสคลาริสจะเป็นคนสำคัญของเธอมาเลยนะ”
“นายหญิงเป็นโลกทั้งใบของเรา...”
ในตอนนั้นเด็กสาวก็เอ่ยปากถามคำถามที่สำคัญที่สุดออกมา
“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่ล่ะ ? เถาวัลย์สวรรค์ เมลิซซ่า... ทำไมเมดสงครามที่ผูกพันธุ์กับเจ้านายอย่างเธอถึงยังไม่สลายตามเจ้านายไปล่ะ...”
เมลิซซ่าไม่ตอบ เธอได้แต่นั่งชันเข่าซ่อนใบหน้าทรุดโทรมไว้ใต้ผ้ากันเปื้อนที่ขาดรุ่งริ่ง
“ได้โปรดเถอะ ปล่อยให้เราไปหานายหญิงอย่างสงบเถอะ”
ราวกับว่ามีบางอย่างกระตุกในศีรษะของเด็กสาว เธอวางกระดาษภาพร่างคืนที่เดิมก่อนเดินอาด ๆ ไปหาเมลิซซ่า
“ลุกขึ้นแล้วตอบมาเดี๋ยวนี้ว่าทำไมเธอยังไม่สลายตามเจ้านายไป !” เด็กสาวกระชากคอเสื้อเมลิซซ่าที่ตัวโตกว่าขึ้นมาก่อนจะตะคอกใส่ “บารอนเนสสั่งอะไรเธอไว้เป็นสิ่งสุดท้ายก่อนตาย !”
“เธออยากรู้ไปทำไมล่ะ” เมลิซซ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย
“มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องรู้ !” เด็กสาวจ้องเข้าไปในนัยน์ตาที่ไร้ความหวังของเมดสงครามไร้นาย “ซีเรียกำลังสู้อยู่ข้างล่าง !”
“สรุปเธอคนนั้นคือกุหลาบพันหนามซีเรียสินะ...”
“ใช่ ! เธอคือกุหลาบพันหนามซีเรีย เมดสงครามส่วนตัวของกษัตริย์ราฟาเอลที่ 12 และถึงแม้เจ้านายของเธอจะสิ้นไปตั้งนานแล้ว แต่เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ คงรู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไร ?”
“......”
“เธอยังมีชีวิตอยู่เพราะคำสั่งสุดท้ายที่เสด็จพ่อสั่งให้ปกป้องเราจากพวกคณะปฏิวัติ และตอนนี้เธอก็กำลังปฏิบัติตามคำสั่งนั่นเป็นครั้งสุดท้าย ! ใช่ ! เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อให้เรามีเวลาคุยกันอยู่ในตอนนี้”
“ก็เหมือนกับเธอนั่นล่ะ พวกเราก็ได้รับปณิธานอันแรงกล้าของคนที่จากไปแล้วเช่นกัน เราไม่มีทางจะปล่อยให้มันล้มเหลวเด็ดขาด ―”
“เพราะฉะนั้นตอบเรามาเดี๋ยวนี้ ! ทำไมเธอถึงไม่สลายตามเจ้านายไป !”
เมื่อสิ้นคำพูด เมดสงครามที่น่าหวาดหวั่นก็ปล่อยเสียงร้องไห้โฮราวกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ
“นายหญิง... นายหญิงกุมมือเราไว้ตอนก่อนจะสิ้นลม ล...แล้วบอกว่า”
เมลิซซ่าสำลักน้ำมูกราวกับเขื่อนที่ปิดกั้นอารมณ์ได้ถล่มลงพร้อมกับความรู้สึกที่เอ่อทะลักออกมา
“นายหญิงอยากให้เราอยู่ต่อไปเพื่อตามหาความสุขที่แท้จริงของเรา...”
“เราเหงาเหลือเกิน... ชีวิตที่ไร้นายหญิงมันช่างว่างเปล่า... ไร้ค่า...”
“แต่เราก็ยังสลายไปไม่ได้ ! เราอยากจะตามไปหานายหญิงใจจะขาด แต่เราก็ต้องยังอยู่ในโลกนี้ต่อเพื่อทำตามคำสั่งสุดท้ายของนายหญิง !”
“เราเฝ้าค้นหาถึงความหมายของความสุขนั่นอยู่ตลอด ต้องทนกับความเหงาที่ไม่เคยหายไป... เราพยายามแล้ว... พยายามอยู่ตลอด... พยายามหาความสุขที่ว่านั่น”
“แต่ว่าเราล้มเหลว... จนถึงตอนนี้เรายังไม่อาจตามหาความสุขที่แท้จริงนั่นได้เลย... เรามันไร้ค่า ... ไม่อาจทำตามคำปรารถนาสุดท้ายของนายหญิงได้”
เด็กสาวปล่อยมือออกจากคอเสื้อของเมลิซซ่า ก่อนจะจ้องเมดสงครามที่จวนใกล้ถึงเวลาดับสูญด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด
“อย่างนี้นี่เอง...”
ในที่สุดเด็กสาวก็เข้าใจเสียทีว่านิมิตที่คอยปรากฏขึ้นมานั้นต้องการให้เธอทำอะไร
ทุกอย่างที่เธอเห็นก็เพื่อช่วงเวลานี้
เมดกำมะลอค่อย ๆ ช้อนคางของเมลิซซ่าขึ้นมาอย่างอ่อนโยน พลางจ้องตรงไปยังนัยน์ตาสีทองแดงที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาที่กำลังสับสน
“นี่เมลิซซ่า ลองบอกเราสิว่าความสุขของเมดสงครามคืออะไร ?”
“ความสุข...ของพวกเราเหรอ ?”
“ใช่... ความสุขของพวกเธอนั่นล่ะ ช่วยบอกเราสิว่าอะไรทำให้เมดสงครามมีความสุขที่สุด”
“ความสุขที่สุดของพวกเราคือการได้รับใช้เจ้านาย ไม่มีสิ่งใดอื่นที่มีความสุขมากไปกว่าการที่พวกเรามีประโยชน์ต่อเจ้านายอีกแล้ว”
ในตอนนั้นเองที่รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กสาวราวกับต้องการปลอบประโลมเมดผมสีเงินสกปรกที่กำลังแตกสลาย
“เห... ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นยากเลย เธอก็มาเป็นเมดสงครามของเราเสียก็สิ้นเรื่องสิ”
“เอ๋”
ทว่าก่อนที่เมลิซซ่าจะได้ทันตั้งตัว เด็กสาวก็ประทับรอยจูบอันร้อนแรงบนริมฝีปากคู่บางนั่นเสียแล้ว
ความคิดเห็น