ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Maid-At-Arms สาวใช้พันธุ์ดุ

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 1: Act VII

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.พ. 65


    “ยายเมดจิ๋ว... เธอนะเป็นเมดสงครามจริง ๆ เหรอ ?”   

    สาวใช้ร่างเล็กไม่ตอบ  เธอยังคงง่วนอยู่กับการเลาะลวดหนามที่เกาะเกี่ยวบนตัวสตรีวัยกลางคนอยู่ 

    กลับกัน  คนที่เอ่ยปากตอบเมลิซซ่าอย่างไม่มีอาการเจ็บปวดเลยคือสตรีวัยกลางคนที่ถูกรัดตรึงโดยลวดหนาม

    “นั่นก็เป็นความลับทางการค้าของฝ่ายเราค่ะ” 

    “ไม่บอกก็ไม่เป็นไร  เดี๋ยวสู้ไปก็รู้เองล่ะ”  เมลิซซ่ากล่าวตอบ

    “ก็อย่างนั้นล่ะค่ะ  แต่ว่าเธอนั่นแลที่จะสู้ต่อไหวหรือ ?” 

    คราวนี้เป็นฝ่ายเมลิซซ่าที่ต้องสะอึกกับคำพูดของศัตรูเบื้องหน้า

    “เธอน่ะสู้แทบไม่ไหวแล้ว  ทั้งคีมตัดเหล็กนั่น  หรือลวดหนามที่เธอใช้มานี่ไม่ใช่อาวุธที่เกิดจากการแมทีเรียลไลซ์เลยนี่  ถ้าให้เดาแล้ว  เธอคงใช้คีมตัดเหล็กนั่นสำหรับตัดเหล็กมาทำลวดหนามพวกนี้มากกว่า”

    “......”

    “อย่างจังหวะสุดท้ายนั่นก็ด้วย  ทั้งที่เธอสามารถจะจัดการเราได้อย่างง่ายดาย  แต่ทำไมถึงถอยออกไปอย่างนั้นล่ะ  ทำไมถึงไม่เผด็จศึกไปให้จบ ๆ เลยเล่า ?”

    “คำตอบก็คือเธอคงทำไม่ได้สินะ  ถ้าให้เดาไม่ผิดพลังชีวิตของเธอในตอนนี้คงแทบจะเกลี้ยงแล้วใช่ไหมล่ะ ?”

    เมื่อสตรีผู้สูงศักดิ์กล่าวจบ  เมดผมสีเงินสกปรกก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น  สายตาคลุ้มคลั่งจ้องมองผู้บุกรุกทั้งสองด้วยแววตาเตรียมพร้อมที่จะเอาตัวแลกชีวิตอย่างไม่มีการถอยหนี

    “อา...แล้วถ้าเป็นอย่างที่เธอพูดจริง  แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อล่ะ  แต่บอกให้เลยว่าการยกเค้าครั้งนี้ไม่มีทางคุ้มแน่ ๆ”

    ในที่สุดเมดร่างเล็กก็ปลดลวดหนามออกได้สำเร็จ  สตรีวัยกลางคนลุกขึ้นมายืนด้วยท่าทีไม่ยี่หร่ะต่อบาดแผลที่หนามเหล็กเกี่ยวแทงเข้าไปในผิวหนัง 

    “นั่นสินะ  ถ้าขืนเข้าสู้ล่ะก็  เธอคงหาสักทางที่จะฆ่าเราโดยเอาชีวิตเข้าแลกอย่างแน่นอน  ก็คงไม่คุ้มอย่างที่เธอว่ามานั่นล่ะ—” 

    หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ยักไหล่ยั่วอารมณ์ของอีกฝ่าย

    “แต่ว่า...เรื่องอะไรเราจะต้องสู้กับเธอด้วยล่ะ  สู้ถอยออกมานั่งเล่นนอนเล่นในสวนหน้าปราสาทสักวันสองวัน  เมื่อถึงตอนนั้นเธอคงสลายกลายเป็นกากเพชรไปแล้ว  จริงไหมล่ะ”

    เมลิซซ่าสูดอากาศหายใจลึก ๆ แหงนหน้าเหม่อมองจันทร์สองดวงบนฟ้า

    ไม่มีใครทราบว่าเมลิซซ่าคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น  เธออาจกำลังอิจฉาดวงจันทร์ทั้งสองที่ได้อยู่เคียงข้างกันชั่วฟ้าดินสลาย  หรือกำลังวาดฝันถึงการที่จะได้ไปพบหน้ากับเจ้านายในสรวงสวรรค์เสียที 

    “นายหญิงคลาริส...”

    เธอใช้เวลารำลึกเพียงครู่เดียวก่อนกลับมาจดจ่อกับการต่อสู้อีกครั้ง  ใบหน้าที่อ่อนแรงกลับดูสงบนิ่งราวกับท้องฟ้าในตาพายุ  นัยน์ตาสีทองแดงที่มองผ่านผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เหลือความคลุ้มคลั่งอีกแล้ว  มีแต่เพียงความรู้สึกปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

    “เอาล่ะ  แล้วพวกเธอจะทำอย่างไรต่อล่ะ ?”  เมลิซซ่ากล่าว

    ทั้งสองรับรู้ได้อย่างชัดแจ้งว่าเถาวัลย์สวรรค์ในยามนี้อันตรายยิ่งกว่าครั้งไหน 

    หากตัดสินตามผลดีผลเสียแล้วส่วนใหญ่ทุกคนคงเลือกที่จะปล่อยทิ้งให้หล่อนแห้งตายเองคนเดียว

    แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้บุกรุกต้องการเลยแม้แต่น้อย

    “นี่แน่ะ  เถาวัลย์สวรรค์  ไม่คิดว่าทางเลือกสองทางที่มีแต่ความตายเป็นจุดหมายจะไม่โรแมนติกเอาเสียเลยหรือ ?”

    “หมายความว่าอย่างไร ?”

    “เรากำลังพูดถึงทางเลือกที่สามไงล่ะ —”

     

    ปัง !

     

    ก่อนที่สตรีวัยกลางคนจะได้ทันอธิบายข้อเสนอ  ร่างของหล่อนก็เหมือนกับโดนแรงกระแทกผลักให้ล้มไปพร้อมกับเสียงปืนที่ดังกึกก้อง

    เมดจิ๋วนัยน์ตาเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อสายตา  สตรีวัยกลางคนโดนยิงเข้าอย่างจัง  โลหิตเข้ม ๆ ค่อยซึมออกมาจากผ้าคลุม

    ทิศทางของกระสุนนั้นไม่ได้ถูกยิงมาจากทางด้านที่เมลิซซ่ายืนอยู่  แต่มาจากด้านหลังที่เปิดโล่งไร้การป้องกัน...

    เขม่าควันลอยฉุยจากปืนไรเฟิลกระบอกหนึ่งที่เล็งตรงมายังหญิงวัยกลางคนผู้เคราะห์ร้าย 

    “ไอ้บ้าเอ้ย  ยิงก่อนทำไมวะ”

    “เฮ้ย  ด่าไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว  ทุกคนยิงแม่งเลย”

    ผู้บุรุกยามค่ำคืนกลุ่มที่สองไม่ได้มาเพียงคนสองคน  แต่มากันเป็นสิบคนพร้อมอาวุธครบมือ  โดยเฉพาะอาวุธที่ว่าคือปืนไรเฟิลสงคราม

    เสียงปืนนัดที่สอง นัดที่สามตามมา  แต่เมดร่างเล็กก็ได้ขยับตัวตามสัญชาตญาณกลิ้งไปหลบอยู่หลังซากของเพดานที่ถล่มลงมาอย่างฉิวเฉียด  ปล่อยให้สตรีวัยกลางคนที่หล่อนควรจะต้องปกป้องนอนจมกองเลือดอยู่เพียงลำพัง

    ส่วนเมลิซซ่าที่ยังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ได้ยืนนิ่งให้เป็นเป้ากระสุน  เธอรีบกระโจนขึ้นบันไดหนีหายไปยังเงามืดของอาคารด้านบน 

    “ซีเรีย  เธอเป็นอะไรไหม” 

    “ตามเมลิซซ่าไปค่ะ !  ทำหน้าที่ของท่านให้ลุล่วง !”

    เมดจิ๋วกัดฟันด้วยความเจ็บใจ  แต่มันก็ไม่มีทางเลือกนัก  หล่อนหยิบระเบิดลูกกลม ๆ ขึ้นมาจุดไฟด้วยคริสตัลสีฟ้าก่อนจะโยนมันเข้าใส่กลุ่มผู้บุกรุกกลุ่มใหม่

    คราวนี้สิ่งที่โยนออกไปไม่ใช่ระเบิด TNT แต่เป็นระเบิดควันที่พอไฟจุดถึงชนวนปุ๊บควันที่ดำหนาก็จะพวยพุ่งออกมาปกคลุมพื้นที่  ปิดบังทัศนวิสัยไปได้สักครู่ 

    เมื่อสบจังหวะหล่อนก็พุ่งทะยานออกจากที่กำบังทันที  เสียงกระสุนผ่าอากาศดังหวีดหวิวพุ่งผ่านข้างกายไปหลายนัด  แต่หล่อนก็ยังไม่หยุดเท้าวิ่งกระโจนขึ้นบันไดตามทางที่เมลิซซ่าได้ปลีกตัวหนีไป      

     

    จากจุดนี้ไปเป็นบันทึกของหมวดแอนเดอร์สันที่ได้สัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์ในคืนนั้น 

     

    พวกเขาคือกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันตามล่าคนต่างถิ่นที่มาฆ่าพวกพ้องไปถึงสี่คน  ทีมไล่ล่า 20 กว่าคนเป็นชายฉกรรจ์ที่กล้าหาญ  และเคยผ่านสงครามปฏิวัติมาแล้วเกินกึ่งหนึ่ง  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลายคนมีอาวุธสงครามที่หลงเหลือจากการปฏิวัติติดตัวไปด้วย  โดยเฉพาะปืนไรเฟิลโบลท์ แอ็คชั่น ลี เอน ฟิล กับเครื่องกระสุนที่ทางสหภาพได้แจกจ่ายให้กับนักปฏิวัติเพื่อเป็นอาวุธในการต่อสู้กับกองทัพเวทของรัฐบาลในขณะนั้น

    พวกเขาฟังคำบอกเล่าของเจ้าของโรงเตี้ยม  ก่อนที่จะตัดสินใจตามรอยคนต่างถิ่นที่มุ่งหน้าไปยังปราสาทฮาลิแฟ็กซ์

     ถึงแม้ว่าคนต่างถิ่นจะล่วงหน้าไปก่อนนานแล้วก็ตาม  แต่ถึงอย่างไรฝีเท้าของคนที่ไม่คุ้นพื้นที่ก็ไม่อาจเร็วไปกว่าผู้คนในพื้นที่ไปได้ 

    แน่นอนว่าไม่มีใครเคยเข้าไปภายในปราสาทฮาลิแฟ็กซ์เลยนอกจากเจ้าของโรงเตี้ยมที่เคยทำงานเป็นคนสวนอยู่ที่นั่นมาก่อน  นอกจากนี้ยังมีค่ายกลเวทมนตร์ที่ทำให้เข้าไปในปราสาทได้อย่างยากลำบาก  และข่าวลือของเมดสงครามไร้เจ้าของที่คอยไล่ฆ่าผู้ที่จะเข้ามาขโมยสมบัติทำให้คนในท้องถิ่นรู้สึกลำบากใจที่จะตามคนต่างถิ่นไป

    ความจริงพวกเขาอาจจะดักรอฆาตกรทั้งสองตอนลงมาจากปราสาทก็ได้  แต่มันไม่มีอะไรรับประกันว่าพวกเขาจะเดินย้อนกลับมาทางเดิม  แถมภาพของเหล่าครอบครัวผู้เสียชีวิตต่างร้องไห้คร่ำครวญกับสามีและพ่อที่จากไปแล้ว  มันก็พอเพียงแล้วที่จะทำให้ทุกคนในชุมชนเลือดขึ้นหน้า

    ในที่สุดพวกเขาก็ขึ้นไปยังปราสาทฮาลิแฟ็กซ์ตามเส้นทางที่เจ้าของโรงเตี้ยมแนะนำ  กลุ่มผู้ไล่ล่าพบว่าค่ายกลเวทมนตร์ได้ถูกทำลายเสียแล้ว  และข้างในปราสาทก็มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาราวกับมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่

    พวกเขาใช้จังหวะที่ข้างในยังชุลมุนลอบเข้ามายังตัวอาคาร 

    แม้จะเป็นยามค่ำคืน  แต่แสงจันทร์สองดวงที่ส่องผ่านรูโหว่บนเพดานก็เพียงพอที่จะมองเห็นว่าลักษณะท่าทางตรงกับคนต่างถิ่นสองคน  ส่วนอีกคนที่อยู่บนบันไดนั้นคาดว่าน่าจะเป็นเมดสงครามที่ทุกคนร่ำลือนั่นเอง

    ความจริงแล้วทุกคนควรจะยิงพร้อมกันเพื่อจัดการเป้าหมายในทีเดียว  แต่โรเบิร์ต  หนึ่งในทีมไล่ล่า เป็นพี่ชายของหนึ่งในเหยื่อที่ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมในโรงเตี้ยม  ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่  จึงได้เปิดฉากยิงเข้าใส่หญิงที่เป็นเป้าหมายที่อยู่ใกล้ที่สุด  แทนที่จะรอสัญญาณให้ยิงพร้อม ๆ กัน

    นั่นเป็นการให้สัญญาณอีกสองคนที่เหลืออยู่กระโดดหลบคมกระสุนที่ถูกยิงตามมาติด ๆ

    จากนั้นจู่ ๆ ก็มีควันสีดำก็พวยพุ่งออกมา  มันเดาได้ไม่ยากเลยว่าคนต่างถิ่นที่หลบอยู่ต้องการสร้างฉากกำบังเพื่อหลบหนี

    ทุกคนต่างกระหน่ำยิงเข้าไปอย่างไม่ลดละ  แต่พอหมอกจางลงก็พบว่าเหลือแต่เพียงร่างหนึ่งนอนอยู่

    ตอนแรกทุกคนลังเลว่าควรจะบุกเข้าข้างในดีไหม  สุดท้ายแล้วก็มีผู้กล้าสองคนถือตะเกียงไฟนำทางคนอื่นเข้าไป...

    ดูเหมือนว่าเมดร่างเล็กจะหนีไปแล้ว  ทิ้งไว้แต่สตรีวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้านายนอนจมกองเลือดอยู่

    “มันยังไม่ตายว่ะ !”

    ชายที่เดินไปล่วงหน้าตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าร่างของสตรีวัยกลางคนยังมีลมหายใจที่โรยริน 

    ตอนแรกเขาจะยิงสตรีผู้นั้นแล้ว  แต่โรเบิร์ตที่มีความแค้นที่สุดในหมู่ผู้ไล่ล่ากลับตะโกนห้ามไว้

    “อย่าเพิ่งฆ่ามัน  จับเป็นอีนังนั่น เอาไว้ล่อเมดของมันออกมา  แล้วก็...”  โรเบิร์ตเหลือบมองสตรีสูงวัยที่นอนบาดเจ็บด้วยความรู้สึกเคียดแค้น  เขาแสยะยิ้มกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวในตอนนั้น

    “เรามาเล่นสนุกกับนังป้านี่กันก่อนเถอะ”

    “เฮ้ย โรเบิร์ต... เวลานี้ยังจะมาทำเรื่องพรรค์นั้นอยู่อีกเหรอวะ”

    “ก็เออสิวะ  โดนยิงขนาดนี้เดี๋ยวแม่งก็ตายแล้ว  เพราะงั้นก่อนตายขอให้มันต้องลงนรกทั้งเป็นก่อนเหอะ... ไม่สิ  ต้องเรียกว่าขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นมากกว่าล่ะมั้ง”  

    ว่าแล้วเขาก็ใช้เท้าพลิกร่างอันบอบบางของหญิงวัยกลางคนให้เป็นท่านอนหงาย  เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูอ่อนแอ  กับเรียวขาที่ถุงน่องสีดำฉีกขาดจนเห็นเนื้อขาว ๆ ข้างในแล้ว  โรเบิร์ตก็ต้องผิวปากด้วยความหื่นกระหาย

    “น่าเสียดายที่แก่ไปหน่อยแฮะ  ถ้าสาว ๆ กว่านี้สักสิบปี... ไม่สิ สักห้าถึงหกปีคงแจ่มน่าดู” 

    ระหว่างที่คนอื่นกำลังตั้งทีมค้นหาเข้าไปในปราสาท  โรเบิร์ตและผู้ที่สนใจอีกราวสองคนก็กำลังขึงพืดหญิงที่บาดเจ็บไร้ทางสู้ 

    โรเบิร์ตค่อย ๆ ใช้มีดลูบไล้บนใบหน้าของสตรีต่างถิ่นอย่างน่าหวาดเสียว  จากนั้นมีดก็เลื่อนต่ำลงต้นคอ  ไหปาร้า  และหน้าอกที่กำลังกระเพื่อมตามแรงหายใจอันเหนื่อยอ่อน

    “อยู่เฉย ๆ อย่าดิ้นล่ะ  ไม่งั้นมีดนี้จะเสียบเข้าไปในเนื้อไม่รู้ด้วย” 

    กระนั้นสตรีต่างถิ่นกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวใด ๆ  หล่อนมีสีหน้าสงบนิ่ง  ซึ่งมันทำให้โรเบิร์ตหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

    เขาใช้หลังมือตบหน้าที่ดูเย่อหยิ่งนั้นอย่างหมั่นไส้

    “เออ... ทำหน้าอย่างนั้นไปจนจบเลยนะ”

    แล้วเขาก็ใช้มีดเลาะกระดุมที่ยึดติดผ้าคลุมไว้  ก่อนจะฉีกผ้าคลุมที่ห่อหุ้มร่างของหญิงวัยกลางคนออก

    เมื่อถึงตอนนั้นมันเป็นโรเบิร์ตที่มีสีหน้าแปลกใจสุดขีดกับสิ่งที่เขาเห็น

    “นี่มัน...”

    ฉึก  ฉึก  ฉึก

    พยานที่รอดชีวิตเล่าให้ฟังว่า  กว่าที่เขาจะรู้ตัว  โรเบิร์ตกับอีกสองคนก็ลงไปนอนจมกองเลือดเสียแล้ว  ที่ต้นคอของทั้งสามมีดาบปลายปืนเล่มหนาปักคาอยู่อย่างแม่นยำ 

    ที่อยู่กลางวงซากศพนั้นปรากฏหญิงวัยกลางคนที่ยืนตระหง่านท่ามกลางแสงจันทร์ 

    เสื้อคลุมที่หล่อนสวมอยู่ตลอดก็ค่อย ๆ ร่วงหล่น  เผยให้เห็นสิ่งที่มันพยายามซ่อนเร้น...

    มันคือชุดเมดสีดำคาดผ้าแอพรอนสีขาวบริสุทธิ์ที่มีรอยเลือดเข้มเป็นวงที่บริเวณสีข้าง

    สตรีวัยกลางคนผู้สวมชุดเมดเผยรอยยิ้มอบอุ่นให้กับทุกคน... หล่อนจีบกระโปรงย่อตัวอย่างสง่างามให้กับทุกคน

    “สวัสดีค่ะพวกสวะทุกท่าน  เรามาทำอะไรโรแมนติก ๆ กันเถอะค่ะ”

    เมื่อสิ้นคำพูด  มีดดาบนับสิบเล่มก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศรอบกายเมดผู้นั้น...

    และการสังหารโหดก็เริ่มต้นขึ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×