คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 1: Act VII
“ยายเมดจิ๋ว... เธอนะเป็นเมดสงครามจริง ๆ เหรอ ?”
สาวใช้ร่างเล็กไม่ตอบ เธอยังคงง่วนอยู่กับการเลาะลวดหนามที่เกาะเกี่ยวบนตัวสตรีวัยกลางคนอยู่
กลับกัน คนที่เอ่ยปากตอบเมลิซซ่าอย่างไม่มีอาการเจ็บปวดเลยคือสตรีวัยกลางคนที่ถูกรัดตรึงโดยลวดหนาม
“นั่นก็เป็นความลับทางการค้าของฝ่ายเราค่ะ”
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวสู้ไปก็รู้เองล่ะ” เมลิซซ่ากล่าวตอบ
“ก็อย่างนั้นล่ะค่ะ แต่ว่าเธอนั่นแลที่จะสู้ต่อไหวหรือ ?”
คราวนี้เป็นฝ่ายเมลิซซ่าที่ต้องสะอึกกับคำพูดของศัตรูเบื้องหน้า
“เธอน่ะสู้แทบไม่ไหวแล้ว ทั้งคีมตัดเหล็กนั่น หรือลวดหนามที่เธอใช้มานี่ไม่ใช่อาวุธที่เกิดจากการแมทีเรียลไลซ์เลยนี่ ถ้าให้เดาแล้ว เธอคงใช้คีมตัดเหล็กนั่นสำหรับตัดเหล็กมาทำลวดหนามพวกนี้มากกว่า”
“......”
“อย่างจังหวะสุดท้ายนั่นก็ด้วย ทั้งที่เธอสามารถจะจัดการเราได้อย่างง่ายดาย แต่ทำไมถึงถอยออกไปอย่างนั้นล่ะ ทำไมถึงไม่เผด็จศึกไปให้จบ ๆ เลยเล่า ?”
“คำตอบก็คือเธอคงทำไม่ได้สินะ ถ้าให้เดาไม่ผิดพลังชีวิตของเธอในตอนนี้คงแทบจะเกลี้ยงแล้วใช่ไหมล่ะ ?”
เมื่อสตรีผู้สูงศักดิ์กล่าวจบ เมดผมสีเงินสกปรกก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น สายตาคลุ้มคลั่งจ้องมองผู้บุกรุกทั้งสองด้วยแววตาเตรียมพร้อมที่จะเอาตัวแลกชีวิตอย่างไม่มีการถอยหนี
“อา...แล้วถ้าเป็นอย่างที่เธอพูดจริง แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อล่ะ แต่บอกให้เลยว่าการยกเค้าครั้งนี้ไม่มีทางคุ้มแน่ ๆ”
ในที่สุดเมดร่างเล็กก็ปลดลวดหนามออกได้สำเร็จ สตรีวัยกลางคนลุกขึ้นมายืนด้วยท่าทีไม่ยี่หร่ะต่อบาดแผลที่หนามเหล็กเกี่ยวแทงเข้าไปในผิวหนัง
“นั่นสินะ ถ้าขืนเข้าสู้ล่ะก็ เธอคงหาสักทางที่จะฆ่าเราโดยเอาชีวิตเข้าแลกอย่างแน่นอน ก็คงไม่คุ้มอย่างที่เธอว่ามานั่นล่ะ—”
หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ยักไหล่ยั่วอารมณ์ของอีกฝ่าย
“แต่ว่า...เรื่องอะไรเราจะต้องสู้กับเธอด้วยล่ะ สู้ถอยออกมานั่งเล่นนอนเล่นในสวนหน้าปราสาทสักวันสองวัน เมื่อถึงตอนนั้นเธอคงสลายกลายเป็นกากเพชรไปแล้ว จริงไหมล่ะ”
เมลิซซ่าสูดอากาศหายใจลึก ๆ แหงนหน้าเหม่อมองจันทร์สองดวงบนฟ้า
ไม่มีใครทราบว่าเมลิซซ่าคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น เธออาจกำลังอิจฉาดวงจันทร์ทั้งสองที่ได้อยู่เคียงข้างกันชั่วฟ้าดินสลาย หรือกำลังวาดฝันถึงการที่จะได้ไปพบหน้ากับเจ้านายในสรวงสวรรค์เสียที
“นายหญิงคลาริส...”
เธอใช้เวลารำลึกเพียงครู่เดียวก่อนกลับมาจดจ่อกับการต่อสู้อีกครั้ง ใบหน้าที่อ่อนแรงกลับดูสงบนิ่งราวกับท้องฟ้าในตาพายุ นัยน์ตาสีทองแดงที่มองผ่านผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เหลือความคลุ้มคลั่งอีกแล้ว มีแต่เพียงความรู้สึกปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
“เอาล่ะ แล้วพวกเธอจะทำอย่างไรต่อล่ะ ?” เมลิซซ่ากล่าว
ทั้งสองรับรู้ได้อย่างชัดแจ้งว่าเถาวัลย์สวรรค์ในยามนี้อันตรายยิ่งกว่าครั้งไหน
หากตัดสินตามผลดีผลเสียแล้วส่วนใหญ่ทุกคนคงเลือกที่จะปล่อยทิ้งให้หล่อนแห้งตายเองคนเดียว
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้บุกรุกต้องการเลยแม้แต่น้อย
“นี่แน่ะ เถาวัลย์สวรรค์ ไม่คิดว่าทางเลือกสองทางที่มีแต่ความตายเป็นจุดหมายจะไม่โรแมนติกเอาเสียเลยหรือ ?”
“หมายความว่าอย่างไร ?”
“เรากำลังพูดถึงทางเลือกที่สามไงล่ะ —”
ปัง !
ก่อนที่สตรีวัยกลางคนจะได้ทันอธิบายข้อเสนอ ร่างของหล่อนก็เหมือนกับโดนแรงกระแทกผลักให้ล้มไปพร้อมกับเสียงปืนที่ดังกึกก้อง
เมดจิ๋วนัยน์ตาเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อสายตา สตรีวัยกลางคนโดนยิงเข้าอย่างจัง โลหิตเข้ม ๆ ค่อยซึมออกมาจากผ้าคลุม
ทิศทางของกระสุนนั้นไม่ได้ถูกยิงมาจากทางด้านที่เมลิซซ่ายืนอยู่ แต่มาจากด้านหลังที่เปิดโล่งไร้การป้องกัน...
เขม่าควันลอยฉุยจากปืนไรเฟิลกระบอกหนึ่งที่เล็งตรงมายังหญิงวัยกลางคนผู้เคราะห์ร้าย
“ไอ้บ้าเอ้ย ยิงก่อนทำไมวะ”
“เฮ้ย ด่าไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ทุกคนยิงแม่งเลย”
ผู้บุรุกยามค่ำคืนกลุ่มที่สองไม่ได้มาเพียงคนสองคน แต่มากันเป็นสิบคนพร้อมอาวุธครบมือ โดยเฉพาะอาวุธที่ว่าคือปืนไรเฟิลสงคราม
เสียงปืนนัดที่สอง นัดที่สามตามมา แต่เมดร่างเล็กก็ได้ขยับตัวตามสัญชาตญาณกลิ้งไปหลบอยู่หลังซากของเพดานที่ถล่มลงมาอย่างฉิวเฉียด ปล่อยให้สตรีวัยกลางคนที่หล่อนควรจะต้องปกป้องนอนจมกองเลือดอยู่เพียงลำพัง
ส่วนเมลิซซ่าที่ยังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ได้ยืนนิ่งให้เป็นเป้ากระสุน เธอรีบกระโจนขึ้นบันไดหนีหายไปยังเงามืดของอาคารด้านบน
“ซีเรีย เธอเป็นอะไรไหม”
“ตามเมลิซซ่าไปค่ะ ! ทำหน้าที่ของท่านให้ลุล่วง !”
เมดจิ๋วกัดฟันด้วยความเจ็บใจ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกนัก หล่อนหยิบระเบิดลูกกลม ๆ ขึ้นมาจุดไฟด้วยคริสตัลสีฟ้าก่อนจะโยนมันเข้าใส่กลุ่มผู้บุกรุกกลุ่มใหม่
คราวนี้สิ่งที่โยนออกไปไม่ใช่ระเบิด TNT แต่เป็นระเบิดควันที่พอไฟจุดถึงชนวนปุ๊บควันที่ดำหนาก็จะพวยพุ่งออกมาปกคลุมพื้นที่ ปิดบังทัศนวิสัยไปได้สักครู่
เมื่อสบจังหวะหล่อนก็พุ่งทะยานออกจากที่กำบังทันที เสียงกระสุนผ่าอากาศดังหวีดหวิวพุ่งผ่านข้างกายไปหลายนัด แต่หล่อนก็ยังไม่หยุดเท้าวิ่งกระโจนขึ้นบันไดตามทางที่เมลิซซ่าได้ปลีกตัวหนีไป
จากจุดนี้ไปเป็นบันทึกของหมวดแอนเดอร์สันที่ได้สัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์ในคืนนั้น
พวกเขาคือกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันตามล่าคนต่างถิ่นที่มาฆ่าพวกพ้องไปถึงสี่คน ทีมไล่ล่า 20 กว่าคนเป็นชายฉกรรจ์ที่กล้าหาญ และเคยผ่านสงครามปฏิวัติมาแล้วเกินกึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลายคนมีอาวุธสงครามที่หลงเหลือจากการปฏิวัติติดตัวไปด้วย โดยเฉพาะปืนไรเฟิลโบลท์ แอ็คชั่น ลี เอน ฟิล กับเครื่องกระสุนที่ทางสหภาพได้แจกจ่ายให้กับนักปฏิวัติเพื่อเป็นอาวุธในการต่อสู้กับกองทัพเวทของรัฐบาลในขณะนั้น
พวกเขาฟังคำบอกเล่าของเจ้าของโรงเตี้ยม ก่อนที่จะตัดสินใจตามรอยคนต่างถิ่นที่มุ่งหน้าไปยังปราสาทฮาลิแฟ็กซ์
ถึงแม้ว่าคนต่างถิ่นจะล่วงหน้าไปก่อนนานแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรฝีเท้าของคนที่ไม่คุ้นพื้นที่ก็ไม่อาจเร็วไปกว่าผู้คนในพื้นที่ไปได้
แน่นอนว่าไม่มีใครเคยเข้าไปภายในปราสาทฮาลิแฟ็กซ์เลยนอกจากเจ้าของโรงเตี้ยมที่เคยทำงานเป็นคนสวนอยู่ที่นั่นมาก่อน นอกจากนี้ยังมีค่ายกลเวทมนตร์ที่ทำให้เข้าไปในปราสาทได้อย่างยากลำบาก และข่าวลือของเมดสงครามไร้เจ้าของที่คอยไล่ฆ่าผู้ที่จะเข้ามาขโมยสมบัติทำให้คนในท้องถิ่นรู้สึกลำบากใจที่จะตามคนต่างถิ่นไป
ความจริงพวกเขาอาจจะดักรอฆาตกรทั้งสองตอนลงมาจากปราสาทก็ได้ แต่มันไม่มีอะไรรับประกันว่าพวกเขาจะเดินย้อนกลับมาทางเดิม แถมภาพของเหล่าครอบครัวผู้เสียชีวิตต่างร้องไห้คร่ำครวญกับสามีและพ่อที่จากไปแล้ว มันก็พอเพียงแล้วที่จะทำให้ทุกคนในชุมชนเลือดขึ้นหน้า
ในที่สุดพวกเขาก็ขึ้นไปยังปราสาทฮาลิแฟ็กซ์ตามเส้นทางที่เจ้าของโรงเตี้ยมแนะนำ กลุ่มผู้ไล่ล่าพบว่าค่ายกลเวทมนตร์ได้ถูกทำลายเสียแล้ว และข้างในปราสาทก็มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาราวกับมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่
พวกเขาใช้จังหวะที่ข้างในยังชุลมุนลอบเข้ามายังตัวอาคาร
แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่แสงจันทร์สองดวงที่ส่องผ่านรูโหว่บนเพดานก็เพียงพอที่จะมองเห็นว่าลักษณะท่าทางตรงกับคนต่างถิ่นสองคน ส่วนอีกคนที่อยู่บนบันไดนั้นคาดว่าน่าจะเป็นเมดสงครามที่ทุกคนร่ำลือนั่นเอง
ความจริงแล้วทุกคนควรจะยิงพร้อมกันเพื่อจัดการเป้าหมายในทีเดียว แต่โรเบิร์ต หนึ่งในทีมไล่ล่า เป็นพี่ชายของหนึ่งในเหยื่อที่ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมในโรงเตี้ยม ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จึงได้เปิดฉากยิงเข้าใส่หญิงที่เป็นเป้าหมายที่อยู่ใกล้ที่สุด แทนที่จะรอสัญญาณให้ยิงพร้อม ๆ กัน
นั่นเป็นการให้สัญญาณอีกสองคนที่เหลืออยู่กระโดดหลบคมกระสุนที่ถูกยิงตามมาติด ๆ
จากนั้นจู่ ๆ ก็มีควันสีดำก็พวยพุ่งออกมา มันเดาได้ไม่ยากเลยว่าคนต่างถิ่นที่หลบอยู่ต้องการสร้างฉากกำบังเพื่อหลบหนี
ทุกคนต่างกระหน่ำยิงเข้าไปอย่างไม่ลดละ แต่พอหมอกจางลงก็พบว่าเหลือแต่เพียงร่างหนึ่งนอนอยู่
ตอนแรกทุกคนลังเลว่าควรจะบุกเข้าข้างในดีไหม สุดท้ายแล้วก็มีผู้กล้าสองคนถือตะเกียงไฟนำทางคนอื่นเข้าไป...
ดูเหมือนว่าเมดร่างเล็กจะหนีไปแล้ว ทิ้งไว้แต่สตรีวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้านายนอนจมกองเลือดอยู่
“มันยังไม่ตายว่ะ !”
ชายที่เดินไปล่วงหน้าตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าร่างของสตรีวัยกลางคนยังมีลมหายใจที่โรยริน
ตอนแรกเขาจะยิงสตรีผู้นั้นแล้ว แต่โรเบิร์ตที่มีความแค้นที่สุดในหมู่ผู้ไล่ล่ากลับตะโกนห้ามไว้
“อย่าเพิ่งฆ่ามัน จับเป็นอีนังนั่น เอาไว้ล่อเมดของมันออกมา แล้วก็...” โรเบิร์ตเหลือบมองสตรีสูงวัยที่นอนบาดเจ็บด้วยความรู้สึกเคียดแค้น เขาแสยะยิ้มกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวในตอนนั้น
“เรามาเล่นสนุกกับนังป้านี่กันก่อนเถอะ”
“เฮ้ย โรเบิร์ต... เวลานี้ยังจะมาทำเรื่องพรรค์นั้นอยู่อีกเหรอวะ”
“ก็เออสิวะ โดนยิงขนาดนี้เดี๋ยวแม่งก็ตายแล้ว เพราะงั้นก่อนตายขอให้มันต้องลงนรกทั้งเป็นก่อนเหอะ... ไม่สิ ต้องเรียกว่าขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นมากกว่าล่ะมั้ง”
ว่าแล้วเขาก็ใช้เท้าพลิกร่างอันบอบบางของหญิงวัยกลางคนให้เป็นท่านอนหงาย เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูอ่อนแอ กับเรียวขาที่ถุงน่องสีดำฉีกขาดจนเห็นเนื้อขาว ๆ ข้างในแล้ว โรเบิร์ตก็ต้องผิวปากด้วยความหื่นกระหาย
“น่าเสียดายที่แก่ไปหน่อยแฮะ ถ้าสาว ๆ กว่านี้สักสิบปี... ไม่สิ สักห้าถึงหกปีคงแจ่มน่าดู”
ระหว่างที่คนอื่นกำลังตั้งทีมค้นหาเข้าไปในปราสาท โรเบิร์ตและผู้ที่สนใจอีกราวสองคนก็กำลังขึงพืดหญิงที่บาดเจ็บไร้ทางสู้
โรเบิร์ตค่อย ๆ ใช้มีดลูบไล้บนใบหน้าของสตรีต่างถิ่นอย่างน่าหวาดเสียว จากนั้นมีดก็เลื่อนต่ำลงต้นคอ ไหปาร้า และหน้าอกที่กำลังกระเพื่อมตามแรงหายใจอันเหนื่อยอ่อน
“อยู่เฉย ๆ อย่าดิ้นล่ะ ไม่งั้นมีดนี้จะเสียบเข้าไปในเนื้อไม่รู้ด้วย”
กระนั้นสตรีต่างถิ่นกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวใด ๆ หล่อนมีสีหน้าสงบนิ่ง ซึ่งมันทำให้โรเบิร์ตหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
เขาใช้หลังมือตบหน้าที่ดูเย่อหยิ่งนั้นอย่างหมั่นไส้
“เออ... ทำหน้าอย่างนั้นไปจนจบเลยนะ”
แล้วเขาก็ใช้มีดเลาะกระดุมที่ยึดติดผ้าคลุมไว้ ก่อนจะฉีกผ้าคลุมที่ห่อหุ้มร่างของหญิงวัยกลางคนออก
เมื่อถึงตอนนั้นมันเป็นโรเบิร์ตที่มีสีหน้าแปลกใจสุดขีดกับสิ่งที่เขาเห็น
“นี่มัน...”
ฉึก ฉึก ฉึก
พยานที่รอดชีวิตเล่าให้ฟังว่า กว่าที่เขาจะรู้ตัว โรเบิร์ตกับอีกสองคนก็ลงไปนอนจมกองเลือดเสียแล้ว ที่ต้นคอของทั้งสามมีดาบปลายปืนเล่มหนาปักคาอยู่อย่างแม่นยำ
ที่อยู่กลางวงซากศพนั้นปรากฏหญิงวัยกลางคนที่ยืนตระหง่านท่ามกลางแสงจันทร์
เสื้อคลุมที่หล่อนสวมอยู่ตลอดก็ค่อย ๆ ร่วงหล่น เผยให้เห็นสิ่งที่มันพยายามซ่อนเร้น...
มันคือชุดเมดสีดำคาดผ้าแอพรอนสีขาวบริสุทธิ์ที่มีรอยเลือดเข้มเป็นวงที่บริเวณสีข้าง
สตรีวัยกลางคนผู้สวมชุดเมดเผยรอยยิ้มอบอุ่นให้กับทุกคน... หล่อนจีบกระโปรงย่อตัวอย่างสง่างามให้กับทุกคน
“สวัสดีค่ะพวกสวะทุกท่าน เรามาทำอะไรโรแมนติก ๆ กันเถอะค่ะ”
เมื่อสิ้นคำพูด มีดดาบนับสิบเล่มก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศรอบกายเมดผู้นั้น...
และการสังหารโหดก็เริ่มต้นขึ้น
ความคิดเห็น