คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : แม่มดกับการมาเยือนของชายชุดดำ (1)
เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบว่าทุกอย่างจบลงแล้ว
ฉันหายใจเหนื่อยหอบ...
และก็อ้วก... คายของที่อยู่ในท้องออกมาจนหมด แม้ไม่มีอะไรเหลือในท้องแล้ว ฉันก็ยังสำรอกน้ำย่อยรสชาติเปรี้ยวน่าขยะแขยงออกมาไม่หยุด
ฉันพยายามควบคุมตัวเองให้ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหลังจากที่ได้รับรู้ถึงประสบการณ์ความตายของทหารนับพัน
ในตอนนั้นเองก็เริ่มสงสัยว่าฉันหมดสติไปนานแค่ไหน... บรรยายกาศโดยรอบมันเงียบเชียบ มันเงียบจนรู้สึกสยอง... ไม่น่าเชื่อเลยว่าความเงียบมันจะทำให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเสียงระเบิดทั้งคืนเสียอีก
ลุงยังคงนอนอยู่ตรงนั้น จุดเดียวกับที่แกหายใจเป็นครั้งสุดท้าย ตายังเบิกโพลงปากยังเผยอราวกับยังไม่ทราบว่าตนได้ตายไปแล้ว
“หนึ่งเดียวคือทั้งมวล ทั้งมวลคือหนึ่งเดียว ความตายเป็นเพียงแค่เดินทางกลับสู่จุดกำเนิดเท่านั้น”
ฉันปิดเปลือกตาของลุงอย่างแผ่นเบา
“หลับให้สบายนะคะ ขอให้วิญญาณอย่าได้หลงทางจากเส้นทางที่ถูกต้องอีกเลย”
ดูอย่างนี้เหมือนกับลุงแค่หลับไปเท่านั้น
“ลุง...”
ฉันดึงแผ่นชื่อโลหะของจากหมวกของลุง ลูบคลำตัวอักษรสลักนูนสูง
นี่คือชื่อของลุงสินะ...
แต่รู้ด้วยวิธีนี้มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า !
ฉันอยากจะแหกปากตะโกนให้สมกับน้ำตาที่กำลังไหลรินเหลือเกิน อยากร้องสาปแช่งโชคชะตาให้สมกับชื่อของแม่มด อยากจะร้องไห้เหมือนกับเด็กผู้หญิงทั่วไปยามเมื่อคนสำคัญได้จากไป
แต่ฉันร้องไม่ได้... ขืนร้องออกมากลางสนามรบที่เงียบกริบขนาดนี้ใคร ๆ เขาก็รู้หมดว่าฉันแอบอยู่ตรงไหน
ทำไม ! ทั้งที่นึกว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีแท้ ๆ
บัดซบ
ฉันรีบเช็ดน้ำตาเป็นรอบที่สองของวัน
ไม่มีเวลาจะร้องไห้อีกแล้ว
ยังรู้สึกเจ็บปวดในทรวงอกอยู่ ไม่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ของทหารนับร้อยนับพันที่สูญสิ้นหรือเป็นความอาลัยอาวรณ์ลุง
แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็เหมือนกับไฟแค้นที่เผาไหม้ โดยมีเชื้อไฟอย่างดีคือ...
“ยัยแม่มดนั่น”
ฉันกัดฟันแน่นพลางตัดสินใจอะไรบางอย่างด้วยความแน่วแน่
เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะบุกตีโต้ ฉันค่อย ๆ โผล่หัวออกมาจากรูของห้องใต้ดิน
มันเป็นภาพที่น่าสมเพชเวทนายิ่ง... ศพของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารสีน้ำเงินเข้มนอนตายกันเกลื่อนกลาด
ทั้งที่อุตส่าห์ช่วยพวกเขาจากเวทมนต์ทรายดูดได้แล้วทั้งที สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่การยืดเวลาชีวิตไปอีกไม่กี่นาทีเท่านั้น
ฉันหมอบคลานไปตามซากศพก่อนคว้าปืนไรเฟิลจากศพที่นอนอยู่ข้าง ๆ เข้ามาไว้ในร่องแขน ถึงเคยถูกฝึกการใช้งานมาแล้วบ้างสองสามครั้ง แต่ฉันก็ยังรู้สึกประหม่ากับปืนจริงอยู่ดี
มันทั้งหนัก ทั้งเหม็นกลิ่นน้ำมันกันสนิม แถมยังจำไม่ได้ว่าต้องดึงสลักอะไรก่อนหลังอีกต่างหาก เวลาใช้ก็ส่งเสียงดังทำให้ตกใจอยู่เรื่อย
แต่ฉันก็จะใช้มัน... ฉันต้องจัดการยายแม่มดนั่นให้ได้
“ปืนลีเบลเนี่ย ตอนขึ้นลำต้องกระชากนิดนึงนะ ไม่งั้นกระสุนมันจะไม่เข้าในรังเพลิง”
เสียงของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นข้างหูของฉันอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงเย็นยะเยือกที่ดูขัดกับลมหายใจอุ่น ๆ ที่กระทบหูฉันเหลือเกิน
แน่นอนว่าฉันตกใจสะดุ้งโหยง เหวี่ยงปากลำกล้องปืนที่ใช้ไม่เป็นไปทางทิศของเสียง
ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น... อย่างน้อยไม่มีอะไรที่มีลมหายใจอยู่
แต่ฉันรู้ดีว่าฉันกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่
“ใจเย็นแม่หนู นี่หรือคือวิธีการทักทายต่อข้าของหมู่บ้านเจ้านะ ”
คราวนี้เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง ให้ตายสิ... มันชอบปั่นหัวอย่างนี้อยู่เรื่อยเลย ไม่เคยคิดเบื่อหรือไงกัน
ฉันสูดอากาศเข้าเต็มปอด คราวนี้ฉันค่อย ๆ หันไปยังทิศของเสียงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
และ “เขา” ก็ยืนอยู่ตรงนั้น...
ชายหนุ่มในชุดดำเมี่ยมยืนล้วงกระเป๋ากลางสนามรบ...
บนเนินคันดินที่มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่กล้าโผล่หัวให้ถูกสไนเปอร์ศัตรูส่องหัว...
แสยะยิ้มให้กับฉันอย่างน่ารังเกียจ
“ไงแคท ยินดีที่ได้เจอเจ้าอีกนะ”
แต่ฉันไม่ดีใจที่ได้พบเขาเลยแม้แต่นิดเดียว...
ความคิดเห็น