ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Maid-At-Arms สาวใช้พันธุ์ดุ

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 1: Act V

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.พ. 65


    “ซีเรียรู้จักบารอนเนสคลาริสหรือเปล่า ?”

    “ค่ะ  เคยพบท่านที่นครหลวงเมื่อนานมาแล้วตอนที่ท่านมารับตำแหน่งแทนบารอนยอร์ฮัน  เป็นคนที่อ่อนโยนมากเลยล่ะ  ถึงร่างกายจะอ่อนแอแต่ก็เป็นคนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา  คุยเก่งเชียวล่ะ  นายท่านเองก็โปรดปรานท่านคลาริสมากเลยทีเดียว  แต่อากาศของนครหลวงเป็นเหมือนกับยาพิษกับร่างกายที่อ่อนแอนั่น  สุดท้ายท่านจึงต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดทั้งที่หากอยู่ต่อต้องได้เป็นมเหสีของนายท่านแน่ ๆ เลยค่ะ”

    “คอเล็คชั่นไวน์สุดหรูพวกนั้นคงเป็นของกำนัลจากลาสินะ”

    “แล้วเมดสงครามที่มาสเตอร์คนนั้นพูดถึงล่ะ ?”

    “น่าจะเป็นเถาวัลย์สวรรค์  เมลิซซ่า  เคยได้ยินว่าท่านคลาริสได้รับเธอไว้ก่อนจะเดินทางกลับบ้านเกิดนะค่ะ...”

    “ถ้าอย่างนั้นคงเป็นรุ่นน้องซีเรียที่อะคาเดมี่สินะ”

    “ค่ะ  แต่เป็นรุ่นน้องถัดไปประมาณ 4 รุ่นเห็นจะได้  เลยไม่เคยได้พบหน้ากันตรง ๆ   ได้ยินแต่ชื่อเสียงและสมญานามเท่านั้นล่ะค่ะ  แต่ได้ยินมาว่าเป็นคนที่เก่งมากเลยทีเดียว  ระดับที่สามารถรับใช้ราชวงศ์ชั้นสูงได้สบายเลย”

    แต่หล่อนก็มารับใช้บารอนเนสบ้านนอกอย่างนี้ ?”

    “ใช่แล้วค่ะ  แต่เจ้านายก็เป็นเจ้านายอยู่ดี  ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นกษัตริย์หรือยาจกก็ตาม”

    “เอาเถอะ  แล้วรู้อะไรอย่างอื่นนอกจากว่าเธอเก่งมากไหม  เช่นอาวุธ หรือ สิ่งอื่นที่ควรรู้ ?”    

    “เคยได้ยินคำร่ำลือมาว่าอาวุธที่เธอแมทีเรียลไลซ์ออกมานั้นพิศดารมากเลยทีเดียว  แต่ก็แค่นั้นล่ะค่ะ”

    “ขอบคุณมากซีเรีย  เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก”

    “ยินดีที่ได้รับใช้ค่ะ”

    “เมื่อกี๊มันประชดนะ”

    “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ประชดได้ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ” 

    “รู้ไหม... บางทีเราก็ไม่เข้าใจเมดสงครามอย่างเธอเอาเสียเลยนะ”

    “ค่ะ... แม้แต่พวกเราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวตนของพวกเราสักเท่าไหร่หรอกค่ะ”

    “.....”

    “มีอะไรหรือคะ ?”

    “เปล่า... แค่กลุ้มใจนิดหน่อย  แต่เอาเถิด  ถ้าอย่างนั้นเราขอแก้คำถามใหม่หน่อย... พวกเรามีโอกาสชนะเมดสงครามผู้นี้หรือไม่ ?  คิดว่ากุหลาบพันหนามจะชนะเถาวัลย์สวรรค์ได้หรือไม่ ?”

    “ถ้าลองได้ประมือด้วยสักครั้งก็คงพอรู้ฝีมือค่ะ”

    “ขอบใจนะ”

    “ยินดีที่ได้รับใช้ค่ะ”

    “ไม่เป็นไร  เราชินเสียแล้วล่ะ”

    “.....”

    “แต่ว่า... เถาวัลย์สวรรค์ไร้เจ้านายมาได้เหยียบครึ่งปีแล้ว  ถึงหล่อนจะยังมีชีวิตอยู่แต่ป่านนี้พลังชีวิตคงใกล้หมดเต็มทีแล้วล่ะค่ะ  คงอ่อนแอลงกว่าแต่ก่อนมากเลยทีเดียว  โอกาสชนะของเราคงมีสูงอย่างแน่นอน”

    “นั่นมันไม่ต่างจากเธอเลยไม่ใช่รึ” 

    “.....”

    “เอาเถอะ  ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้สินะ”

    “ถูกต้องแล้วค่ะ” 

    “อ๊ะ  เห็นยอดหลังคาแล้วล่ะค่ะ  มาสเตอร์คนนั้นพูดถูกจริง ๆ ด้วย  มาทางนี้ง่ายกว่าเยอะเลย”

    “ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงเดินหลงอยู่ในค่ายกลนั่นทั้งคืนเหมือนเมื่อวานแน่เลย”

    “หุบปากน่า...”

    ......................................

    ..........................

    ..............

    ....

     

    ดวงจันทร์กลมโตสองดวงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าทำให้ยามค่ำคืนดูสว่างไสวราวกับมีคนจุดตะเกียงบนสวรรค์

    แม้แสงจันทร์สองดวงจะไม่สว่างเท่าตะวันยามเช้า  แต่มันก็ถือเป็นพรจากสวรรค์ในยามราตรีที่ทำให้ทุกอย่างไม่มืดมิดไปเสียทีเดียว

    แขกผู้มาเยือนสองคนยืนอยู่ต่อหน้าสิ่งก่อสร้างมหึมาที่บดบังไปครึ่งท้องฟ้า

    หลังจากต้องใช้เวลาเดินเท้ากว่าห้าชั่วโมงผ่านความมืดมิดยามค่ำคืนและพื้นที่ทุรกันดานที่ไม่อำนวยต่อแขกผู้มาเยือน  เดินเข้าไปในหุบเขาที่ปลีกตัวออกจากแหล่งชุมชน  ในที่สุดหญิงวัยกลางคนผู้ผ่านช่วงเวลาบานสพรั่งกับเมดสาวร่างเล็กก็ประสบความสำเร็จในการยืนอยู่หน้าปราสาทฮาลิแฟกซ์

    ข้างในอาคารมืดสนิท ไม่มีวี่แววของผู้คนหลงเหลืออยู่  เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านช่องว่างของตัวอาคาร  เสียงบานประตูเปิดเข้าออกตามแรงลมตามยถากรรมบ่งบอกถึงตัวอาคารที่ถึงทิ้งไว้ให้รกร้างไร้การดูแล

    แขกผู้มาเยือนร่างเล็กหยิบบางอย่างออกมา  เพียงครู่เดียวมันก็ค่อย ๆ เรืองแสงสีฟ้าอ่อนตัดผ่านความมืดมิดของยามค่ำคืน  เผยให้เห็นสภาพโดยรอบอย่างชัดเจนมากขึ้น

    พวกเธอยืนอยู่ต่อหน้าประตูหลักของปราสาทที่มีขนาดใหญ่โตพอจะเอารถม้าเข้าไปได้ทั้งคันอย่างง่ายดาย ประตูไม้ดูหนักอึ้งสลักด้วยลวดลายที่ถักทอกันอย่างซับซ้อน หากแต่เวลานี้เป็นยามค่ำคืน ทำให้ไม่สามารถชื่นชมความงดงามของมันได้

    “เราหาทางเข้าทางอื่นดีกว่าไหมคะ ?”

    “ทำไมล่ะ  เราไม่ได้มาเยี่ยงโจรหรือหัวขโมยสักหน่อย  ทำไมต้องลักลอบเข้าไปด้วยล่ะ”

    “ทราบแล้วค่ะ”

    เมดสาวเดินตรงไปยังบานประตู  เอื้อมมือไปสัมผัสบานประตูหนา

    หล่อนพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ตัวคนเดียว

    “ท่าทางกลไกเวทมนตร์ยังยังทำงานดีอยู่”

    เพียงครู่เดียวก็มีเสียงแกร๊กดังลั่น  ก่อนที่ประตูจะค่อย ๆ เปิดต้อนรับแขกผู้มาเยือน

    ทั้งสองก้าวเข้าไปในอาคารที่มืดมิดด้วยความระมัดระวัง  มีเพียงแสงสีน้ำเงินจากคริสตัลในมือเมดสาวเท่านั้นที่ส่องสว่างนำทาง                

    และแล้วภาพที่ปรากฏต่อหน้าทั้งสองก็ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว...

    “ลวดหนาม ?”

    พื้นที่ที่ควรจะเป็นห้องโถงกลางสำหรับอวดความมั่งคั่งของเจ้าของกลับเต็มไปด้วยลวดหนามขึงระโยงระยาง เต็มพื้นที่ห้องโถงจนไปถึงบันไดส่วนกลางที่อยู่ด้านในสุดของห้องราวกับเป็นสิ่งกีดขวางไม่ต้องการให้ผู้ใดรุกล้ำเข้าถึง

    “ฝีมือยายเมดสงครามนาริสสาหรือ ?”

    “เมลิสซ่าค่ะ  ไม่ใช่นาริสสา...”

    “เออนั่นล่ะ  คิดว่าเธอเป็นคนทำหรือ ?”

    “อาจเป็นไปได้ค่ะ”     

    และแล้วคำตอบก็ปรากฎออกมาเร็วกว่าที่คิดเอาไว้  ระหว่างที่หญิงวัยกลางคนกำลังจะก้าวเดินเพื่อที่จะสำรวจพื้นที่  จู่ ๆ ก็มีบางอย่างพุ่งลงมาปักพื้นขวางหล่อนไว้

    ฉึก !

    สิ่งนั้นคือพลั่วสนามปลายแหลมคมขนาดมาตรฐานของทหารราบ 

    พลั่วสนามปริศนาปักอยู่บนพื้นได้ครู่เดียวก่อนจะค่อย ๆ สลายหายไปเป็นฝุ่นละอองราวกับกากเพชร...

    “ปราสาทนี้ไม่ต้อนรับแขก  เข้ามาทางไหนก็ออกไปทางนั้นเสีย  อย่าหาว่าเราไม่เตือน !” 

    เสียงขู่อาฆาตตะโกนออกมาจากมุมมืดที่ไหนสักแห่งภายในห้องโถงส่วนใน  มันเป็นเสียงของหญิงสาวที่ดูไร้เรี่ยวแรง  แต่กระนั้นทั้งสองกลับได้ยินทุกคนพูดอย่างชัดเจนทั้งที่ยืนอยู่ห่างพอสมควร

    “เราไม่ได้มาร้าย”  หญิงวัยกลางคนตะโกนกลับอย่างไม่เกรงกลัว  “เราแค่ต้องการของบางอย่างในปราสาทเท่านั้น !”

    “สรุปพวกคุณเป็นโจรสินะ...” 

    เมื่อสิ้นเสียง พลั่วนับสิบด้ามก็พุ่งตรงเข้าหาผู้บุกรุกทั้งสองอย่างไม่ปราณี

    ทว่า ก่อนที่จะได้ถึงตัวสตรีทั้งสอง  พลั่วทุกด้ามก็ถูกดาบปลายปืนในจำนวนที่พอกันสกัดไว้กลางอากาศ  เสียงโลหะหล่นกับพื้นดังเคร้งคร้างไปทั่ว  ก่อนที่อาวุธทั้งสองชนิดจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นกากเพชรไป

    “อาวุธแมทีเรียลไลซ์ !” 

    ดูเหมือนว่าผู้ที่แอบซ่อนในเงามืดจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเผลออุทานออกมา

    “ไม่มีโจรคนไหนเข้าทางประตูหน้าหรอกค่ะ”  หญิงวัยกลางคนเอ่ยกล่าว

    “ไม่ว่าจะเข้าทางไหน  หากเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตมันก็โจรทั้งนั้นล่ะ”  บุคคลในเงามืดกล่าวแย้ง  “แต่ถึงขนาดเป็นโจรที่มีเมดสงครามด้วยนี่เหนือความคาดหมายเลยทีเดียว  แสดงว่าโลกภายนอกนี่คงถึงยุคอนาธิปไตยแล้วสินะ”

    “เรื่องยุคอนาธิปไตยนี่ไม่ขอปฏิเสธ  แต่เจ้าเองไม่ใช่เจ้าของสถานที่ จะหาว่าพวกเราเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างไรล่ะ ?”

    “เลิกเล่นลิ้นเสียทีเถอะ  ที่ปราสาทแห่งนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว  พวกเจ้ามาได้เสียเที่ยวแล้วล่ะ”

    “ไม่เลย... ที่แห่งนี้ยังมีของมีค่าบางอย่างเหลืออยู่นะ” 

    ว่าแล้วหล่อนก็ให้สัญญาณเมดสาวที่อยู่ข้างเคียง  เมดสาวร่างเล็กควักแท่งอะไรบางอย่างที่มีสายเชือกยื่นออกมา  เธอนำสายเชือกมาจี้เข้ากับคริสตัลสีฟ้า  ทันใดนั้นเอง  เชือกที่ว่าก็ลุกเป็นไฟอย่างรวดเร็ว

    ก่อนที่ประกายไฟจะลามไปถึงตัวแท่งเจ้าปัญหา  เมดสาวร่างเล็กก็ขว้างแท่งนั้นขึ้นฟ้าก่อนที่ผู้บุกรุกทั้งสองจะรีบหมอบกับพื้นพร้อมอุดหูอย่างรวดเร็ว

    “ทีเอ็นที !”

    กว่าที่บุคคลในเงามืดจะทราบว่าแท่งนั้นคืออะไรทุกอย่างก็สายไปแล้ว  เมื่อไฟลามถึงตัวแท่งระเบิดทีเอ็นทีที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ  มันก็ระเบิด

    เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง  แรงทำลายฉีกอัดทุกอย่างในรัศมีเสียจนย่อยยับ

    ทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและเศษสิ่งก่อสร้างที่ถล่มลงมา  เพดานของห้องโถงหน้าปราสาทถูกเจาะจนเป็นรูโหว่  ปล่อยให้แสงจันทร์ทะลุผ่านช่องว่างลงมาเป็นลำแสงจาง ๆ ส่องสว่างด้านในตัวอาคาร 

    แสงนั้นเปิดเผยให้เห็นบุคคลที่เคยซ่อนอยู่ในเงามืดกำลังพยุงตัวขึ้นจากพื้น 

    เธอเป็นหญิงสาวอายุไม่เกินยี่สิบปี  แม้หน้าตาจะดูงดงาม  แต่บัดนี้กลับดูเสื่อมโทรมราวกับต้นไม้ที่ไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ  เธอสวมชุดเมดซอมซ่อที่ผ้าแอพรอนขาดรุ่งริ่งจนมองไม่ออกว่ามันคือผ้าแอพรอน  นัยน์ตาสีทองแดงมองผ่านผมเพ้าสีเงินสกปรกด้วยความอาฆาตต่อผู้ที่เพิ่งระเบิดเพดานที่อาศัยของหล่อนเป็นรูโหว่  ในมือถือคีมตัดเหล็กอันโตที่ดูแล้วคงจะเจ็บเหลือเกินหากมันตัดผ่านเนื้อมนุษย์

    ส่วนแขกผู้บุกรุกทั้งสองก็ชักมีดดาบปลายปืนออกมากันอย่างพร้อมเพรียง

    “ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าตากันเสียทีนะ  เถาวัลย์สวรรค์  เมลิซซ่า  ทีนี้เราก็จะได้คุยกันเยี่ยงผู้มีอารยะกันหน่อยล่ะ” 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×