คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : แม่มดกับทริกเล็กน้อยของชีวิต
“ความจริงมันก็มีทริกสำหรับเรื่องพรรค์นี้อยู่นะ”
“ทริกเหรอคะ” ฉันพยายามปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อที่แสนสกปรก แต่ในท้องยังรู้สึกพะอืดพะอมอยู่ไม่จาง
“ใช่... ทริกง่าย ๆ เลย” ลุงเขี่ยฝุ่นออกจากหู “ถ้าฆ่าคนไปบ่อย ๆ เข้าเดี๋ยวมันก็ชินเองล่ะ”
นั่นคือทริกที่ลุงแนะนำล่ะ
ช่างเป็นทริกที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้
“ตอนฉันเอาดาบปลายปืนเสียบข้าศึกเป็นหนแรกนะ ฉันงี้นอนฝันร้ายไปสามวันสามคืนเลย เพื่อนของฉันแย่กว่าอีก หมอนั่นพร่ำเพ้อว่าจะส่งจดหมายไปขอโทษที่บ้านเขาบ้าง จะส่งเงินไปช่วยบ้างล่ะ งี่เง่าเป็นบ้าเลย แต่สุดท้ายแล้วพอสอยเจ้าพวกนั้นไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกมันก็ด้านชาไปเองล่ะ มันก็เหมือนกับยิงไก่งวงดี ๆ นั่นเอง”
มันเป็นคำแนะนำที่น่าขยะแขยง น่ารังเกียจ และชั่วช้าเป็นที่สุด
“เพราะงั้น ทำไปบ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็ชินไปเองนั่นล่ะแม่มดเอ๋ย”
มันไม่ใช่สิ่งที่ควรสอนเด็กสาวอายุสิบสี่ปีอย่างฉันเลย
แน่นอนว่าหากใครได้ฟังคำพูดของลุงเพียงครู่เดียวคงต้องรีบลุกเดินหนีไปให้ห่างอย่างแน่นอน
แต่ว่า...
มันทำให้ฉันดีใจเหลือเกิน...
ฉันหมายถึงทริกงี่เง่านั่นล่ะ...
อย่างน้อยมันเป็นคำแนะนำที่ออกจากใจจริง... ให้คำแนะนำแก่แม่มดอย่างฉัน
ถึงฉันไม่คิดว่ามันเป็นคำแนะนำที่ดีเลยสักนิด แต่มันกลับจับใจฉันเสียยิ่งกว่าคำแนะนำที่กลวงโบ๋ของพวกมือถือสากปากถือศีล น่าศรัทธายิ่งกว่าคำสอนที่ลักลั่นของพวกโบสถ์
ใช่แล้ว... มันเป็นคำแนะนำไม่ได้เรื่องที่ดีที่สุดที่เคยได้ยินมาเลย
“เฮ้ แต่อย่าเข้าใจว่าฉันเป็นพวกฆาตกรไร้หัวใจนะเฟ้ย มันเป็นหน้าที่นะ เข้าใจไหม มันเป็นหน้าที่ ทหารอย่างเรามันต้องเตรียมใจให้พร้อมกับเรื่องอย่างนี้อยู่แล้ว”
ทั้งที่เราอยู่กลางโนแมนส์แลนด์ที่แสนจะอันตราย ลุงก็ยังคงกล่าวต่อไปอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อน อาจเป็นเพราะหน้าที่ของเราเสร็จสิ้นแล้ว หรือเพราะยังไงตอนนี้ก็ต้องติดแหง็กอยู่ในหลุมนี่ไปอีกสักพักก่อนจะกลับสนามเพลาะฝั่งเราได้
“อีกอย่างนะ ลองฟังเสียงนั่นดูสิ”
“เสียง ?”
“เสียงที่ได้ยินอยู่นี่ล่ะ”
มันคือเสียงโห่ร้องและเสียงรองเท้าบู้ทของทหารนับพันที่กำลังพุ่งทะยานฝ่าแนวกระสุนปืนใหญ่อย่างกล้าหาญ เสียงของพวกเขาวิ่งอยู่เหนือหัวฉันนั้นพานให้นึกถึงตอนที่ฉันเคยได้ยินเสียงรถไฟเป็นครั้งแรก แรงสั่นสะเทือนจากด้านบนทำให้เศษดินเศษหินร่วงกราวใส่หัวไม่หยุด
ฉันไม่ต้องเข้าสู่ห้วงแห่งอาคาช่าก็สามารถรับรู้ถึงสภาพเบื้องบนได้เป็นอย่างดี
รอบแล้วรอบเล่าที่เงาของทหารกระโจนผ่านบดบังแสงสว่างที่ส่องผ่านรูทางออก โดยเฉพาะเงาขนาดยักษ์ของหุ่นรบหุ้มเกราะไร้เทียมทานที่มาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนจนอดเสียวไม่ได้ว่าห้องใต้ดินจะรองรับน้ำหนักมันไหวหรือเปล่า
“ฟังฉันนะแม่มด เพราะพวกเราจัดการกับแม่มดของพวกอิมปี้ได้ คนหนุ่มเหล่านี้ถึงได้ยังมีชีวิตยาวพอที่จะวิ่งมาจนถึงตรงนี้หรอก แม่มดช่วยชีวิตคนไว้อีกมากเลยนะ รู้ไหม”
“ช่วยชีวิตพวกเขาเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ แม่มดคงไม่ได้อยู่ตอนเข้าตีครั้งก่อนสินะ เลยไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร” ลุงกอดปืนไรเฟิลแน่น ถึงจะไม่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน แต่มันก็สังเกตได้อย่างไม่ยากเย็นว่าในตาของลุงฉายแววความหวาดกลัวขนาดไหน “ไม่อยากให้เข้าใจว่าฉันขี้ขลาดหรอกนะ ฉันนะ... โดนแรงอัดจากปืนใหญ่ซัดจนสลบตั้งแต่ตัวยังไม่ทันโผล่จากสนามเพลาะเลย พอฉันฟื้นมาอีกทีเพื่อนร่วมหมวดก็หายไปหมดแล้ว ไม่ใช่วิ่งนำฉันไปไกลหรอกนะ แต่จมอยู่ในดินทั้งหมวดเลย ถูกฝังทั้งเป็นเหลือแต่แขนแต่หัวโผล่มาจากพื้น”
“เพราะงั้นลุงเลยอาสามาล่าแม่มดกับหนูสินะ”
ลุงยิ้มแห้ง ๆ ตอบ
“อยู่กับแม่มดน่ารักอย่างหนูมันก็คงไม่แย่ไปกว่าวิ่งฝ่าดงระเบิดหรอก”
ฉันได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ไปกับคำพูดของลุง ยอดเยี่ยมมาก อย่างน้อยการติดแหง็กอยู่กับฉันมันมีความเสี่ยงพอ ๆ กับการบุกเข้าตีสนามเพลาะข้าศึกเลยทีเดียว
“แต่ว่า ฉันต้องขอขอบคุณแม่มดจริง ๆ นะ”
“คะ ?”
ฉันเผลออุทานอย่างไม่ทันตั้งตัว โกหกน่า... คนธรรมดาอย่างลุงจะมาขอบคุณแม่มดอย่างฉันเนี่ยนะ
ทว่า สายตาของลุงกลับฉายแววความขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ถึงแม่มดจะรู้สึกผิดกับการฆ่าคนครั้งแรก แต่ขอให้รู้เลยว่าชีวิตที่แม่มดพรากไปได้ช่วยชีวิตอีกนับร้อยนับพันในตอนนี้...”
“ขอบคุณจริง ๆ ที่ช่วยแก้แค้นแทนพวกพ้องของฉัน ขอบคุณที่ช่วยยืดชีวิตคนหนุ่มเหล่านั้นไว้อย่างน้อยอีกสักนิด...”
ขอบคุณอย่างนั้นเหรอ
ทันใดนั้นเอง โลกทั้งโลกก็สดใสขึ้นราวกับว่าตัวฉันได้ก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งอาคาช่าอย่างไม่รู้ตัว
ทั้งที่ข้างบนกำลังฆ่าฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย หัวใจของฉันกลับเบิกบานราวกับดอกไม้แย้มกลีบเมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิ
เสียงระเบิดตูมตามด้านบนกลายเป็นเสียงดนตรีในงานเทศกาลฉลองฤดูเก็บเกี่ยว
สิ่งที่ฉันปราถนาอยากได้ยินมาตลอดชีวิต !
ยอดไปเลย นี่หรือคือความรู้สึกของแฟนซีเตเต้เวลาที่ได้รับการขอบคุณจากชาวเมือง
ฉันไม่รู้หรอกว่าฉันแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปให้ลุงเห็น แต่ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก แถมไม่ใช่ร้อนเพราะเอากระสุนไปอมใต้ลิ้นเพื่อแกล้งป่วยเสียด้วย
ในตอนนั้นเองที่ลุงยืนมือมาให้ฉัน
“พวกเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยสินะ”
“เห... ไหนว่าถ้าถูกแม่มดรู้จักชื่อจะถูกสาปไงคะ”
ลุงยิ้ม
“แม่มดน่ารักอย่างหนูน่าจะนำโชคให้มากกว่านะ”
“แล้วอย่าเสียใจทีหลังล่ะ”
ฉันยิ้มตอบ
แม้ว่าอายุจะห่างกันกว่าสองทศวรรษ แม้ว่าเราจะเพิ่งเจอกันไม่นานนัก... พวกเราจับมือเชคแฮนด์กันดั่งสหายร่วมสมรภูมิผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน
“หนูชื่อแคทรียา แต่เพื่อน ๆ เรียกหนูว่า แคทค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะแคท...”
ลุงเริ่มขยับปากทั้งรอยยิ้ม
“ส่วนฉันชื่อ...”
ฟุ่บ...
มันเป็นเสียงอะไรบางอย่างแหวกอากาศผ่านรูทางออก
ตามด้วยเสียงของแข็งกระทบกับไม้
ด้ามไม้ของปืนไรเฟิลที่พาดอยู่ตรงร่องไหล่ของลุงแตกเป็นรูโหว่
เลือดเลือดเริ่มไหลรินออกมาจากปากที่ยังยิ้มอยู่...
ก่อนที่ร่างของลุงนิรนามจะเอนตัวฟุบลงไปทั้งที่ฉันยังคงกุมมือแกแน่น
ลุงตายแล้ว...
ตายทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้รู้จักชื่อเลยด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น