คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 1: Act III
ซิลวี ภรรยาเจ้าของโรงเตี้ยมที่กำลังตั้งท้องได้แปดเดือนให้การกับผู้หมวดแอนเดอร์สันไว้ดังนี้
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก
ชายสามถึงสี่คนพยายามจะตะครุบตัวแขกต่างถิ่นร่างเล็กที่ยืนขวางระหว่างมวลชนบ้าคลั่งกับสตรีผู้มั่งคั่ง
นั่นเป็นครั้งแรกเห็นแขกร่างเล็กขยับตัวมากขนาดนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะประทับภาพนั้นในความทรงจำของซิลวี
ซิลวีอธิบายไว้ว่าท่วงท่าการขยับตัวของ “หล่อน” ราวกับดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
และดอกไม้นั่นก็เต็มไปด้วยหนามที่แหลมคม
ผ้าคลุมถูกสะบัดเป็นริ้วประดุจคลี่พัด ก่อนที่ใบมีดแหลมคมจะพุ่งกระจายเสียบร่างของกลุ่มชายที่พุ่งเข้ามา
ฉึก ฉึก ฉึก
เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที ชายทั้งสี่ล้มไปนอนจมกองเลือดกันอย่างพร้อมเพรียง
ร่างกลุ่มชายฉกรรจ์ถูกปักด้วยดาบปลายปืนนับสิบเล่ม โลหิตสด ๆ หลั่งรินออกมาจากร่าง บางคนนอนแน่นิิ่งไม่ไหวติง อีกคนร้องโหยหวนแข่งกับชาลีราวกับเป็นการร้องประสานเสียงคอรัสแห่งความตาย คนสุดท้ายที่พอมีแรงที่สุดพยายามคลานหนีอย่างทุลักทุเล
ผู้หมวดแอนเดอร์สันได้อธิบายปรากฏการณ์นั้นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออาวุธที่เกิดจากการ “แมทีเรียลไลซ์” หรือเรียกกันเล่น ๆ ว่า “การเรียกอาวุธ” ของเมดสงครามนั่นเอง มันเป็นความสามารถพิเศษของเมดสงครามที่จะเรียกอาวุธออกมาจากความว่างเปล่า ซึ่งอาวุธที่เรียกออกมานั้นจะแตกต่างกันตามแต่ละคน
ยังตอบไม่ได้ว่าเมดสงครามเรียกอาวุธเหล่านั้นออกมาได้อย่างไร ? ทำไมเมดแต่ละคนถึงได้มีอาวุธที่ต่างกัน ? คำถามเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปริศนาทั้งปวงถึงตัวตนของเมดสงครามและเหตุผลในการดำรงอยู่ของพวกหล่อน
และกลุ่มชายผู้โชคร้ายก็ได้เผชิญหน้ากับปรากฎการณ์นั้นเข้าอย่างจัง
ผู้ที่ยืนอยู่กลางความพินาศและคราบเลือด คือเด็กสาวผมทองที่ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบห้าปี ผมตัดสั้นราวกับเด็กผู้ชาย แต่ไม่ว่ามองอย่างไรใบหน้าที่ราวหลุดออกมาจากภาพวาดของนางฟ้าก็ดูเป็นใบหน้าของเด็กหญิง เธอมีรูปร่างเล็กและผอมเพรียวราวกับเด็กชาย สวมชุดเมดสีดำคาดแอพรอนสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกแปดเปื้อนด้วยคราบโลหิตสีแดงเป็นวงคล้ายกับลวดลายดอกไม้ประดับ
กระนั้น สิ่งที่ทุกคนต่างหวาดกลัวสุดขีดคือนัยน์ตาสีทองของเมดสาว
แววตาของเธอไม่ใช่แววตาของมนุษย์ปรกติ ซิลวีไม่เคยเห็นแววตาที่ไร้ความรู้สึกและอารมณ์เช่นนี้มาก่อน แววตาที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้นว่างเปล่า มองไม่เห็นความมีชีวิตอยู่ในตาคู่นั้นนอกจากเงาสะท้อนของเปลวเพลิงจากเตาผิง
หากจะให้เปรียบเทียบแล้วมันเหมือนกับแววตาของงู... มันเหมือนเวลาจ้องตาของงูยามที่กำลังเขมือบเหยื่อของมันลงท้องอย่างสยดสยอง
ทุกคนได้แต่หยุดชะงักกับสิ่งที่เห็น ก่อนจะเริ่มกลับหลังหันร้อยแปดสิบองศา วิ่งกรูหนีออกจากร้านอย่างไม่คิดชีวิต เหลือทิ้งไว้แต่บางคนอย่างซิลวีที่ตื่นตกใจจนขาก้าวไปไม่ออก
และหนึ่งในคนที่เหลืออยู่ คือสามีของหล่อนก็ยืนขาตายตัวสั่นอยู่แถวนั้น
สภาพในโรงเตี้ยมนี้ไม่ต่างจากสนามรบเสียเท่าไหร่
โต๊ะและเก้าอี้ล้มระเนระนาด
เศษขวดเศษแก้วแตกกระจายตามพื้นเต็มไปหมด
กลิ่นคาวเลือดลอยโชยผสมปนเปกับกลิ่นหอมละมุนติดจมูกของไวน์ชาโต้ มากราฟ
ท่ามกลางเศษซากของการฆ่าฟัน มีสตรีนางหนึ่งดื่มไวน์หายากอย่างสบายอกสบายใจ
“บราโว่ ช่างเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ” หล่อนกล่าวพลางปรบมือประหนึ่งผู้ชมที่ถูกใจกับการแสดงบนละครเวที “ความจริงเราอยากจะกล่าวแสดงความเสียใจนะ แต่เมื่อดื่มไวน์นี้ไปแล้วทำให้เราไม่อาจจะหลอกความรู้สึกของตัวเองได้นะสิ”
สตรีผู้มั่งคั่งลุกขึ้นยืนพร้อมกับถือขวดไวน์ติดมือด้วย สาวใช้มือสังหารที่ยืนขวางอยู่หลีกทางให้กับนายหญิงอย่างนอบน้อม เบิกทางให้หล่อนเดินก้าวข้ามศพและผู้บาดเจ็บที่นอนเกลื่อนพื้น
คุณผู้หญิงต่างถิ่นหยุดยืนต่อหน้าเจ้าของโรงเตี้ยมที่ยืนตัวสั่นไม่อาจขยับตัวหนีไปได้
หล่อนก้มตัวหยิบดาบปลายปืนที่ปักคาศพของปิแอร์ผู้เป็นพ่อลูกสอง สะบัดคราบเลือดที่ติดอยู่บนมีดดาบราวกับศิลปินสะบัดพู่กัน
“ไม่ต้องกลัวนะ เราแค่อยากถามคำถามไม่กี่ข้อเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย จริงไหมคะ ?” เธอกล่าวกับชายหัวล้านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
เจ้าของโรงเตี้ยมกล่าวในภายหลังว่าเขากลัวผู้หญิงตรงหน้ามาก กลัวยิ่งกว่าตอนที่เจอฝูงหมาป่าระหว่างตอนหลงป่าเสียอีก กลัวจนเรียกได้ว่าเยี่ยวจะราดเลยก็ว่าได้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่ฉี่แตกในตอนนั้นก็เพราะเขาเพิ่งแอบออกไปฉี่ก่อนที่ผู้หญิงบ้าเลือดทั้งสองคนนี้จะโผล่มานั่นเอง
ที่น่ากลัวที่สุดก็คงเป็นรอยยิ้มอบอุ่นบนหน้าของหญิงวัยกลางคนนั่นที่เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับตอนที่ตอบรับคำขอบคุณตอนที่เลี้ยงเหล้าให้คนทั้งร้านไม่มีผิดเพี้ยน
ขยับไม่ได้...
เขาก้าวเท้าไม่ออก ท่อนขาทั้งสองสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้
เจ้าของโรงเตี้ยมคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้ขยับอีกแล้ว จนกระทั่งมีเสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้นมา...
“ตาแก่ รีบหนีไปสิ !”
มันเป็นเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกของซิลวีผู้เป็นภรรยา
พอสิ้นเสียงเท่านั้นปลายมีดสีเงินคมกริบในมือเมดสาวผมทองก็จ่อเข้าที่คอหอยของซิลวีที่กำลังตั้งท้องอยู่เสียแล้ว
“พวกสัตว์นรก ซิลวีกำลังท้องอยู่นะ !”
ในที่สุดเจ้าของโรงเตี้ยมก็เอาชนะความหวาดกลัวด้วยความโกรธเกรี้ยวจนสามารถที่จะเอ่ยปากได้อีกครั้ง
ทว่าคำขู่นั้นไม่ทำให้หญิงสาวผู้มั่งคั่งเปลี่ยนสีหน้าได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ต้องห่วงค่ะ พวกเราไม่คิดจะใช้วิธีชั่วช้าเช่นจับตัวสตรีมีครรภ์มาเป็นตัวประกันหรอก” แต่การกระทำของเมดจิ๋วนั้นดูจะตรงกันข้ามกับคำพูดของนายหญิงโดยสิ้นเชิง
“พวกแกต้องการอะไรกันแน่ !”
“บอกแล้วไงคะว่าเราอยากแค่ถามคำถามมาสเตอร์แค่ไม่กี่คำถามเท่านั้น”
เจ้าของโรงเตี้ยมมองหน้าภรรยาที่กำลังตื่นกลัวด้วยความเป็นกังวล แต่สายตาที่ส่งตอบกลับมานั้นทำให้ใจของเขาต้องสั่นไหวด้วยความปลาบปลื้มในความแน่วแน่ของผู้เป็นภรรยา
ทั้งสองต่างพยักหน้าให้กันอย่างคนรู้ใจ
เจ้าของโรงเตี้ยมให้การในตอนหลังว่า เขารู้สึกได้ถึงคำพูดที่ซิลวีพยายามสื่อออกมาจากแววตาคู่นั้น... ราวกับซิลวีพยายามจะตะโกนเสียงดังว่า “เอ็งอย่าได้ปริปากบอกอะไรเด็ดขาดนะ ! ไม่งั้นแม่เฉ่งแกแน่”
เขามั่นใจว่าซิลวีต้องหมายถึงตามนั้นอย่างแน่นอน...
“ข้าไม่มีวันบอกอะไรกับพวกสุนัขของราชวงศ์หรอก”
ชายหัวล้านผู้เป็นสามีตะโกนปฏิเสธด้วยความภาคภูมิตามปณิธานของผู้เป็นภรรยา
ทว่า อีกบันทึกของคำให้การของซิลวีกลับเผยให้เห็นอีกเรื่องที่ตรงกันข้ามกับผู้เป็นสามีโดยสิ้นเชิง
ซิลวีเล่าว่าตอนนั้นเธอแทบจะเป็นลมตอนที่ได้ยินผัวโง่ ๆ ตะโกนแหกปากออกไปเช่นนั้น...
ทำไมนะหรือ
ก็ตอนที่หล่อนพยักหน้ามันเป็นการบอกให้ผู้เป็นสามีเล่าทุกอย่างให้พวกนั้นฟังต่างหากเล่า !
ความคิดเห็น