คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 1: Act II
“แล้วคุณผู้ติดตามต้องการอะไรไหมครับ ?”
ผู้ติดตามร่างเล็กที่ซ่อนใบหน้าอยู่ในฮู้ดอันโตส่ายหน้าปฏิเสธข้อเสนอ
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว มาสเตอร์จึงเปิดจุกก๊อกขวดไวน์อย่างชำนาญ
ป๊อก… กลิ่นหอมจาง ๆ ขององุ่นชั้นเลิศที่ถูกบ่มตั้งแต่ปี 219 หรือกว่า 50 ปีที่แล้วก็ระเหยออกมา มันไม่ใช่กลิ่นหอมแหลมจัดจ้าน หากแต่เป็นกลิ่นหอมจางละมุนที่ได้กลิ่นติดจมูก น่าประหลาดที่แม้จะเป็นกลิ่นจาง ๆ แต่ทุกคนในโรงเตี้ยมกลับได้กลิ่นหอมนั่นติดจมูกกันถ้วนหน้า
เจ้าของโรงเตี้ยมบรรจงรินไวน์สีแดงขุ่นราวกับโลหิตลงในแก้วไวน์ที่ราคาแพงที่สุดในร้าน คอยระวังไม่ให้ไวน์ทุกหยดที่มีค่าหนึ่งเหรียญทองกระฉอกเสียเปล่า
เมื่อยื่นแก้วให้กับลูกค้าแล้ว อดีตเจ้าของไวน์ขวดแพงก็เริ่มดื่มด่ำกับไวน์ขั้นแรกด้วยการเพ่งพินิจสีของไวน์ที่ราวกับทับทิม ก่อนจะยกแก้วขึ้นมาขึ้นมาสูดดมกลิ่นมหัศจรรย์อย่างผู้รู้วิธีเสพไวน์
“หอมมากเลยนะครับ ราวกับไม่ใช่กลิ่นหอมจากโลกนี้เลย” เจ้าของโรงเตี้ยมกล่าวอย่างชื่นชม
“ช่างเป็นกลิ่นที่โรแมนติกเหลือเกิน สมแล้วเป็นของหายากที่แม้แต่กษัตริย์เองยังหาดื่มได้ไม่ง่ายเลย” หญิงวัยกลางคนกล่าว “เห็นเจ้าชาโต้ มากราฟในแก้วแล้วก็อดนึกถึงประวัติศาตร์ของมันไม่ได้เลย ไม่ทราบว่ามาสเตอร์ทราบเรื่องราวของมันไหมคะ ?”
มาสเตอร์ยิ้มเยาะราวกับว่าคำถามนั้นช่างเป็นการดูถูกเขาเหลือเกิน
“ทราบสิครับ องุ่นในปีนั้นเป็นองุ่นที่ดีที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยบันทึกไว้ แต่โชคร้ายก็เป็นปีเดียวกันที่เชื้อโรคในองุ่นระบาดจนทำเอาอุตสาหกรรมไวน์แทบจะล้มละลายเลยทีเดียว วินเทจจากปีนั้นเลยมีค่าเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเจ้าขวดนี้ที่มาจากชาโต้ชื่อดังนะครับ”
“ช่างน่าเสียดายนะ บางทีโชคชะตาก็เล่นตลกเหลือเกิน บางครั้งสวรรค์ก็มีเมตตาประทานสิ่งที่เลิศล้ำที่สุดมาให้ และในเวลาเดียวกันก็ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกินที่พรากมันไปก่อนเวลาอันควร”
“ดูเหมือนคุณผู้หญิงจะพูดถึงอย่างอื่นมากกว่าองุ่นนะครับ”
“ก็คงอย่างนั้นล่ะค่ะ” เธอกล่าวติดตลก “ว่าแต่มาสเตอร์คะ ดูเหมือนคุณจะยังเล่าเรื่องของเจ้าชาโต้ มากราฟไม่หมดนี่นา”
“มันคงไม่เหมาะที่จะเล่าก่อนจะดื่มล่ะกระมังครับ ?”
“โอ ไม่เลยค่ะ ก่อนดื่มนี่ล่ะเหมาะที่สุดแล้ว” หญิงวัยกลางคนขยับแก้วไวน์จ้องมองของเหลวสีโลหิตหมุนไปมา “ไม่อย่างนั้นเราไม่อาจลิ้มรสชาติแฝงอันแสนโรแมนติกของมันได้หรอก”
“ช่างเหมือนเลือดเนื้อของคนเหลือเกิน... สมแล้วที่มีข่าวลือว่าแท้จริงแล้ววินเทจชุดนี้ไม่ได้ทำมาจากองุ่นที่ขาดแคลนในช่วงนั้น หากเป็นเลือดเนื้อของชาวไร่องุ่นที่หมดสิ้นเนื้อประดาตัวนะคะ” ลูกค้าหญิงเปรยด้วยความพิศวง “เมื่อไม่มีองุ่น ก็ไม่อาจผลิตไวน์ได้ และนั่นก็หมายความว่าพวกเขาจ่ายภาษีไม่ได้เช่นกัน...”
“ชาวไร่องุ่นเลยต้องสละเลือดเนื้อของตนเพื่อผลิตไวน์มาบำเรอพวกที่อยู่ในราชสำนักสินะครับ” เจ้าของโรงเตี้ยมกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงด้วยความเกลียดชังจากก้นบึ้งหัวใจ
“มาสเตอร์ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่โรแมนติกมากเลยหรือคะ ?”
ชายหัวล้านมองหญิงงามตรงหน้าอย่างพิศวง
“ผมไม่เข้าใจว่าเรื่องของประชาชนถูกกดขี่มันจะเป็นเรื่องที่โรแมนติกตรงไหนนะครับ ?”
“มาสเตอร์เข้าใจเรื่องราวของไวน์นี้ผิดไปแล้วค่ะ แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของความรักนะคะ ความรักของราษฎรที่มีให้ต่อกษัตริย์ของพวกเขา ความรักที่มีต่อหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทำให้สำเร็จแม้จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของตน มาสเตอร์ไม่คิดบ้างหรือคะว่าการที่ใครสักคนรักบางสิ่งบางอย่างนอกเหนือจากคนในครอบครัวมันช่างเป็นเรื่องที่โรแมนติกเหลือเกิน”
“นั่นมันก็แค่เรื่องเล่าเข้าข้างระบอบทรราชเท่านั่นไม่ใช่หรือ !”
“นั่นขึ้นอยู่กับว่ามาสเตอร์อยากจะเชื่อเรื่องราวจากมุมมองไหนค่ะ”
เจ้าของโรงเตี้ยมเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเพิ่งขึ้นเสียงกับลูกค้าตรงหน้าไป แต่หญิงวัยกลางคนกลับไม่มีทีท่าโกรธเคืองกับการกระทำที่ดูไร้มารยาทนี้เลยสักนิด
เขาได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขออภัยกับคู่ดื่ม
“ขออภัยด้วยที่ผมเสียมารยาทไปเมื่อสักครู่”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ว่าแล้วแขกต่างถิ่นก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมาเชยชมอีกครา “ดูท่าว่าเรื่องเล่าที่ว่า หากใครได้ลิ้มรสไวน์ขวดนี้ไปแล้วจะไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกในใจได้ จะเป็นเรื่องจริงเสียแล้วกระมัง”
“นั่นเป็นแค่เรื่องเล่าไม่ใช่หรือครับ ?” ชายคู่สนทนาถาม
“เรื่องเล่าก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องไม่จริงนี่” หญิงผมน้ำตาลแห้งกล่าวพลางชื่นชมของเหลวสีเลือดที่กลิ้งไปมาในแก้วทรงระฆังหงาย “สมแล้วเป็นไวน์ที่ผู้คนต่างเสาะแสวงหา... แค่รู้สึกว่ามันต้องถูกเปิดออกมาดื่มก็ถือได้ว่าเป็นความสูญเสียของมนุษยชาติแล้วล่ะ”
“แต่เราก็เปิดมันแล้ว...”
“นั่นสินะ แต่เราก็เปิดมันแล้ว...” หญิงวัยกลางคนทวนซ้ำประโยคเดิมราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “มาสเตอร์ไม่คิดบ้างหรือว่าคุณค่าของไวน์มันก็เหมือนกับผู้หญิงนะ”
“ตรงที่ยิ่งบ่มไว้นานก็ยิ่งค่าสูงขึ้นอย่างนั้นหรือครับ ?”
“ไม่คิดว่ามันจะเป็นตรงกันข้ามหรือ” เธอถาม
“เมื่อผมได้สัมผัสความงามคุณผู้หญิงแล้วผมไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างอื่นไปได้หรอกครับ”
ลูกค้าหญิงหัวเราะคิกคักออกมาอย่างถูกใจ
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิคะ”
“ถ้าไม่ใช่อย่างที่ผมกล่าว แล้วคุณผู้หญิงมีความเห็นว่าอย่างไรกันล่ะครับ ?”
หญิงวัยกลางคนผู้เลอโฉมหยิบจุกก๊อกขึ้นมาพิจารณา
“คุณค่าของทั้งไวน์และหญิงสาวต่างขึ้นอยู่กับช่วงเวลาครั้งแรกกันทั้งนั้น หลังจากนั้นแล้วถึงจะหอมหวานมากขึ้นจากที่ผ่านมือผู้อื่นเท่าใด แต่มันก็เทียบไม่ได้กับช่วงเวลาครั้งแรกที่ได้เปิดฝาขวดออกมาลิ้มรสเป็นครั้งแรกหรอกค่ะ”
“ผมไม่นึกว่ามันจะเป็นคำพูดที่เป็นผู้หญิงอย่างคุณผู้หญิงจะกล่าวออกมานะครับ ?”
“เพราะเราเป็นผู้หญิงนี่ล่ะ ถึงกล่าวได้อย่างมั่นใจเช่นนี้” หญิงผู้ผ่านร้อนหนาวหลายฤดูกล่าว
“ไม่คิดว่ามันน่าเศร้าเลยหรือครับ”
ไม่มีคำตอบจากปากของหญิงต่างถิ่น
“จริงสิ... พูดถึงครั้งแรกแล้วพานให้เรานึกถึงอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว” หล่อนเปลี่ยนเรื่อง “จำได้ไหมที่เราเคยกล่าวว่าไม่มีอะไรที่เงินซื้อไม่ได้น่ะ”
“ไม่มีทางที่ผมจะลืมหรอกครับ”
“เราโกหกนะ...” หล่อนกล่าวทั้งรอยยิ้ม ส่วนชายหัวล้านร่างท้วมได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ กับคำสารภาพของแขกตรงหน้า “ท่าทางไวน์ขวดนี้จะมีเวทมนตร์ที่ทำให้คนกล่าวแต่ความจริงดั่งที่ร่ำลือจริง ๆ เสียด้วยสิ”
“แล้วที่โกหกนั่นหมายความว่า...”
“อย่างที่มาสเตอร์เข้าใจนั่นล่ะ... ความจริงแล้วก็มีบางสิ่งที่ไม่อาจซื้อด้วยเงินตราเหมือนกันนะ”
“เช่นนั้นหรือครับ ?” เจ้าของโรงเตี้ยมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องครั้งแรกล่ะครับ ?”
“เรากำลังนึกถึงเรื่องของเมดสงครามนะ”
เมื่อถึงตอนนี้เจ้าของโรงเตี้ยมเริ่มหรี่ตามองแขกตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
“แล้วพวกอสูรร้ายพวกนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ว่าครับ ?”
“โอ... มันเกี่ยวมากเลยล่ะ สายสัมพันธ์ของเจ้านายกับเมดสงครามนี่ล่ะที่ไม่ว่าเงินเท่าไหร่ก็ไม่อาจซื้อได้ ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่โรแมนติกบ้างเลยหรือคะ ?”
“ไม่ใช่ว่าหากมีเงินใคร ๆ ก็สามารถหาเมดสงครามมาเชยชมก็ได้ ไม่ใช่หรือครับ” มาสเตอร์หลังเคาท์เตอร์กล่าวแย้ง
“นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดนะ ไม่ว่าเงินสักเท่าใดก็ไม่อาจซื้อความจงรักภักดีของเมดสงครามได้หรอกค่ะ มีเพียงผู้ที่เหมาะสมเท่านั้นที่สามารถครอบครองเมดสงครามได้ และเจ้านายได้ลิ้มรสครั้งแรกแล้ว พวกหล่อนจะจงรักภักดีกับเจ้านายคนเดียวจนกว่าฝ่ายใดจะมีชีวิตหาไม่ เมดสงครามจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้านาย เชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายทุกประการแม้ว่ามันจะหมายถึงการปลิดชีวิตของตัวเองก็ตาม”
“ทาสชัด ๆ เลยนี่ครับ”
“เรียกว่าเหมือนคู่แต่งงานน่าจะเหมาะกว่านะคะ... ไม่สิ มันต้องเรียกว่าเป็นสายสัมพันธ์ที่เหนือยิ่งกว่าการสมรสอีกนะคะ” สตรีผู้ที่ความงามกำลังโรยรากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “สละชีวิตให้กันได้เพียงเพราะสายสัมพันธ์ความเป็นเจ้านายและบ่าวรับใช้ มันช่างโรแมนติกเสียยิ่งกว่าความรักอันลุ่มหลงของคู่รักเสียอีก”
“ผมเรียกมันว่าความวิปริตเสียมากกว่านะครับ”
“หากเช่นนั้นแล้วความรักทั้งปวงก็ล้วนวิปริตค่ะ...”
เจ้าของโรงเตี้ยมไม่ตอบโต้ต่อ... ดูเหมือนเขาจะเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตำนานของชาโต้ มากราฟปี 219 จะเป็นเรื่องจริง อีกอย่าง เขาปล่อยให้ไวน์นอนอยู่ในแก้วโดยมิได้ลิ้มรสนานจนเกินไปแล้ว จึงได้ชูแก้วขึ้นต่อหน้าเป็นการเชื้อเชิญให้เริ่มดื่มเสียที
“คุณผู้หญิงอยากดื่มให้ด้วยเนื่องโอกาสอะไรดีครับ”
“นั่นสินะ...” คุณผู้หญิงมองดูไวน์สีเลือดในแก้วอย่างพออกพอใจ ก่อนจะเอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตะลึง
“ถ้าอย่างนั้น แด่การกลับมาของราชอาณาจักรอาราเนียก็แล้วกัน”
เป็นครั้งที่สองที่หล่อนทำให้ทั้งร้านต้องเงียบลงราวกับป่าช้า ถึงดูเหมือนว่าเหล่าลูกค้าต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ความจริงแล้วทุกคนพยายามเงี่ยหูฟังการสนทนาระหว่างเจ้าของโรงเตี้ยมกับหญิงต่างแดนผู้นี้ตลอดเวลา
และเมื่อทุกคนได้ยินประโยคดังกล่าว ฉากหน้าอันเสแสร้งของวันที่แสนธรรมดาในโรงเตี้ยมบ้านนอกก็พังทลายโดยสิ้นเชิง ทุกคนต่างหยุดบทสนทนาทุกอย่าง หันไปจ้องเขม็งหญิงวัยกลางคนที่เอ่ยคำพูดที่ไม่สมควรกล่าวออกมาในที่สาธารณะ...
แม้แต่เจ้าของร้านยังเผลอที่เกือบจะทำแก้วไวน์อันล้ำค่าหล่นจากมือ
“ดูท่าเราเพิ่งจะกล่าวอะไรไม่สมควรออกไปสินะ” หญิงผมน้ำตาลยังคงรักษาใบหน้าสงบนิ่งอย่างไม่ยี่หระกับบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรในโรงเตี้ยมเลยแม้แต่น้อย
ไม่สิ... ต้องเรียกว่าบรรยากาศในโรงเตี้ยมตอนนี้มีแต่ความเป็นศัตรูไปเสียแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ แด่สุขภาพของทุกท่านก็แล้วกัน”
ทว่าไม่มีใครยินดีร่วมไปกับสตรีนางนี้เลย ทุกสายตาจับจ้องคนแปลกหน้าทั้งสองราวกับเห็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของตน แม้แต่ภรรยาของเจ้าของร้านเองก็จ้องมองด้วยสายตาหวาดผวาสุดขีด
สองสามคนเริ่มลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยท่าทีเอาเรื่อง แถมในมือถือมีดและขวดพร้อมเข้าทำร้าย
“กล้ามากที่มาหยามถึงถิ่นเลยนะ ไอ้สุนัขของราชวงศ์ !”
“อย่าคิดว่าแค่เลี้ยงเหล้าแค่นี้จะทำให้ลืมความแค้นของข้าได้นะ !”
“เฮ้ย... เล่นมันเลยมะ เห็นพกเงินพกทองมาตั้งเยอะด้วย”
สถานการณ์ดูเลวร้ายมากสำหรับผู้มาเยือนที่ถูกรายล้อมโดยคนท้องถิ่นที่ไม่เป็นมิตร กระนั้น สตรีผู้มั่งคั่งเพียงแต่จิบไวน์รสเลิศอย่างไม่รู้สึกร้อนหนาวกับภัยที่กำลังมาถึงตัวเลย
“ช่างเป็นไวน์ที่รสชาติโรแมนติกเหลือเกิน !”
นั่นคงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เหล่าแขกขาประจำมีให้กับสตรีผู้นี้ คนที่ยังนั่งอยู่ก็ต่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง คนที่ลุกอยู่แล้วก็สาวเท้าเดินเข้ามาหาพร้อมอาวุธในมือ จะมีแต่เจ้าของโรงเตี้ยมที่รีบเดินถอยห่างจากพื้นที่เสี่ยงภัย...
เจ้าของโรงเตี้ยมจำได้ทุกรายละเอียดของเหตุการณ์ในวินาทีนั้นได้อย่างแม่นยำ ผู้ที่เดินมาถึงคนแรกคือชาลี ชาลีเป็นช่างตีเหล็กที่อยู่ถัดไปจากร้านไม่กี่คูหา อายุราวสามสิบกว่าปี เป็นชายร่างกำยำที่เป็นผลจากการตีเหล็กมาตั้งแต่วัยหนุ่ม เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบหาเรื่อง แต่ก็เคยต่อยนักเลงที่พยายามจะมาเกาะแกะกับลูกสาวจนฟันร่วงหมดปากมาแล้ว แถมยังเคยกระทืบโจรกระจอกที่พยายามจะมาปล้นบ้านเสียจนปางตาย...
กระนั้นชาลีก็มีสิ่งหนึ่งที่เกลียดเสียยิ่งกว่านักเลงที่มาทำรุ่มร่ามกับลูกสาว หรือโจรที่พยายามจะยกเค้าบ้าน
มันคือกษัตริย์ทรราชย์แห่งราชอาณาจักรอาราเนียและเหล่าสุนัขของราชวงศ์ที่เคยข่มเหงพี่สาวของเขาเมื่อตอนที่ชาลียังเป็นเด็กอยู่
ความคับแค้นที่ฝังแน่นในอกไม่ได้มีอยู่กับเฉพาะชาลีเพียงตัวคนเดียวเท่านั้น !
เมื่อได้ยินสิ่งที่สตรีต่างถิ่นเอ่ยชื่อ ราชอาณาจักรอาราเนีย ออกมาด้วยความชื่นชม เขาเป็นคนแรกที่ถีบตัวลุกขึ้นก่อนใครเพื่อน ในหัวมีแต่ความเกรี้ยวกราดที่จะสงบลงได้ต่อเมื่อเห็นเจ้าสุนัขของราชวงศ์กระดูกหักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย
มืออันหยาบกร้านที่จับค้อนเหล็กอยู่ทุกวันเอื้อมไปยังหลังอันบอบบางของสตรีต่างถิ่น...
ทันใดนั้นเจ้าของโรงเตี้ยมก็เห็นเงาแสงสีเงินตวัดผ่านข้อมือขวาของชาลี
เพียงครู่เดียวมือที่เป็นดั่งเครื่องมือทำมาหากินของชาลีก็ร่วงผลอยขาดจากท่อนแขนกำยำ ก่อนที่เลือดสด ๆ จะฉีดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
อ้ากกกก !
ชาลีทรุดลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เขายิ่งตาเหลือกเมื่อรู้ว่ามือข้างที่เพิ่งถือเหยือกเบียร์เฮฮากับสหายเมื่อสักครู่ได้กลิ้งกลุก ๆ บนพื้นเสียแล้ว
“มือข้า !”
ทุกคนชะงักกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ในตอนนั้นเองที่ทุกคนสังเกตว่ามีบุคคลร่างเล็กในชุดเสื้อคลุมปิดมิดชิดยืนขวางระหว่างชาลีกับสตรีต่างถิ่นอยู่
เขาคือแขกคนที่สองที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงวัยกลางคนราวกับรูปปั้นตั้งแต่ต้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แขกผู้นี้ไม่เคยพูดจาหรือขยับตัวมากไปกว่าการเดินเข้ามาในร้านกับส่ายหัวเบา ๆ ให้กับเจ้าของโรงเตี้ยมเท่านั้น
แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แขกคนที่สองขยับออกมาจากจุดเดิมกัน ?
กระนั้น จุดสนใจของทุกคนกลับเป็นสิ่งที่อยู่ในมือของแขกร่างเล็ก
มันคือดาบปลายปืนสีเงินที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต
เขาสะบัดคราบเลือดออกจากดาบปลายปืนก่อนจะเช็ดมันเข้ากับเสื้อคลุมอย่างเยือกเย็นท่ามกลางเสียงครวญครางของชายร่างยักษ์สูงกว่าสองเท่าของแขกคนที่สอง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครเป็นคนตัดมือชาลีเมื่อสักครู่
“เล่นมันเลย !”
โต๊ะและเก้าอี้ต่างล้มระเนระนาดเมื่อทุกคนในโรงเตี้ยมต่างพร้อมใจกระโจนเข้าหาแขกต่างถิ่นอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งมีด ทั้งขวดปากฉลาม หรือแม้แต่ท่อนไม้ที่หักจากข้าวของในโรงเตี้ยมต่างชูขึ้นพร้อมฟาดฟัน
เจ้าของโรงเตี้ยมเผลอหลับตาไปชั่วครู่อย่างช่วยไม่ได้
มันเป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น...
แต่พอเขาลืมตาอีกครั้ง ทุกอย่างมันก็จบเสียแล้ว
ฝูงชนที่เหลือรอดต่างถอยกรูรักษาระยะห่างเป็นวงล้อมอย่างหวาดผวา ไม่เหลือเค้าความบ้าคลั่งเมื่อสักครู่อีก...
ไม่มีใครเหลือความกล้าหาญอีกแล้วเมื่อได้เห็นสิ่งที่กำลังเห็นอยู่นี้
ข้าวของในร้านพังพินาศ...
คราบเลือดสาดกระเซ็นบนผนังราวกับดอกไม้ที่ผลิดอกกลางผืนดินอันแห้งแล้ง
ชายฉกรรจ์หลายคนนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น...
ดาบปลายปืนนับสิบรูปแบบปักเกลื่อนพื้นประหนึ่งป้ายหลุมศพของผู้ที่พลีชีพ
และท่ามกลางความบรรลัยทั้งปวงมีร่างหนึ่งยืนอย่างสงบนิ่ง
เธอสวมชุดสีดำคาดด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาวที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบเลือดสีแดงที่สาดกระเซ็น... ไม่มีใครในอดีตราชอาณาจักรอาราเนียที่ไม่รู้จักถึงความหมายของภาพที่เห็นอยู่
นั่นคือเมดสงครามอย่างไม่ต้องสงสัย
ความคิดเห็น