ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Maid-At-Arms สาวใช้พันธุ์ดุ

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 1: Act II

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 65


    “แล้วคุณผู้ติดตามต้องการอะไรไหมครับ ?”

     ผู้ติดตามร่างเล็กที่ซ่อนใบหน้าอยู่ในฮู้ดอันโตส่ายหน้าปฏิเสธข้อเสนอ   

     เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว  มาสเตอร์จึงเปิดจุกก๊อกขวดไวน์อย่างชำนาญ 

     ป๊อก…  กลิ่นหอมจาง ๆ ขององุ่นชั้นเลิศที่ถูกบ่มตั้งแต่ปี 219 หรือกว่า 50 ปีที่แล้วก็ระเหยออกมา  มันไม่ใช่กลิ่นหอมแหลมจัดจ้าน  หากแต่เป็นกลิ่นหอมจางละมุนที่ได้กลิ่นติดจมูก  น่าประหลาดที่แม้จะเป็นกลิ่นจาง ๆ แต่ทุกคนในโรงเตี้ยมกลับได้กลิ่นหอมนั่นติดจมูกกันถ้วนหน้า 

     เจ้าของโรงเตี้ยมบรรจงรินไวน์สีแดงขุ่นราวกับโลหิตลงในแก้วไวน์ที่ราคาแพงที่สุดในร้าน  คอยระวังไม่ให้ไวน์ทุกหยดที่มีค่าหนึ่งเหรียญทองกระฉอกเสียเปล่า

     เมื่อยื่นแก้วให้กับลูกค้าแล้ว  อดีตเจ้าของไวน์ขวดแพงก็เริ่มดื่มด่ำกับไวน์ขั้นแรกด้วยการเพ่งพินิจสีของไวน์ที่ราวกับทับทิม  ก่อนจะยกแก้วขึ้นมาขึ้นมาสูดดมกลิ่นมหัศจรรย์อย่างผู้รู้วิธีเสพไวน์

     “หอมมากเลยนะครับ ราวกับไม่ใช่กลิ่นหอมจากโลกนี้เลย” เจ้าของโรงเตี้ยมกล่าวอย่างชื่นชม

     “ช่างเป็นกลิ่นที่โรแมนติกเหลือเกิน  สมแล้วเป็นของหายากที่แม้แต่กษัตริย์เองยังหาดื่มได้ไม่ง่ายเลย”  หญิงวัยกลางคนกล่าว  “เห็นเจ้าชาโต้  มากราฟในแก้วแล้วก็อดนึกถึงประวัติศาตร์ของมันไม่ได้เลย  ไม่ทราบว่ามาสเตอร์ทราบเรื่องราวของมันไหมคะ ?”

     มาสเตอร์ยิ้มเยาะราวกับว่าคำถามนั้นช่างเป็นการดูถูกเขาเหลือเกิน

     “ทราบสิครับ  องุ่นในปีนั้นเป็นองุ่นที่ดีที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยบันทึกไว้  แต่โชคร้ายก็เป็นปีเดียวกันที่เชื้อโรคในองุ่นระบาดจนทำเอาอุตสาหกรรมไวน์แทบจะล้มละลายเลยทีเดียว  วินเทจจากปีนั้นเลยมีค่าเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะเจ้าขวดนี้ที่มาจากชาโต้ชื่อดังนะครับ”

     “ช่างน่าเสียดายนะ  บางทีโชคชะตาก็เล่นตลกเหลือเกิน  บางครั้งสวรรค์ก็มีเมตตาประทานสิ่งที่เลิศล้ำที่สุดมาให้  และในเวลาเดียวกันก็ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกินที่พรากมันไปก่อนเวลาอันควร”

     “ดูเหมือนคุณผู้หญิงจะพูดถึงอย่างอื่นมากกว่าองุ่นนะครับ”

     “ก็คงอย่างนั้นล่ะค่ะ”  เธอกล่าวติดตลก  “ว่าแต่มาสเตอร์คะ  ดูเหมือนคุณจะยังเล่าเรื่องของเจ้าชาโต้  มากราฟไม่หมดนี่นา”

     “มันคงไม่เหมาะที่จะเล่าก่อนจะดื่มล่ะกระมังครับ ?” 

     “โอ  ไม่เลยค่ะ  ก่อนดื่มนี่ล่ะเหมาะที่สุดแล้ว”  หญิงวัยกลางคนขยับแก้วไวน์จ้องมองของเหลวสีโลหิตหมุนไปมา  “ไม่อย่างนั้นเราไม่อาจลิ้มรสชาติแฝงอันแสนโรแมนติกของมันได้หรอก”

     “ช่างเหมือนเลือดเนื้อของคนเหลือเกิน... สมแล้วที่มีข่าวลือว่าแท้จริงแล้ววินเทจชุดนี้ไม่ได้ทำมาจากองุ่นที่ขาดแคลนในช่วงนั้น หากเป็นเลือดเนื้อของชาวไร่องุ่นที่หมดสิ้นเนื้อประดาตัวนะคะ” ลูกค้าหญิงเปรยด้วยความพิศวง  “เมื่อไม่มีองุ่น  ก็ไม่อาจผลิตไวน์ได้  และนั่นก็หมายความว่าพวกเขาจ่ายภาษีไม่ได้เช่นกัน...”

     “ชาวไร่องุ่นเลยต้องสละเลือดเนื้อของตนเพื่อผลิตไวน์มาบำเรอพวกที่อยู่ในราชสำนักสินะครับ”  เจ้าของโรงเตี้ยมกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงด้วยความเกลียดชังจากก้นบึ้งหัวใจ  

     “มาสเตอร์ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่โรแมนติกมากเลยหรือคะ ?”

     ชายหัวล้านมองหญิงงามตรงหน้าอย่างพิศวง

     “ผมไม่เข้าใจว่าเรื่องของประชาชนถูกกดขี่มันจะเป็นเรื่องที่โรแมนติกตรงไหนนะครับ ?”

     “มาสเตอร์เข้าใจเรื่องราวของไวน์นี้ผิดไปแล้วค่ะ แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของความรักนะคะ  ความรักของราษฎรที่มีให้ต่อกษัตริย์ของพวกเขา  ความรักที่มีต่อหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทำให้สำเร็จแม้จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของตน  มาสเตอร์ไม่คิดบ้างหรือคะว่าการที่ใครสักคนรักบางสิ่งบางอย่างนอกเหนือจากคนในครอบครัวมันช่างเป็นเรื่องที่โรแมนติกเหลือเกิน”

     “นั่นมันก็แค่เรื่องเล่าเข้าข้างระบอบทรราชเท่านั่นไม่ใช่หรือ !” 

     “นั่นขึ้นอยู่กับว่ามาสเตอร์อยากจะเชื่อเรื่องราวจากมุมมองไหนค่ะ”

     เจ้าของโรงเตี้ยมเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเพิ่งขึ้นเสียงกับลูกค้าตรงหน้าไป  แต่หญิงวัยกลางคนกลับไม่มีทีท่าโกรธเคืองกับการกระทำที่ดูไร้มารยาทนี้เลยสักนิด

     เขาได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขออภัยกับคู่ดื่ม

     “ขออภัยด้วยที่ผมเสียมารยาทไปเมื่อสักครู่”  

     “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”  ว่าแล้วแขกต่างถิ่นก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมาเชยชมอีกครา  “ดูท่าว่าเรื่องเล่าที่ว่า  หากใครได้ลิ้มรสไวน์ขวดนี้ไปแล้วจะไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกในใจได้ จะเป็นเรื่องจริงเสียแล้วกระมัง”

     “นั่นเป็นแค่เรื่องเล่าไม่ใช่หรือครับ ?”  ชายคู่สนทนาถาม

     “เรื่องเล่าก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องไม่จริงนี่”  หญิงผมน้ำตาลแห้งกล่าวพลางชื่นชมของเหลวสีเลือดที่กลิ้งไปมาในแก้วทรงระฆังหงาย  “สมแล้วเป็นไวน์ที่ผู้คนต่างเสาะแสวงหา... แค่รู้สึกว่ามันต้องถูกเปิดออกมาดื่มก็ถือได้ว่าเป็นความสูญเสียของมนุษยชาติแล้วล่ะ”

     “แต่เราก็เปิดมันแล้ว...”

     “นั่นสินะ  แต่เราก็เปิดมันแล้ว...”  หญิงวัยกลางคนทวนซ้ำประโยคเดิมราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  “มาสเตอร์ไม่คิดบ้างหรือว่าคุณค่าของไวน์มันก็เหมือนกับผู้หญิงนะ”

     “ตรงที่ยิ่งบ่มไว้นานก็ยิ่งค่าสูงขึ้นอย่างนั้นหรือครับ ?”

     “ไม่คิดว่ามันจะเป็นตรงกันข้ามหรือ” เธอถาม

     “เมื่อผมได้สัมผัสความงามคุณผู้หญิงแล้วผมไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างอื่นไปได้หรอกครับ” 

     ลูกค้าหญิงหัวเราะคิกคักออกมาอย่างถูกใจ 

     “ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิคะ” 

     “ถ้าไม่ใช่อย่างที่ผมกล่าว  แล้วคุณผู้หญิงมีความเห็นว่าอย่างไรกันล่ะครับ ?”

     หญิงวัยกลางคนผู้เลอโฉมหยิบจุกก๊อกขึ้นมาพิจารณา 

     “คุณค่าของทั้งไวน์และหญิงสาวต่างขึ้นอยู่กับช่วงเวลาครั้งแรกกันทั้งนั้น  หลังจากนั้นแล้วถึงจะหอมหวานมากขึ้นจากที่ผ่านมือผู้อื่นเท่าใด  แต่มันก็เทียบไม่ได้กับช่วงเวลาครั้งแรกที่ได้เปิดฝาขวดออกมาลิ้มรสเป็นครั้งแรกหรอกค่ะ”

     “ผมไม่นึกว่ามันจะเป็นคำพูดที่เป็นผู้หญิงอย่างคุณผู้หญิงจะกล่าวออกมานะครับ ?”

     “เพราะเราเป็นผู้หญิงนี่ล่ะ  ถึงกล่าวได้อย่างมั่นใจเช่นนี้”  หญิงผู้ผ่านร้อนหนาวหลายฤดูกล่าว

     “ไม่คิดว่ามันน่าเศร้าเลยหรือครับ”

     ไม่มีคำตอบจากปากของหญิงต่างถิ่น

     “จริงสิ... พูดถึงครั้งแรกแล้วพานให้เรานึกถึงอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว”  หล่อนเปลี่ยนเรื่อง  “จำได้ไหมที่เราเคยกล่าวว่าไม่มีอะไรที่เงินซื้อไม่ได้น่ะ”

     “ไม่มีทางที่ผมจะลืมหรอกครับ” 

     “เราโกหกนะ...”  หล่อนกล่าวทั้งรอยยิ้ม  ส่วนชายหัวล้านร่างท้วมได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ กับคำสารภาพของแขกตรงหน้า  “ท่าทางไวน์ขวดนี้จะมีเวทมนตร์ที่ทำให้คนกล่าวแต่ความจริงดั่งที่ร่ำลือจริง ๆ เสียด้วยสิ”

     “แล้วที่โกหกนั่นหมายความว่า...”

     “อย่างที่มาสเตอร์เข้าใจนั่นล่ะ... ความจริงแล้วก็มีบางสิ่งที่ไม่อาจซื้อด้วยเงินตราเหมือนกันนะ”

     “เช่นนั้นหรือครับ ?” เจ้าของโรงเตี้ยมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องครั้งแรกล่ะครับ ?”

     “เรากำลังนึกถึงเรื่องของเมดสงครามนะ”

     เมื่อถึงตอนนี้เจ้าของโรงเตี้ยมเริ่มหรี่ตามองแขกตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ

     “แล้วพวกอสูรร้ายพวกนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ว่าครับ ?” 

     “โอ... มันเกี่ยวมากเลยล่ะ  สายสัมพันธ์ของเจ้านายกับเมดสงครามนี่ล่ะที่ไม่ว่าเงินเท่าไหร่ก็ไม่อาจซื้อได้  ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่โรแมนติกบ้างเลยหรือคะ ?”

     “ไม่ใช่ว่าหากมีเงินใคร ๆ ก็สามารถหาเมดสงครามมาเชยชมก็ได้ ไม่ใช่หรือครับ”  มาสเตอร์หลังเคาท์เตอร์กล่าวแย้ง

     “นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดนะ  ไม่ว่าเงินสักเท่าใดก็ไม่อาจซื้อความจงรักภักดีของเมดสงครามได้หรอกค่ะ  มีเพียงผู้ที่เหมาะสมเท่านั้นที่สามารถครอบครองเมดสงครามได้  และเจ้านายได้ลิ้มรสครั้งแรกแล้ว  พวกหล่อนจะจงรักภักดีกับเจ้านายคนเดียวจนกว่าฝ่ายใดจะมีชีวิตหาไม่  เมดสงครามจะไม่มีวันทรยศต่อเจ้านาย  เชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายทุกประการแม้ว่ามันจะหมายถึงการปลิดชีวิตของตัวเองก็ตาม”

     “ทาสชัด ๆ เลยนี่ครับ”

     “เรียกว่าเหมือนคู่แต่งงานน่าจะเหมาะกว่านะคะ... ไม่สิ  มันต้องเรียกว่าเป็นสายสัมพันธ์ที่เหนือยิ่งกว่าการสมรสอีกนะคะ” สตรีผู้ที่ความงามกำลังโรยรากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง  “สละชีวิตให้กันได้เพียงเพราะสายสัมพันธ์ความเป็นเจ้านายและบ่าวรับใช้  มันช่างโรแมนติกเสียยิ่งกว่าความรักอันลุ่มหลงของคู่รักเสียอีก”

     “ผมเรียกมันว่าความวิปริตเสียมากกว่านะครับ” 

     “หากเช่นนั้นแล้วความรักทั้งปวงก็ล้วนวิปริตค่ะ...”

     เจ้าของโรงเตี้ยมไม่ตอบโต้ต่อ... ดูเหมือนเขาจะเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตำนานของชาโต้  มากราฟปี 219 จะเป็นเรื่องจริง  อีกอย่าง  เขาปล่อยให้ไวน์นอนอยู่ในแก้วโดยมิได้ลิ้มรสนานจนเกินไปแล้ว  จึงได้ชูแก้วขึ้นต่อหน้าเป็นการเชื้อเชิญให้เริ่มดื่มเสียที

     “คุณผู้หญิงอยากดื่มให้ด้วยเนื่องโอกาสอะไรดีครับ” 

     “นั่นสินะ...”  คุณผู้หญิงมองดูไวน์สีเลือดในแก้วอย่างพออกพอใจ  ก่อนจะเอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตะลึง

     

     “ถ้าอย่างนั้น  แด่การกลับมาของราชอาณาจักรอาราเนียก็แล้วกัน”

     

    เป็นครั้งที่สองที่หล่อนทำให้ทั้งร้านต้องเงียบลงราวกับป่าช้า  ถึงดูเหมือนว่าเหล่าลูกค้าต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน  แต่ความจริงแล้วทุกคนพยายามเงี่ยหูฟังการสนทนาระหว่างเจ้าของโรงเตี้ยมกับหญิงต่างแดนผู้นี้ตลอดเวลา

     และเมื่อทุกคนได้ยินประโยคดังกล่าว  ฉากหน้าอันเสแสร้งของวันที่แสนธรรมดาในโรงเตี้ยมบ้านนอกก็พังทลายโดยสิ้นเชิง  ทุกคนต่างหยุดบทสนทนาทุกอย่าง  หันไปจ้องเขม็งหญิงวัยกลางคนที่เอ่ยคำพูดที่ไม่สมควรกล่าวออกมาในที่สาธารณะ...

     แม้แต่เจ้าของร้านยังเผลอที่เกือบจะทำแก้วไวน์อันล้ำค่าหล่นจากมือ

     “ดูท่าเราเพิ่งจะกล่าวอะไรไม่สมควรออกไปสินะ”  หญิงผมน้ำตาลยังคงรักษาใบหน้าสงบนิ่งอย่างไม่ยี่หระกับบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรในโรงเตี้ยมเลยแม้แต่น้อย 

     ไม่สิ... ต้องเรียกว่าบรรยากาศในโรงเตี้ยมตอนนี้มีแต่ความเป็นศัตรูไปเสียแล้ว 

     “ถ้าเช่นนั้นก็  แด่สุขภาพของทุกท่านก็แล้วกัน”

     ทว่าไม่มีใครยินดีร่วมไปกับสตรีนางนี้เลย  ทุกสายตาจับจ้องคนแปลกหน้าทั้งสองราวกับเห็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของตน  แม้แต่ภรรยาของเจ้าของร้านเองก็จ้องมองด้วยสายตาหวาดผวาสุดขีด

     สองสามคนเริ่มลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยท่าทีเอาเรื่อง  แถมในมือถือมีดและขวดพร้อมเข้าทำร้าย

     “กล้ามากที่มาหยามถึงถิ่นเลยนะ  ไอ้สุนัขของราชวงศ์ !”

     “อย่าคิดว่าแค่เลี้ยงเหล้าแค่นี้จะทำให้ลืมความแค้นของข้าได้นะ !”

     “เฮ้ย... เล่นมันเลยมะ  เห็นพกเงินพกทองมาตั้งเยอะด้วย” 

     สถานการณ์ดูเลวร้ายมากสำหรับผู้มาเยือนที่ถูกรายล้อมโดยคนท้องถิ่นที่ไม่เป็นมิตร  กระนั้น สตรีผู้มั่งคั่งเพียงแต่จิบไวน์รสเลิศอย่างไม่รู้สึกร้อนหนาวกับภัยที่กำลังมาถึงตัวเลย

     “ช่างเป็นไวน์ที่รสชาติโรแมนติกเหลือเกิน !”

     นั่นคงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เหล่าแขกขาประจำมีให้กับสตรีผู้นี้  คนที่ยังนั่งอยู่ก็ต่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง  คนที่ลุกอยู่แล้วก็สาวเท้าเดินเข้ามาหาพร้อมอาวุธในมือ  จะมีแต่เจ้าของโรงเตี้ยมที่รีบเดินถอยห่างจากพื้นที่เสี่ยงภัย...

     เจ้าของโรงเตี้ยมจำได้ทุกรายละเอียดของเหตุการณ์ในวินาทีนั้นได้อย่างแม่นยำ  ผู้ที่เดินมาถึงคนแรกคือชาลี  ชาลีเป็นช่างตีเหล็กที่อยู่ถัดไปจากร้านไม่กี่คูหา  อายุราวสามสิบกว่าปี  เป็นชายร่างกำยำที่เป็นผลจากการตีเหล็กมาตั้งแต่วัยหนุ่ม  เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบหาเรื่อง แต่ก็เคยต่อยนักเลงที่พยายามจะมาเกาะแกะกับลูกสาวจนฟันร่วงหมดปากมาแล้ว  แถมยังเคยกระทืบโจรกระจอกที่พยายามจะมาปล้นบ้านเสียจนปางตาย...

     กระนั้นชาลีก็มีสิ่งหนึ่งที่เกลียดเสียยิ่งกว่านักเลงที่มาทำรุ่มร่ามกับลูกสาว หรือโจรที่พยายามจะยกเค้าบ้าน 

     มันคือกษัตริย์ทรราชย์แห่งราชอาณาจักรอาราเนียและเหล่าสุนัขของราชวงศ์ที่เคยข่มเหงพี่สาวของเขาเมื่อตอนที่ชาลียังเป็นเด็กอยู่

     ความคับแค้นที่ฝังแน่นในอกไม่ได้มีอยู่กับเฉพาะชาลีเพียงตัวคนเดียวเท่านั้น !

     เมื่อได้ยินสิ่งที่สตรีต่างถิ่นเอ่ยชื่อ ราชอาณาจักรอาราเนีย ออกมาด้วยความชื่นชม  เขาเป็นคนแรกที่ถีบตัวลุกขึ้นก่อนใครเพื่อน  ในหัวมีแต่ความเกรี้ยวกราดที่จะสงบลงได้ต่อเมื่อเห็นเจ้าสุนัขของราชวงศ์กระดูกหักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย

     มืออันหยาบกร้านที่จับค้อนเหล็กอยู่ทุกวันเอื้อมไปยังหลังอันบอบบางของสตรีต่างถิ่น...

     ทันใดนั้นเจ้าของโรงเตี้ยมก็เห็นเงาแสงสีเงินตวัดผ่านข้อมือขวาของชาลี 

     เพียงครู่เดียวมือที่เป็นดั่งเครื่องมือทำมาหากินของชาลีก็ร่วงผลอยขาดจากท่อนแขนกำยำ  ก่อนที่เลือดสด ๆ จะฉีดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ

     อ้ากกกก !

     ชาลีทรุดลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด  เขายิ่งตาเหลือกเมื่อรู้ว่ามือข้างที่เพิ่งถือเหยือกเบียร์เฮฮากับสหายเมื่อสักครู่ได้กลิ้งกลุก ๆ บนพื้นเสียแล้ว

     “มือข้า !”

     ทุกคนชะงักกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา  ในตอนนั้นเองที่ทุกคนสังเกตว่ามีบุคคลร่างเล็กในชุดเสื้อคลุมปิดมิดชิดยืนขวางระหว่างชาลีกับสตรีต่างถิ่นอยู่

     เขาคือแขกคนที่สองที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงวัยกลางคนราวกับรูปปั้นตั้งแต่ต้น 

     ตลอดเวลาที่ผ่านมา  แขกผู้นี้ไม่เคยพูดจาหรือขยับตัวมากไปกว่าการเดินเข้ามาในร้านกับส่ายหัวเบา ๆ ให้กับเจ้าของโรงเตี้ยมเท่านั้น

     แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แขกคนที่สองขยับออกมาจากจุดเดิมกัน ?

    กระนั้น จุดสนใจของทุกคนกลับเป็นสิ่งที่อยู่ในมือของแขกร่างเล็ก

    มันคือดาบปลายปืนสีเงินที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต  

    เขาสะบัดคราบเลือดออกจากดาบปลายปืนก่อนจะเช็ดมันเข้ากับเสื้อคลุมอย่างเยือกเย็นท่ามกลางเสียงครวญครางของชายร่างยักษ์สูงกว่าสองเท่าของแขกคนที่สอง

     ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครเป็นคนตัดมือชาลีเมื่อสักครู่

     

     “เล่นมันเลย !”

     

    โต๊ะและเก้าอี้ต่างล้มระเนระนาดเมื่อทุกคนในโรงเตี้ยมต่างพร้อมใจกระโจนเข้าหาแขกต่างถิ่นอย่างบ้าคลั่ง

     ทั้งมีด  ทั้งขวดปากฉลาม  หรือแม้แต่ท่อนไม้ที่หักจากข้าวของในโรงเตี้ยมต่างชูขึ้นพร้อมฟาดฟัน

     เจ้าของโรงเตี้ยมเผลอหลับตาไปชั่วครู่อย่างช่วยไม่ได้

     มันเป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น...

     แต่พอเขาลืมตาอีกครั้ง  ทุกอย่างมันก็จบเสียแล้ว

     ฝูงชนที่เหลือรอดต่างถอยกรูรักษาระยะห่างเป็นวงล้อมอย่างหวาดผวา  ไม่เหลือเค้าความบ้าคลั่งเมื่อสักครู่อีก...

     ไม่มีใครเหลือความกล้าหาญอีกแล้วเมื่อได้เห็นสิ่งที่กำลังเห็นอยู่นี้

     ข้าวของในร้านพังพินาศ...

     คราบเลือดสาดกระเซ็นบนผนังราวกับดอกไม้ที่ผลิดอกกลางผืนดินอันแห้งแล้ง

     ชายฉกรรจ์หลายคนนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น...

     ดาบปลายปืนนับสิบรูปแบบปักเกลื่อนพื้นประหนึ่งป้ายหลุมศพของผู้ที่พลีชีพ

     และท่ามกลางความบรรลัยทั้งปวงมีร่างหนึ่งยืนอย่างสงบนิ่ง

     เธอสวมชุดสีดำคาดด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาวที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบเลือดสีแดงที่สาดกระเซ็น... ไม่มีใครในอดีตราชอาณาจักรอาราเนียที่ไม่รู้จักถึงความหมายของภาพที่เห็นอยู่

     นั่นคือเมดสงครามอย่างไม่ต้องสงสัย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×