ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Battlefield Witch: Cattleya แม่มดฝ่าสมรภูมิเดือด

    ลำดับตอนที่ #3 : แม่มดกับห้วงแห่งอาคาช่า

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 54


    ฉันไม่เห็นอะไรเลยนอกจากฝุ่นควันที่ฟุ้งไปทั่ว

     

    ดูจากการที่ตรงนี้เคยมีโบสถ์ตั้งอยู่แสดงว่ามันคงต้องเคยเป็นหมู่บ้านหรือไม่ก็เมืองมาก่อน  ทว่าภาพที่ปรากฏอยู่โดยรอบผืนดินมีแต่รูบ่อเป็นตะปุ่มตะปั่มเต็มไปหมด  หน้าดินถูกระเบิดซ้ำไปซ้ำมาจนภูมิประเทศถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นรูบ่อบูด ๆ เบี้ยว ๆ

     

                    เห็นผืนดินโดนทำร้ายขนาดนี้ทีไรฉันได้แต่รู้สึกปวดใจอยู่เสมอ

     

                    กลิ่นมูลดินแห้งกับกลิ่นดินปืนคละคลุ้งทำให้รู้สึกคันจมูกเหลือเกิน  แต่ก็ต้องพยายามข่มใจไม่ให้จามหากยังอยากรักษาชีวิตเอาไว้อยู่  ว่าแล้วฉันก็เหลือบมองหนวดที่ถูกดัดอย่างสวยงามของลุงที่หมอบอยู่ข้าง ๆ  เพราะเหตุนี้กระมังว่าทำไมพวกทหารถึงชอบไว้หนวดกัน

     

                    ไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกเรานอนหมอบอยู่หลังซากของโบสถ์นานเท่าไหร่  คาดว่าไม่ถึงห้านาที  แต่มันกลับเป็นห้านาทีที่ยาวนานราวกับห้าชั่วโมง 

     

                    มันเงียบจนน่ากลัว

     

                    ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังยิงกันหูดับตับไหม้  พอจะเงียบก็พร้อมใจกันเงียบราวป่าช้า

     

                    ความจริงแล้วจะเรียกพื้นที่นี้ว่าป่าช้าก็ไม่แปลกหรอก  ยังดีที่แถวนี้ยังไม่มีให้เห็น  แต่ตอนวันก่อนที่ฉันต้องคลานกระดึบท่ามกลางความมืดทำเอาฉันเกือบร้องกรี๊ดไปหลายรอบ  คิดดูก็แล้วกันว่า  ขนาดแม่มดที่คุ้นเคยกับความตายอย่างฉันยังอดที่จะตกใจเสียไม่ได้

     

                    กระนั้น  ลุงที่หมอบอยู่ข้าง ๆ กลับทำราวกับว่าซากศพพวกนั้นเป็นเรื่องธรรมดา  เขาสามารถคลานผ่านซากศพที่กำลังเน่าเปื่อยหนอนขึ้นเฟะได้อย่างหน้าตาเฉย

     

                    หากแม่มดอย่างฉันถูกเรียกว่าเป็นสมุนของปีศาจยังหวันเกรงขนาดนี้  แล้วจะให้เรียกคนที่ไร้ความกลัวอย่างลุงว่าอย่างไรดี 

     

              ถึงอย่างนั้นมันก็มีบางสิ่งที่ฉันหวาดกลัวยิ่งกว่าเสียงระเบิดเหนือหัวหรือซากศพอันเน่าเหม็น...

     

                    มันคือความไม่รู้... ไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

     

                    ความไม่รู้เป็นบ่อเกิดของความกลัวทั้งหมด  ที่เรากลัวเสียงระเบิดเพราะไม่รู้ว่ามันจะระเบิดบนหัวเราเมื่อไหร่  ที่เรากลัวซากศพเพราะเราไม่รู้ว่ารสชาติของความตายมันเป็นเช่นไร 

     

                    พูดตรง ๆ เลย...ตอนนี้ฉันก็กำลังกลัว  เพราะฉันไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

     

                    ฉันพยายามจะเงยหน้าขึ้นดูว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ลุงก็รีบกดหัวฉันลงทันที  แรงของลุงทำเอามึนไปสักพักเลยทั้งที่ตัวฉันเองก็สวมหมวกเหล็กเอเดรียนอยู่

     

                    ก้มต่ำไว้  อยากเจาะรูกลางกบาลนักหรือไงกัน  ลุงกระซิบอย่างเดือดดาลพลางเหลือบมองนาฬิกา  ป่านนี้พวกอิมปี้คงเริ่มโผล่หัวกันออกมาจากหลุมแล้ว  จะรีบร่ายเวทอะไรของเธอก็รีบทำเข้าซะ !” 

     

                    ฉันพยักหน้าก่อนจะหยิบของบางสิ่งออกมา  มันเป็นเครื่องรางประจำตัวที่ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจอยู่เสมอเมื่อถือมันไว้ในมือ...

     

                    ลุงขมวดคิ้วทันทีที่ได้เห็นของชิ้นนั้น

     

                    มันไม่น่าแปลกใจว่าทำไมลุงถึงมีสีหน้าอย่างนั้น  เพราะสิ่งที่ฉันถืออยู่ในมืออย่างทะนุถนอมคือคฑาสีชมพูแหววทีมีดาวสีทองตรงปลาย  มันคือคฑาไรซิ่งสตาร์ของแฟนซีเตเต้... ตัวการ์ตูนยอดนิยมของเด็กสาวทั่วทั้งสาธารณรัฐนั่นเอง

     

                    แน่นอนว่ามันเป็นของเลียนแบบที่ฉันอุตส่าห์นั่งแกะจากไม้กับมือ  สีชมพูสดบนคฑาค่อนข้างหมองจากเหงื่อไคลและเศษฝุ่นของสนามรบ  แถมส่วนดาวตรงปลายคฑาที่ฉันอุตส่าห์นั่งแกะแทบตายก็ทำท่าจวนจะหักมิหักแหล่...กลับไปคงต้องหากาวมาอัดเพิ่มเสียแล้ว

     

                    ฉันหลับตาพร้อมกับกุมคฑาไว้บนอก

     

                    ในนามของแคทรียาแห่งหมู่บ้านวิลโลว์ไชล์  เลือดเนื้อเชื้อไขของจิตวิญญาณแห่งธรณี ออปติก้า  ผู้เป็นร่างจำแลงแห่งเจตุจำนงของอาคาช่า  ข้าขอวิงวอนต่อจิตวิญญาณผู้ปราณี  อนุญาติให้ข้าเหลือบมองเข้าไปในจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสิ่งด้วยเถิด

     

                    เมื่อสิ้นเสียงคำร่ายเวท  ฉันก็รู้สึกเหมือนกับร่างทั้งร่างถูกดูดเข้าไปในห้วงอวกาศ 

     

              ร่างกายรู้สึกเบาหวิว  สัมผัสประสาททั้งร่างถูกกระตุ้นจนรู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว

     

                    ประสบการณ์สอนไว้ว่าหากรีบลืมตาไปมักจะทำให้ตาพร่าเสมอ  ดังนั้นฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า 

     

                    และแล้วโลกแห่งแสงก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

     

              ไม่มีเสียง  ไม่มีกลิ่น  มีแต่ความรู้สึกเบาหวิวชวนให้เคลิบเคลิ้มราวกับเด็กทารกลอยเท้งเต้งในท้องแม่

     

                    ไม่ว่ากี่ครั้งกี่หนที่เหลือบมองเข้ามาในห้วงแห่งอาคาช่า  ฉันก็อดนึกขำไม่ได้ว่านี่มันแค่ เหลือบมอง จริงหรือ  หากตัวฉันได้เข้าไปในห้วงอาคาช่าจริง ๆ แล้วมันจะรู้สึกอย่างไรกันแน่

     

    ร่างอันเปล่าเปลือยกึ่งโปร่งแสงของฉันลอยละล่องอยู่เหนือสายธารของของเส้นแสงสว่างที่ถักทอกันราวกับใยแมงมุม  มันเบาบางราวกับควัน  แต่ไม่ว่าฉันจะดึงไปไหนมันก็จะยังเชื่อมติดกัน เส้นสายเหล่านั้นยุ่งเหยิงพัวพันกันอย่างไร้ระเบียบ  แม้แต่ตัวฉันเองก็พัวพันอยู่ในตาข่ายแห่งจักรวาลนี้ด้วย 

     

    ฉันค่อย ๆ เลาะเส้นสายที่เกี่ยวพันแขนขาอย่างระมัดระวัง  ก่อนจะไล่เส้นด้ายแห่งแสงเหล่านั้นไปยังปมเล็กขนาดเท่าขี้ฝุ่น  แต่ละปมที่เส้นแสงตวัดเกี่ยวพันจะส่งแสงเป็นประกายเหมือนกับดาวบนท้องฟ้า 

     

    ปมนี่เป็นปมของลุงสินะ

     

    ฉันคว้าปมหนึ่งไว้ในมือพร้อมกับสายใยที่อยู่รอบ ๆ ไว้  ก่อนจะเริ่มแหวกว่ายไปตามห้วงอวกาศที่เต็มไปด้วยสายใยแห่งแสง 

     

    ถึงแม้ว่ารอบกายของฉันจะมีแต่สายใยสีทองอยู่เต็มไปหมด  แต่ภาพเหล่านั้นกลับไม่อาจบรรยายถึงสิ่งที่ฉันสัมผัสได้

     

    หากจะให้ตัดทอนความนามธรรมให้เหลือเป็นเพียงคำบอกเล่าที่ไม่สมบูรณ์แต่พออธิบายได้  มันก็รู้สึกเหมือนกับตัวฉันกำลังเดินอาด ๆ อยู่กลางโนแมนส์แลนด์  หากแต่ฉันสามารถรับถึงทุกอนูของสนามรบ

     

    จากเศษเสี้ยวของเศษดิน  คมทื่อ ๆ ของรั้วลวดหนาม ไปจนถึงลมหายใจอันอ่อนระทวยของทหารหลังแนวสนามเพลาะ 

     

    ไม่สิ...ต้องบอกว่าฉันได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับทุกอย่างในสมรภูมินี้เสียมากกว่า 

     

    นั่นอาจเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดที่พอจะทำให้ผู้อื่นพอจะเข้าใจ  แต่ภาษาเหล่านั้นยังห่างไกลจากความหมายอันสมบูรณ์นัก 

     

    ไม่มีภาษาใดในโลกสามารถบรรยายถึงประสบการณ์ของฉันได้  เพราะในห้วงแห่งอาคาช่าคือความจริงอันเที่ยงแท้ของโลก  ความหมายที่ถูกตีกรอบโดยสัญญลักษณ์เช่นภาษาของมนุษย์สามารถอธิบายได้เพียงเศษเสี้ยวของความจริงในโลกนี้

     

    เพราะเหตุนี้ล่ะมั้ง  ที่พวกนายทหารถึงได้พากันส่ายหัวกันถ้วนหน้ายามเมื่อทราบว่าความสามารถของฉันไม่อาจเอามาใช้ในทางทหารได้  ฉันเคยพยายามแล้ว  แต่ให้ตายอย่างไรฉันก็ไม่อาจบอกอะไรจากประสบการณ์ในห้วงแห่งอาคาช่าได้เลย  ฉันทราบอย่างแน่ชัดว่าสัมผัสได้ถึงทหารฝ่ายจักรวรรดิที่อยู่อีกฟากของสนามเพลาะ  ทว่าจนแล้วจนรอดฉันก็ไม่อาจรายงานถึงตำแหน่งและจำนวนได้เลย

     

    ดังนั้นเวทมนตร์ประยุกต์อย่างการบังคับสัตว์ของไอริสดูจะมีประโยชน์กว่าฉันมาก

     

    แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาพิรี้พิไรอยู่กับเรื่องในอดีต

     

    ในตอนนี้ฉันได้ค้นพบแล้วว่าพลังของฉันสามารถทำประโยชน์อะไรให้กับพี่น้องร่วมชาติได้บ้าง...

     

    ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมชาติที่ดูถูกและสาปแช่งแม่มดอย่างฉันมาตลอด

     

    ใช่แล้ว... ฉันดีใจเหลือเกินที่จะได้เป็นอย่างแฟนซีเตเต้เสียที

     

    และแม้ว่าสิ่งที่ฉันกำลังจะทำในตอนนี้คือการสังหารแม่มดร่วมเผ่าพงศ์ของฉันก็ตามที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×