คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1: Act I
เจ้าของโรงเตี้ยมกัลลิเวอร์จำวันนั้นได้เป็นอย่างดี
มันเป็นวันที่ลมแรงเป็นพิเศษ แน่นอนว่าไม่แปลกเลยที่ฤดูใบไม้ร่วงจะมีวันที่ลมกรรโชกบ้าง แต่ไม่เคยมีวันไหนที่ลมแรงเทียบเท่าวันนั้นเลยสักหน... เป็นพายุหลงฤดูที่นานทีปีหนจะปรากฏขึ้นมาสักครั้ง
กระนั้น ในโรงเตี๊ยมก็พอมีเหล่าลูกค้าขาประจำมาดื่มเหล้าสังสรรค์กับเพื่อนฝูงหลังการทำงานอันเหน็ดเหนื่อยบ้างให้ร้านไม่เงียบเหงาไปเสียทีเดียว เปลวเพลิงที่ลุกโชนในเตาผิงที่เจ้าของโรงเตี้ยมแสนจะภูมิใจก็ทำให้ก็ทำให้อากาศภายในอบอุ่นจนลืมอากาศหนาวภายนอก
เข็มนาฬิกาในตอนนั้นชี้ที่เวลาหนึ่งทุ่มพอดี เมื่อกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวีดหวิวของสายลมที่พรั่งพรูเข้ามาเมื่อบานประตูเปิดออก
ตอนแรกไม่มีใครสนใจนัก นึกว่าเป็นแขกขาประจำอีกคนที่อุตส่าห์ถ่อสังขารฝ่าลมหนาวมาหาความเพลิดเพลินกับสุราที่รัก แต่เมื่อลูกค้าคนหนึ่งเริ่มสะกิดเพื่อนร่วมโต๊ะว่ามีบางอย่างผิดจากปรกติไป จากหนึ่งคนเริ่มขยายวงกว้างเป็นทุกโต๊ะ ในที่สุดทั้งโรงเตี้ยมก็พลันเงียบลง
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ลูกค้าร่างเล็กสองคนหน้าประตู
มันไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะให้ความสนใจกับผู้มาเยือนทั้งสอง พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทยาวถึงข้อเท้า ฮู้ดอันโตปิดบังหน้าตาจนมิด กระเป๋าหนังใบโตที่แขกตัวเล็กกว่าถือข้างกายบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าทั้งสองไม่ใช่คนในพื้นที่อย่างแน่นอน
ทั้งโรงเตี้ยมมีแต่ความเงียบงัน เหลือแต่เพียงเสียงลมกรรโชกภายนอกและเสียงฟืนปะทุในเตาผิงที่บอกว่าโลกนี้ยังไม่หยุดหมุนไปเสียทีเดียว
ในที่สุดผู้มาเยือนคนหนึ่งก็เปิดฮู้ดออก
ทุกคนในร้านต่างฮือฮากับใบหน้าที่เผยโฉมออกมา...
เธอเป็นหญิงวัยกลางคนที่เลยช่วงเวลาบานสะพรั่งของหญิงสาวไปนานแล้ว โดยเฉพาะเส้นผมสีน้ำตาลเชสนัทที่หยาบกระด้างราวกับเป็นเชือกเก่า ๆ ถูกตัดซอยเป็นทรงลองบ็อบสั้นประต้นคอ กระนั้นใบหน้าก็ยังคงความงดงามพอที่จะสะกดทุกสายตาของบุรุษเพศไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น ผิวของหล่อนขาวซีดราวหิมะไร้ซึ่งสีแดงเลือดฝาด หากแต่ดูมีเสน่ห์ชวนให้เคลิบเคลิ้มอย่างประหลาด
หล่อนกวาดตามองลูกค้าในโรงเตี้ยมด้วยแววตาของคุณป้าใจดี หากแต่แฝงด้วยความสง่างามของชนชั้นสูง ใครที่ได้สบตาต่างเผลอกลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น
และในตอนนั้นเองที่หล่อนก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับทุกคนในโรงเตี้ยม
เมื่อเห็นเช่นนั้น เสียงครึกครื้นภายในโรงเตี้ยมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
กระนั้นเสียงพูดคุยในตอนนี้เป็นเพียงหน้าฉาก เพราะทุกย่างก้าวของแขกต่างถิ่นก็ตกเป็นเป้าสายตาที่ยังคอยแอบมองไล่หลังทุกอิริยาบถ เสียงพูดคุยเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเสียงซุบซิบคาดเดาสาระพัดว่าทั้งสองเป็นใครกันแน่ มายังพื้นที่ห่างไกลเช่นที่นี่ทำไม
ทั้งสองเดินตรงมายังที่เคาน์เตอร์ของมาสเตอร์ประจำร้านโดยที่ไม่แม้กระทั่งจะถอดเสื้อคลุมบนราวแขวน ทั้งที่อุณภูมิในห้องก็อบอุ่นจากเปลวเพลิงที่ลุกโชนในเตาผิง
หญิงผมน้ำตาลนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเจ้าของร้านที่กำลังเช็ดถ้วยอยู่ ส่วนผู้มาเยือนร่างเล็กอีกคนยืนคุมเชิงอยู่ข้างเคียงพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโตยังแอบซ่อนใบหน้าอยู่ในผ้าคลุมสีดำ
“มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับคุณผู้หญิง ?” เจ้าของร้านที่เป็นชายหัวล้านร่างท้วมเอ่ยถาม
“เราอยากได้ห้องพักหนึ่งห้องสำหรับเราและผู้ติดตามสักคืนค่ะ”
“คุณผู้หญิงจะฝากม้าหรือรถม้าไว้กับทางโรงเตี้ยมด้วยหรือเปล่าครับ”
เธอส่ายศีรษะ
“เรามากันแค่นี้ค่ะ...”
มาถึงที่นี่โดยไม่มีม้าหรือรถม้า ? เจ้าของโรงเตี้ยมส่งสายตาเป็นเชิงถามให้แน่ใจว่าหล่อนเข้าใจสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า หญิงสาวเพียงแต่เอียงคอสงสัยว่ามีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ
ชายหัวล้านจึงคิดว่าเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยตามเลยก็แล้วกัน
“ถ้าอย่างนั้น ราคาสำหรับห้องพักหนึ่งคืนก็ 3 ดอลล่าสหภาพครับ”
หล่อนค่อย ๆ ล้วงพันธบัตรดอลล่าสหภาพใหม่เอี่ยม แน่นอนว่าเจ้าของโรงเตี้ยมไม่เคยคิดจะปฏิเสธลูกค้าที่มีเงินจ่าย แต่ครั้งนี้เขากลับทำหน้าอย่างลำบากใจกับสิ่งที่เขาเห็น
“เอ่อ... คุณผู้หญิงไม่มีพันธบัตรที่เล็กกว่านี้แล้วเหรอครับ ?”
แขกผู้มาเยือนมองพันธบัตรมูลค่า 1,000 ดอลล่าสหภาพด้วยความฉงน...
“ใช้ไม่ได้หรือคะ ?”
“ก็ได้อยู่หรอกครับ แต่เกรงว่าจะมีเงินทอนไม่พอนะสิครับ”
“อย่างนั้นหรือ” หญิงวัยกลางทำหน้าแปลกใจราวกับคุณผู้หญิงที่ไม่ประสีประสาโลกภายนอก ก่อนจะหันไปกวาดตามองบรรดาแขกเรื่อที่นั่งอยู่ตามโต๊ะ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทอนก็ได้ค่ะ เอาเงินส่วนที่เหลือเป็นค่าอาหารสำหรับทุกคนในตอนนี้ก็แล้วกัน”
เจ้าของร้านหยิบพันธบัตรมาส่องกับไฟ… ลวดลายที่ผลิตโดยเทคนิคชั้นสูงของพวกสหภาพ เป็นพันธบัตรของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
ค่าอาหารและเหล้าที่บรรดาแขกผู้อื่นในร้านติดค้างอยู่นั้นมีมูลค่าไม่ถึงครึ่งของมูลค่าพันธบัตรที่แขกหญิงผู้ร่ำรวยกำลังยื่นให้ ดังนั้นถึงบอกว่าจะไม่ต้องทอนก็เถอะ แต่จำนวนเงินที่ให้มาก็ยังเกินอยู่ดี
กำไรเห็น ๆ
“รับทราบครับผม” เจ้าของโรงเตี้ยมรับพันธบัตรมาด้วยความยินดี ก่อนจะป่าวประกาศไปทั่วร้านว่า “เฮ้ย ไอ้พวกขี้เมาทั้งหลาย ดีใจด้วย คุณผู้หญิงท่านนี้เพิ่งเลี้ยงเหล้าพวกแกว่ะ !”
และแล้วทั้งโรงเตี้ยมก็อื้ออึงไปด้วยความแปลกใจ ในตอนแรกแขกบางคนฟังเจ้าของร้านไม่ถนัด ตะโกนถามกันใหญ่ว่ามันจริงหรือ ? แต่เมื่อทุกอย่างก็เริ่มชัดเจน เสียงอื้ออึงก็กลายเป็นเสียงตะโกนขอบคุณคุณผู้หญิงผู้เอื้ออารีกันยกใหญ่
คุณผู้หญิงที่เพิ่งซื้อใจคนทั้งร้านเพียงแต่ก้มหน้าอมยิ้มตอบรับคำขอบคุณที่ถาโถมเข้าใส่
เมื่อทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปรกติ เจ้าของร้านก็ยื่นกุญแจห้องให้กับแขกผู้มั่งคั่ง
“ประเดี๋ยวผมจะให้ภรรยาของผมยกกระเป๋าขึ้นไปที่ห้องเลยนะครับ ห้องของคุณผู้หญิงอยู่ที่ชั้นสอง ห้องหมายเลขสี่จะอยู่ทางขวาด้านในสุดเลยนะครับ” ว่าแล้วชายหัวล้านก็ตะโกนเรียกบุคคลผู้หนึ่งที่อยู่หลังร้าน “ซิลวีเอ้ย ช่วยขนกระเป๋าพาแขกขึ้นไปห้องหมายเลขสี่หน่อยสิ !”
“ไอ้แก่ เห็นไหมว่าเมียแกทำอะไรอยู่”
เสียงหยาบกระด้างที่ดูไม่น่าจะเป็นเสียงของผู้หญิงตะโกนตอบมาจากด้านหลัง อีกเพียงชั่วอึดใจก็มีสตรีร่างกำยำนางหนึ่งโผล่ออกมาจากก้นครัวพร้อมกับเบียร์และขวดเหล้าที่เรียงกันแน่นในถาด
เธอคือภรรยาของเจ้าของโรงเตี้ยมนั่นเอง
หล่อนมีรูปร่างและหน้าตาคล้ายบุรุษอารมณ์บูดตลอดเวลาจนทำให้ดูคล้ายกับผู้ชายที่สวมชุดของสตรีและมีหน้าอกกับสะโพก แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี
“เบาเสียงหน่อย ลูกค้ายังอยู่ตรงนี้นะ”
เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าอยู่แถวนั้น ใบหน้าอันเหี้ยมเกรียมราวกับนางยักษ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นหน้าของแม่ค้ารับแขกทันที ภรรยากล่าวทักทายกับแขกผู้มาอย่างอ่อนน้อม แต่พอหันกลับไปคุยกับสามีของตน ธาตุแท้ก็เผยออกอย่างไม่มีความเกรงใจ
“แกนั่นล่ะอย่ามัวแต่อู้... เห็นท้องโย้ขนาดนี้แล้วยังจะให้เมียแกยกของหนักอีกเหรอ ?”
ถ้าดูจากท้องที่โย้ออกมาราวกับมีคนเอาฟูกทั้งผืนยัดเข้าไปในเสื้อแล้ว มันไม่แปลกนักที่ภรรยาจะโวยวายกับคำขอของคุณสามีเลย
“ไม่เป็นไรค่ะ เราอยากหาอะไรรับประทานก่อน”
หญิงต่างถิ่นกล่าวแก้ชนวนของคู่สามีภรรยาทั้งสอง
คุณสามีเห็นลูกค้ากระเป๋าหนักมีดำริดังนี้ ก็รีบโบกไม้โบกมือไล่คุณภรรยาไปบริการแขกคนอื่น ส่วนตนนั้นรีบกุลีกุจอมารับออร์เดอร์ของคุณผู้หญิงอย่างรวดเร็ว
“คุณผู้หญิงอยากจะรับประทานอะไรดีครับ ?”
“ขอไวน์ที่ดีที่สุดของร้านให้เราที”
“คุณผู้หญิงมาได้ถูกที่แล้วล่ะครับ !” เจ้าของโรงเตี้ยมตอบอย่างภาคภูมิใจ “ในละแวกนี้ไม่มีใครมีคอเล็กชั่นไวน์ดีไปกว่าที่นี้แล้ว ตอนนี้ผมมีเปโก กราซ ปี 254 กับ ดอม ปราโกดี้ปี 257 ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงจะเลือกขวดไหนดีครับ”
“เพราะแถวนี้มีแต่ร้านของมาสเตอร์คนเดียวไงเล่า !” ลูกค้าสักคนตะโกนแซวขึ้นมา สร้างเสียงหัวเราะได้บ้าง เพียงแต่คุณลูกค้าหญิงยังคงมองคอเล็กชั่นไวน์ของมาสเตอร์ด้วยความสนใจ
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าโรงเตี้ยมในพื้นที่ห่างไกลจะยังมีเปโก กราซ กับ ดอม ปราโกดี้ด้วย !”
คุณลูกค้าหญิงกล่าวด้วยความชื่นชม ทว่าหล่อนยังคงกวาดสายตามองชั้นไวน์ไม่หยุด แม้ทั้งสองจะเป็นไวน์ชั้นดีกว่าปรกติที่คุณเจ้าของพยายามจะรีดเงินออกมาจากแขกผู้นี้ให้มากที่สุด แต่มันก็เป็นไวน์ชั้นดีปรกติที่หาได้ไม่ยากนักในตัวเมือง
ในที่สุด สายตาของเธอจับจ้องขวดไวน์ขวดหนึ่งที่วางตั้งแสดงไว้ในตู้โชว์ด้านหลัง มันเป็นขวดสีแดงขุ่นแปะตราสีทองเรืองแสงที่ราวกับร่ายเวทมนตร์
“เราเชื่อว่าคุณมีดีกว่าที่เสนอมานะคะ... เช่นขวดที่อยู่ในตู้ด้านหลังคุณเป็นต้น ถ้ามองไม่ผิดนั่นน่าจะเป็นชาโต้ มากราฟ ปี 219 นี่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเห็นของหายากในที่แบบนี้”
เจ้าของโรงเตี้ยมหันไปมองยังสิ่งที่มาดามลูกค้ากำลังสนใจ ก่อนจะรีบหันกลับมายิ้มเจื่อน ๆ อย่างไม่เต็มใจนัก
“ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณผู้หญิง แต่ไวน์ขวดนี้ไม่ได้มีไว้ขายครับ”
คุณผู้หญิงส่ายศีรษะเบา ๆ อีกครา ก่อนจะทอดสายตามองเจ้าของโรงเตี้ยมราวกับผู้มีอำนาจกำลังออกคำสั่งลูกน้อง... และภายในแววตานั้นบ่งบอกว่าเธอต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ
“ทุกอย่างมีไว้ขายทั้งนั้นล่ะค่ะ แค่ขึ้นอยู่กับว่าจะเสนอราคาเท่าไหร่เท่านั้น”
เมื่อได้ฟังคำตอบของคุณผู้หญิง ชายหัวล้านผู้เป็นเจ้าของก็ถึงกับหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับลูกค้าเบื้องหน้า
“ดูเหมือนคุณผู้หญิงจะเข้าใจผิดอะไรไปนะครับ สำหรับผมแล้วเจ้าชาโต้ มากราฟ...”
ยังไม่ทันที่เจ้าของโรงเตี้ยมจะกล่าวจบ ลูกค้าหญิงก็วางถุงที่ดูหนักอึ้งบนเคาน์เตอร์...
ทุกคนในโรงเตี้ยมต่างรู้จักเสียงโลหะหนัก ๆ กระทบกันในถุงนั้นดี
“หือ... นี่มันอะไรกันครับ ?”
“เชิญเปิดดูได้เลยค่ะ”
เจ้าของโรงเตี้ยมค่อย ๆ แกะเชือกห่อถุงอย่างระมัดระวัง และต้องผงะกับสิ่งที่เห็น
“พอสำหรับไวน์ขวดนั้นไหมคะ ?”
ชายหัวล้านหยิบสิ่งที่อยู่ในถุงออกมา มันคือเหรียญทองอร่ามที่สลักลวดลายของราชอาณาจักรเก่า ถึงแม้สกุลเงินของราชอาณาจักรเก่าจะถูกยกเลิกไปได้สักพักแล้ว แต่ทองก็ยังเป็นทองอยู่วันยังค่ำ เขาพิจารณาเหรียญแต่ล่ะเหรียญอย่างรอบคอบ ลองแม้กระทั่งใช้ฟันกัดเหรียญทองพิสูจน์ว่าเป็นของแท้หรือไม่... แต่เหรียญในถุงมีมากมายเหลือเกิน
มันมากพอที่เขาจะซื้อโรงเตี้ยมใหม่ได้อีกแห่ง... ไม่สิ ซื้อคฤหาสน์ได้ทั้งหลังเลยด้วยซ้ำ
เจ้าของโรงเตี้ยมก็โยนเหรียญสุดท้ายคืนในถุง ก่อนจะหันมาจ้องมองคุณลูกค้าอย่างลำบากใจ
“คือว่า...”
เคร้ง
ถุงผ้าอีกถุงที่มีขนาดพอกันถูกวางเสริมบนเคาน์เตอร์ข้างถุงแรก
“ถ้าไม่รับสกุลเงินของราชอาณาจักร ก็ยังมีพันธบัตรของสหภาพอีกนะคะ” คุณลูกค้าหญิงกล่าวด้วยใบหน้าที่ดูไม่รู้สึกยี่หระกับจำนวนเงินที่เพิ่งจ่ายไปกับขวดไวน์เพียงขวดเดียวเลยสักนิด
เขาหันไปมองยังภรรยาท้องโย้ที่ยังง่วนอยู่กับการเสิร์ฟเหล้ากับลูกค้าขี้เมาทั้งหลายแหล่
ในที่สุดเจ้าของโรงเตี้ยมก็ถอนหายใจ ก่อนจะหันหลังไปหยิบขวดชาโต้ มากราฟ ปี 219 มาวางไว้บนเคาน์เตอร์ต่อหน้าผู้ซื้อ
“คุณผู้หญิงชนะแล้วครับ ไม่ทราบว่าจะให้เปิดเดี๋ยวนี้เลยไหม ?”
คุณผู้หญิงยิ้มหวานราวกับกลับมาเป็นหญิงสาววัยแรกแย้มอีกครั้ง
“ค่ะ และขอแก้วไวน์สองแก้วด้วย”
“สองแก้วสำหรับคุณผู้หญิงกับผู้ติดตามนะครับ”
“ไม่ค่ะ...” คุณลูกค้าส่ายศีรษะเบา ๆ “อีกแก้วสำหรับมาสเตอร์ค่ะ”
“ผมหรือครับ ?”
“ค่ะ เราคนเดียวไม่มีทางดื่มหมดอย่างแน่นอน อีกอย่าง... อย่างน้อยคุณอุตส่าห์รักษามันไว้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็น่าจะได้ลองลิ้มรสมันด้วยนะคะ”
เจ้าของโรงเตี้ยมได้แต่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจอีกครา เขารู้สึกเหมือนเพิ่งขายวิญญาณให้กับปีศาจไป แต่ก็ช่างมันเถิด...
อย่างที่ผู้หญิงคนนี้กล่าวไว้ ทุกอย่างขายได้หมด ขึ้นอยู่กับว่าจะเสนอราคามาเท่าไหร่เท่านั้นล่ะ
ความคิดเห็น