คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : แม่มดกับเขต No Man's Land
ปีสาธารณรัฐศักราชที่ 10 หรือปีรัชศักราชที่ 182 ตามปฏิทินเก่า
มันคือปีแห่งมหาสงครามที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสงครามที่จะจบสิ้นสงครามทั้งปวง
ฉันไม่รู้หรอกว่าสาเหตุเกิดจากอะไร บ้างก็ว่าฝ่ายสาธารณรัฐยั่วยุให้ฝ่ายจักรวรรดิรุกรานก่อน บ้างก็ว่าฝ่ายจักรวรรดิต้องการขุดรากถอนโคนปฏิวัติก่อนที่มันจะลามมาสู่ตนเสียแต่เนิ่น ๆ
ที่แน่ ๆ คือตั้งแต่สงครามเริ่มเปิดฉากมาได้ 3 เดือน อย่างน้อยจำนวนตัวเลขความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายเหยียบครึ่งล้าน...
ฉันล่ะไม่อยากนับเลยว่าครึ่งล้านนี่มันศูนย์ต่อท้ายกี่ตัวกัน
แต่เพราะสงครามในครั้งนี้ ทำให้ฉันต้องมานั่งแหง็กอยู่ในห้องมืด ๆ นี่กี่ชั่วโมงแล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่ากี่วันแล้วต่างหาก
ฉันต้องมาหลบอยู่ในห้องใต้ดินเก่าตามคำแนะนำของไอริสที่เป็นเพื่อนเกลอของฉันเอง
เธอบอกว่าจุดนี้เป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุดในโนแมนส์แลนด์ หรือเขตพื้นที่ว่างระหว่างสนามเพลาะของสองฝ่ายแล้ว
ไอริสพูดถูก ถึงโบสถ์ด้านบนจะถูกปืนใหญ่ยิงถล่มจากทั้งสองฝ่ายซะจนแทบจะหาเศษฐานไม่ได้แล้วก็เถอะ แต่ห้องใต้ดินที่ลึกลงไปหกฟุตยังคงแข็งแรงทนทาน รองรับการระดมยิงได้แทบทุกรูปแบบ อีกทั้งยังเย็นพอที่จะไม่ทำให้ฉันร้อนตายไปเสียก่อน
แต่ก็นั่นล่ะ ยังไงมันก็รู้สึกบัดซบอยู่ดี
หนึ่งวันเต็ม ๆ ที่ฉันไม่ได้เห็นแสงตะวันจากเบื้องบน ฉันต้องนั่งคุดคู้อยู่ในที่ห้องเก็บของใต้ดินอันแสนอึดอัด มืออุดหูปิดกั้นจากเสียงระเบิดที่ดังอยู่เหนือหัวแทบจะทั้งวันทั้งคืน คอยภาวนาอย่าให้มีกระสุนปืนใหญ่หล่นเข้ามา รอคอยว่าเมื่อไหร่เสียงระเบิดที่ราวกับวันโลกาวินาศจะหยุดเสียที
เสียงแหลมหวีดหวิวผ่านหัวบ้าง เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวบ้าง
โอย... มันดังไม่จบไม่สิ้นเสียที
สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฉันแล้ว การที่ต้องทนเสียงระเบิดทั้งคืนมันทำให้ฉันแทบคลั่ง ถึงแม้จะพอมั่นใจว่าห้องใต้ดินของโบสถ์จะลึกพอที่กระสุนปืนใหญ่จะเจาะลงมาไม่ถึงก็เถอะ แต่ให้มานั่งอยู่กลางเขตโนแมนส์แลนด์มันย่อมเครียดเป็นธรรมดา หากฉันไม่อาจเข้าสู่ห้วงแห่งอาคาช่าได้ คงจะสติแตกไปนานแล้ว
ในที่สุดเสียงระเบิดก็หยุดลง
“แม่มด ขอไฟหน่อยสิ”
เสียงแหบแห้งของชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาจากความมืดมิด มันเป็นเสียงที่ไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลยแต่ฉันเองก็ไม่ใส่ใจนัก เพราะมีลุงคนนี้อยู่ด้วยทำให้ฉันไม่ได้อยู่ในนี้เพียงลำพัง และนั่นเป็นอีกสาเหตุว่าทำไมฉันยังรู้สึกอุ่นใจทั้งที่กระสุนปืนใหญ่นับหมื่นลูกจะบินข้ามหัวอยู่ทั้งคืนก็ตาม
แกเป็นคุณลุงอายุประมาณเกือบสี่สิบเห็นจะได้ ฉันไม่รู้จักชื่อของลุงแกหรอกเพราะแกไม่ยอมบอกแม่มดอย่างฉัน กลัวว่าหากบอกชื่อไปแล้วจะถูกสาป แต่ก็ยังอุตส่าห์อยู่กับฉันในห้องแคบ ๆ ได้ทั้งคืน...
อย่างน้อยก็ยังน่ายินดีที่แกกลัวการบุกเข้าตีมากกว่าต้องหมกอยู่กับแม่มดอย่างฉัน
“เร็วเข้าหน่อยไม่ได้เหรอ”
ฉันรีบคว้ากล่องไม้ขีดที่จำได้ว่าพกติดตัวมาด้วยขึ้นมาจุด ประกายไฟจากการเสียดสีหัวไม้ขีดฟอสฟอรัสแหวกม่านความมืดออก เผยให้เห็นชายวัยลุงหนวดทรงที่จับจักรยานหน้าตาเจนศึกนั่งอยู่ไม่ห่าง เขาสวมหมวกเหล็กเอเดรียนและชุดเครื่องแบบสนามสีน้ำเงินมอมแมม ในมือกระชับปืนไรเฟิลติดกล้องแน่น
“ให้ตายสิ เป็นแม่มดทั้งทีทำไมไม่เสกไฟอะไรออกมาล่ะ”
แน่นอนว่าฉันทำอะไรอย่างที่ลุงบอกไม่ได้หรอก ฉันเป็นแม่มดนะ ไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุหรือนักมายากลสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ ฉันได้แต่เพียงยื่นก้านไม้ขีดที่กำลังจะไหม้ถึงกลางไม้ให้กับลุงพลางเบือนหน้าหนีแสงที่แสบลูกตาเสียเหลือเกิน
ฉันถือได้เพียงครู่เดียวก่อนจะต้องทิ้งมันไปเพราะความร้อน ทว่ามันก็เพียงพอที่จะให้ลุงเห็นเวลาจากนาฬิกาข้อมือได้
“เจ้าพวกปืนใหญ่บ้าเอ้ย หยุดยิงเร็วไปแล้ว” ลุงบ่นอุบ แต่ฉันกลับดีใจที่มันหยุดได้เสียที
ถึงอย่างนั้น ฉันก็ดีใจได้ไม่นานนัก
“แม่มด พร้อมแล้วนะ” ลุงกระซิบพร้อมกับเสียงของการเคลื่อนตัวในความมืดมิด
“เดี๋ยวสิ เราจะไปกันแล้วเหรอ”
“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วล่ะ อีก 8 นาทีเขาจะเข้าตีกันแล้ว”
ว่าแล้วลำแสงสว่างก็ค่อย ๆ สาดส่องเข้ามาผ่านบานประตูที่เปิดออก
ลุงทหารยืนอยู่บนบันไดหิน หันมามองตัวฉันที่ยังนั่งคุดอยู่ตรงมุมห้อง
“ลุกขึ้น แม่มด ! ได้เวลาแล้ว” คุณลุงกวักมือเรียก
ว่าฉันเองก็อยากจะขยับอยู่หรอก แต่ว่า...
“ขาหนู...มันขยับไม่ได้”
“ให้ตายสิ” ว่าแล้วลุงทหารหนวดเฟิมก็เดินอาด ๆ เข้ามาฉุดกระชากฉันให้ลุกขึ้นยืน พลางกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนักว่า
“ฟังนะแม่มด จะมากลัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว ถึงเธอลุกไม่ขึ้นฉันก็จะลากเธอขึ้นไปกับฉันให้ได้”
แน่นอนว่าท่าทางของลุงดูน่ากลัวมาก แต่ที่ฉันทนไม่ได้มากกว่าคือการที่ถูกหาว่าเป็นคนขี้ขลาด
“ขาหนูแค่เหน็บกินเพราะนั่งนานไปเท่านั้นล่ะ”
ใช่แล้ว ที่ฉันลุกไม่ขึ้นก็เพราะขาเหน็บกินเท่านั้น ที่มันสั่นเทาเพราะนั่งไม่ได้เปลี่ยนท่ามานานตางหาก
ไม่ใช่เพราะกลัวหรอก...
จริง ๆ นะ ฉันไม่ได้กลัวเลย
ฉันปลอบตัวเองพลางสะบัดตัวจากคุณลุงออกมายืนด้วยขาทั้งสอง
ลุงจ้องตาฉันราวกับต้องการคำยืนยันอะไรบางอย่าง ฉันก็จ้องตากลับอย่างไม่หวาดหวั่น
“แน่ใจนะว่าแผนนี้จะได้ผล” ลุงย้ำถามอีกครั้ง
“แน่นอนสิคะ ขอเอานามของแคทรียาแห่งหมู่บ้านวิลโลว์ไชล์เป็นประกันเลย”
“ขอให้มันจริงเถอะ”
ว่าแล้วคุณลุงก็รีบหันหลังปีนบันไดขึ้นไปบนพื้นดิน
ส่วนฉันสูดอากาศเหม็นอับเป็นครั้งสุดท้ายในห้องที่เป็นดั่งสวนสวรรค์อันแสนปลอดภัยท่ามกลางดงกระสุน ก่อนจะรีบวิ่งทะยานตามแผ่นหลังของคุณลุงไป
ใช่แล้ว ฉันต้องทำได้...
เพราะฉันกำลังจะใช้เวทมนต์ปกป้องชีวิตทหารนับพันนายที่จะยาตราผ่านลานสังหารแห่งนี้
ความคิดเห็น