ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Battlefield Witch: Cattleya แม่มดฝ่าสมรภูมิเดือด

    ลำดับตอนที่ #2 : แม่มดกับเขต No Man's Land

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 54



                    ปีสาธารณรัฐศักราชที่ 10 หรือปีรัชศักราชที่ 182 ตามปฏิทินเก่า

     

    มันคือปีแห่งมหาสงครามที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสงครามที่จะจบสิ้นสงครามทั้งปวง

     

    ฉันไม่รู้หรอกว่าสาเหตุเกิดจากอะไร  บ้างก็ว่าฝ่ายสาธารณรัฐยั่วยุให้ฝ่ายจักรวรรดิรุกรานก่อน  บ้างก็ว่าฝ่ายจักรวรรดิต้องการขุดรากถอนโคนปฏิวัติก่อนที่มันจะลามมาสู่ตนเสียแต่เนิ่น ๆ

     

    ที่แน่ ๆ คือตั้งแต่สงครามเริ่มเปิดฉากมาได้ 3 เดือน  อย่างน้อยจำนวนตัวเลขความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายเหยียบครึ่งล้าน...

     

    ฉันล่ะไม่อยากนับเลยว่าครึ่งล้านนี่มันศูนย์ต่อท้ายกี่ตัวกัน 

     

    แต่เพราะสงครามในครั้งนี้  ทำให้ฉันต้องมานั่งแหง็กอยู่ในห้องมืด ๆ นี่กี่ชั่วโมงแล้ว  ไม่สิ  ต้องบอกว่ากี่วันแล้วต่างหาก

     

    ฉันต้องมาหลบอยู่ในห้องใต้ดินเก่าตามคำแนะนำของไอริสที่เป็นเพื่อนเกลอของฉันเอง

     

    เธอบอกว่าจุดนี้เป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุดในโนแมนส์แลนด์  หรือเขตพื้นที่ว่างระหว่างสนามเพลาะของสองฝ่ายแล้ว 

     

    ไอริสพูดถูก  ถึงโบสถ์ด้านบนจะถูกปืนใหญ่ยิงถล่มจากทั้งสองฝ่ายซะจนแทบจะหาเศษฐานไม่ได้แล้วก็เถอะ  แต่ห้องใต้ดินที่ลึกลงไปหกฟุตยังคงแข็งแรงทนทาน  รองรับการระดมยิงได้แทบทุกรูปแบบ  อีกทั้งยังเย็นพอที่จะไม่ทำให้ฉันร้อนตายไปเสียก่อน

     

    แต่ก็นั่นล่ะ  ยังไงมันก็รู้สึกบัดซบอยู่ดี

     

    หนึ่งวันเต็ม ๆ ที่ฉันไม่ได้เห็นแสงตะวันจากเบื้องบน  ฉันต้องนั่งคุดคู้อยู่ในที่ห้องเก็บของใต้ดินอันแสนอึดอัด  มืออุดหูปิดกั้นจากเสียงระเบิดที่ดังอยู่เหนือหัวแทบจะทั้งวันทั้งคืน  คอยภาวนาอย่าให้มีกระสุนปืนใหญ่หล่นเข้ามา  รอคอยว่าเมื่อไหร่เสียงระเบิดที่ราวกับวันโลกาวินาศจะหยุดเสียที

     

    เสียงแหลมหวีดหวิวผ่านหัวบ้าง  เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวบ้าง 

     

    โอย... มันดังไม่จบไม่สิ้นเสียที

     

    สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฉันแล้ว  การที่ต้องทนเสียงระเบิดทั้งคืนมันทำให้ฉันแทบคลั่ง  ถึงแม้จะพอมั่นใจว่าห้องใต้ดินของโบสถ์จะลึกพอที่กระสุนปืนใหญ่จะเจาะลงมาไม่ถึงก็เถอะ  แต่ให้มานั่งอยู่กลางเขตโนแมนส์แลนด์มันย่อมเครียดเป็นธรรมดา  หากฉันไม่อาจเข้าสู่ห้วงแห่งอาคาช่าได้  คงจะสติแตกไปนานแล้ว

     

    ในที่สุดเสียงระเบิดก็หยุดลง

     

    แม่มด  ขอไฟหน่อยสิ

     

    เสียงแหบแห้งของชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาจากความมืดมิด  มันเป็นเสียงที่ไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลยแต่ฉันเองก็ไม่ใส่ใจนัก  เพราะมีลุงคนนี้อยู่ด้วยทำให้ฉันไม่ได้อยู่ในนี้เพียงลำพัง  และนั่นเป็นอีกสาเหตุว่าทำไมฉันยังรู้สึกอุ่นใจทั้งที่กระสุนปืนใหญ่นับหมื่นลูกจะบินข้ามหัวอยู่ทั้งคืนก็ตาม

     

    แกเป็นคุณลุงอายุประมาณเกือบสี่สิบเห็นจะได้  ฉันไม่รู้จักชื่อของลุงแกหรอกเพราะแกไม่ยอมบอกแม่มดอย่างฉัน  กลัวว่าหากบอกชื่อไปแล้วจะถูกสาป  แต่ก็ยังอุตส่าห์อยู่กับฉันในห้องแคบ ๆ ได้ทั้งคืน... 

     

    อย่างน้อยก็ยังน่ายินดีที่แกกลัวการบุกเข้าตีมากกว่าต้องหมกอยู่กับแม่มดอย่างฉัน

     

    เร็วเข้าหน่อยไม่ได้เหรอ 

     

    ฉันรีบคว้ากล่องไม้ขีดที่จำได้ว่าพกติดตัวมาด้วยขึ้นมาจุด  ประกายไฟจากการเสียดสีหัวไม้ขีดฟอสฟอรัสแหวกม่านความมืดออก  เผยให้เห็นชายวัยลุงหนวดทรงที่จับจักรยานหน้าตาเจนศึกนั่งอยู่ไม่ห่าง  เขาสวมหมวกเหล็กเอเดรียนและชุดเครื่องแบบสนามสีน้ำเงินมอมแมม  ในมือกระชับปืนไรเฟิลติดกล้องแน่น

     

    ให้ตายสิ  เป็นแม่มดทั้งทีทำไมไม่เสกไฟอะไรออกมาล่ะ

     

    แน่นอนว่าฉันทำอะไรอย่างที่ลุงบอกไม่ได้หรอก  ฉันเป็นแม่มดนะ  ไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุหรือนักมายากลสักหน่อย  แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ  ฉันได้แต่เพียงยื่นก้านไม้ขีดที่กำลังจะไหม้ถึงกลางไม้ให้กับลุงพลางเบือนหน้าหนีแสงที่แสบลูกตาเสียเหลือเกิน 

     

    ฉันถือได้เพียงครู่เดียวก่อนจะต้องทิ้งมันไปเพราะความร้อน  ทว่ามันก็เพียงพอที่จะให้ลุงเห็นเวลาจากนาฬิกาข้อมือได้

     

    เจ้าพวกปืนใหญ่บ้าเอ้ย  หยุดยิงเร็วไปแล้ว  ลุงบ่นอุบ  แต่ฉันกลับดีใจที่มันหยุดได้เสียที

     

    ถึงอย่างนั้น  ฉันก็ดีใจได้ไม่นานนัก

     

    แม่มด  พร้อมแล้วนะ  ลุงกระซิบพร้อมกับเสียงของการเคลื่อนตัวในความมืดมิด

     

    เดี๋ยวสิ  เราจะไปกันแล้วเหรอ 

     

    ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วล่ะ  อีก 8 นาทีเขาจะเข้าตีกันแล้ว 

     

    ว่าแล้วลำแสงสว่างก็ค่อย ๆ สาดส่องเข้ามาผ่านบานประตูที่เปิดออก 

     

    ลุงทหารยืนอยู่บนบันไดหิน  หันมามองตัวฉันที่ยังนั่งคุดอยู่ตรงมุมห้อง

     

    ลุกขึ้น  แม่มด ! ได้เวลาแล้ว  คุณลุงกวักมือเรียก 

     

    ว่าฉันเองก็อยากจะขยับอยู่หรอก  แต่ว่า...

     

    ขาหนู...มันขยับไม่ได้

     

    ให้ตายสิ  ว่าแล้วลุงทหารหนวดเฟิมก็เดินอาด ๆ เข้ามาฉุดกระชากฉันให้ลุกขึ้นยืน  พลางกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนักว่า

     

    ฟังนะแม่มด  จะมากลัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว  ถึงเธอลุกไม่ขึ้นฉันก็จะลากเธอขึ้นไปกับฉันให้ได้

     

    แน่นอนว่าท่าทางของลุงดูน่ากลัวมาก  แต่ที่ฉันทนไม่ได้มากกว่าคือการที่ถูกหาว่าเป็นคนขี้ขลาด 

     

    ขาหนูแค่เหน็บกินเพราะนั่งนานไปเท่านั้นล่ะ 

     

    ใช่แล้ว  ที่ฉันลุกไม่ขึ้นก็เพราะขาเหน็บกินเท่านั้น  ที่มันสั่นเทาเพราะนั่งไม่ได้เปลี่ยนท่ามานานตางหาก

     

    ไม่ใช่เพราะกลัวหรอก...

     

    จริง ๆ นะ  ฉันไม่ได้กลัวเลย

     

    ฉันปลอบตัวเองพลางสะบัดตัวจากคุณลุงออกมายืนด้วยขาทั้งสอง

     

    ลุงจ้องตาฉันราวกับต้องการคำยืนยันอะไรบางอย่าง  ฉันก็จ้องตากลับอย่างไม่หวาดหวั่น

     

    แน่ใจนะว่าแผนนี้จะได้ผล  ลุงย้ำถามอีกครั้ง

     

    แน่นอนสิคะ  ขอเอานามของแคทรียาแห่งหมู่บ้านวิลโลว์ไชล์เป็นประกันเลย 

     

    ขอให้มันจริงเถอะ 

     

    ว่าแล้วคุณลุงก็รีบหันหลังปีนบันไดขึ้นไปบนพื้นดิน

     

    ส่วนฉันสูดอากาศเหม็นอับเป็นครั้งสุดท้ายในห้องที่เป็นดั่งสวนสวรรค์อันแสนปลอดภัยท่ามกลางดงกระสุน  ก่อนจะรีบวิ่งทะยานตามแผ่นหลังของคุณลุงไป

     

    ใช่แล้ว  ฉันต้องทำได้...

     

    เพราะฉันกำลังจะใช้เวทมนต์ปกป้องชีวิตทหารนับพันนายที่จะยาตราผ่านลานสังหารแห่งนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×