คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 1: Act IX
มันเป็นจูบที่เร่าร้อน...
ริมฝีปากสองคู่ขบขย้ำเข้าหากันอย่างดูดดื่ม
ตอนแรกเมดสาวไร้นายพยายามจะขัดขืน แต่ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงไม่อาจต้านทานจึงได้แต่ปล่อยให้ริมฝีปากของอีกฝ่ายเย้าหยอกอย่างไร้การขัดขืน
นัยน์ตาที่เบิกโพลงด้วยความตื่นตกใจในตอนแรกค่อย ๆ พริ้มหลับลง ปลดเปลื้องแรงต้านทาน เหลือไว้แต่ความรู้สึกร้อนรุ่มที่ครอบครองประสาททุกส่วนของร่างกาย...
นานเท่าไหร่ไม่ทราบกว่าที่เด็กสาวจะผละริมฝีปากออกมาพร้อมกับคราบน้ำลายบาง ๆ ที่ยังเชื่อมทั้งสองไว้ราวกับไม่อยากพรากจากกัน
เมดสงครามที่น่าหวาดหวั่นราวกับเสือร้ายบัดนี้กลายเป็นเพียงลูกแมวเชื่องในอ้อมอกเด็กสาว ร่างของเมลิซซ่ายังสั่นสะท้านเบา ๆ หน้าอกที่ดันนูนออกมาจากเครื่องแบบซอมซ่อมกระเพื่อมด้วยความเหนื่อยหอบ นัยน์ตาสีทองแดงที่หลับพริ้มค่อย ๆ ลืมตาที่หยาดเยิ้ม
“ไง รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ว้าย !”
เมลิซซ่าที่เพิ่งรู้สึกตัวรีบถีบตัวหนีเด็กสาว และในตอนนั้นเองที่หล่อนต้องแปลกใจว่าเรี่ยวแรงที่หายไปได้กลับมาแล้ว...
“ธ..ธ... เธอทำอะไรนะ”
เด็กสาวยักไหล่ราวกับว่าเรื่องสักครู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ก็... ทางเลือกที่สามที่ซีเรียเคยพูดถึงไง”
“น...นายหญิงคลาริส...ป...เป็นนายหญิงคนเดียวของเรา”
“แต่ท่านก็ไม่อยู่แล้ว” เด็กสาวคลานเข้าประชิดเมลิซซ่าอีกรอบ “เธอเพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าความสุขของเมดสงครามคือการได้รับใช้เจ้านาย ถ้าเธออยากเติมเต็มคำสั่งสุดท้ายของบารอนเนสคลาริสก็มาเป็นของเราซะสิ้นเรื่อง มีแต่ผลดีทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ”
“แต่ว่าเรื่องการคัดเลือก...”
“เธอน่าจะรู้นี่ว่าหนึ่งในวิธีการครอบครองเมดสงครามวิธีหนึ่งคือเอาชนะเมดสงครามที่ไร้เจ้านายในการประลอง แค่ที่สู้กันเมื่อสักครู่ไม่พออีกรึ”
“แต่เธอยังเด็กอยู่”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เห็นอย่างนี้เราเองก็เคยมีเมดสงครามเหมือนกันนะ”
“ต..แต่ว่า― ”
“เลิก ‘แต่’ เสียทีน่า !” เด็กสาวจับเมลิซซ่ากดลงที่พื้น ลมหายใจอุ่น ๆ ของทั้งสองสัมผัสกันอย่างเย้ายวน
“บอกมาสิว่าจะเป็นของเราหรือไม่ ?”
“ท...ท่านต้องการเราหรือคะ ?” คราวนี้เสียงของเมลิซซ่าอ่อนลงราวกับสาวน้อยกำลังถูกต้อนโดยคำพูดหวานเลี่ยนของชายหนุ่มที่เข้ามาเกี่ยวพาราสี
“ก็เออสิ”
คำพูดสุดท้ายของเด็กสาวเป็นเหมือนกับมนต์วิเศษที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของเมลิซซ่า
เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ร้องไห้คราวนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา
น้ำตาที่ไหลรินออกมานั้นเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ
ในที่สุดคำตอบที่เธอรอคอยมานานก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเสียที...
คำตอบที่ทำให้ความปรารถนาที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสุดท้ายของนายหญิง และความปรารถนาเบื้องลึกในจิตใจของเมดสงครามสาวผู้นี้เป็นจริง...
เมลิซซ่าเช็ดคราบน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มทั้งรอยยิ้ม
“ค่ะ...เจ้านาย”
“บารอนเนสคลาริสเองก็คงดีใจที่เห็นเธอมีความสุข”
และแล้วทั้งสองก็จูบกันอีกครั้ง
......................................
..........................
..............
....
ตามบันทึกคำให้การที่หมวดแอนเดอร์สันได้สัมพาษณ์พยานคนเดียวที่เหลืออยู่ ถึงจะโดนปืนยิงเข้าไปที่สีข้างเต็ม ๆ แต่ซีเรียก็ทำให้ชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธครบมือต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบาก
ทว่าน้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ
ในที่สุดเสียงปืนก็หยุดลงพร้อมกับร่างเมดสงครามที่นอนจมกองเลือดกับพื้น
เธอยังหายใจอย่างโรยริน แต่คราวนี้เธอโดนกระสุนเข้าที่แขน ที่ขา ที่ท้อง หมดสภาพในการต่อสู้โดยสิ้นเชิง
กระนั้นมันกลับใช้เวลานานกว่าที่พวกเขาจะกำราบเมดสงครามวัยกลางคนได้ แถมยังสูญเสียพวกพ้องไปถึงห้าชีวิตที่รวมทั้งสามรายแรกที่โดนสังหารโดยไม่ทันตั้งตัว และบาดเจ็บกันถ้วนหน้า
คราวนี้พวกเขาตั้งใจจะไม่ให้ผิดพลาดเหมือนกับโรเบิร์ตอีกแล้ว ชายคนหนึ่งจ่อปืนที่ศีรษะชุ่มเลือดของเมดสงครามใกล้ฝั่ง เตรียมที่จะเหนี่ยวไกสังหารหล่อนให้จบเรื่องจบราว
“เอาล่ะ มีอะไรจะสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายไหม”
ทว่า เมดที่ใกล้ตายกลับยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
“มาสายนะท่าน”
ก่อนที่เขาจะทราบว่าเมดผู้นั้นพูดถึงอะไรก็มีเสียงระเบิดดังกึกก้องที่เหนือหัวพร้อมกับควันสีขาวที่กระจายไปทั่ว
ในตอนนั้นเอง มีวัตถุบางอย่างร่วงตัดผ่านหมอกควันลงมาจากท้องฟ้า...
พลั่วด้ามยักษ์ที่ปักบนพื้นโถงที่ทำจากหินอย่างง่ายดาย
และบนพลั่วอันนั้นก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนบนปลายด้ามจับด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
ผมสีเงินของหล่อนดูละเอียดและมันวาวจนราวกับมันเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิด
ใบหน้าอันงดงามของสาววัยรุ่นอายุไม่เกินยี่สิบดูเปล่งปลั่งเต็มไปด้วยเลือดฝาดแสดงถึงสุขภาพที่สมบูรณ์
เธอสวมเครื่องแบบเมดซอมซ่อ แต่กระนั้นร่างอรชรของเธอกลับดูสง่างามราวกับนางฟ้าที่ลงมาโปรดมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาปหนา
พยานเล่าว่าในตอนนั้นพวกเขาทุกคนต่างล้วนตกอยู่ใต้มนต์สะกดความงามของสตรีเบื้องหน้า โดยลืมถึงความหมายที่แสนอันตรายของแอพรอนสีขาวที่หล่อนสวมอยู่เลย
กว่าที่ทุกคนจะรู้ตัวและเริ่มยกปืนไรเฟิลขึ้นยิงกับศัตรูรายใหม่ ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว
เมดสาวกระโดดตีลังกาลงมาจากพลั่วพร้อมกวาดแขนออกทั้งสองข้าง จู่ ๆ ลวดหนามนับสิบนับร้อยเส้นก็โผบินขึ้นรอบกายของเธอราวกับเถาวัลย์ที่มีชีวิต มันเคลื่อนไหวราวกับงูก่อนจะ เกี่ยวตรึงร่างของทุกคนในที่นั้นอย่างโหดเหี้ยม
แทบทุกคนต่างร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดกับการถูกตรึงร่างทั้งเป็นกลางอากาศราวกับเหยื่อที่ติดใยแมงมุม บางคนพยายามจะดิ้นรน แต่หนามแหลมคมก็ยิ่งฝังลงไปในเนื้อนุ่ม ๆ ทั่วร่าง ยิ่งขึ้นไปอีก
หมวดแอนเดอร์สันบันทึกเสริมในจุดนี้ไว้ว่า มันน่าจะเป็นอาวุธแมทีเรียลไลซ์ที่แท้จริงของเถาวัลย์สวรรค์ เมลิซซ่า
ในตอนนั้นเองที่พยานกล่าวว่าเขาเห็นเด็กสาวอีกคนเดินลงมาจากบันไดหลักของปราสาท หล่อนทอดสายตามองพวกเขาทุกคนด้วยความรู้สึกขยะแขยงราวกับกำลังมองแมลงที่น่ารังเกียจ เธอเดินตรงไปยังร่างของเมดวัยกลางคนที่กำลังใกล้ตาย
หล่อนกระซิบบางอย่างกับเมดวัยกลางคน ถึงมันจะเบามาก แต่พยานที่อยู่แถวนั้นก็ได้ยินค่อนข้างชัดเจนกับสิ่งที่เมดผู้นั้นกล่าวทั้งที่กำลังสำลักเลือดว่า
“ในนิมิตของท่านเห็นเราอยู่เคียงคู่ท่านหรือไม่”
เด็กสาวส่ายหน้าอย่างศร้าสร้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เราไปพบกับนายท่านในสรวงสวรรค์เถิด...”
คราวนี้เด็กสาวพยักหน้า
“อา... การได้รับใช้ตามคำสั่งของนายท่านจนถึงวาระสุดท้ายช่างรู้สึกโรแมนติกเหลือเกิน
เมื่อสิ้นคำพูด หล่อนก็ไม่ขยับตัวอีก ปล่อยให้เด็กหญิงตัวเล็กกุมมือเมดที่เต็มไปด้วยบาดแผลอย่างไม่อาจเดาอารมณ์ได้
เพียงอึดใจต่อมา ร่างไร้ชีวิตของเมดก็ค่อย ๆ แตกสลาย กลายเป็นกากเพชร
มือที่กุมไว้แปรสภาพเป็นผงกากเพชรละเอียด ร่วงหล่นผ่านร่องนิ้วอย่างมิอาจหวนคืนกลับมา
หล่อนก็ลุกขึ้นเดินจากกองเศษซากกากเพชรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมดสงคราม ก่อนจะหันมามองพวกชาวบ้านทุกคนด้วยจงเกลียดจงชัง
“จะทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดีคะ ?” เมดสาวผมเงินถาม
“ฆ่าพวกมันให้หมด” เด็กสาวออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จัดการทีละคนด้วยพลั่วนะ”
“รับทราบค่ะ”
เมดสาวผมเงินจีบกระโปรงย่อตัวรับคำสั่งด้วยความนอบน้อม เพียงชั่วพริบตาพลั่วสนามก็ปรากฎอยู่ในมือของเธอ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนก็เริ่มดิ้นลนลานด้วยความกลัวตาย แต่ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งทำให้ความตายที่กำลังใกล้เข้ามายิ่งเจ็บปวดหนักเข้าไปใหญ่
“ได้โปรด ปล่อยข...”
คนแรกถูกด้ามคมของปลายพลั่วสับจนคางหลุดก่อนที่จะสับลงกลางศีรษะจนหัวแบ่ะ...
คนที่สองถูกฟันที่ต้นคอจนคอหัก
พอถึงคนที่สามคำร้องขอก็หมดไปจากเหยื่อของทุกคน เหลือแต่ความพยายามที่จะดิ้นหนี ไม่ก็เสียงคำสาปแช่งที่แสนจะหยาบคาย
“สาธารณรัฐอาราเนียจงเจริญ ! สหภาพจงเจริญ !”
ฉับ !
“วีว่าเสรีภาพ ! อิสรภาพ ! ภารดร ―”
ฉั่วะ !
“ไอ้พวกสุนัขราชวงศ์ ขอให้แม่ของแกโดน ―”
กรุบ !
เมื่อถึงคนที่สิบกว่า ใบหน้าของเมดสาวก็เต็มไปด้วยเลือดที่สาดกระเซ็น มีบ้างที่หล่อนเช็ดเลือดที่เปื้อนตา แต่โดยส่วนใหญ่หล่อนปล่อยให้โลหิตของเหยื่อชโลมร่างกายราวกับชำระล้างสิ่งโสโครกทั้งมวล มิหนำซ้ำ เธอเริ่มฮัมเพลงอย่างมีความสุขราวกับกำลังเดินเก็บเห็ดทรัมเฟิลก็ไม่ปาน
มีอยู่คนที่ดิ้นหลุดออกมาจากลวดหนามได้ แต่ปากของเขาก็โดนหนามเกี่ยวจนฉีกขาด เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ซึ่งเมดสาวผู้นั้นก็สงเคราะห์ชายผู้นั้นด้วยพลั่วนับสิบที่พุ่งลงมาปักร่าง ตัวเขากระตุกอยู่สองสามที่ก่อนจะแน่นิ่งไป จากนั้นเมดสาวก็ดำเนินการสังหารหมู่ต่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ในบันทึกของหมวดแอนเดอร์สันเล่าวิธีการที่พยานรอดชีวิตไว้ว่า ข้าง ๆ ตัวของชายผู้นั้นมีคีมตัดเหล็กหล่นอยู่พอดิบพอดี ระหว่างที่เมดสาวกำลังง่วนอยู่กับการแบะกะโหลกพวกพ้องของเขาอีกฟาก ชายผู้นี้ก็รีบตัดลวดที่พันตัวก่อนหมอบซ่อนตัวอยู่ในซากอิฐซากปูนของเพดานที่ถล่มลงมา
เขาจำไม่ได้ว่าเหตุการณ์ฆ่าฟันจบลงเมื่อไหร่ เพราะแม้ว่าเสียงร้องสุดท้ายจะเงียบไปแล้วเขาก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาสำรวจ เขาขดตัวอยู่ในที่ซ่อนทั้งบาดแผลที่บาดเจ็บสาหัสจนสลบไป จนกระทั่งรุ่งเช้าที่ทีมสำรวจจากหมู่บ้านทีมที่สองจะมาช่วยเหลือเขาที่สลบไสลไม่ได้สติ
จากการสำรวจหลังจากนั้นไม่พบอะไรนอกจากเศษกากเพชรเพียงเล็กน้อยที่กระจายอยู่ตามพื้น ปะปนไปกับเศษฝุ่นอื่น ๆ
และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พยานผู้นั้นเล่าให้ฟังในสำนวนการสอบสวนของหมวดแอนเดอร์สัน
..........................................
.............................
.................
.....
ท่ามกลางท้องฟ้าจันทร์เต็มดวง เมดสาวเมลิซซ่ายืนอาบแสงนวลของดวงจันทร์ทั้งสองราวกับต้องการชำระล้างคราบโลหิตบนเนื้อตัวให้หมดสิ้น
สภาพของเมลิซซ่าในตอนนี้ต่างไปโดยสิ้นเชิงจากเมื่อครั้งที่เจ้านายของหล่อนพบในตอนแรก
ไม่เหลือเค้าของเมดสาวที่กำลังจะใกล้ตายอีกต่อไป... ผิวที่เคยแห้งผากราวกับต้นไม้ที่ขาดน้ำกลับดูชุ่มชื่น ผมสีเงินที่เคยดูสกปรกบัดนี้ปลิวสยายไปกับสายลมราวกับเส้นไหม นัยน์ตาทองแดงที่ไร้อนาคตเปล่งประกายด้วยพลังแห่งชีวิต
ไม่มีภาพใดงดงามเกินไปกว่านี้อีกแล้ว
“สุดท้ายแล้วสิ่งที่นิมิตพยายามบอกนายท่านคือการให้มาทำสัญญากับเราสินะคะ ? และการได้เรามาเป็นเมดรับใช้ก็เป็นหนทางที่นายท่านจะบรรลุเป้าหมายที่ว่า” เมลิซซ่ากล่าวพลางหมุนตัวไปหาเจ้านายที่นั่งอยู่ถัดไปไม่ห่างนัก
“ใช่แล้วล่ะ” เจ้านายใหม่ที่ยังคงสวมชุดเมดกล่าวขึ้นลอย ๆ
“สรุปเราเป็นเครื่องมือของนายท่านเช่นนั้นสินะคะ”
“ไม่พอใจหรือไงกัน”
เมดสาวผมเงินที่กำลังเจิดจรัสราวกับหญิงสาวที่กำลังมีความรักส่ายหัวปฏิเสธอย่างอ่อนโยน
“แค่นายท่านต้องการเราก็พอแล้วค่ะ หากเราเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้นายท่านสมหวังเราก็มีความสุขแล้วล่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ”
ทว่าเมลิซซ่ามิได้สนใจน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักใจของเจ้านายเลย หล่อนชูแขนขึ้นพร้อมแหงนหน้ารับลมยามค่ำคืนที่พัดพากลิ่นเลือดให้ลอยไปตามสายลม เหม่อมองท้องฟ้าที่มีดวงจันทร์คู่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข
“นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้ออกมานอกปราสาท”
ในที่สุดเธอก็มีเจ้านายให้คอยรับใช้อีกครั้งเสียที แม้ว่าการรับใช้เจ้านายคนใหม่ผู้นี้จะทำให้เส้นทางชีวิตของหล่อนเปื้อนเลือดก็ตาม แต่นั่นมันก็เป็นความเสี่ยงในอาชีพนี้อยู่แล้ว
“แล้วตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ” เด็กในชุดเมดที่ยืนมองอยู่ถามด้วยน้ำเสียงเจือด้วยความง่วง
“แย่สุด ๆ เลยล่ะค่ะ”
“แย่ที่เจ้านายไม่เป็นดั่งที่ใจนึกไว้รึ” เจ้านายเด็กเอ่ยถามกลับ
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่เนื้อตัวเราเหนียวไปหมดเลย”
“ก็ว่างั้นล่ะ”
เมลิซซ่าลดแขนลงเหมือนกับเพิ่งระลึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หล่อนหันหน้าหนีเหมือนกับไม่อยากให้ผู้เป็นนายมองเห็นใบหน้าในตอนนี้
“นายท่านคะ...”
“มีอะไรรึ”
“จนป่านนี้เรายังไม่อยากเชื่อเลยว่านายท่านจะเป็น ‘นายท่าน’ น่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้านายผู้มีใบหน้าสวยงามเกินหญิงก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ก็เห็นในห้องนั้นแล้วยังไม่แน่ใจอีกหรือ”
“ก็มัน...”
“แล้วยังนั่นอีก ร่างกายเธอน่าจะรับรู้ได้เป็นอย่างดีแล้วนี่นา”
“ก็ตอนนั้นมันฉุกละหุกนี่คะ”
เจ้านายคนใหม่แสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ
“อย่างนั้นลองทำพันธะสัญญากันอีกทีไหมล่ะ”
คราวนี้เมดสาวหันมามองเจ้านายร่างเล็กด้วยความแปลกใจ
“จะทำกันตรงนี้เลยหรือคะ ?”
“ตอนนี้อากาศก็ดี ท้องฟ้าก็สวยดี แถมแถวนี้ก็ไม่มีคน นาน ๆ ทีลองอะไรแปลก ๆ ก็ไม่เสียหายอะไร”
“เรายังรู้สึกไม่คุ้นกับการทำสัญญากับนายท่านเลยค่ะ เกรงว่าทำกันในตอนนี้ออกจะอาลาโมเกินที่เราจะรับไหวไปหน่อย” เมลิซซ่ารีบแย้งทันควัน
“เห... ไหนว่าทำกับบารอนเนสคลาริสบ่อยไง”
“แต่ว่า กับท่านแล้วนั่นเป็นครั้งแรกกับผู้ชายนี่คะ”
เมื่อเห็นดังนั้นเจ้านายที่มีใบหน้าคล้ายเด็กหญิงก็ถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“เอางั้นก็ได้ ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนที่จะต้องทำสัญญาใหม่นี่นา”
“แต่ว่า...” คราวนี้เมลิซซ่าทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเหมือนกับพยายามจะรวบรวมความกล้าที่จะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา
“ถ้าเป็นอาบน้ำด้วยกันล่ะก็ เราก็พอได้อยู่นะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้านายก็เผลอที่จะยิ้มให้กับความที่ปากไม่ตรงกับใจของเมดสงครามคนใหม่ของเขาเสียมิได้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าของสถานที่ก็นำทางเลยก็แล้วกัน”
“รับทราบค่ะ นายท่าน”
“ว่าแต่ว่าเราอยากมีเรื่องถามนายท่านอยู่อย่างหนึ่งค่ะ”
“ว่ามาสิ”
เมลิซซ่าใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากก่อนจะถามคำถามออกไปว่า...
“นายท่านชื่ออะไรคะ ?”
ความคิดเห็น