ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Maid-At-Arms สาวใช้พันธุ์ดุ

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 1: Act IX

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.พ. 65


    มันเป็นจูบที่เร่าร้อน...

    ริมฝีปากสองคู่ขบขย้ำเข้าหากันอย่างดูดดื่ม

    ตอนแรกเมดสาวไร้นายพยายามจะขัดขืน  แต่ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงไม่อาจต้านทานจึงได้แต่ปล่อยให้ริมฝีปากของอีกฝ่ายเย้าหยอกอย่างไร้การขัดขืน

    นัยน์ตาที่เบิกโพลงด้วยความตื่นตกใจในตอนแรกค่อย ๆ พริ้มหลับลง  ปลดเปลื้องแรงต้านทาน  เหลือไว้แต่ความรู้สึกร้อนรุ่มที่ครอบครองประสาททุกส่วนของร่างกาย...

    นานเท่าไหร่ไม่ทราบกว่าที่เด็กสาวจะผละริมฝีปากออกมาพร้อมกับคราบน้ำลายบาง ๆ ที่ยังเชื่อมทั้งสองไว้ราวกับไม่อยากพรากจากกัน

    เมดสงครามที่น่าหวาดหวั่นราวกับเสือร้ายบัดนี้กลายเป็นเพียงลูกแมวเชื่องในอ้อมอกเด็กสาว  ร่างของเมลิซซ่ายังสั่นสะท้านเบา ๆ  หน้าอกที่ดันนูนออกมาจากเครื่องแบบซอมซ่อมกระเพื่อมด้วยความเหนื่อยหอบ  นัยน์ตาสีทองแดงที่หลับพริ้มค่อย ๆ ลืมตาที่หยาดเยิ้ม

    “ไง  รู้สึกอย่างไรบ้าง”

    “ว้าย !”

    เมลิซซ่าที่เพิ่งรู้สึกตัวรีบถีบตัวหนีเด็กสาว  และในตอนนั้นเองที่หล่อนต้องแปลกใจว่าเรี่ยวแรงที่หายไปได้กลับมาแล้ว...

    “ธ..ธ... เธอทำอะไรนะ”

    เด็กสาวยักไหล่ราวกับว่าเรื่องสักครู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

    “ก็... ทางเลือกที่สามที่ซีเรียเคยพูดถึงไง” 

    “น...นายหญิงคลาริส...ป...เป็นนายหญิงคนเดียวของเรา”

    “แต่ท่านก็ไม่อยู่แล้ว”  เด็กสาวคลานเข้าประชิดเมลิซซ่าอีกรอบ  “เธอเพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าความสุขของเมดสงครามคือการได้รับใช้เจ้านาย  ถ้าเธออยากเติมเต็มคำสั่งสุดท้ายของบารอนเนสคลาริสก็มาเป็นของเราซะสิ้นเรื่อง  มีแต่ผลดีทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ”

    “แต่ว่าเรื่องการคัดเลือก...”

    “เธอน่าจะรู้นี่ว่าหนึ่งในวิธีการครอบครองเมดสงครามวิธีหนึ่งคือเอาชนะเมดสงครามที่ไร้เจ้านายในการประลอง  แค่ที่สู้กันเมื่อสักครู่ไม่พออีกรึ” 

    “แต่เธอยังเด็กอยู่”

    “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า  เห็นอย่างนี้เราเองก็เคยมีเมดสงครามเหมือนกันนะ”

    “ต..แต่ว่า― ”

    “เลิก ‘แต่’ เสียทีน่า !”   เด็กสาวจับเมลิซซ่ากดลงที่พื้น  ลมหายใจอุ่น ๆ ของทั้งสองสัมผัสกันอย่างเย้ายวน

    “บอกมาสิว่าจะเป็นของเราหรือไม่ ?”

    “ท...ท่านต้องการเราหรือคะ ?”  คราวนี้เสียงของเมลิซซ่าอ่อนลงราวกับสาวน้อยกำลังถูกต้อนโดยคำพูดหวานเลี่ยนของชายหนุ่มที่เข้ามาเกี่ยวพาราสี 

    “ก็เออสิ”

    คำพูดสุดท้ายของเด็กสาวเป็นเหมือนกับมนต์วิเศษที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของเมลิซซ่า

    เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น  แต่ร้องไห้คราวนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา

    น้ำตาที่ไหลรินออกมานั้นเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ

    ในที่สุดคำตอบที่เธอรอคอยมานานก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเสียที...

    คำตอบที่ทำให้ความปรารถนาที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสุดท้ายของนายหญิง และความปรารถนาเบื้องลึกในจิตใจของเมดสงครามสาวผู้นี้เป็นจริง...

    เมลิซซ่าเช็ดคราบน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มทั้งรอยยิ้ม

    “ค่ะ...เจ้านาย”

    “บารอนเนสคลาริสเองก็คงดีใจที่เห็นเธอมีความสุข”

    และแล้วทั้งสองก็จูบกันอีกครั้ง

    ......................................

    ..........................

    ..............

    ....

     

    ตามบันทึกคำให้การที่หมวดแอนเดอร์สันได้สัมพาษณ์พยานคนเดียวที่เหลืออยู่  ถึงจะโดนปืนยิงเข้าไปที่สีข้างเต็ม ๆ แต่ซีเรียก็ทำให้ชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธครบมือต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบาก

    ทว่าน้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ

    ในที่สุดเสียงปืนก็หยุดลงพร้อมกับร่างเมดสงครามที่นอนจมกองเลือดกับพื้น

    เธอยังหายใจอย่างโรยริน  แต่คราวนี้เธอโดนกระสุนเข้าที่แขน  ที่ขา  ที่ท้อง  หมดสภาพในการต่อสู้โดยสิ้นเชิง 

    กระนั้นมันกลับใช้เวลานานกว่าที่พวกเขาจะกำราบเมดสงครามวัยกลางคนได้  แถมยังสูญเสียพวกพ้องไปถึงห้าชีวิตที่รวมทั้งสามรายแรกที่โดนสังหารโดยไม่ทันตั้งตัว  และบาดเจ็บกันถ้วนหน้า

    คราวนี้พวกเขาตั้งใจจะไม่ให้ผิดพลาดเหมือนกับโรเบิร์ตอีกแล้ว  ชายคนหนึ่งจ่อปืนที่ศีรษะชุ่มเลือดของเมดสงครามใกล้ฝั่ง  เตรียมที่จะเหนี่ยวไกสังหารหล่อนให้จบเรื่องจบราว

    “เอาล่ะ  มีอะไรจะสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายไหม”

    ทว่า  เมดที่ใกล้ตายกลับยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

    “มาสายนะท่าน”

    ก่อนที่เขาจะทราบว่าเมดผู้นั้นพูดถึงอะไรก็มีเสียงระเบิดดังกึกก้องที่เหนือหัวพร้อมกับควันสีขาวที่กระจายไปทั่ว

    ในตอนนั้นเอง มีวัตถุบางอย่างร่วงตัดผ่านหมอกควันลงมาจากท้องฟ้า...

    พลั่วด้ามยักษ์ที่ปักบนพื้นโถงที่ทำจากหินอย่างง่ายดาย

    และบนพลั่วอันนั้นก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนบนปลายด้ามจับด้วยท่วงท่าที่สง่างาม

    ผมสีเงินของหล่อนดูละเอียดและมันวาวจนราวกับมันเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิด

    ใบหน้าอันงดงามของสาววัยรุ่นอายุไม่เกินยี่สิบดูเปล่งปลั่งเต็มไปด้วยเลือดฝาดแสดงถึงสุขภาพที่สมบูรณ์

    เธอสวมเครื่องแบบเมดซอมซ่อ  แต่กระนั้นร่างอรชรของเธอกลับดูสง่างามราวกับนางฟ้าที่ลงมาโปรดมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาปหนา 

    พยานเล่าว่าในตอนนั้นพวกเขาทุกคนต่างล้วนตกอยู่ใต้มนต์สะกดความงามของสตรีเบื้องหน้า  โดยลืมถึงความหมายที่แสนอันตรายของแอพรอนสีขาวที่หล่อนสวมอยู่เลย

    กว่าที่ทุกคนจะรู้ตัวและเริ่มยกปืนไรเฟิลขึ้นยิงกับศัตรูรายใหม่  ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว

    เมดสาวกระโดดตีลังกาลงมาจากพลั่วพร้อมกวาดแขนออกทั้งสองข้าง  จู่ ๆ ลวดหนามนับสิบนับร้อยเส้นก็โผบินขึ้นรอบกายของเธอราวกับเถาวัลย์ที่มีชีวิต  มันเคลื่อนไหวราวกับงูก่อนจะ เกี่ยวตรึงร่างของทุกคนในที่นั้นอย่างโหดเหี้ยม

    แทบทุกคนต่างร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดกับการถูกตรึงร่างทั้งเป็นกลางอากาศราวกับเหยื่อที่ติดใยแมงมุม  บางคนพยายามจะดิ้นรน  แต่หนามแหลมคมก็ยิ่งฝังลงไปในเนื้อนุ่ม ๆ ทั่วร่าง  ยิ่งขึ้นไปอีก

    หมวดแอนเดอร์สันบันทึกเสริมในจุดนี้ไว้ว่า  มันน่าจะเป็นอาวุธแมทีเรียลไลซ์ที่แท้จริงของเถาวัลย์สวรรค์ เมลิซซ่า

    ในตอนนั้นเองที่พยานกล่าวว่าเขาเห็นเด็กสาวอีกคนเดินลงมาจากบันไดหลักของปราสาท  หล่อนทอดสายตามองพวกเขาทุกคนด้วยความรู้สึกขยะแขยงราวกับกำลังมองแมลงที่น่ารังเกียจ  เธอเดินตรงไปยังร่างของเมดวัยกลางคนที่กำลังใกล้ตาย

    หล่อนกระซิบบางอย่างกับเมดวัยกลางคน  ถึงมันจะเบามาก  แต่พยานที่อยู่แถวนั้นก็ได้ยินค่อนข้างชัดเจนกับสิ่งที่เมดผู้นั้นกล่าวทั้งที่กำลังสำลักเลือดว่า

    “ในนิมิตของท่านเห็นเราอยู่เคียงคู่ท่านหรือไม่”

    เด็กสาวส่ายหน้าอย่างศร้าสร้อย

    “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เราไปพบกับนายท่านในสรวงสวรรค์เถิด...”

    คราวนี้เด็กสาวพยักหน้า

    “อา... การได้รับใช้ตามคำสั่งของนายท่านจนถึงวาระสุดท้ายช่างรู้สึกโรแมนติกเหลือเกิน

    เมื่อสิ้นคำพูด  หล่อนก็ไม่ขยับตัวอีก  ปล่อยให้เด็กหญิงตัวเล็กกุมมือเมดที่เต็มไปด้วยบาดแผลอย่างไม่อาจเดาอารมณ์ได้

    เพียงอึดใจต่อมา ร่างไร้ชีวิตของเมดก็ค่อย ๆ แตกสลาย กลายเป็นกากเพชร

    มือที่กุมไว้แปรสภาพเป็นผงกากเพชรละเอียด ร่วงหล่นผ่านร่องนิ้วอย่างมิอาจหวนคืนกลับมา

    หล่อนก็ลุกขึ้นเดินจากกองเศษซากกากเพชรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมดสงคราม  ก่อนจะหันมามองพวกชาวบ้านทุกคนด้วยจงเกลียดจงชัง

    “จะทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดีคะ ?”  เมดสาวผมเงินถาม

    “ฆ่าพวกมันให้หมด”  เด็กสาวออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา  “จัดการทีละคนด้วยพลั่วนะ”

    “รับทราบค่ะ”

    เมดสาวผมเงินจีบกระโปรงย่อตัวรับคำสั่งด้วยความนอบน้อม  เพียงชั่วพริบตาพลั่วสนามก็ปรากฎอยู่ในมือของเธอ

    เมื่อเห็นเช่นนั้น  ทุกคนก็เริ่มดิ้นลนลานด้วยความกลัวตาย  แต่ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งทำให้ความตายที่กำลังใกล้เข้ามายิ่งเจ็บปวดหนักเข้าไปใหญ่

    “ได้โปรด  ปล่อยข...”

    คนแรกถูกด้ามคมของปลายพลั่วสับจนคางหลุดก่อนที่จะสับลงกลางศีรษะจนหัวแบ่ะ...

    คนที่สองถูกฟันที่ต้นคอจนคอหัก

    พอถึงคนที่สามคำร้องขอก็หมดไปจากเหยื่อของทุกคน  เหลือแต่ความพยายามที่จะดิ้นหนี  ไม่ก็เสียงคำสาปแช่งที่แสนจะหยาบคาย

    “สาธารณรัฐอาราเนียจงเจริญ ! สหภาพจงเจริญ !”

    ฉับ !

    “วีว่าเสรีภาพ ! อิสรภาพ ! ภารดร ―”

    ฉั่วะ !

    “ไอ้พวกสุนัขราชวงศ์ ขอให้แม่ของแกโดน ―”

    กรุบ !

    เมื่อถึงคนที่สิบกว่า  ใบหน้าของเมดสาวก็เต็มไปด้วยเลือดที่สาดกระเซ็น  มีบ้างที่หล่อนเช็ดเลือดที่เปื้อนตา  แต่โดยส่วนใหญ่หล่อนปล่อยให้โลหิตของเหยื่อชโลมร่างกายราวกับชำระล้างสิ่งโสโครกทั้งมวล  มิหนำซ้ำ  เธอเริ่มฮัมเพลงอย่างมีความสุขราวกับกำลังเดินเก็บเห็ดทรัมเฟิลก็ไม่ปาน

    มีอยู่คนที่ดิ้นหลุดออกมาจากลวดหนามได้  แต่ปากของเขาก็โดนหนามเกี่ยวจนฉีกขาด  เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล  ซึ่งเมดสาวผู้นั้นก็สงเคราะห์ชายผู้นั้นด้วยพลั่วนับสิบที่พุ่งลงมาปักร่าง  ตัวเขากระตุกอยู่สองสามที่ก่อนจะแน่นิ่งไป  จากนั้นเมดสาวก็ดำเนินการสังหารหมู่ต่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    ในบันทึกของหมวดแอนเดอร์สันเล่าวิธีการที่พยานรอดชีวิตไว้ว่า ข้าง ๆ ตัวของชายผู้นั้นมีคีมตัดเหล็กหล่นอยู่พอดิบพอดี  ระหว่างที่เมดสาวกำลังง่วนอยู่กับการแบะกะโหลกพวกพ้องของเขาอีกฟาก  ชายผู้นี้ก็รีบตัดลวดที่พันตัวก่อนหมอบซ่อนตัวอยู่ในซากอิฐซากปูนของเพดานที่ถล่มลงมา

    เขาจำไม่ได้ว่าเหตุการณ์ฆ่าฟันจบลงเมื่อไหร่  เพราะแม้ว่าเสียงร้องสุดท้ายจะเงียบไปแล้วเขาก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาสำรวจ  เขาขดตัวอยู่ในที่ซ่อนทั้งบาดแผลที่บาดเจ็บสาหัสจนสลบไป  จนกระทั่งรุ่งเช้าที่ทีมสำรวจจากหมู่บ้านทีมที่สองจะมาช่วยเหลือเขาที่สลบไสลไม่ได้สติ

    จากการสำรวจหลังจากนั้นไม่พบอะไรนอกจากเศษกากเพชรเพียงเล็กน้อยที่กระจายอยู่ตามพื้น  ปะปนไปกับเศษฝุ่นอื่น ๆ

    และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พยานผู้นั้นเล่าให้ฟังในสำนวนการสอบสวนของหมวดแอนเดอร์สัน

    ..........................................

    .............................

    .................

    .....

     

    ท่ามกลางท้องฟ้าจันทร์เต็มดวง  เมดสาวเมลิซซ่ายืนอาบแสงนวลของดวงจันทร์ทั้งสองราวกับต้องการชำระล้างคราบโลหิตบนเนื้อตัวให้หมดสิ้น

    สภาพของเมลิซซ่าในตอนนี้ต่างไปโดยสิ้นเชิงจากเมื่อครั้งที่เจ้านายของหล่อนพบในตอนแรก

    ไม่เหลือเค้าของเมดสาวที่กำลังจะใกล้ตายอีกต่อไป... ผิวที่เคยแห้งผากราวกับต้นไม้ที่ขาดน้ำกลับดูชุ่มชื่น  ผมสีเงินที่เคยดูสกปรกบัดนี้ปลิวสยายไปกับสายลมราวกับเส้นไหม  นัยน์ตาทองแดงที่ไร้อนาคตเปล่งประกายด้วยพลังแห่งชีวิต

    ไม่มีภาพใดงดงามเกินไปกว่านี้อีกแล้ว

    “สุดท้ายแล้วสิ่งที่นิมิตพยายามบอกนายท่านคือการให้มาทำสัญญากับเราสินะคะ ? และการได้เรามาเป็นเมดรับใช้ก็เป็นหนทางที่นายท่านจะบรรลุเป้าหมายที่ว่า”  เมลิซซ่ากล่าวพลางหมุนตัวไปหาเจ้านายที่นั่งอยู่ถัดไปไม่ห่างนัก

    “ใช่แล้วล่ะ”  เจ้านายใหม่ที่ยังคงสวมชุดเมดกล่าวขึ้นลอย ๆ

    “สรุปเราเป็นเครื่องมือของนายท่านเช่นนั้นสินะคะ”

    “ไม่พอใจหรือไงกัน”

    เมดสาวผมเงินที่กำลังเจิดจรัสราวกับหญิงสาวที่กำลังมีความรักส่ายหัวปฏิเสธอย่างอ่อนโยน

    “แค่นายท่านต้องการเราก็พอแล้วค่ะ  หากเราเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้นายท่านสมหวังเราก็มีความสุขแล้วล่ะค่ะ”

    “เช่นนั้นหรือ”

    ทว่าเมลิซซ่ามิได้สนใจน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักใจของเจ้านายเลย  หล่อนชูแขนขึ้นพร้อมแหงนหน้ารับลมยามค่ำคืนที่พัดพากลิ่นเลือดให้ลอยไปตามสายลม  เหม่อมองท้องฟ้าที่มีดวงจันทร์คู่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข

    “นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้ออกมานอกปราสาท” 

    ในที่สุดเธอก็มีเจ้านายให้คอยรับใช้อีกครั้งเสียที  แม้ว่าการรับใช้เจ้านายคนใหม่ผู้นี้จะทำให้เส้นทางชีวิตของหล่อนเปื้อนเลือดก็ตาม  แต่นั่นมันก็เป็นความเสี่ยงในอาชีพนี้อยู่แล้ว

    “แล้วตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ”  เด็กในชุดเมดที่ยืนมองอยู่ถามด้วยน้ำเสียงเจือด้วยความง่วง

    “แย่สุด ๆ เลยล่ะค่ะ” 

    “แย่ที่เจ้านายไม่เป็นดั่งที่ใจนึกไว้รึ”  เจ้านายเด็กเอ่ยถามกลับ

    “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ  เพียงแต่เนื้อตัวเราเหนียวไปหมดเลย”

    “ก็ว่างั้นล่ะ”

    เมลิซซ่าลดแขนลงเหมือนกับเพิ่งระลึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้  หล่อนหันหน้าหนีเหมือนกับไม่อยากให้ผู้เป็นนายมองเห็นใบหน้าในตอนนี้

    “นายท่านคะ...”

    “มีอะไรรึ” 

    “จนป่านนี้เรายังไม่อยากเชื่อเลยว่านายท่านจะเป็น ‘นายท่าน’ น่ะค่ะ”

    เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้านายผู้มีใบหน้าสวยงามเกินหญิงก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ 

    “ก็เห็นในห้องนั้นแล้วยังไม่แน่ใจอีกหรือ”

    “ก็มัน...”

    “แล้วยังนั่นอีก  ร่างกายเธอน่าจะรับรู้ได้เป็นอย่างดีแล้วนี่นา” 

    “ก็ตอนนั้นมันฉุกละหุกนี่คะ”

    เจ้านายคนใหม่แสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ

    “อย่างนั้นลองทำพันธะสัญญากันอีกทีไหมล่ะ”

    คราวนี้เมดสาวหันมามองเจ้านายร่างเล็กด้วยความแปลกใจ

    “จะทำกันตรงนี้เลยหรือคะ ?”

    “ตอนนี้อากาศก็ดี  ท้องฟ้าก็สวยดี  แถมแถวนี้ก็ไม่มีคน  นาน ๆ ทีลองอะไรแปลก ๆ ก็ไม่เสียหายอะไร”

    “เรายังรู้สึกไม่คุ้นกับการทำสัญญากับนายท่านเลยค่ะ เกรงว่าทำกันในตอนนี้ออกจะอาลาโมเกินที่เราจะรับไหวไปหน่อย”  เมลิซซ่ารีบแย้งทันควัน 

    “เห... ไหนว่าทำกับบารอนเนสคลาริสบ่อยไง”

    “แต่ว่า  กับท่านแล้วนั่นเป็นครั้งแรกกับผู้ชายนี่คะ”

    เมื่อเห็นดังนั้นเจ้านายที่มีใบหน้าคล้ายเด็กหญิงก็ถอนหายใจด้วยความเสียดาย

    “เอางั้นก็ได้  ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนที่จะต้องทำสัญญาใหม่นี่นา”

    “แต่ว่า...”  คราวนี้เมลิซซ่าทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเหมือนกับพยายามจะรวบรวมความกล้าที่จะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา

    “ถ้าเป็นอาบน้ำด้วยกันล่ะก็  เราก็พอได้อยู่นะคะ” 

    เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้านายก็เผลอที่จะยิ้มให้กับความที่ปากไม่ตรงกับใจของเมดสงครามคนใหม่ของเขาเสียมิได้

    “ถ้าอย่างนั้นเจ้าของสถานที่ก็นำทางเลยก็แล้วกัน”

    “รับทราบค่ะ  นายท่าน”

    “ว่าแต่ว่าเราอยากมีเรื่องถามนายท่านอยู่อย่างหนึ่งค่ะ”

    “ว่ามาสิ”

    เมลิซซ่าใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากก่อนจะถามคำถามออกไปว่า...

    “นายท่านชื่ออะไรคะ ?”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×