ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ภารกิจของพ่อบ้านกับคุณหนู [2]
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“แถวนี้มันสัมผัสอะไรกันนะ น่าขนลุกจริงๆ”เมโลดี้บ่นพึมพำ
“ผมรู้สึกเหมือนถูกใครมองอยู่เลยล่ะเมโลดี้”ผมหันมองซ้ายขวา แต่ก็รู้อยู่แกใจว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ตลกมั๊ยนายพ่อบ้าน นี่มันดาดฟ้าสูงตั้งสี่สิบห้าสิบชั้น ไอ้บ้าตัวไหนจะมามองเรา”เมโลดี้แขวะ
จริงๆมันไม่ใช่แค่นั้นหรอก แต่มันเพราะทั้งผมทั้งเมโลดี้ต่างใช้ความเร็วขั้นสูงสุดของแวมไพร์กันทั้งคู่ เพราะฉะนั้นประกอบกับการที่อยู่สูงซะขนาดนี้ก็ไม่น่าจะมีใครมองทันแล้ว แต่ผมรู้สึกได้จริงๆนะ และลางสังหรณ์ของผมก็มักจะแม่นเสมอๆเสียด้วย
“เหมือนเดิม นายจัดการครึ่งนึง”เมโลดี้ไม่รอให้ผมได้ค้านอะไร เธอก็ทิ้งผมไว้แล้วแยกตัวไปอีกทางซะแล้ว ผมก็เลยจำใจต้องไปจัดการคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้
แต่ ความรู้สึกของผมยังไม่จางหายไปเลย หรือจะมีใครมองพวกเราอยู่จริงๆกันนะ?
“ตะวันรัตติกาล นี่เฟิร์สวินด์พูด”
“อือ”
“ทางนี้ถอดสลักระเบิดรอบนอกออกหมดแล้ว กำลังซ่อนตัวอยู่นอกระยะยิงของไรเฟิล คิดว่านายคงรู้แล้วนะ”
“มือสังหารรอบนอกสิบสองคน คนที่คุมตัวประกันยี่สิบเจ็ด ตัวประกันหก”
“จะให้ติดต่อผีเสื้อเดียวดายกับดราก้อนพีชมั๊ย”
“ไม่จำเป็น”
“ดี ถ้าจะให้เข้าไปเมื่อไหร่ส่งสัญญาณมาด้วย”จบคำ อีกฝ่ายก็ตัดการสนทนาไป
“ตะวันรัตติกาล! ถ้าแกมาช้านัก เราจะเป่าตัวประกันให้กระจุยทีละคนเลยคอยดู!!!!!”ท่าทางหัวหน้าของคนร้ายที่คุมตัวประกันอยู่จะหมดความอดทนแล้ว เขาเล็งปืนเลเซอร์ไปทางหนึ่งในตัวประกันที่ใส่ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาจนมิด
“เฮ้อ ข้าคงถูกเทพเจ้าแห่งแสงสว่างหมั่นไส้เอากระมัง ถึงได้โชคร้ายแต่หัววันแบบนี้”ชายคนนั้นถอนหายใจ
แต่ คำพูดแบบนั้น มัน
ครีอุส!!!!!
“ครีอุส จะเอายังไง”เคเรสถามข้า
“ไม่เป็นไรหรอกเคเรสที่รัก ปล่อยเอาไว้แบบนี้แหละ”ข้ายิ้มบางๆให้
เอาน่า จิตสัมผัสของข้าบอกว่านอกจากโจซัวกับเมโลดี้แล้ว ยังมีอันเซียร์กับผู้ช่วยของเขาอีกคน มีคนตั้งสี่คนกำลังเล็งเล่นงานพวกนี้อยู่แล้วข้าจะเป็นอะไรได้อย่างไรกัน
“ถึงจะมีโจซัวกับเมโลดี้มาก็เถอะ แต่พวกเขาจะไว้ใจได้เหรอ”เคเรสกระซิบเบาๆ
โอ้! เคเรสเอ๋ย เจ้าไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังพูดถึงใคร สองคนนั้นน่ะเป็นถึงตัวประหลาดที่มีไอปิศาจออกจากตัวนะ จะใช้การอะไรไม่ได้เลยก็แปลกเกินไปแล้ว แถมอันเซียร์ยังเป็นถึงน้องชายของราชาซอนเน่ ถ้าเขาทำอะไรไม่เป็น ต่อสู้ไม่ได้ล่ะก็ ข้ายอมเผาลอเรนจริงๆเลยเอ้า!
แต่คิดอีกทีก็ไม่แปลก เพราะเขาไม่ได้สัมผัสถึงพลังของทั้งสองคนอย่างที่ข้ากับลอเรนสัมผัสได้ และเขายังมองไม่เห็นอันเซียร์กับผู้ช่วยของเขาอีกคนที่อยู่รอบนอกด้วย อ๊ะ พูดถึงทั้งสี่คนแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังเร่งมาทางนี้สุดแรงเลย เร็วน่าดู
ท่าทางจะไม่ต้องถึงมือพวกเราจริงๆนั่นแหละนะ
“คุณหนู!”ผมรู้แล้วว่าตัวประกันคนนั้นเป็นใคร และท่าทางทั้งเมโลดี้และคุณหนูก็รู้แล้วเช่นกัน
“ไปเร็ว!!!”เมโลดี้รีบพุ่งตรงไปที่ถนนเป็นคนแรก เธอฉีกกระโปรงของเธอมาเป็นผ้าปิดหน้าอีกแล้ว ทั้งๆที่ผมอุตส่าห์เตือนเรื่องความยาวของกระโปรงเธอแล้วนะ
นอกจากเมโลดี้แล้ว ผมยังเห็นคุณหนูกับเฟิร์สวินด์ออกจากที่ซ่อนแล้วรีบตรงไปช่วยครีอุสเหมือนกัน ผมก็เลยต้องออกไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ถึงลางสังหรณ์ของผมจะบอกว่าเขาช่วยตัวเองได้ก็เถอะ
“แยกส่วน!”คุณหนูแยกส่วนเคียวที่นำมาตั้งแต่แรก จากนั้นก็ซัดคมเคียวใส่ใจกลางถนนเลย
“ทั้งสองคน ไปช่วยตัวประกัน”เฟิร์สวินด์บอกพวกผม
“ได้เลยค่ะ”เมโลดี้ก็ยังคงเหมือนเดิม เธอเชื่อฟังคำของเฟิร์สวินด์พอๆกับคุณหนูเลยจริงๆ
“มาแล้วเหรอ ตะวันรัตติกาล!”หนึ่งในกลุ่มคนร้ายตะโกน
“ตะวันรัตติกาล?”ครีอุสทำหน้างง เขาคงไม่เคยได้ยินชื่อของฮีโร่สินะ
“ก้ม!”คุณหนูตะโกนครั้งเดียว ครีอุสก็รีบก้มหัวลง ฮู้ดของเขาโดนเคียวของคุณหนูเฉี่ยวขาด แต่ดูท่าจะไม่มีอันตราย แต่กับคนร้ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาน่ะเป็นแน่
“ทุกคน มาทางนี้”เมโลดี้สั่ง แน่นอนว่าหลังจากเกิดเรื่องที่ใจกลางเมืองคราวก่อนแล้ว เธอกับผมก็เป็นที่รู้จักพอๆกับดาราหลายๆคนไปเลย สาเหตุเพราะเป็นพี่น้องกับ “เทวดา” ของเซ็ตติ้งซัน
“เมโลดี้ โจซัว”เสียงเรียกมาจากอีกหนึ่งตัวประกันที่พวกผมมองข้ามไป
“คุณเคเรส!?!”เมโลดี้ร้องเบาๆ
“พวกผมต้องทำอะไรรึเปล่าครับ สองคนนั้น เป็นพวกเดียวกับเรารึเปล่า”ท่าทางเคเรสจะกังวลเรื่องตะวันรัตติกาลและเฟิร์สวินด์ที่อยู่ๆก็โผล่มากระทันหัน
“ไม่เป็นไรครับ พวกเราเป็นพวกเดียวกัน”ผมรีบปลอบ
“แกกล้าขยับรึไงตะวันรัตติกาล ไม่กลัวเราจะฆ่าตัวประกันรึไง!!!”ถึงตัวประกันห้าคนจะถูกลำเลียงตัวออกไปหมดแล้ว แต่ตะวันรัตติกาลและเฟิร์สวินด์กลับไม่สามารถขยับตัวได้เพราะเจ้าคนร้ายมันดันจับตัวครีอุสเอาไว้
“ก็ตามสบายสิ”ตะวันรัตติกาลตอบอย่างนิ่งเฉย
“อะ..อะไรนะ?”
“คราวก่อนที่ลงข่าวกันโครมๆไม่ได้รู้เรื่องเลยรึไง ตะวันรัตติกาลจะไม่สนตัวประกัน แต่จะฆ่าคนที่ฆ่าตัวประกันเพื่อแก้แค้นให้พวกเขาต่างหาก”เฟิร์สวินด์ยิ้มเย็น
“ อึก ”
“ท่าทางแกจะไม่ใช่คนของเซ็ตติ้งซันนะ ข่าวเขาลงกันเป็นอาทิตย์ยังไม่รู้เนี่ย”เฟิร์สวินด์ถอนหายใจ
“สมกับเป็นเฟิร์สวินด์ กดดันอีกฝ่ายซะหงอไปเลย”เมโลดี้คราง ผมเองก็อดตกใจไม่ได้ที่คุณโลชูคนนั้นจะพูดจาข่มขู่ได้ขนาดนี้
“ไม่ได้นะ จะปล่อยให้ครีอุสตายไม่ได้นะ”เคเรสกระตุกแขนเสื้อของพวกเรา
“เรากำลังหาทางอยู่น่า! เลิกพิรี้พิไรซะที!!!”เมโลดี้ตวาด
“เมโลดี้”ผมเรียกเธอ
“อะไรกันเล่านายพ่อบ้าน ก็ดูหมอนี่สิ!”เมโลดี้โวยวาย แต่สายตาของเธอก็ต้องกลายเป็นตกใจเมื่อเห็นคนที่ [น่าจะ] เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มผู้มาเยือนทั้งสิบสองคนกำลัง ยิ้ม
“ เดี๋ยวกลับไปต้องหาตุ๊กตาตัวใหม่อีกแล้ว ”เคเรสยิ้มอย่างมีความสุข และจากที่ผมแอบเห็น มือของเขาข้างที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างนั้นเหมือนจะมีเส้นผมยาวๆสีส้มอยู่ด้วยหลายเส้น
“ถ้าพวกคุณไม่จัดการ ทางเราจะไม่รับผิดชอบนะครับ”เคเรสยังคงยิ้ม
“ก็ได้ๆ ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้นนะ!”เมโลดี้ร้อง “ยังไงเราก็ต้องช่วยหัวหน้าของนายอยู่แล้วแหละน่า! อย่าโวยวายนักสิ!”
“คิดว่าจะช่วยตัวประกันได้รึไง!!!”คนเป็นหัวหน้ากดปากกระบอกปืนเข้ากับขมับของครีอุส ส่วนอีกสามสิบหกคนเล็งปืนมาทางตะวันรัตติกาลกับเฟิร์สวินด์ ท่าทางว่าแค่การโดนเคียวเฉี่ยวแขนซ้ายไปจะยังทำให้เขาเข็ดไม่ได้สินะ
“ถ้าแกขยับ เราจะกดระเบิดทันที!!!”
“มีระเบิดที่ไหนให้กดล่ะ”เฟิร์สวินด์ถาม
“และไม่มีมือปืนมาส่องพวกเราหรอกนะไม่ต้องหาเลย พวกเขาโดน “จัดการ” ไปหมดแล้ว”คุณหนูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“อ อะไรนะ”
“สิบสองคนที่ดาดฟ้า กับระเบิดอีกสี่จุดรอบถนน ยังมีอะไรอีกมั๊ย”เฟิร์สวินด์ยิ้ม
“ยอดไปเลย! สมกับที่เป็นเฟิร์สวินด์”เมโลดี้ยังคงบ้าต่อไป ผมแอบคิดไม่ได้ว่าถ้าผมบอกตัวจริงของเฟิร์สวินด์ให้เธอรู้เข้าจะเป็นยังไงนะ
“ รีบช่วยครีอุสเร็วๆเข้าเถอะ ”เคเรสคราง “ เขาไม่ชอบความร้อน ยิ่งแดดเปรี้ยงๆแบบนี้ด้วยแล้ว ”
“ ”ครีอุสที่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนับตั้งแต่ตะวันรัตติกาลโผล่มา เงยหน้าขึ้นสบตาตะวันรัตติกาล ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนสื่อสารอะไรกัน แต่ที่แน่ๆคือผมเห็นครีอุสพยักหน้าน้อยๆ
“ชั้นจะให้เวลา สามวินาที ปล่อยตัวประกันแล้วไปซะ”ตะวันรัตติกาลชูเคียวมัจจุราชขึ้น
“หนึ่ง ”
“เฮอะ! แกจะกล้าเหรอ ตัวประกันยังอยู่กับเรา!!!”
“ สอง ”
“ไม่ต้องให้เวลาแล้วล่ะตะวันรัตติกาล”เฟิร์สวินด์ถอนหายใจ ก่อนที่ขาจะนับเลขสุดท้ายเสียเอง “ สาม ”
ฟิ้ว
ในช่วงเวลานั้นเอง ร่างของครีอุสที่ถูกจับล็อคคออยู่ก็ค่อยๆซีดจางลง ก่อนจะสลายไปทั้งอย่างนั้นเลย
“เฮ้ย!!!”
แต่ไม่มีเวลาให้ใครได้ตกใจ ตะวันรัตติกาลกางปีกเหล็กของเขา ส่วนเฟิร์สวินด์ก็เรียกแส้เลเซอร์ขึ้นมา ทั้งสองคนเข้าประจันบานแบบแทบจะไม่มีช่วงเวลาเว้นให้หายใจ
“ย ยิง!”
ฟิ้วๆๆๆๆๆ
“นั่นมันแสงอะไรกันน่ะ ตอนที่เห็นครั้งแรกก็สงสัยอยู่”
“ครีอุส!!!”เคเรสหันไปด้าหลังพร้อมๆกับพวกผม
บอกตรงๆผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่หายตัวไปเมื่อครู่จะมาอยู่ข้างหลังพวกผมได้ ทั้งๆที่ทั้งผมทั้งเมโลดี้ไม่ได้รู้สึกตัวเลยซักนิด
“นั่นนายทำได้ยังไงน่ะ”เมโลดี้ถามด้วยเสียงแปร่งๆ ผมว่าเธอคงไม่อยากเชื่อเหมือนๆกับผมนี่แหละ
“นั่น? อ้อ หมายถึงที่เลือนหายไปนั่นน่ะเหรอ?”ครีอุสถาม
“วิชาของเนเฟลใช่มั๊ยครีอุส ข้ารู้สึกว่าเนเฟลก็เคยใช้บ่อยๆ”
“อือ ก้าวข้ามเมฆาของเนเฟลนั่นแหละ”ครีอุสยิ้มอย่างอ่อนโยน
[ณ ตอนนี้ครีอุสคิดว่า : ที่ข้าใช้ได้ต้องยกความดีความชอบให้อิลเลียส เพราะตอนที่ข้าขอให้เนเฟลสอนท่าก้าวข้ามเมฆาให้เขา ข้าก็แอบดูจนสุดท้ายก็ได้เรียนมาด้วยยังไงล่ะ]
แค่ฟังถึงตรงนี้ผมก็เข้าใจขึ้นมาทันที ผมไม่แปลกใจเลยซักนิดที่เนเฟลจะล่องลอยจนขนาดพวกผมยังจับสัมผัสไม่ได้ เพราะขนาดครีอุสหายตัวมาอยู่ข้างหลังพวกผมยังไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
“ว่าแต่ลำแสงต่างๆพวกนี้มันอันตรายเหรอ?”ครีอุสถาม
“อันตรายสิครับ พวกนี้น่ะเรียกว่าเลเซอร์ เป็นพลังงานความร้อนสูงชนิดที่ว่าโดนยิงครั้งเดียวผิวจะไหม้เป็นรูเลยล่ะครับ”ผมตอบ พลางรีบบังคับพลัง ควบคุมทิศทางของเลเซอร์ไม่ให้พวกผมโดนลูกหลง
จริงๆถ้าผมใช้พลังเลือดอาจจะเหมาะกว่า แต่ผมไม่อยากทำให้แขกทั้งสองตกใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว แค่นี้ทั้งสองคนก็มองการต่อสู้ของตะวันรัตติกาลกับเฟิร์สวินด์กันตาค้างแล้ว
“เก่งจังเลย”เคเรสเอ่ยชม
“สามสิบเจ็ดต่อสอง เก่งจริงๆแฮะ”ครีอุสพึมพำ
“ทีนี้เข้าใจรึยังว่าถึงยังไงเพื่อนนายก็ไม่มีทางตายหรอก ตะวันรัตติกาลกับเฟิร์สวินด์น่ะจะต้องช่วยครีอุสออกมาได้อยู่แล้ว”เมโลดี้แขวะ
“เข้าใจแล้วครับ แต่ ”เคเรสทำท่าอ้ำๆอึ้งๆ
“มีอะไรรึเคเรสที่รัก?”ครีอุสถาม
“ไม่มีอะไรหรอกครีอุส”เคเรสยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน หากเสร็จแล้วก็มาเรียกข้าละกัน”
“อืม ครีอุสคงร้อนมากแล้วนี่นา”เคเรสมองชุดคลุมของครีอุสก่อนจะยิ้มแหยๆ
“ทำไมต้องพูดจาซะอ้อมโลกขนาดนั้นนะ เพื่อนนายน่ะ”เมโลดี้ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ
“เอ่อ ข้าขอร้องพวกท่านอย่างหนึ่งได้มั๊ย?”เคเรสเอ่ยเบาๆ
“พวกผมยินดีช่วยอยู่แล้วครับ”ผมตอบ
“ถ้างั้น บอกสองคนที่กำลังสู้อยู่นั่นทีสิ บอกให้เขาเล่นสามสิบเจ็ดคนนี่ให้เละจนไม่รู้จะเละยังไงเลยก็ได้ ถ้าไม่อยากให้พวกเขาทรมานยิ่งกว่านี้”
“หา???”
“เพราะถ้าพวกเขาไม่เล่นงานคนร้ายให้ครีอุสหายสะใจล่ะก็ ข้ารับรองเลยว่าเขาจะไปลงมือเอง และถ้าเป็นแบบนั้นข้าไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้นนะ”สีหน้าของเคเรสดูเหมือนคนอยากจะร้องไห้
ฟิ้วๆๆๆๆ
“ไม่ได้เรื่องเล้ย ฝีมือใช้ไม่ได้เลย”เฟิร์สวินด์ถอนหายใจ
“พวกเขาไม่ได้ดัดแปลงร่างกาย”ตะวันรัตติกาลบอก
“คงถูกจ้างมาสินะ และคนที่จ้างมาคงมีความแค้นกับนายแหงๆเลยเซียร์”เฟิร์สวินด์ว่า
ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองก็จัดการล้มศัตรูทีละคนๆ จนกระทั่งเหลือไม่ถึงสิบ
“บ บ้าน่า ”
“ใครใช้แกมา บอกมาไม่งั้นตาย!”ตะวันรัตติกาลพูด
“ย ย ยอมแล้วๆ! ศาสนจักร! ศาสนจักรใช้พวกเรามาจัดการ!!!”
“ ศาสนจักรเหรอครับ ”ผมก้าวเข้าไปหาคุณหนูกับเฟิร์สวินด์
“โดนไล่ไปแล้วก็จริง แต่ท่าทางจะยังไม่ยอมตัดใจเรื่องพวกนายสองคนนะ”เฟิร์สวินด์ถอนหายใจ
“แบบนี้ก็แย่สิคะ”เมโลดี้ทำหน้าไม่พอใจ
“พวกนาย ไปซะให้พ้นจากเมืองนี้ภายในหนึ่งชั่วโมง!”ตะวันรัตติกาลหันไปสั่ง ซึ่งพวกชายชุดดำก็ยอมทำตามแต่โดยดี
“เอ่อ ขอบคุณครับที่มาช่วยพวกเรา”เคเรสค่อยๆเดินมาขอบคุณ
“โจซัว คนคนนี้ ”เฟิร์สวินด์หันมาทางผมกับเมโลดี้
“เขาเป็นแขกของคุณหนูค่ะ”เมโลดี้ยิ้ม
แค่ได้ยินว่าเป็นแขกของคุณหนูเท่านั้น เฟิร์สวินด์ก็เข้าใจที่มาที่ไปของเคเรสกับครีอุสทันที เขามองทั้งสองคนด้วยสายตาวิเคราะห์นิดๆ
“ข้าชื่อเคเรส ส่วนเขาชื่อครีอุส เราสองคนต้องขอบคุณจริงๆที่มาช่วยเหลือ”เคเรสโค้งหัวเป็นการขอบคุณ ผมคิดว่าในคนทั้งหมด เขาคงเป็นคนที่มารยาทดีที่สุดล่ะมั๊ง
“ข้าเองก็ต้องขอขอบคุณเช่นกัน”ครีอุสยิ้มกว้าง แต่แม้รอยยิ้มของเขาจะดูสว่างไสวน่าใว้วางใจมากขนาดไหนก็ตาม แต่เวลาผมมองทีไรก็รู้สึกไม่ไว้วางใจทุกครั้งไป
“เซียร์ นายต้องลากพวกเขามาที่สตูดิโอให้ได้นะ”ผมแอบได้ยินเฟิร์สวินด์กระซิบแบบนี้
ในที่สุด ผมก็ต้องกลับโรงแรมมาพร้อมๆกับทั้งสองคนจนได้ เพราะเมโลดี้กำลังบ้าเฟิร์สวินด์มากเสียจนไม่มีอารมณ์จะทำงาน และดูท่าทางเธอจะยังไม่อยากกลับด้วย ผมก็เลยต้องกลับมากับทั้งสองคนแทน
เพราะถึงยังไง แดดที่ร้อนแรงขนาดนั้นมันก็ส่งผลต่อผมไม่เบาเหมือนกัน ถึงผมจะคิดเผื่อและเตรียมผ้าคลุมไปแล้ว แต่ถ้าใส่มันนานๆเข้าคนอื่นจะสงสัยอยู่ดี ผมก็เลยพาพวกเขากลับทางเลี่ยง นั่นก็คือดาดฟ้าตึกต่างๆ และเคเรสกับครีอุสก็ทำให้ผมตกใจอีกครั้ง เพราะทั้งสองคนกลับตามความเร็วของแวมไพร์อย่างผมมาติดๆ
“เล่นเอาตกใจไปเลยนะเนี่ย ไม่คิดว่าโจซัวจะเก่งขนาดนี้”เคเรสชวนคุย
“ผมยังไม่เรียกว่าเก่งหรอกครับ ยังมีอีกหลายคนที่เก่งกว่าผม”ผมตอบ
“โห แสดงว่าที่นี่ต้องมีคนเก่งๆเยอะแยะเลยนะเนี่ย ท่าทางเทอร์มิสกับฮาเดสคงจะชอบนะครีอุส”เคเรสหันไปถามครีอุส
“ก็คงเป็นเช่นนั้น เคเรสที่รัก”ครีอุสตอบ
“จะว่าไปแล้ว ผมไม่เห็นคุณฮาเดสตั้งแต่เช้าแล้วนี่ครับ”
“เอ๋!?!”ครั้งนี้ทั้งเคเรสและครีอุสกลับทำหน้างงเหมือนๆกัน
“คุณครีอุสไม่ได้ลงมาทางข้าวเช้า ส่วนคุณเคเรสก็มาช้ากว่าคนอื่นเพราะต้องตักอาหารแยกก็เลยไม่ทันได้สังเกตล่ะมั๊งครับ”ผมยิ้มตามแบบฉบับของพ่อบ้านที่ดี
“ฮาเดสหายไปตั้งแต่เช้าเลยเหรอ?”ครีอุสถามผม
“ครับ เห็นออกไปตั้งแต่เช้ามืดเลยล่ะครับ”
“ เคเรส ”ครีอุสถอนหายใจ
“มีอะไรเหรอครีอุส”เคเรสถาม
“กลับไปถึงที่โรงแรม เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เด็ดขาด บอกแค่ว่าเราไปเดินเล่นก็พอ”
“อ้าว? ทำไม ”
“ข้าไม่มีเวลาอธิบาย”ครีอุสหันหลังให้พวกผม ก่อนที่เขาจะจากไปแทบจะทันที
“จะรีบไปไหนของเขากันเนี่ย”เคเรสแบะปากน้อยๆ
ฟิ้ว ฟิ้ว
ข้ารีบกระโดดข้ามผ่านหลังคาเรียบๆพวกนี้มาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และยังเปิดจิตสัมผัสเพื่อตามหาลอเรนเต็มที่
คนอย่างเขาไม่มีทางหายตัวไปไหนได้หรอก ข้าเชื่อย่างนั้น แต่ข้าดันติดคำสัญญากับท่านอาจารย์เอาไว้ว่าจะไม่ปล่อยให้เขาคลาดสายตา และไม่พาเขาออกนอกเขตวิหารเทพแห่งแสงสว่าง ซึ่งข้อหลังข้าก็จำเป็นต้องแหกกฎมาแล้วเพราะเป็นคำสั่งของตาแก่สังฆราช ดังนั้นข้าจึงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวซ้ำสองอีกหรอก
ก็อาจารย์ข้าน่ะ น่ากลัวยิ่งกว่ามังกรซะอีก!!!
จริงๆข้าอดตกใจไม่ได้ เพราะในเซ็ตติ้งซันมีไอของพวกปิศาจปะปนอยู่เต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่หลังคาที่ข้ากำลังข้ามผ่านพวกนี้ หากแต่พวกเขาไม่มีใครปรากฎตัวออกมา ข้าก็ไม่คิดจะเล่นงานพวกเขาหรอก และถึงพวกเขาปรากฎตัวมาอยู่ตรงหน้าข้า ถ้าเขาไม่ลงมือก่อนข้าก็จะไม่ลงมือเช่นกัน
ก็ที่นี่ไม่ใช่เขตของข้า จะทำอะไรก็ไม่สะดวกแบบนี้แหละ!!!
ในที่สุดข้าก็สัมผัสถึงจิตของลอเรนเสียที จิตมืดของเขารุนแรงมากขนาดข้ารู้สึกได้แม้จะไม่เปิดจิตสัมผัส และข้าก็คิดว่าการที่ข้าเปิดจิตสัมผัสให้กว้างเกินไปอาจจะนำภัยมาหาตัวข้าเองก็เป็นได้ เพราะไม่มีอะไรยืนยันว่าปิศาจพวกนี้จะไม่รู้จักจิตสัมผัส ข้าจึงลดมันลงให้มีระยะเท่ากับสายตาของข้าเท่านั้น ก่อนจะรีบมุ่งไปหาลอเรน
“ในที่สุดเจ้าก็มา ครีอุส”
“เทอร์มิส!!!”ข้าร้องอย่างตกใจ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ในเมื่อข้าไม่รู้สึกถึงตัวเขาเลยซักนิด
“ไอมืดของเขาคงจะเข้มเกินไปจนบดบังตัวตนของข้าไปหมดน่ะสิ”เทอร์มิสถอนหายใจ
“นี่ นี่พวกเจ้ามาทำบ้าอะไรกัน”ข้ากัดฟันถาม
“ดูรอบๆก็รู้แล้ว”เทอร์มิสยิ้มบางๆให้ข้า
“เจ้าอย่ามาพูดดี แลนซ์!!!”
จะไม่ให้ข้าโวยวายได้อย่างไรกัน เทพเจ้า! ดูความวุ่นวายที่เจ้าสองตัวนี้ก่อขึ้นสิ!!! พวกมันไม่สนใจเลยรึไงนะว่านี่เป็นเขตของอมนุษย์! มาซ้อมดาบกันข้าไม่เคยว่า แต่พวกเจ้าช่วยเลือกสถานที่กันหน่อยได้มั๊ย!!!!!
“ลอเรน! เจ้า ร่วมมือกับพวกเขามาหลอกข้ารึไงกัน! เจ้ารู้มั๊ยว่าข้าตกใจแทบตายที่เจ้าหายไป!!!”ข้าหันไปโวยวายใส่ลอเรนแทน
“เจ้าหลับอยู่ ข้าไม่กล้าปลุกหรอก”ลอเรนถอนหายใจ “เจ้าน่าจะรู้ว่าเวลาเจ้าหลับมันตื่นยากขนาดไหน ข้าเลยไม่ปลุก”
“ก็เจ้าตื่นสายเอง ข้าก็เลยไม่ได้บอก อีกอย่าง ถ้าข้าบอกเจ้าคงคัดค้านข้าล่ะสิ”เทอร์มิสเสริม แหม เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะเรื่องแกล้งทำให้ข้าตกใจเนี่ย!
“หุบปากนะ แลนซ์ เทอร์มิส!”ข้าโวยวาย “ไว้ข้าจะคิดบัญชีที่เจ้าหลอกข้าทีหลัง!”
“อ๊ะฮาเดส ข้าคิดว่าข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกเจ้าด้วยนะ”เทอร์มิสหัน
“อย่านะเทอร์มิส!!!”ข้าซาบซึ้งถึงทรวงในทีเดียวว่าเขาจะพูดอะไร องค์มหาเทพ! ข้าแค่พลาดให้เขาจับจุดอ่อนข้าได้จุดเดียว เขาก็นำเรื่องนี้มาขู่ข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
แลนซ เทอร์มิส! เจ้ามันชั่วช้าที่สุด!!!
“ไม่ต้องห่วงหรอกเกรเซียส ข้าตกลงกับเจ้าของที่นี่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ตกลงให้พวกเรายืมบ้านของเขาเป็นที่ฝึกซ้อมเช่นกัน”ลอเรนบอก
“เจ้า เจ้าไปคุยกับอมนุษย์เจ้าของที่นี่ โอย~”ข้าจะเป็นลม
ข้าให้เขาทำตัวเป็นคนปรกติธรรมดาๆนะ ไม่ใช่วางมาดประมุขแห่งความตายไปปกครองอมนุษย์แบบนี้! แค่ไอปิศาจของเขาเท่านั้นก็ทำพวกอมนุษย์แถวนี้กลัวกันหัวหดแล้ว! ข้าจะไม่แปลกใจเลยซักนิดถ้าปิศาจที่ลอเรนไปคุยด้วยจะชักตาตั้ง รีบอนุญาติทันที
แล้วดูเข้าสิ ทีตอนที่ข้าอยากให้เขาทำตัวเป็นประมุขแห่งความตาย เขาก็ไม่ทำ ทีข้าจะให้เขากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆเขาก็ทำตัวเป็นประมุขแห่งความตายอีก ข้าจะบ้าตายวันละหลายรอบเพราะเขานี่แหละ!
“เกรเซียส เจ้าทำหน้าเหมือนคนจะเป็นลม”ลอเรนถาม
“ข้าจะบ้าตายเพราะพวกเจ้าสองคนนั่นแหละ!!!!!”ข้าตวาด
“เกรเซียส”ลอเรนทำสีหน้าปุเลี่ยนๆ “การตวาดไม่ใช่สิ่งที่เทพอัศวินครีอุสควรกระทำนะ”
“ข้าจะทำแล้วใครจะทำไม! ข้าพูดผิดตรงไหนล่ะที่ข้าจะบ้าตายเนี่ย! พวกเจ้าช่วยทำตัวให้มันเรียบร้อยกับเขาหน่อยได้มั๊ย!!!!!”ข้าล้มตัวลงนั่งอย่างหมดแรง แถมยังตวาดพวกเขาอีกด้วย
“ทีนี้เชื่อข้ารึยัง เกรเซียสน่ะเป็นเทพอัศวินครีอุสที่ไม่เหมาะจะเป็นเทพอัศวินครีอุสที่สุด”เทอร์มิสถอนหายใจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“แถวนี้มันสัมผัสอะไรกันนะ น่าขนลุกจริงๆ”เมโลดี้บ่นพึมพำ
“ผมรู้สึกเหมือนถูกใครมองอยู่เลยล่ะเมโลดี้”ผมหันมองซ้ายขวา แต่ก็รู้อยู่แกใจว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ตลกมั๊ยนายพ่อบ้าน นี่มันดาดฟ้าสูงตั้งสี่สิบห้าสิบชั้น ไอ้บ้าตัวไหนจะมามองเรา”เมโลดี้แขวะ
จริงๆมันไม่ใช่แค่นั้นหรอก แต่มันเพราะทั้งผมทั้งเมโลดี้ต่างใช้ความเร็วขั้นสูงสุดของแวมไพร์กันทั้งคู่ เพราะฉะนั้นประกอบกับการที่อยู่สูงซะขนาดนี้ก็ไม่น่าจะมีใครมองทันแล้ว แต่ผมรู้สึกได้จริงๆนะ และลางสังหรณ์ของผมก็มักจะแม่นเสมอๆเสียด้วย
“เหมือนเดิม นายจัดการครึ่งนึง”เมโลดี้ไม่รอให้ผมได้ค้านอะไร เธอก็ทิ้งผมไว้แล้วแยกตัวไปอีกทางซะแล้ว ผมก็เลยจำใจต้องไปจัดการคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้
แต่ ความรู้สึกของผมยังไม่จางหายไปเลย หรือจะมีใครมองพวกเราอยู่จริงๆกันนะ?
“ตะวันรัตติกาล นี่เฟิร์สวินด์พูด”
“อือ”
“ทางนี้ถอดสลักระเบิดรอบนอกออกหมดแล้ว กำลังซ่อนตัวอยู่นอกระยะยิงของไรเฟิล คิดว่านายคงรู้แล้วนะ”
“มือสังหารรอบนอกสิบสองคน คนที่คุมตัวประกันยี่สิบเจ็ด ตัวประกันหก”
“จะให้ติดต่อผีเสื้อเดียวดายกับดราก้อนพีชมั๊ย”
“ไม่จำเป็น”
“ดี ถ้าจะให้เข้าไปเมื่อไหร่ส่งสัญญาณมาด้วย”จบคำ อีกฝ่ายก็ตัดการสนทนาไป
“ตะวันรัตติกาล! ถ้าแกมาช้านัก เราจะเป่าตัวประกันให้กระจุยทีละคนเลยคอยดู!!!!!”ท่าทางหัวหน้าของคนร้ายที่คุมตัวประกันอยู่จะหมดความอดทนแล้ว เขาเล็งปืนเลเซอร์ไปทางหนึ่งในตัวประกันที่ใส่ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาจนมิด
“เฮ้อ ข้าคงถูกเทพเจ้าแห่งแสงสว่างหมั่นไส้เอากระมัง ถึงได้โชคร้ายแต่หัววันแบบนี้”ชายคนนั้นถอนหายใจ
แต่ คำพูดแบบนั้น มัน
ครีอุส!!!!!
“ครีอุส จะเอายังไง”เคเรสถามข้า
“ไม่เป็นไรหรอกเคเรสที่รัก ปล่อยเอาไว้แบบนี้แหละ”ข้ายิ้มบางๆให้
เอาน่า จิตสัมผัสของข้าบอกว่านอกจากโจซัวกับเมโลดี้แล้ว ยังมีอันเซียร์กับผู้ช่วยของเขาอีกคน มีคนตั้งสี่คนกำลังเล็งเล่นงานพวกนี้อยู่แล้วข้าจะเป็นอะไรได้อย่างไรกัน
“ถึงจะมีโจซัวกับเมโลดี้มาก็เถอะ แต่พวกเขาจะไว้ใจได้เหรอ”เคเรสกระซิบเบาๆ
โอ้! เคเรสเอ๋ย เจ้าไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังพูดถึงใคร สองคนนั้นน่ะเป็นถึงตัวประหลาดที่มีไอปิศาจออกจากตัวนะ จะใช้การอะไรไม่ได้เลยก็แปลกเกินไปแล้ว แถมอันเซียร์ยังเป็นถึงน้องชายของราชาซอนเน่ ถ้าเขาทำอะไรไม่เป็น ต่อสู้ไม่ได้ล่ะก็ ข้ายอมเผาลอเรนจริงๆเลยเอ้า!
แต่คิดอีกทีก็ไม่แปลก เพราะเขาไม่ได้สัมผัสถึงพลังของทั้งสองคนอย่างที่ข้ากับลอเรนสัมผัสได้ และเขายังมองไม่เห็นอันเซียร์กับผู้ช่วยของเขาอีกคนที่อยู่รอบนอกด้วย อ๊ะ พูดถึงทั้งสี่คนแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังเร่งมาทางนี้สุดแรงเลย เร็วน่าดู
ท่าทางจะไม่ต้องถึงมือพวกเราจริงๆนั่นแหละนะ
“คุณหนู!”ผมรู้แล้วว่าตัวประกันคนนั้นเป็นใคร และท่าทางทั้งเมโลดี้และคุณหนูก็รู้แล้วเช่นกัน
“ไปเร็ว!!!”เมโลดี้รีบพุ่งตรงไปที่ถนนเป็นคนแรก เธอฉีกกระโปรงของเธอมาเป็นผ้าปิดหน้าอีกแล้ว ทั้งๆที่ผมอุตส่าห์เตือนเรื่องความยาวของกระโปรงเธอแล้วนะ
นอกจากเมโลดี้แล้ว ผมยังเห็นคุณหนูกับเฟิร์สวินด์ออกจากที่ซ่อนแล้วรีบตรงไปช่วยครีอุสเหมือนกัน ผมก็เลยต้องออกไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ถึงลางสังหรณ์ของผมจะบอกว่าเขาช่วยตัวเองได้ก็เถอะ
“แยกส่วน!”คุณหนูแยกส่วนเคียวที่นำมาตั้งแต่แรก จากนั้นก็ซัดคมเคียวใส่ใจกลางถนนเลย
“ทั้งสองคน ไปช่วยตัวประกัน”เฟิร์สวินด์บอกพวกผม
“ได้เลยค่ะ”เมโลดี้ก็ยังคงเหมือนเดิม เธอเชื่อฟังคำของเฟิร์สวินด์พอๆกับคุณหนูเลยจริงๆ
“มาแล้วเหรอ ตะวันรัตติกาล!”หนึ่งในกลุ่มคนร้ายตะโกน
“ตะวันรัตติกาล?”ครีอุสทำหน้างง เขาคงไม่เคยได้ยินชื่อของฮีโร่สินะ
“ก้ม!”คุณหนูตะโกนครั้งเดียว ครีอุสก็รีบก้มหัวลง ฮู้ดของเขาโดนเคียวของคุณหนูเฉี่ยวขาด แต่ดูท่าจะไม่มีอันตราย แต่กับคนร้ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาน่ะเป็นแน่
“ทุกคน มาทางนี้”เมโลดี้สั่ง แน่นอนว่าหลังจากเกิดเรื่องที่ใจกลางเมืองคราวก่อนแล้ว เธอกับผมก็เป็นที่รู้จักพอๆกับดาราหลายๆคนไปเลย สาเหตุเพราะเป็นพี่น้องกับ “เทวดา” ของเซ็ตติ้งซัน
“เมโลดี้ โจซัว”เสียงเรียกมาจากอีกหนึ่งตัวประกันที่พวกผมมองข้ามไป
“คุณเคเรส!?!”เมโลดี้ร้องเบาๆ
“พวกผมต้องทำอะไรรึเปล่าครับ สองคนนั้น เป็นพวกเดียวกับเรารึเปล่า”ท่าทางเคเรสจะกังวลเรื่องตะวันรัตติกาลและเฟิร์สวินด์ที่อยู่ๆก็โผล่มากระทันหัน
“ไม่เป็นไรครับ พวกเราเป็นพวกเดียวกัน”ผมรีบปลอบ
“แกกล้าขยับรึไงตะวันรัตติกาล ไม่กลัวเราจะฆ่าตัวประกันรึไง!!!”ถึงตัวประกันห้าคนจะถูกลำเลียงตัวออกไปหมดแล้ว แต่ตะวันรัตติกาลและเฟิร์สวินด์กลับไม่สามารถขยับตัวได้เพราะเจ้าคนร้ายมันดันจับตัวครีอุสเอาไว้
“ก็ตามสบายสิ”ตะวันรัตติกาลตอบอย่างนิ่งเฉย
“อะ..อะไรนะ?”
“คราวก่อนที่ลงข่าวกันโครมๆไม่ได้รู้เรื่องเลยรึไง ตะวันรัตติกาลจะไม่สนตัวประกัน แต่จะฆ่าคนที่ฆ่าตัวประกันเพื่อแก้แค้นให้พวกเขาต่างหาก”เฟิร์สวินด์ยิ้มเย็น
“ อึก ”
“ท่าทางแกจะไม่ใช่คนของเซ็ตติ้งซันนะ ข่าวเขาลงกันเป็นอาทิตย์ยังไม่รู้เนี่ย”เฟิร์สวินด์ถอนหายใจ
“สมกับเป็นเฟิร์สวินด์ กดดันอีกฝ่ายซะหงอไปเลย”เมโลดี้คราง ผมเองก็อดตกใจไม่ได้ที่คุณโลชูคนนั้นจะพูดจาข่มขู่ได้ขนาดนี้
“ไม่ได้นะ จะปล่อยให้ครีอุสตายไม่ได้นะ”เคเรสกระตุกแขนเสื้อของพวกเรา
“เรากำลังหาทางอยู่น่า! เลิกพิรี้พิไรซะที!!!”เมโลดี้ตวาด
“เมโลดี้”ผมเรียกเธอ
“อะไรกันเล่านายพ่อบ้าน ก็ดูหมอนี่สิ!”เมโลดี้โวยวาย แต่สายตาของเธอก็ต้องกลายเป็นตกใจเมื่อเห็นคนที่ [น่าจะ] เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มผู้มาเยือนทั้งสิบสองคนกำลัง ยิ้ม
“ เดี๋ยวกลับไปต้องหาตุ๊กตาตัวใหม่อีกแล้ว ”เคเรสยิ้มอย่างมีความสุข และจากที่ผมแอบเห็น มือของเขาข้างที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างนั้นเหมือนจะมีเส้นผมยาวๆสีส้มอยู่ด้วยหลายเส้น
“ถ้าพวกคุณไม่จัดการ ทางเราจะไม่รับผิดชอบนะครับ”เคเรสยังคงยิ้ม
“ก็ได้ๆ ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้นนะ!”เมโลดี้ร้อง “ยังไงเราก็ต้องช่วยหัวหน้าของนายอยู่แล้วแหละน่า! อย่าโวยวายนักสิ!”
“คิดว่าจะช่วยตัวประกันได้รึไง!!!”คนเป็นหัวหน้ากดปากกระบอกปืนเข้ากับขมับของครีอุส ส่วนอีกสามสิบหกคนเล็งปืนมาทางตะวันรัตติกาลกับเฟิร์สวินด์ ท่าทางว่าแค่การโดนเคียวเฉี่ยวแขนซ้ายไปจะยังทำให้เขาเข็ดไม่ได้สินะ
“ถ้าแกขยับ เราจะกดระเบิดทันที!!!”
“มีระเบิดที่ไหนให้กดล่ะ”เฟิร์สวินด์ถาม
“และไม่มีมือปืนมาส่องพวกเราหรอกนะไม่ต้องหาเลย พวกเขาโดน “จัดการ” ไปหมดแล้ว”คุณหนูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“อ อะไรนะ”
“สิบสองคนที่ดาดฟ้า กับระเบิดอีกสี่จุดรอบถนน ยังมีอะไรอีกมั๊ย”เฟิร์สวินด์ยิ้ม
“ยอดไปเลย! สมกับที่เป็นเฟิร์สวินด์”เมโลดี้ยังคงบ้าต่อไป ผมแอบคิดไม่ได้ว่าถ้าผมบอกตัวจริงของเฟิร์สวินด์ให้เธอรู้เข้าจะเป็นยังไงนะ
“ รีบช่วยครีอุสเร็วๆเข้าเถอะ ”เคเรสคราง “ เขาไม่ชอบความร้อน ยิ่งแดดเปรี้ยงๆแบบนี้ด้วยแล้ว ”
“ ”ครีอุสที่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนับตั้งแต่ตะวันรัตติกาลโผล่มา เงยหน้าขึ้นสบตาตะวันรัตติกาล ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนสื่อสารอะไรกัน แต่ที่แน่ๆคือผมเห็นครีอุสพยักหน้าน้อยๆ
“ชั้นจะให้เวลา สามวินาที ปล่อยตัวประกันแล้วไปซะ”ตะวันรัตติกาลชูเคียวมัจจุราชขึ้น
“หนึ่ง ”
“เฮอะ! แกจะกล้าเหรอ ตัวประกันยังอยู่กับเรา!!!”
“ สอง ”
“ไม่ต้องให้เวลาแล้วล่ะตะวันรัตติกาล”เฟิร์สวินด์ถอนหายใจ ก่อนที่ขาจะนับเลขสุดท้ายเสียเอง “ สาม ”
ฟิ้ว
ในช่วงเวลานั้นเอง ร่างของครีอุสที่ถูกจับล็อคคออยู่ก็ค่อยๆซีดจางลง ก่อนจะสลายไปทั้งอย่างนั้นเลย
“เฮ้ย!!!”
แต่ไม่มีเวลาให้ใครได้ตกใจ ตะวันรัตติกาลกางปีกเหล็กของเขา ส่วนเฟิร์สวินด์ก็เรียกแส้เลเซอร์ขึ้นมา ทั้งสองคนเข้าประจันบานแบบแทบจะไม่มีช่วงเวลาเว้นให้หายใจ
“ย ยิง!”
ฟิ้วๆๆๆๆๆ
“นั่นมันแสงอะไรกันน่ะ ตอนที่เห็นครั้งแรกก็สงสัยอยู่”
“ครีอุส!!!”เคเรสหันไปด้าหลังพร้อมๆกับพวกผม
บอกตรงๆผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่หายตัวไปเมื่อครู่จะมาอยู่ข้างหลังพวกผมได้ ทั้งๆที่ทั้งผมทั้งเมโลดี้ไม่ได้รู้สึกตัวเลยซักนิด
“นั่นนายทำได้ยังไงน่ะ”เมโลดี้ถามด้วยเสียงแปร่งๆ ผมว่าเธอคงไม่อยากเชื่อเหมือนๆกับผมนี่แหละ
“นั่น? อ้อ หมายถึงที่เลือนหายไปนั่นน่ะเหรอ?”ครีอุสถาม
“วิชาของเนเฟลใช่มั๊ยครีอุส ข้ารู้สึกว่าเนเฟลก็เคยใช้บ่อยๆ”
“อือ ก้าวข้ามเมฆาของเนเฟลนั่นแหละ”ครีอุสยิ้มอย่างอ่อนโยน
[ณ ตอนนี้ครีอุสคิดว่า : ที่ข้าใช้ได้ต้องยกความดีความชอบให้อิลเลียส เพราะตอนที่ข้าขอให้เนเฟลสอนท่าก้าวข้ามเมฆาให้เขา ข้าก็แอบดูจนสุดท้ายก็ได้เรียนมาด้วยยังไงล่ะ]
แค่ฟังถึงตรงนี้ผมก็เข้าใจขึ้นมาทันที ผมไม่แปลกใจเลยซักนิดที่เนเฟลจะล่องลอยจนขนาดพวกผมยังจับสัมผัสไม่ได้ เพราะขนาดครีอุสหายตัวมาอยู่ข้างหลังพวกผมยังไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
“ว่าแต่ลำแสงต่างๆพวกนี้มันอันตรายเหรอ?”ครีอุสถาม
“อันตรายสิครับ พวกนี้น่ะเรียกว่าเลเซอร์ เป็นพลังงานความร้อนสูงชนิดที่ว่าโดนยิงครั้งเดียวผิวจะไหม้เป็นรูเลยล่ะครับ”ผมตอบ พลางรีบบังคับพลัง ควบคุมทิศทางของเลเซอร์ไม่ให้พวกผมโดนลูกหลง
จริงๆถ้าผมใช้พลังเลือดอาจจะเหมาะกว่า แต่ผมไม่อยากทำให้แขกทั้งสองตกใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว แค่นี้ทั้งสองคนก็มองการต่อสู้ของตะวันรัตติกาลกับเฟิร์สวินด์กันตาค้างแล้ว
“เก่งจังเลย”เคเรสเอ่ยชม
“สามสิบเจ็ดต่อสอง เก่งจริงๆแฮะ”ครีอุสพึมพำ
“ทีนี้เข้าใจรึยังว่าถึงยังไงเพื่อนนายก็ไม่มีทางตายหรอก ตะวันรัตติกาลกับเฟิร์สวินด์น่ะจะต้องช่วยครีอุสออกมาได้อยู่แล้ว”เมโลดี้แขวะ
“เข้าใจแล้วครับ แต่ ”เคเรสทำท่าอ้ำๆอึ้งๆ
“มีอะไรรึเคเรสที่รัก?”ครีอุสถาม
“ไม่มีอะไรหรอกครีอุส”เคเรสยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน หากเสร็จแล้วก็มาเรียกข้าละกัน”
“อืม ครีอุสคงร้อนมากแล้วนี่นา”เคเรสมองชุดคลุมของครีอุสก่อนจะยิ้มแหยๆ
“ทำไมต้องพูดจาซะอ้อมโลกขนาดนั้นนะ เพื่อนนายน่ะ”เมโลดี้ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ
“เอ่อ ข้าขอร้องพวกท่านอย่างหนึ่งได้มั๊ย?”เคเรสเอ่ยเบาๆ
“พวกผมยินดีช่วยอยู่แล้วครับ”ผมตอบ
“ถ้างั้น บอกสองคนที่กำลังสู้อยู่นั่นทีสิ บอกให้เขาเล่นสามสิบเจ็ดคนนี่ให้เละจนไม่รู้จะเละยังไงเลยก็ได้ ถ้าไม่อยากให้พวกเขาทรมานยิ่งกว่านี้”
“หา???”
“เพราะถ้าพวกเขาไม่เล่นงานคนร้ายให้ครีอุสหายสะใจล่ะก็ ข้ารับรองเลยว่าเขาจะไปลงมือเอง และถ้าเป็นแบบนั้นข้าไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้นนะ”สีหน้าของเคเรสดูเหมือนคนอยากจะร้องไห้
ฟิ้วๆๆๆๆ
“ไม่ได้เรื่องเล้ย ฝีมือใช้ไม่ได้เลย”เฟิร์สวินด์ถอนหายใจ
“พวกเขาไม่ได้ดัดแปลงร่างกาย”ตะวันรัตติกาลบอก
“คงถูกจ้างมาสินะ และคนที่จ้างมาคงมีความแค้นกับนายแหงๆเลยเซียร์”เฟิร์สวินด์ว่า
ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองก็จัดการล้มศัตรูทีละคนๆ จนกระทั่งเหลือไม่ถึงสิบ
“บ บ้าน่า ”
“ใครใช้แกมา บอกมาไม่งั้นตาย!”ตะวันรัตติกาลพูด
“ย ย ยอมแล้วๆ! ศาสนจักร! ศาสนจักรใช้พวกเรามาจัดการ!!!”
“ ศาสนจักรเหรอครับ ”ผมก้าวเข้าไปหาคุณหนูกับเฟิร์สวินด์
“โดนไล่ไปแล้วก็จริง แต่ท่าทางจะยังไม่ยอมตัดใจเรื่องพวกนายสองคนนะ”เฟิร์สวินด์ถอนหายใจ
“แบบนี้ก็แย่สิคะ”เมโลดี้ทำหน้าไม่พอใจ
“พวกนาย ไปซะให้พ้นจากเมืองนี้ภายในหนึ่งชั่วโมง!”ตะวันรัตติกาลหันไปสั่ง ซึ่งพวกชายชุดดำก็ยอมทำตามแต่โดยดี
“เอ่อ ขอบคุณครับที่มาช่วยพวกเรา”เคเรสค่อยๆเดินมาขอบคุณ
“โจซัว คนคนนี้ ”เฟิร์สวินด์หันมาทางผมกับเมโลดี้
“เขาเป็นแขกของคุณหนูค่ะ”เมโลดี้ยิ้ม
แค่ได้ยินว่าเป็นแขกของคุณหนูเท่านั้น เฟิร์สวินด์ก็เข้าใจที่มาที่ไปของเคเรสกับครีอุสทันที เขามองทั้งสองคนด้วยสายตาวิเคราะห์นิดๆ
“ข้าชื่อเคเรส ส่วนเขาชื่อครีอุส เราสองคนต้องขอบคุณจริงๆที่มาช่วยเหลือ”เคเรสโค้งหัวเป็นการขอบคุณ ผมคิดว่าในคนทั้งหมด เขาคงเป็นคนที่มารยาทดีที่สุดล่ะมั๊ง
“ข้าเองก็ต้องขอขอบคุณเช่นกัน”ครีอุสยิ้มกว้าง แต่แม้รอยยิ้มของเขาจะดูสว่างไสวน่าใว้วางใจมากขนาดไหนก็ตาม แต่เวลาผมมองทีไรก็รู้สึกไม่ไว้วางใจทุกครั้งไป
“เซียร์ นายต้องลากพวกเขามาที่สตูดิโอให้ได้นะ”ผมแอบได้ยินเฟิร์สวินด์กระซิบแบบนี้
ในที่สุด ผมก็ต้องกลับโรงแรมมาพร้อมๆกับทั้งสองคนจนได้ เพราะเมโลดี้กำลังบ้าเฟิร์สวินด์มากเสียจนไม่มีอารมณ์จะทำงาน และดูท่าทางเธอจะยังไม่อยากกลับด้วย ผมก็เลยต้องกลับมากับทั้งสองคนแทน
เพราะถึงยังไง แดดที่ร้อนแรงขนาดนั้นมันก็ส่งผลต่อผมไม่เบาเหมือนกัน ถึงผมจะคิดเผื่อและเตรียมผ้าคลุมไปแล้ว แต่ถ้าใส่มันนานๆเข้าคนอื่นจะสงสัยอยู่ดี ผมก็เลยพาพวกเขากลับทางเลี่ยง นั่นก็คือดาดฟ้าตึกต่างๆ และเคเรสกับครีอุสก็ทำให้ผมตกใจอีกครั้ง เพราะทั้งสองคนกลับตามความเร็วของแวมไพร์อย่างผมมาติดๆ
“เล่นเอาตกใจไปเลยนะเนี่ย ไม่คิดว่าโจซัวจะเก่งขนาดนี้”เคเรสชวนคุย
“ผมยังไม่เรียกว่าเก่งหรอกครับ ยังมีอีกหลายคนที่เก่งกว่าผม”ผมตอบ
“โห แสดงว่าที่นี่ต้องมีคนเก่งๆเยอะแยะเลยนะเนี่ย ท่าทางเทอร์มิสกับฮาเดสคงจะชอบนะครีอุส”เคเรสหันไปถามครีอุส
“ก็คงเป็นเช่นนั้น เคเรสที่รัก”ครีอุสตอบ
“จะว่าไปแล้ว ผมไม่เห็นคุณฮาเดสตั้งแต่เช้าแล้วนี่ครับ”
“เอ๋!?!”ครั้งนี้ทั้งเคเรสและครีอุสกลับทำหน้างงเหมือนๆกัน
“คุณครีอุสไม่ได้ลงมาทางข้าวเช้า ส่วนคุณเคเรสก็มาช้ากว่าคนอื่นเพราะต้องตักอาหารแยกก็เลยไม่ทันได้สังเกตล่ะมั๊งครับ”ผมยิ้มตามแบบฉบับของพ่อบ้านที่ดี
“ฮาเดสหายไปตั้งแต่เช้าเลยเหรอ?”ครีอุสถามผม
“ครับ เห็นออกไปตั้งแต่เช้ามืดเลยล่ะครับ”
“ เคเรส ”ครีอุสถอนหายใจ
“มีอะไรเหรอครีอุส”เคเรสถาม
“กลับไปถึงที่โรงแรม เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เด็ดขาด บอกแค่ว่าเราไปเดินเล่นก็พอ”
“อ้าว? ทำไม ”
“ข้าไม่มีเวลาอธิบาย”ครีอุสหันหลังให้พวกผม ก่อนที่เขาจะจากไปแทบจะทันที
“จะรีบไปไหนของเขากันเนี่ย”เคเรสแบะปากน้อยๆ
ฟิ้ว ฟิ้ว
ข้ารีบกระโดดข้ามผ่านหลังคาเรียบๆพวกนี้มาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และยังเปิดจิตสัมผัสเพื่อตามหาลอเรนเต็มที่
คนอย่างเขาไม่มีทางหายตัวไปไหนได้หรอก ข้าเชื่อย่างนั้น แต่ข้าดันติดคำสัญญากับท่านอาจารย์เอาไว้ว่าจะไม่ปล่อยให้เขาคลาดสายตา และไม่พาเขาออกนอกเขตวิหารเทพแห่งแสงสว่าง ซึ่งข้อหลังข้าก็จำเป็นต้องแหกกฎมาแล้วเพราะเป็นคำสั่งของตาแก่สังฆราช ดังนั้นข้าจึงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวซ้ำสองอีกหรอก
ก็อาจารย์ข้าน่ะ น่ากลัวยิ่งกว่ามังกรซะอีก!!!
จริงๆข้าอดตกใจไม่ได้ เพราะในเซ็ตติ้งซันมีไอของพวกปิศาจปะปนอยู่เต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่หลังคาที่ข้ากำลังข้ามผ่านพวกนี้ หากแต่พวกเขาไม่มีใครปรากฎตัวออกมา ข้าก็ไม่คิดจะเล่นงานพวกเขาหรอก และถึงพวกเขาปรากฎตัวมาอยู่ตรงหน้าข้า ถ้าเขาไม่ลงมือก่อนข้าก็จะไม่ลงมือเช่นกัน
ก็ที่นี่ไม่ใช่เขตของข้า จะทำอะไรก็ไม่สะดวกแบบนี้แหละ!!!
ในที่สุดข้าก็สัมผัสถึงจิตของลอเรนเสียที จิตมืดของเขารุนแรงมากขนาดข้ารู้สึกได้แม้จะไม่เปิดจิตสัมผัส และข้าก็คิดว่าการที่ข้าเปิดจิตสัมผัสให้กว้างเกินไปอาจจะนำภัยมาหาตัวข้าเองก็เป็นได้ เพราะไม่มีอะไรยืนยันว่าปิศาจพวกนี้จะไม่รู้จักจิตสัมผัส ข้าจึงลดมันลงให้มีระยะเท่ากับสายตาของข้าเท่านั้น ก่อนจะรีบมุ่งไปหาลอเรน
“ในที่สุดเจ้าก็มา ครีอุส”
“เทอร์มิส!!!”ข้าร้องอย่างตกใจ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ในเมื่อข้าไม่รู้สึกถึงตัวเขาเลยซักนิด
“ไอมืดของเขาคงจะเข้มเกินไปจนบดบังตัวตนของข้าไปหมดน่ะสิ”เทอร์มิสถอนหายใจ
“นี่ นี่พวกเจ้ามาทำบ้าอะไรกัน”ข้ากัดฟันถาม
“ดูรอบๆก็รู้แล้ว”เทอร์มิสยิ้มบางๆให้ข้า
“เจ้าอย่ามาพูดดี แลนซ์!!!”
จะไม่ให้ข้าโวยวายได้อย่างไรกัน เทพเจ้า! ดูความวุ่นวายที่เจ้าสองตัวนี้ก่อขึ้นสิ!!! พวกมันไม่สนใจเลยรึไงนะว่านี่เป็นเขตของอมนุษย์! มาซ้อมดาบกันข้าไม่เคยว่า แต่พวกเจ้าช่วยเลือกสถานที่กันหน่อยได้มั๊ย!!!!!
“ลอเรน! เจ้า ร่วมมือกับพวกเขามาหลอกข้ารึไงกัน! เจ้ารู้มั๊ยว่าข้าตกใจแทบตายที่เจ้าหายไป!!!”ข้าหันไปโวยวายใส่ลอเรนแทน
“เจ้าหลับอยู่ ข้าไม่กล้าปลุกหรอก”ลอเรนถอนหายใจ “เจ้าน่าจะรู้ว่าเวลาเจ้าหลับมันตื่นยากขนาดไหน ข้าเลยไม่ปลุก”
“ก็เจ้าตื่นสายเอง ข้าก็เลยไม่ได้บอก อีกอย่าง ถ้าข้าบอกเจ้าคงคัดค้านข้าล่ะสิ”เทอร์มิสเสริม แหม เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะเรื่องแกล้งทำให้ข้าตกใจเนี่ย!
“หุบปากนะ แลนซ์ เทอร์มิส!”ข้าโวยวาย “ไว้ข้าจะคิดบัญชีที่เจ้าหลอกข้าทีหลัง!”
“อ๊ะฮาเดส ข้าคิดว่าข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกเจ้าด้วยนะ”เทอร์มิสหัน
“อย่านะเทอร์มิส!!!”ข้าซาบซึ้งถึงทรวงในทีเดียวว่าเขาจะพูดอะไร องค์มหาเทพ! ข้าแค่พลาดให้เขาจับจุดอ่อนข้าได้จุดเดียว เขาก็นำเรื่องนี้มาขู่ข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
แลนซ เทอร์มิส! เจ้ามันชั่วช้าที่สุด!!!
“ไม่ต้องห่วงหรอกเกรเซียส ข้าตกลงกับเจ้าของที่นี่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ตกลงให้พวกเรายืมบ้านของเขาเป็นที่ฝึกซ้อมเช่นกัน”ลอเรนบอก
“เจ้า เจ้าไปคุยกับอมนุษย์เจ้าของที่นี่ โอย~”ข้าจะเป็นลม
ข้าให้เขาทำตัวเป็นคนปรกติธรรมดาๆนะ ไม่ใช่วางมาดประมุขแห่งความตายไปปกครองอมนุษย์แบบนี้! แค่ไอปิศาจของเขาเท่านั้นก็ทำพวกอมนุษย์แถวนี้กลัวกันหัวหดแล้ว! ข้าจะไม่แปลกใจเลยซักนิดถ้าปิศาจที่ลอเรนไปคุยด้วยจะชักตาตั้ง รีบอนุญาติทันที
แล้วดูเข้าสิ ทีตอนที่ข้าอยากให้เขาทำตัวเป็นประมุขแห่งความตาย เขาก็ไม่ทำ ทีข้าจะให้เขากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆเขาก็ทำตัวเป็นประมุขแห่งความตายอีก ข้าจะบ้าตายวันละหลายรอบเพราะเขานี่แหละ!
“เกรเซียส เจ้าทำหน้าเหมือนคนจะเป็นลม”ลอเรนถาม
“ข้าจะบ้าตายเพราะพวกเจ้าสองคนนั่นแหละ!!!!!”ข้าตวาด
“เกรเซียส”ลอเรนทำสีหน้าปุเลี่ยนๆ “การตวาดไม่ใช่สิ่งที่เทพอัศวินครีอุสควรกระทำนะ”
“ข้าจะทำแล้วใครจะทำไม! ข้าพูดผิดตรงไหนล่ะที่ข้าจะบ้าตายเนี่ย! พวกเจ้าช่วยทำตัวให้มันเรียบร้อยกับเขาหน่อยได้มั๊ย!!!!!”ข้าล้มตัวลงนั่งอย่างหมดแรง แถมยังตวาดพวกเขาอีกด้วย
“ทีนี้เชื่อข้ารึยัง เกรเซียสน่ะเป็นเทพอัศวินครีอุสที่ไม่เหมาะจะเป็นเทพอัศวินครีอุสที่สุด”เทอร์มิสถอนหายใจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น