ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสาวพาสไทม์

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 52


     

    บ้านทรงโบราณหลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่กลาง กรุงเทพมหานครมหานครแห่งความเจริญ รอบตัวบ้านปกคุมด้วยเถาอัญชัญแสนสวยที่ออกดอกสีม่วงอ่อน กระจายอยู่ดาษดื่นบนกิ่งก้านของต้น  หมาสองสามตัวเดินไปมาพลางแยกเขี้ยวใส่กันก่อนจะกระโจนเข้าหากัน มันทั้งหมดฟัดกันด้วยคมเขี้ยวอันแหลมคมของตัวมันเอง เสียงเห่าร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นซอยเทพาทิพย์ที่ 4 และที่สำคัญมันกัดกันอยู่หน้าบ้านทรงโบราณหลังงาม และก่อนที่มันจะกัดกันไปมากกว่านี้ ของบางอย่าง อันมีนามว่ากระทะลอยลิ้วข้ามลั้วสูงของบ้านทรงโบราณ ลงกลางวงหมาที่กัดกันอย่างเมามันพร้อมด้วยเสียงแหลมที่ดังตามออกมาว่า

    “ ไอ้หมานรก กัดกันทำพระแสงอะไรยะ เสียงดังจริงๆเลย คนจะทำงานไม่เป็นอันทำเลย แล้วถ้าแกมากัดกันที่นี่อีกฉันจะเรียกเทศบาลมาจับพวกแก ไปเลยไป” เจ้าของเสียงแหลมกล่าวแบบลวดเดียวจบพลางมองเหล่าหมาน่าสงสารที่วิ่งหางจุกก้นไปกันแทบไม่ทัน  ร่างเจ้าของเสียงแหลมหันหลังเตรียมกับเข้าไปในบ้าน และทันใดนั้นเสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้น

    “ คุณแม่คะ ป้าคนนี้เขาเป็นอะไรคะ เขาด่ากับหมาด้วย” ร่างเล็กที่ยืนจูงจักรยานคู่ใจ พลันตกใจสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาเย็นเยือกที่หันมาพร้อมเสียงแหลมที่กล่าวว่า

    “ นังเด็กบ้า ฉันอายุ26 ย่ะ เป็นน้องแม่แกอีกมาเรียกป้า เดี๋ยวแม่ก็กินตับเอาซะหรอก” เสียงนั่นทำให้เด็กน้อยร่างเล็กเปล่งเสียงร้องอันทรงพลังออกมายิ่งกว่านักโอเปร่าเสียอีก พร้อมวิ่งหนีไปหาแม่ทันที

    “ มาว่าบ้ายังยอมได้ แต่เรียกป้าเดี๋ยวแม่ตบ” ร่างบางหันกับเข้าบ้านพร้อมปิดประตูลั้วก่อนหายเข้าไปในบ้าน 

     ร่างบางนั่งลงที่เก้าอี้หวายตัวหนึ่ง เบื้องหน้าปรากฏเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องเล็กที่มีกระดาษเสียบอยู่บนกระดาษเขียนว่า คอน์ลัมสตรีไทยวันนี้  หญิงสาวขยับกรอบแว่นหนาที่มีสายห้อยอยู่บริเวณเสื้อคอกระเช้าแสนสบาย และนั่งไขว้ห้างภายใต้ผ้าสิ้นสีสด บริเวณเอวรัดด้วยสังวารสีทองงดงามที่ถูกขัดเป็นเงา นิ้วมือหญิงสาวจรดลงพิมพ์อย่างรวดเร็วมีเนื้อความว่า

                 ในโบราณกาลนั้นหญิงไทยแต่งกายอย่างเรียบร้อยงดงาม ไม่ใช่อย่างสมัยนี้ที่แต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้

       เสื้อแขนกระบอกสวยงาม กับ ผ้าสิ้น ถูกแทนที่ด้วย เสื้อสายเดี่ยว กางเกงสั้นเพียงคืบแทน ดิฉันนั้นเห็นแล้ว

      ลมแทบจับเลยทีเดียว ดิฉันไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้จะแต่งตัวไปทำอะไร ยิ่งแต่งยิ่งโป๊ดิฉันหัวใจแทบวายเมื่อเห็น

    ~ ~ ~  (อีกมากมาย ที่จะคิดได้)

    และทันใดนั้นเสียงกีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น  กิ๊ง  กิ๊งๆๆ เสียงโทรศัพท์แบบเก่าดังขึ้นหญิงสาวเอื้อมมือไปรับพลางกรอกเสียงว่า

     “ สวัสดีค่ะ พิมพการน์ พูดค่ะ” หญิงสาวกล่าว

    “ ยัยพิมฉันเองนะ แอนนา” ปลายสายกรอกกลับมา

    “ ว่ายังไงยะ ยัยแอนหายไปเลยนะ แหมนึกว่าหล่อนลืมเพื่อนแล้วนะเนี่ย” พิมพการณ์ หรือ พิมกรอกเสียงลงไป

    “ โอ๊ย ฉันล่ะเหนื่อยทั้งวันเลย วันหนึ่งไม่รู้กี่รอบเดี๋ยวก็ ...” แอนนากล่าวอย่างสุดกลั้นและก่อนจะจบเสียงแหลมก็แทรกขึ้น

    “ ยัยแอนเป็นสาวเป็นแส้ พูดอะไรไม่อายปากเลยนะยะ” พิมพการน์กรอกเสียงลงโทรศัพท์ สำหรับสาวอนุรักษ์วัฒนธรรมอย่างเธอนั้นการพูดแบบนี้เธอรับไม่ได้

    “ บ้าใหญ่แล้วยัยพิม ฉันหมายถึงเจ้าแฝดสองคนนี้ต่างหากล่ะ วันหนึ่งร้องไม่รู้กี่รอบเลย หนำซ๊ำตีกันแย่งของเล่นกันสารพัด ฉันนี้ปวดหัวเลย” ปลายสายกรอกเสียงมาไม่หยุก ราวกับว่าไม่ได้พูดมานานนับสิบปี

    “ เอาล่ะๆ แล้วนี่แกโทรมาทำไมยะ” พิมพการน์ตัดบททันที เพราะเธอรู้ว่ายัยเพื่อนสาวลูกครึ่งคนนี้มันจะบ่นยาวเมื่อมีโอกาสเลยทีเดียว

    “ เออเกือบลืม คือ งี้พรุ่งนี้สองทุ่มแกว่างไหม” ปลายสายถามกับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

    “ อืมฉันหรอว่างสิ ถ้าปิดคอลัมน์เสร็จก็สบายแล้ว” พิมพการน์ตอบเสียงเรียบๆ

    “ คืองี้ ฉันจะชวนแกไปซิ่งแถวรัชดาสักหน่อย ว่าไง” ปลายสายกล่าวเสียงเจือแววตื่นเต้น

    “ บ้าหรอยะ ฉันไม่ใช่สก๊อยนะจะได้ชวนไปซิ่ง” พิมพการน์แหวกับเสียงสูง

    “ บ้าน่า ฉันจะชวนแกไปปล่อยแก่ย่ะ จะไปไหม” เสียงที่ส่งกลับมาฉายแววรำคาญเล็กๆ กับความไม่ทันโลกของเพื่อน

    “ ฉันไม่อยากไปหรอกนะ แล้วคนอื่นว่าไง” พิมพการน์ตอบกลับเสียงเหนื่อยหน่าย

    “ นังวิทย์กับนังพริกมันพร้อมแล้วรอแกคนเดียวแล้ว” เสียงปลายสายกรอกกับมา

    “ เอ่อ ชั้นคงไม่ไปอะนะ ถ้า.....” พิมพการต์ เงียบเว้นจังหวะจนอีกฝ่ายต้องเร่งเร้าแทน

    “ ถ้าอะไร”

    “ ถ้าแกไม่มารับน่ะ” หญิงสาวกรอกเสียงลงโทรศัพท์พลางหัวเราะ จนคนที่อยู่อีกฝั่งกล่าวว่า

    “ ยังคงงกไม่เปลี่ยนนะยะ”

    “ ก็ถ้าไม่งกจะรวยหรอยะ ฮะฮะฮา” หญิงสาวหัวเราะ พร้อมคุยกันต่ออีกสักพัก ก็วางเป็นอันได้ความว่าพรุ่งนี้แอนนาจะมารับเธอตอน ทุ่มครึ่ง ดังนั้นเธอต้องรีบปิดต้นฉบับให้ทันวันนี้

    คิดได้ดังนั้นพิมพการต์ก็ขยับกรอบแว่นหนาพร้อมจรดปลายนิ้วลงบนพิมดีดที่ดังเป็นจังหวะ แต้กๆ ๆๆๆๆ

              หนึ่งทุ่มครึ่ง ฉันยืนอยู่หน้าบ้านพลางตบยุงที่รุมกัดฉันอย่างมันมือ(มั้ง) เพื่อรอยัยเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด นานแล้วเหมือนกันที่ฉันไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อน จำได้ว่าครั้งสุดท้ายตอนฉันอายุ 23 ปีจนตอนนี้ฉันอายุ 26ตอนนั้นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเรียกฉันว่าป้า ฉันเคืองเลยเสยไปสองหมัดแล้วก็ไม่เที่ยวอีกเลย ก็แหมแค่ฉันใส่เสื้อแขนกระบอกกับผ้าซิ่นไหมแท้ไปแค่เนี้ย แสงไฟรถเก๋งคันงามของแอนนาเพื่อนรักฉันก็สาดใส่หน้าฉันก่อนจอดสนิทที่หน้าฉัน แล้วยัยแอนนาเพื่อนรักก็กดกระจกลงพร้อมใบหน้ากลมโผล่ออกมา ยัยเจ้าของหน้ากลมนั่นคือยัยพริกนักศึกษาสาวที่อายุน้อยที่สุด และที่นั่งข้างหลังคือ นังวิทย์ ไอ้หนุ่มหล่อใจสาว ของเรา

    “ พี่พิม ขึ้นรถเร็วเดี๋ยวไปช้า” ยัยพริกพูดเสียงใส เรียกฉันขึ้นรถ

    “ ยัยพิม นี่หล่อนจะไปเที่ยวกลางคืนหรือไปงานแต่งญาติยะ” เสียงนังวิทย์มันพูดกับฉัน ฟังแล้วปวดหูเลย แหมก็พ่อ(หรือแม่)คุณเล่นพูดเสียงแหลมเชียว

    “ แล้วไงยะ แต่งแบบนี้แหละดีแล้วจะได้ปลอดภัยผู้ชายเดี๋ยวนี้ไว้ใจไม่ได้” ฉันตอบกับ ก็แหมข่าวออกโครมๆว่า คนนี้โดนฉุด คนนั้นโดนข่มขืน และแหมฉันก็ยิ่งสวยเซ็กซี่บาดใจอยู่”

    “ นี่ยัยพิม แกน่าจะดีใจนะที่มีคนมาฉุดน่ะ ดูสิยืนในมุมนึกว่าผีเรือน” กรี๊ด......... ดูนังวิทย์มันพูดสิ

    “ อย่างน้อยฉันก็สวยกว่าแกแหละ นังวิทย์” ฉันว่ากลับพร้อมเสียงยัยแอนดังขึ้น

    “ นี่ทะเลาะกันอยู่ได้จะไปไหม ฮะ” ยัยแอนยุติสงคราม ฉันเดินไปเปิดประตูพร้อมก้าวเท้าในรองเท้าสีเข้มขึ้นรถ ยัยแอนมองดูความเรียบร้อยก่อนจะกระชากรถออกไป 

     เพียง สามสิบนาทีรถของยัยแอนก็มาจอดที่ผับแห่งหนึ่งย่านรัชดา เสียงเพลงดังกระหึ่มออกมาไม่ขาดสาย เราสี่คนเปิดเดินไปที่พนักงานตรวจบัตรพร้อมยื่นบัตรประชาชน พนักงานหนุ่มรับบัตรยัยแอนนาไปดู ก่อนส่งคืนให้ยัยแอนนาเดินยิ้มเข้าร้านไป ต่อมาเป็นนังวิทย์ พนักงานรับบัตรไปดูและส่งคืนให้เช่นเดิม คนต่อมาคือ ยัยพริกพนักงานมองหน้าก่อนพูดว่า

    “ น้องเข้าไม่ได้นะอายุไม่ถึง” พนักงานกล่าว

    “ อะไรพี่หนู ยี่สิบเอ็ดแล้วนะ นี่บัตรหนู” พนักงานรับบัตรไปดูพร้อมยิ้มให้ยัยพริกหน้าเจื่อนๆ และแล้วก็ถึงคิวฉัน ฉันส่งบัตรประชาชนให้พนักงานหนุ่ม แต่น่าแปลกพนักงานหนุ่มไม่รับหนำซ๊ำยังบอกว่า

    “ เชิญครับคุณป้า แหมไฟแรงจังเลยนะครับแก่แล้วยังมาเที่ยวอยู่เลย” ไอ้พนักงานหน้าประจวดมันพูด ฉันค้อนก่อนจะอ้าปากด่าแต่แล้ว มือของยัยแอนก็ดึงฉันเข้าไปข้างในก่อนพูดว่า

    “ อย่าไปสนใจเลยเรามาเที่ยวนะ คิดมากน่า” ยัยแอนพูดและทันทีที่ได้ยินเสียงเพลงอันกระหึ่ม บวกจังหวะที่เร้าอารมณ์มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ที่โกรธเมื่อกี้ หายไปหมดเลยและยิ่งน้ำสีสวยผสมแอลกอฮอล   มันทำให้ฉันรู้สึกว่าห้ามแขนขาตัวเองไม่อยู่

    ฉันมองไปดูยัยพริก แอนนา และนังวิทย์ หล่อนทั้งสามยักย้ายส่ายสะโพกได้อย่างเมามันในอารมณ์มาก เห็นดังนั้นจะมัวยืนอยู่ทำไมล่ะ เอ้า นังพิมลุย ฉันยักย้ายส่ายสะโพกไปเรื่อยๆตามจังหวะเพลง และรู้สึกเหมือนใครสะกิดฉัน ฉันหันไปมองก็พบว่า ยัยพริกนั่นเอง

    “ พี่พิมดูนายคนนั้นดิหล๊อหล่อ เห็นแล้วกรี๊ด......ขาวมากเลยอะ” ยัยพริกพูด

    “ ยัยพริกเราเป็นผู้หญิงนะอย่าพูดอย่างนี้สิมันน่าเกลียด พี่ว่าคนนั้นหล่อกว่าสูงเข้มเชียว” ว๊าย... ฉันพูดอะไรเนี่ย

    “ รสนิยมหล่อนสองคนน่ะห่วยจริงเลย ต้องคนนั้นตาน้ำข้าวสเป็คเลย” แหมยัยวิทย์ แกนี่ชอบจังเลยนะฝรั่งเนี่ย

    “ พวกแกคนนั้นสิเด็ด ลูกครึ่งแน่เลย” เสียงยัยคุณแม่ลูกสองพูด แหมนี่แกแต่งงานแล้วนะ ฉันมองดูหนุ่มของยัยแอนนา อืมก็หล่อใช้ได้ ตาชั้นเดียวดูมีสเน่ห์ จมูกโด่งเป็นสันหล่อไม่เบา ต๊ายยยยยย ยัยแอนตาแกเลิศมากเลยล่ะ ฉันยังคงมองดูอย่างตะลึงเล็กน้อย ในจังหวะนั้นเอง ฉันก็สังเกต หนุ่มหล่อที่กำลังโยกย้ายกายเข้าไปหาพ่อหนุ่มลูกครึ่ง กรี๊ด!!! นั่นมันนังวิทย์ หนอยเผลอไม่ได้ไม่ชวนกันเลย อุ๊ย ฉันพูดอะไรเนี่ย และแล้วพวกเราสี่คนก็เคลื่อนกายเข้าหานายลูกครึ่งในรัศมีใกล้ที่สุด ตอนนี้เกือบ เที่ยงคืนแล้วนังวิทย์ยังดิ้นไม่หยุด ฉัน ยัยพริก นั่งจิบค๊อกเทล อย่างสบายอารมณ์ ส่วนยัยแอนนา ก็ปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำซะงั้น อีกราวๆ สิบห้านาที เราสี่คนก็รวมตัวกันเตรียมตัว จะกลับแล้ว และได้ตงลงกันว่าจะไปกินข้าวต้มรอบดึกก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกันกลับ  ตกลงกันได้แล้วเราสี่คนก็เดินออกมาด้านนอกทันที จนได้ยินเสียงเอะอะ ราวกับคนตรีกันมาจาก ลานจอดรถ และจริงดังคาด บุรุษราวสี่ห้าคนกำลังรุมสหบาทาใส่หนุ่มคนหนึ่งที่กำลังนอนในกองเท้าที่ประเคนลงมาไม่ยั้ง ฉันมองหน้านังเพื่อนทั้งสาม และแล้วอีนังวิทย์เจ้าปัญญาก็ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าถือ นกหวีดนั่นเอง หวีด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงนกหวีดกรีดร้องขึ้น ชายที่กำลังรุน ตีนอย่างเมามัน พลันชะงักลงแล้ววิ่งไปคนละทาง พวกเราเดินไปพยุงตัว ชายเคราะห์ร้ายขึ้นมาแล้วพยุงไปที่รถ ตอนนี้ฉันเห็นหน้าเขาชัดๆแล้ว เขาคนนี้คือนายลูกครึ่งในผับนั่นเอง

    “ นี่ยัยพิม พาเขาไปโรงพยาบาลเถอะ” นังวิทย์ว่า เราทุกคนลงความเห็นได้แล้วรับพาไปที่รถแล้วออกตัวไปยังโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าถึง โรงพยาบาล พยาบาลหนุ่มรูปหล่อก็พาเขาขึ้นรถเข็นไปทันที

    “ พี่พิม เขาไม่ตายหรอกพี่  พริกว่าเราไปหาไรกินกันเหอะหิวอะ” แหมนังนี่ เห็นไรก็เป็นกินไปหมดเลย แต่ก็น่าอิจฉามันที่กินแล้วไม่เห็นอ้วนเลย คิดแค่นี้หมอก็เดินออกมา พร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า

    “ คนไข้ไม่เป็นไรมากแล้วนะครับ แค่บอบช้ำนิดหน่อย คุณคงเป็นป้าคนไข้ใช่ไหมครับ”  อ้าว เดี๋ยวงานนี้หมอมีงานเข้า เพราะไอ้ที่หมอชี้นิ้วใส่นั่นคือ ฉัน  กรี๊ดด ฉันไม่ได้แก่นะ

    “ ไม่ใช่ ค่ะดิฉัน เป็นเพื่อนเขาค่ะ และที่สำคัญดิฉันอายุแค่ 25 ปีค่ะ” หมอเกือบหนุ่มถึงกับหน้าตึงไปเลยทีเดียว เขาทำท่าอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป ยัยพริกดึงมือฉันแล้วพูดว่า

     

    “ ไปกันเถอะพี่พิม อย่าไปใส่ใจเลย พวกมันตาไม่ถึง เลยไม่เห็นพี่สวย” ยัยพริกปลอบใจได้ดีมากเลย แต่ถ้าไม่มีเสียงนังวิทย์ขึ้นมาว่า

     

    “ ยัยพิมแกจำตอนมหาลัยได้ไหม ฉันบอกแกว่าให้แกสาวก่อนแล้วค่อยแก่ แต่แกสิแก่ก่อนลืมสาวเลย”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×