คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : วิ่งขึ้นเขา
“คึดเติงหาจ๊ากนัก มันแปลว่าอะไรเหรอนุ้ย” ฉันถามนุ้ย หลังจากที่นุ้ยคุยกับพ่อเสร็จ
“คิดถึงมากๆ ไง” นุ้ยตอบฉันหลังจากที่ฉันถาม
“มันคือภาษาอะไรเหรอ น่าฟังจัง” ฉันยังถามต่อด้วยความสงสัย
“ภาษาคำเมือง นุ้ยใช้คุยกับพ่อ แม่ และเพื่อนๆ ที่อยู่ลำพูน” นุ้ยตอบด้วยความภาคภูมิใจกับภาษาบ้านเกิดตัวเอง
“แล้วนะโมมีภาษาที่บ้านหรือป่าว” คราวนี้นุ้ยถามฉันบ้าง
“มี เป็นภาษาอีสาน แต่ฟังดูจะแข็งๆ ไม่หวานเหมือนของนุ้ยหรอก” ฉันตอบออกไปเหมือนไม่ค่อยประทับในภาษาตัวเองนัก
“เฮ้อ พรุ่งนี้ต้องวิ่งขึ้นเขาสามมุกแล้ว เตรียมตัวพร้อมหรือยังนะโม” นุ้ยถามฉันด้วยความตื่นเต้นกับเหตุการณ์ของฉันพรุ่งนี้
“มันไม่มีอะไรมากไม่ใช่เหรอ ก็แค่วิ่งขึ้นเขา” ฉันตอบ ขณะที่กำลังจะเดินกลับหอพัก
เดือนหนึ่งแล้วสินะที่ฉันมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ ฉันยังรู้สึกว่าเมื่อวานนี้พ่อ และแม่มาส่งฉันที่นี่อยู่เลย การใช้ชีวิตเด็กมหาลัยนั้นช่างต่างจากเด็กมัธยมเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องเรียน ตอนที่เรียนมัธยมเรานั่งเรียนไม่กี่สิบคน แต่ที่นี่เราต้องนั่งเรียนกันเป็นร้อยๆ แถมไม่มีการเช็คชื่อเข้าเรียน ใครจะไม่มาเรียน นอนหลับในห้องเรียน หรือเข้ามาสาย อาจารย์ก็ไม่ว่า
ฉันยังจำได้ วันแรกที่ฉันเข้าเรียน อาจารย์บอกกับพวกเราว่า “การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ 4 ปี จะไม่มีใครมาบอกพวกคุณว่า พวกคุณต้องทำอะไร พวกคุณเท่านั้นที่จะต้องบอกตัวเองว่าควรทำอะไร หรือไม่ควรทำอะไร อาจารย์จะไม่มานั่งเช็คชื่อพวกคุณหรอกนะค่ะ เพราะถือว่าเราโตๆ กันแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรรับผิดชอบตัวเอง อาจารย์ขอให้พวกคุณนำคำพูดของอาจารย์ไปคิดนะค่ะว่า จะเป็นบัณฑิตที่จบมาเป็นที่ต้องการของสังคม หรือว่าจะเป็นบัณฑิตที่สังคมไม่ต้องการ” นั่นเป็นคำพูดของอาจารย์ที่ฉันจะจำตลอด 4 ปีที่อยู่ที่นี่
***********************************************************
“เกิดอะไรขึ้นเหรอหนูกิ๊ก” ฉันถามหนูกิ๊ก ว่าที่พยาบาลสาว หลังจากที่เปิดห้องเข้ามา เห็นสภาพห้องที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าบนเตียง
“อ๋อ หยินเขากำลังเลือกเสื้อผ้าสำหรับคืนพรุ่งนี้อยู่ค่ะ” หนูกิ๊กตอบฉันในขณะที่กำลังหยิบเสื้อผ้าออกจากเตียงให้ฉัน
“เลือกทำไม คืนพรุ่งนี้หยินจะไปไหนเหรอ” ฉันถามด้วยความสงสัย
“นี่ แม่หนูนะโม ไม่รู้หรือจ้ะว่าพรุ่งนี้นั้น นอกจากจะวิ่งขึ้นเขาในตอนเช้าแล้ว ตอนกลางคืนยังมีงานเลี้ยงด้วยนะ แถมมีการเต้นรำด้วย” เสียงหยิน สาวนิเทศศาสตร์ ตะโกนออกมาจากห้องน้ำ
“เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นเนี๊ย โจรใต้จะบุกชลบุรีหรือไง ทำไมเสื้อผ้าเต็มห้องเลย จะเก็บเสื้อผ้าหนีไปไหนกัน” เสียงน้ำผึ้ง สาววิศวะ ร้องออกมาด้วยความตกใจ หลังจากที่เปิดเข้ามาในห้อง
“ไม่ใช่โจรใต้บุกหรอกค่ะน้ำผึ้ง หยินเขากำลังเลือกชุดไปงานคืนพรุ่งนี้อยู่ค่ะ” หนูกิ๊กตอบน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นคำตอบเดียวกันกับที่ตอบฉัน
“โอ้โห มันจะอะไรกันนักหนาเนี๊ย ใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ก็เรียบร้อยแล้ว” น้ำผึ้งบอกด้วยความหงุดหงิด ฉันว่าคงจะหงุดหงิดอะไรมาแน่เลย ถึงมาลงกับเพื่อนที่ห้อง
“จะบ้าเหรอน้ำผึ้ง งานคืนนี้เป็นงานราตรีนะจ้ะ ไม่ใช่งานวัด จะได้แต่งเสื้อยืด กางเกงยีนส์อย่างที่เธอพูด” หยินตอบ พร้อมกับเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดอันสวยงาน จะว่าไปหยินเขาก็สวยอยู่แล้ว ไม่ต้องใส่ชุดสวยเขาก็สวย ไม่เหมือนกับฉัน ที่จะทำให้สวยยังไงก็ไม่สวย
“เป็นไง ตะลึงกันเลยสิ เดี๋ยวฉันหาชุดให้พวกเธอด้วย จะได้สวยกันทั้งเมท” หยินพูดในขณะที่กำลังเลือกเสื้อผ้าให้พวกเรา
“จะแต่งอะไรก็แต่งไป อย่ามายุ่งกับฉันแล้วกัน” น้ำผึ้งบอกด้วยความรำคาญ
“ไม่ได้จ้ะ เสีย Concept ห้องเราหมด อีกอย่างเขาห้ามให้ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์เข้างาน อ้อ แล้วไม่ต้องบอกว่าไม่ไปนะน้ำผึ้ง เพราะพี่ๆ เขาเช็คชื่อด้วย” หยินตอบแบบผู้ชนะ
“อะไรกันนักหนาวะ” น้ำผึ้งร้องออกมาแบบจนใจ
นี่แหละความวุ่นวายของห้องฉัน เจอสองคนนี่คุยกันทีไรปวดหัวทุกที
“นะโม กับหนูกิ๊กจะแต่งแบบไหนจ้ะ” คราวนี้หยินหันมาถามฉันที่นอนอยู่บนเตียงฟังสองคนนี้เถียงกัน กับหนูกิ๊กที่กำลังเก็บเสื้อผ้าของหยินออกจากเตียงของน้ำผึ้ง
“เรายังไงก็ได้ เลือกมาเถอะ” ฉันตอบให้มันจบๆ ไป
“เออ ของหนูกิ๊กยังไงก็ได้เหมือนกันค่ะ แต่ไม่โป๊นะค่ะ เดี๋ยวคุณหญิงแม่ว่าเอาค่ะ” หนูกิ๊กบอกด้วยความเกรงใจ
สุดท้ายก็จบลงด้วยการใส่ชุดที่หยินเลือกให้ ไม่เว้นแม้กระทั่งน้ำผึ้งที่ตอนแรกไม่ยอม แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลแกมบังคับของหยินจึงจำเป็นต้องใส่
***********************************************************
เช้าวันเสาร์ ของวันที่ 8 ก้อมาถึง เวลาตีห้า เวลาที่ทุกคนควรนอนอยู่บนเตียง พวกเราโดนปลุกให้ลุกขึ้นตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง ด้วยเสียงตะโกน และเสียงเคาะประตูตามห้องต่างๆ
เมื่อคืนกว่าฉันจะได้นอนก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว ที่นอนดึกไม่ใช่ทำรายงาน หรืออ่านหนังสือหรอกนะ เป็นเพราะมัวแต่ดูหยินเลือกชุดให้แต่ละคนสำหรับคืนนี้อยู่นะสิ
“น้องๆ ครับ ง่วงกันหรือป่าว พี่มีของแก้ง่วงให้กับน้องๆ ทุกคนด้วย แต่มันมีมาน้อย จึงต้องให้น้องๆแบ่งๆ กัน โดยจะให้แถวละหนึ่งชิ้น ขอให้น้องๆ ทุกคนอมตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้ายเลยนะ ถ้าน้องคนไหนไม่อมหละก็ แสดงว่าไม่ใช่เลือดเทาทองด้วยกัน” หลังจากที่พี่คิมพูดจบ ลูกกวาดก็เริ่มแจกให้แต่ละแถว
ไอ้อมลูกกวาดตอนเช้านั้นไม่เท่าไหร่หรอก แต่ต้องอมต่อจากคนอื่นนี่สิ มันมีการรับน้องอย่างนี้ด้วยเหรอ ปลุกมาตั้งแต่เช้ามืดยังไม่พอ ยังต้องให้มาอมลูกกวาดที่มีน้ำลายคนอื่นติดมาด้วย อี๊ สยองเป็นบ้าเลย จากที่ง่วงเป็นตื่นเลยฉัน
เพื่อนๆ แต่ละคนอมลูกกวาดด้วยท่าทางกล้ำกลืนฝืนทน บางคนแทบจะร้องไห้ จนมาถึงฉัน ฉันมองลูกกวาดที่มีน้ำลายติดอยู่เยิ้มเชียว เอาวะ แค่อมมันเข้าไป จะตายก็ให้มันรู้ไป แค่นี้นะโมไม่กลัวหรอก หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว กะอีแค่ลูกกวาดจากน้ำลายเพื่อนๆ เพื่อจะได้เป็นเลือดเทาทอง นะโมทำได้อยู่แล้ว
ฉันนำลูกกวาดที่ติดน้ำลายนั้นเข้าปาก ด้วยสีหน้าขยะแขยงสุดๆ จนพี่เขาให้คายออกให้เพื่อนคนต่อไป ในขณะที่ฉันหันไปยื่นลูกกวาดให้เพื่อนคนต่อไป.................
นายต้นกล้า ทำไมต้องเป็นอีตานี่ที่นั่งต่อจากฉันด้วยนะ
“น้องค่ะ ยื่นให้เพื่อนสิค่ะ” เสียงพี่จินเตือนฉันให้ยื่นลูกกวาดให้นายต้นกล้า
“ไม่ต้องอมก็ได้นะ แค่จับคาใส่ปากไว้ เพราะเรายังไม่แปรงฟันเลย” ฉันกระซิบบอกนายต้นกล้าที่กำลังเอาลูกกวาดเข้าปาก
แต่ผิดคาด อีตานี่เอาลูกกวาดเข้าปากอม แล้วทำหน้าตาเฉย เหมือนมันเพิ่งแกะออกมาจากห่ออย่างไงอย่างงั้น ไม่รังเกียจหรือไง ฉันยังไม่ได้แปรงฟันเลยนะ
“เอาหละค่ะน้องๆ ทุกคน หลังจากที่อิ่มจากขนมที่พวกพี่แจกให้ไปแล้ว ตอนนี้พวกน้องๆ คงพร้อมที่จะวิ่งขึ้นเขากันแล้วนะคะ ถ้าใครวิ่งไปแล้วรู้สึกไม่ไหว ให้บอกพี่ๆ พยาบาลที่จะไปกับน้องๆ ด้วย หรือพี่ Staff นะค่ะ” พี่จินบอกพวกเรา ก่อนที่จะปล่อยวิ่ง
หลังจากเสียงสัญญาณนกหวีด พวกเราทุกคนก็เริ่มวิ่งกัน ฉันวิ่งไปได้สักพักก็เริ่มเหนื่อย จึงมองไปข้างหน้า บอกกับตัวเองว่า ถึงต้นไม้ต้นนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นเดินขึ้นแล้วกัน ยังไม่ทันไร ฉันก็สะดุดเท้าตัวเองล้ม เจ็บเป็นบ้าเลย
“เป็นอะไรหรือป่าว ลุกได้ไหม” เสียงใครคุ้นๆ แฮะ นายต้นกล้า ก็อีตานี่วิ่งนำหน้าฉันไปไกลแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมาอยู่นี่ได้หละ ในขณะที่ฉันกำลังประมวลผลความคิดตัวเองอยู่นั้น นายต้นกล้าจับมือและโอบไหล่ฉันขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ เออ ช่วยปล่อยเราก่อนได้ไหม” นายต้นกล้าปล่อยฉัน หลังจากที่ฉันบอกให้เขาปล่อย แล้วเดินไปเอารองเท้าผ้าใบมาใส่ให้ฉัน
“คงเป็นเพราะมัดไม่แน่มันเลยหลุดไป” ฉันบอกในขณะที่นายต้นกล้ากำลังจะใส่รองเท้าให้ฉัน
“เฮ้ย นายจะทำอะไร เราใส่เองได้ ไม่ต้อง” ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ และเลื่อนเท้าหนี
“จะใส่เองได้ไง เดี่ยวก็เจ็บแผลหรอก เอาเท้ามาเดี๋ยวเราใส่ให้ ไม่ต้องเกรงใจเราหรอก จับไหล่ฉันไว้ เดี๋ยวล้มอีกไม่รู้ด้วยนะ” นายต้นกล้าบอก แล้วเลื่อนรองเท้าเข้ามาที่เท้าฉัน แล้วมัดเชือกรองเท้าให้ฉันซะแน่นเลย
“ขอบใจอีกครั้งนะ” ฉันกล่าวขอบใจอีกครั้ง หลังจากที่นายต้นกล้าใส่รองเท้าให้ฉันเรียบร้อยแล้ว แต่แทนที่นายต้นกล้าจะใส่รองเท้าให้ฉันเสร็จแล้วไป อีตานี่กลับจับแขนฉัน แล้วพาฉันเดินไป
“เดินไปก่อนแล้วกัน อย่าเพิ่งวิ่งเลย” นายต้นกล้าบอกฉันทั้งๆ ที่จับแขนฉันอยู่ และฉันก็ให้จับโดยไม่ว่าอะไรสักคำ
ในระหว่างที่เราสองคนเดินขึ้นเขานั้น เพื่อนๆ หลายคนมองเราสองคนด้วยสีหน้าแปลกๆ คงคิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกันแน่เลย ก็จะไม่ให้คิดได้ไง จับมือกันเดินขึ้นเขาอย่างนั้น รู้สึกว่านายต้นกล้าไม่มีอาการเคอะเขินอะไรเลยนะ แต่ฉันนี่สิ อย่างกับกุ้งถูกลวกเลย ก็จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้ยังไง โดนผู้ชายจับมือเดินตลอดทางซะขนาดนั้น
“นี่ๆ เราเดินเองได้แล้วหละ ปล่อยมือเราได้แล้ว” ฉันบอกนายต้นกล้าด้วยเสียงสั่น
“แน่ใจนะ” นายต้นกล้าปล่อยมือฉัน และมองที่ขาฉัน คงไม่แน่ใจว่าฉันเดินได้นะสิ ฉันจึงวิ่งนำหน้านายต้นกล้า แล้วบอกว่าใครถึงก่อนชนะ แล้วฉันก็วิ่งไป โดยมีนายต้นกล้าวิ่งตาม อันที่จริงเขาสามารถวิ่งนำฉันได้นะ วิ่งไปได้ไกลกว่าด้วย แต่ทำไมอีตานี่ต้องวิ่งตามฉันด้วยนะ เหมือนทุกครั้งที่ตั้งแถว ฉันจะเห็นนายต้นกล้าอยู่ด้านหลังฉันเสมอ
ความรู้สึกที่ฉันมีให้นายต้นกล้าตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันคิดว่าเขาคือตัวซวยสำหรับฉัน แต่ตอนนี้ฉันชักจะเริ่มชอบเขาแล้วสิ มิตรภาพคำว่า “เพื่อน” คงเริ่มกันที่ตรงนี้สินะ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คือมิตรภาพที่หาไม่ได้ง่ายๆ ฉันหันหลังกลับไปมองหน้านายต้นกล้าที่วิ่งตามฉัน และบอกกับตัวเองว่าคนนี้แหละ เพื่อน ของฉัน
***********************************************************
ความคิดเห็น