คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 15 ❁ โอ้ใจรัก 100% ❁
เมืองโรเซล
คือเมืองที่มีเหมืองแร่มากที่สุดในแคว้นหิมาลายัน รวมทั้งยังมากความอันตรายอีกด้วย
เนื่องจากเหมืองส่วนใหญ่ติดชายแดนจากแคว้นอื่นทำให้เหล่าผู้ทรงอิทธิพลแบ่งออกเป็นหลายข้าง
ภัยอันตรายนั้นรอบทิศทาง หากแต่กลับบางคนคิดว่าสถานที่นี้คือแหล่งสมบัติทางความรู้อย่างดี
คุณชายคนกลางผู้ครอบครองใบหน้าหมวย
หนุ่มร่างบางที่คนภายนอกมองแล้วดูเฟียสมากทีเดียว
ความมั่นใจของร่างเล็กเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทุกคนยอมรับ
นักศึกษาฝึกสอนคนเก่งต้องทำหน้าที่ถึงสองอย่างเนื่องจากเรียนควบโทและปริญญาตรีด้วย
พอการฝึกสอนจบลงก็ถูกส่งตัวมาทำวิจัยปริญญาโททันที
ด้วยเพราะเป็นลูกศิษย์คนโปรดจึงได้ข้อมูลจากศาสตราจารย์มาว่า
หากต้องการวิจัยเกี่ยวกับแร่หายากต้องมาที่เมืองโรเซล
หากแต่จะเสี่ยงให้ลูกศิษย์มาเพียงลำพังก็ไม่ได้ ทั้งเป็นถึงบุตรของท่านชายภาษกร
การอารักขาอย่างเต็มรูปแบบจึงต้องพร้อม คุณชายแจนไม่ได้มาเพียงลำพัง
มีเพื่อนป.โทมาด้วยกันอีกสองคนนั่นคือลิซกับบีม และกลุ่มนายทหารที่ตามมาอีกห้าคน
หนึ่งในนั้นคือพี่แจ็คสัน...
ร่างล้ำสันของนายทหารยืนสำรวจพื้นที่อย่างรอบครอบ
ด้วยเพราะสถานที่เป็นป่ารกทึบ แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็คือเหมือง
ซึ่งผู้ครอบครองคือครอบครัวสหายสนิทของพี่ชายผู้นั้น จึงได้รับอนุญาตให้สำรวจได้
เต็นท์ห้าหลังถูกกลางในพื้นที่ใกล้กัน
เหล่านักศึกษานอนกันคนละเต็นท์ ส่วนพี่ ๆ ทหารห้าคนแบ่งกันนอนสองเต็นท์
ยามค่ำคืนกลางป่าทำให้ได้ยินเสียงเหล่าสรรพสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างชัดเจน
หากแต่กลับคล้ายเสียงกล่อมชั้นดีของคนที่เหนื่อยจากการเดินทาง
วันนี้เป็นวันแรกของการมายังเมืองโรเซล
แม้จะถูกคนดูแลเหมืองต้อนรับเป็นอย่างดี
แต่ระยะเวลาและเส้นทางมายังเหมืองนั้นลำบากอยู่พอสมควร
เป็นธรรมดาที่คนไม่เคยลำบากจะล้าบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่กับคุณชายคนกลางแห่งวังภูวกุล
ตั้งแต่เด็ก
คุณชายมักตามท่านพ่อมาสำรวจนอกสถานที่ โดยเฉพาะกลางเต็นท์ในพงไพร
เพราะฉะนั้นจึงคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี
คุณชายร่างบางรู้ว่าต้องเตรียมการอย่างไร เมื่อเทียบกับนักศึกษาป.โทอีกสองคนแล้ว
ฝ่ายนี้ดูพร้อมที่สุด ความเหนื่อยล้าจึงไม่มีในตัวของคุณชายแจนเลยแม้แต่ติดเดียว
ร่างบางเดินออกมาจากเต็นท์หลังจากทายากันยุงเรียบร้อย
ในใจหวังอยากเห็นดวงดาวบนท้องนพา
วันนี้ฟ้าเปิดแถวเป็นคืนเดือนดับจึงทำให้แสงจากดวงดาวสวยเป็นพิเศษ
หากดวงตาเรียวสวยกลับพบชายร่างหนาคนหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหินซึ่งเป็นที่โล่งที่เดียวซึ่งสามารถมองเห็นดาวได้ชัดเจนเนื่องจากไม่ได้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เฉกเช่นที่อื่น
พี่ชายคนนั้นยังคงนิ่งเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง
คุณชายแจนลอบมองแผ่นหลังกว้างของคนที่สูงกว่าหลายเซนอย่างพินิจ
เขาสงสัยเหลือเกินว่าพี่ชายผู้นี้มีสีหน้าอื่นหรือไม่ ทำไมต้องเก๊กหน้าขรึมถึงเพียงนั้น
ทั้งที่บริเวณนี้หาได้มีใคร
“ดาววันนี้สวยนะครับ”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ร.อ เจตนิพัทธ์
เปรยตามองคุณชายตัวเล็กที่ถือวิสาสะนั่งลงข้างกายตนด้วยสายตาเรียบนิ่ง
หากแต่ภายในใจกลับสั่นไหวอย่างแปลกประหลาด แต่เดิมทีไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับผู้ใด
แจ็คสันก็เป็นเพียงทหาทื่อ ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
นอกจากหน้าที่การงานแล้วก็ไม่เคยสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ
หากแต่คุณชายคนกลางแห่งวังภูวกุลกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างกวนใจตลอดเวลา
“ครับ”
ตอบรับเพียงสั้น
ๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ไม่พอใจ แถมยังได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ มาอีก
ลูกชายเจ้าสัวนึกแปลกใจเหลือเกินว่าทำไมคุณชายผู้นี้ถึงได้อารมณ์ดีได้ตลอดทั้งวัน
ตั้งแต่ได้ร่วมเดินทางกันมา
คนผู้นี้เที่ยวแจกรอยยิ้มและสร้างรอยยิ้มให้กับคนอื่นเสียจนทำให้การสำรวจครั้งนี้กลายเป็นเรื่องสนุก
คนผู้เดียวใยมีพลังบวกที่มากล้นถึงเพียงนี้
เพราะแบบนี้ไงมนุษย์หินอย่างเขาถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดในใจ
“พี่แจ็คสันรู้ไหมครับว่าป่ามันมีเวทย์มนต์”
“เวทย์มนต์?”
แจ็คสันพยายามไม่ใส่ใจกับสรรพนามที่คนตัวเล็กกว่าเรียก
เพราะคนอื่นนอกจากเขาหากเป็นพี่อีกฝ่ายก็เรียกแทนว่าพี่ทั้งหมด ถึงแม้ว่ามันจะแกว่งหัวใจของเขาก็ตาม
ชายหนุ่ม ร.อ เอกจ้องไปยังคุณชายแจนอย่างสงสัย เพราะจู่ ๆ
คุณชายผู้นั้นก็เปรยบางสิ่งที่เขาไม่เข้าใจอีกแล้ว เวทย์มนต์อย่างนั้นหรือ
นี่มันยุควิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสามารถพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ภายในโลกได้
ทำไมคุณชายแจนถึงได้กล่าวถึงเวทย์มนต์
“พี่ลองหลับตาแล้วมองรอบกายสิ”
“...”
“ให้ประสาทสัมผัสอื่นทำงาน
แล้วพี่จะรับรู้ได้ถึงมันเอง”
“...”
แจ็คสันลังเลที่จะทำตาม
แต่เมื่อหันไปมองเสี้ยวหน้าสวยของอีกคนที่หลับตาพริ้มลงพลางยิ้มราวกับมีความสุข
มันก็ทำให้คนมองอดไม่ได้ที่จะคลี่ริมฝีปากตามอย่างห้ามไม่ได้ คุณชายแจนช่างสวยงามราวกับภาพวาด
แจ็คสันต้องเสน่ห์ของคน ๆ นี้เสียแล้ว
ตาคมหลับลงบ้างหลังจากเผลอมองคนข้างกายครู่ใจ
ภายใต้ความมืดมิด เรือเอกเจตนิพันธ์ได้ยินเสียงนกและเหล่าแมลงอย่างชัดเจน
นอกจากนั้นยังมีเสียงของการพลัดปลิวของใบไม้ที่คลุ้งเคล้ากันอย่างต้องมนต์ ภายใต้เสียงเงียบของป่าใหญ่
ธรรมชาติกลับสร้างเสียงดนตรีขลับกล่อมประหลาดจากเหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้น
นี่หรือเวทย์มนต์ที่คุณชายแจนกำลังบอก
“เราน่ะ...
ชอบป่าที่สุด หากให้เลือกอยู่ที่ใดภายในโลก เราคงเลือกป่า”
เสียงหวานจากคนข้างกายดังขึ้นมา ทำให้แจ็คสันลืมตาขึ้นพลางลอบมองเจ้าของใบหน้าหมวยที่ยังคไม่ยืมลืมเปลือกตาสีหวานคู่นั้นขึ้น
หากแต่ยังคงรอยยิ้มสวยเอาไว้อยู่
ยิ้มอย่างไรให้คนมองมีความสุขตาม
“ป่าไม่ใช่ที่ ๆ
เหมาะสมสำหรับคุณหรอกครับคุณชาย” ชายหนุ่มเอ่ยออกมา
ไม่ใช่เพราะต้องการขัดแต่เขาพูดความจริง คุณชายสูงศักดิ์เช่นอีกคนหรือจะเหมาะกันสถานที่แห่งนี้ได้
“เราไม่เหมือนราชนิกุลคนอื่นหรอกนะครับ”
“...”
“เราน่ะ...
ก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”
ยามหน้าต่างของดวงหทัยเปิดขึ้นมาสบเข้ากับนัยน์ตาสีนิลคู่แกร่ง...
ยามนั้น...
ผีเสื้อภายในป่าใหญ่ก็บินล้อมรอบกายทั้งสอง....
จากพงพนากลับเข้าสู่เมืองศรีวิลัย
ค่ำคืนงานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อ หากแต่คุณชายตัวนั้นอยากจะกลับเสียแล้ว
ถึงแม้จะมีอาหารหน้าตาน่ากินมากมาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณชายตัวเล็กรู้สึกอยากอาหาร มันนับตั้งแต่ได้เห็นสายตาของหญิงสาวที่ยังคงจับต้องมายังสามีของตน
“อยากกลับไหมคะคนดี”
เสียงทุ้มของคนข้างกายเอ่ยถามอย่างรู้ทัน
คุณแบมช้อนตามองท่านชายก่อนจะเม้มปากแน่นจนคนพี่เอื้อมมือมาลูบที่ริมฝีปากเล็กเพื่อให้น้องคลายออกกลัวว่าจะเจ็บ
“มันดูเสียมารยาท
คุณแบมไม่อยากให้คนมองพี่ชายมาร์คไม่ดี”
“เด็กดี...
พี่ไม่สนคนอื่นเลย ใครจะมองอย่างไรก็เรื่องของเขา
คนที่พี่สนใจมีเพียงภรรยาของพี่เท่านั้น” ท่านชายกล่าวอย่างสัตย์จริง
คุณแบมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้
พี่ชายมาร์คเป็นสามีที่ดีจนคุณแบมนึกอิจฉาตัวเอง แบบนี้คุณแบมถึงได้หวงคนข้างกาย
พี่ชายมาร์คดีขนาดนี้คุณแบมไม่อยากแชร์ร่วมกับใครหรอก
“คุณแบมอยู่ได้กระหม่อม”
เป็นรอยยิ้มแรกจากคนตัวแรกสำหรับงานแห่งนี้ ท่านชายเองก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที
เพราะในที่สุดน้องก็ยิ้มให้ตนสักที แถมไม่ใช่รอยยิ้มที่เกิดจากการฝืนใจทำด้วย
เชื่อใจพี่เถอะนะคะคนดี
พี่ไม่มีทางทรยศใจน้องแบมเป็นอันขาด
เรืออากาศเอกมกรธวัชเองก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับสายตาของหญิงสาวผู้นั้นรวมไปถึงเพื่อนของหล่อน
รอยยิ้มหวานของอีกฝ่ายมันเคลือบด้วยยาพิษ
เขาไม่ได้ตกหลุมเสน่ห์ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย กลับกัน
การกระทำและความคิดในทางที่ไม่ดีของอีกฝ่ายมันกลับเด่นชัด ท่านชายไม่ใช่คนโง่
เขามองคนออกว่ารายนั้นต้องการสิ่งใด
ด้วยความที่ถูกปลูกฝังมาอย่างดีเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของสามี
พระองค์เจ้าเมทินผู้เป็นบิดาสั่งสอนมาตลอดว่าจงให้เกียรติคนรักเสมอ
เด็จพ่อไม่เคยมีเมียอื่นนอกจากเด็จแม่ พระองค์มีความคิดต่างจากชายส่วนใหญ่
ความรักคือหนึ่งเดียวไม่สามารถแบ่งแยกใครได้
มากรักแลยิ่งมากเรื่องคล้ายไฟสุมครอบครัว โชคดีหน่อยก็คงราบรื่นเช่นครอบครัวภูวกุล
หากโชคร้ายคนที่เป็นทุกข์คือคนที่ฝากชีวิตกับตนคนนั้น
ชายผู้หนึ่งควรรับผิดชอบต่อความรู้สึกคนที่ฝากใจให้เราดูแล
ไม่ใช่คิดถึงแต่ความสนุกส่วนตัว
ซึ่งเขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นแม้แต่น้อยเมื่อได้เจอคุณชายตัวเล็กผู้นี้
“แต่พี่อยากกลับแล้วนี่คะ...
พี่อยากกลับไปกอดน้องแบมจะแย่ อยู่ในงานแบบนี้ไม่สนุกเลยสักนิด”
ท่านชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
พลางจับมือเล็กมาแนบแก้ม ทำเอาคนตัวเล็กแทบอยากจะชักมือกลับเพราะใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วนะคน ๆ นี้
“ทำอะไรกันครับพี่ชายมาร์ค
คนอื่นมองหมดแล้ว” คุณชายแบมแบมเอ่ยพลางซ่อนสายตาจากภายนอก
ขนาดไม่มองยังรู้ว่าถูกสายตาอื่นจับจ้องอยู่แน่ ๆ เล่นทำอุกอาจขนาดนี้
“บอกแล้วไงคะว่าพี่ไม่สนคนอื่น
น้องแบมเองก็สนแต่พี่สิคะ”
“ตะ
แต่ว่านี่มันงานเลี้ยงนะครับ”
“แล้วยังไงคะ
พี่รักน้องแบมทุกที่บนโลกนั่นแหละค่ะ”
“งื้อ
พี่ชายมาร์คคค”
“ขา...”
เนี่ย
เป็นแบบนี้อีกแล้ว ชอบทำคุณแบมร้อนไปทั้งหน้าตลอดเลย!!
ท่านชายพอใจเป็นอย่างมากที่แสดงออกมาแบบนั้น
คุณแบมอาจจะไม่ทันสังเกตุแต่สำหรับเขามันเป็นเรื่องง่ายนักที่จะมอง หญิงสาวคนนั้นหน้าเสียไปพอสมควร
นอกจากนั้นยังระคนความสับสนเอาไว้มากเมื่อเห็นท่านชายกับคุณแบมณ เวลานี้
ยังอยากจะทำอะไรอยู่ไหมทั้งที่เห็นกับตาแล้วว่าเขาทั้งรักทั้งหลงภรรยาแค่ไหน
หากยังอยากหลอกตัวเองว่าสามารถเข้ามาแทรกกลางได้
คนที่มีความคิดน่ารังเกียจเช่นนั้นคงไม่อาจช้องเกี่ยวได้อีก...
เชื่อเถอะถ้าหากว่ารายนั้นยังดันทุรังต่อไป
เห็นทีท่านชายคงไม่อาจไว้หน้าผู้ใดได้ทั้งนั้น
รอยยิ้มของคุณแบมคือสิ่งสำคัญ
ใครมาพรากจากเขาไปผู้นั้นคือศัตรู
หากอยากเป็นศัตรูกับตระกูลเทวะโรจนหิรัญแล้วนั้น...
ท่านชายประทานให้อย่างสาสม
“ทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าพึ่งรู้น่ะ”
เสียงของเพื่อนสนิทเรียกสติของคนตัวเล็กกลับคืนมา ปากบางเล็กที่อ้าค้างราวกับตกตะลึงหุบฉับก่อนจะเบะคว่ำลงอย่างแง้งอน
เหตุผลคงหนีไม่พ้นภาพเจ้าคณะนักบินนั่น
และแล้ววันนี้ก็มาถึง การเข้าค่ายของนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งเป็นเวลา 7
วันเต็มที่เมืองวารี เมืองแดนใต้ของแคว้น
คุณชายตัวเล็กหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่มาหนึ่งใบ อะไรหลาย ๆ
อย่างทำให้คุณแบมเริ่มเจ้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายมาร์คไม่กลับมานอนที่วังเมื่อคืน
ที่แท้ก็ไปเตรียมการใหญ่ที่ไม่ยอมบอกคุณแบมนี่เอง
ดวงตากลมมองไปยังกลมมองไปยังท่านชายร่างสูงที่สวมชุดนักบินสีเขียว Seaweed ยืนตระหง่านท่ามกลางสายตาของหนุ่มสาวน้อยใหญ่ชวนเพ้อฝัน
ใบหน้าเรียบนิ่งสุขุมช่างเป็นเสน่ห์หาจับได้ยากเสียจริง
ซึ่งเพราะแบบนั้นมันทำให้คุณแบมหงุดหงิดขึ้นไปอีก
“อ้าว ๆ หงุดหงิดอะไรครับคุณชาย”
หม่อมหลวงคิมจับศีรษะทุยของเพื่อนสนิทโยกไปมา พร้อมกับยิ้มขำ
“คุณแบมหิว!!”
หงุดหงิดมากเลยดูออก เจ้าแมวน้อยนั่นกำลังพองขนขู่
แก้มสีชมพูดอ่อนเพราะอากาศเริ่มเย็นนั่นกำลังเริ่มแดงเพราะโมโห หิวอะไรล่ะ
มือข้างหนึ่งถือขนมปัง อีกข้างถือขวดน้ำส้มอยู่แบบนั้น นี่เพื่อนหรือลูก คิมล่ะสงสัย
“มัวแต่กินเดี๋ยวก็ขึ้นไม่เครื่องไม่ทันหรอก”
“มีตั้งเครื่องบินตั้งสองลำไม่ใช่หรือไง”
ถึงแม้จะจริงอย่างที่คุณแบมว่า มีเครื่องบินจากทางกองทัพอากาศมาถึงสองลำ
ทั้งที่นักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งถูกแบ่งเป็นสองเซค เซคละเพียง 15 คนเท่านั้น
หากแต่กลับส่องเครื่องบินขนาดกลางมาถึงสองลำ คงจะเอาไว้ขนเครื่องมือแพทย์โดยเฉพาะ
การเข้าค่ายครั้งนี้นับว่าเป็นการรับน้องครั้งสำคัญ
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนหมออีกหกปีที่จะมาถึง
“ก็จริง บางทีอาจจะได้นั่งเครื่องบินส่วนตัวเลยก็ได้
มีนักบินประจำการขนาดนี้”
“อย่าล้อคุณแบมนะคิม เอานี่ กินไปเลย!”
คุณชายตัวเล็กส่งขนมปังที่ทานเหลือในมือยัดปากของเพื่อนสนิทตัวโตเพื่อปิดปากของอีกฝ่ายซะ
คุณแบมกำลังเคืองพี่ชายมาร์ค ไม่ต้องมาล้อคุณแบมให้เขิน
เพราะอยากโฟกัสอยู่ที่อารมณ์ ๆ เดียว
“อื้อ อะไอเอี่ย /(อื้อ
อะไรเนี่ย)”
“เชอะ!”
ร่างเล็กสะบัดหน้าหนีเพื่อนอย่างแง่งอน หม่อมหลวงคิมโดนพาลซะแล้ว
แต่แทนที่จะโกรธกลับอยากหัวเราะท้องแข็งกับท่าทีของอีกฝ่ายเสียจริง
พี่ชายมาร์คก็นะ ทำไมไม่บอกเมียตัวเองดี ๆ ว่าจะมาเป็นนักบินให้
เพื่อนตัวดีของเขางอนตุ๊บป่องแล้วนั่นเห็นไหม
“แค่ก โกรธสามีก็อย่ามาลงที่เพื่อนสิ”
“คิมมมม”
“ฮ่าๆ โอเค ๆ ไม่แกล้งแล้วครับ ป่ะ เอาของไปรวมกับคนอื่นเถอะ
แล้วหอบอะไรมาเยอะแยะเนี่ย”
ถึงปากจะบ่น แต่มือกลับเอื้อมมาดึงกระเป๋าสะพายของเพื่อนตัวเล็กไปถือไว้
คุณแบมยืนทำหน้ามึนอยู่พักหนึ่งก่อนจะวิ่งตามร่างสูงของเพื่อนสนิทไปเตรียมจะแย่งกระเป๋าคืนเพราะเกรงใจ
แต่คิมก็ไม่ปล่อยให้มันเป็นไปโดยง่าย
สุดท้ายคนที่เกิดมาเตี้ยกว่าก็ต้องพึ่งเพื่อนสนิทอยู่ดี
“นักศึกษาปีหนึ่งเตรียมขึ้นเครื่องได้เลยนะคะ พี่เลี้ยงเช็คชื่อน้องให้เรียบร้อยพร้อมแจกป้ายห้อยคอด้วย”
เสียงของศาสตราจารย์แพทย์หญิงโชอาดังขึ้น ทำให้ทุกคนเริ่มทยอยไปต่อแถว
รวมถึงคนตัวเล็กของท่านชายมาร์คด้วย
ท่านชายจ้องมองไปยังภรรยาตัวเล็กที่เชิดหน้าใส่เขาตั้งแต่พบเจอก็ยกยิ้มมุมปากระคนเอ็นดู
สงสัยเขาคงถูกน้องงอนเข้าให้แล้วที่ไม่ยอมบอกความจริง
แต่ด้วยต้องทำหน้าที่ก่อนถึงไม่สามารถเข้าไปง้องอนน้องตอนนี้ได้
ว่าที่คุณหมอตัวน้อยยืนอยู่ด้านหน้าของเพื่อนสนิท
มือน้อยรับป้ายคล้องคอที่มีชื่อของตนเองมาคล้องไว้ก่อนจะต่อแถวเพื่อขึ้นเครื่องบินแต่ต้องผ่านนักบินด้วยเนื่องจากเป็นธรรมเนียมที่นักศึกษาต้องทำความเคารพทหารที่เสียสละมาทำหน้าที่ให้
คนตัวเล็กไม่หน้าหงิกลงเมื่อกำลังจะเดินทางร่างสูงใหญ่ของสามี
“ทานยังไงคะ ปากเลอะหมดเลย” เพราะคุณแบมกับคิมเป็นคนสุดท้ายเลยทำให้ท่านชายสามารถสกัดภรรยาตัวน้อยได้ก่อนขึ้นเครื่องบิน
แต่นั่นใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาของผู้อื่นได้ มือใหญ่รวบแขนเล็กเอาไว้เพื่อดึงข้างตัว
ก่อนจะเช็ดเศษขนมปังข้างแก้วใสของคนตัวเล็กออก
ก็รู้อยู่หรอกว่าเหมาะสมกัน แต่ช่วยอย่างหวานให้อิจฉาตาร้อนจะได้ไหม
“งื้อ คุณแบมจะขึ้นเครื่อง”
น้องเบี่ยงตัวหนี แก้มกลมพองจนอยากจะหยิกสักทีแต่ก็กลัวว่าเมียจะเจ็บ
ท่านชายได้แต่ยิ้มที่มุมปากจนเพื่อนที่มาร่วมบินด้วยมองแล้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมา
ท่านชายผู้นี้เคยยิ้มเสียทีไหน นอกจากตีหน้านิ่งแล้วน่ะ พออยู่ต่อหน้าศณีภรรยาก็กลายเป็นคนละคน
นายทหารเหล่านักบินต่างพากันลอบมองภรรยาคนสวยของท่านชายด้วยสายตาที่ล้วนแล้วแต่ริษยาความโชคดี
ใยมีเมียน่ารักปานนี้ ถึงว่าล่ะ พักนี้ฟิตวิ่งรอยกองทัพไม่เว้นวัน
มีเมียเด็กต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกายสินะ
“ฮึฮึ... โอเคค่ะ”
ท่านชายยอมปล่อยมือจากแขนเล็ก เมื่อเห็นว่าน้องนั้นกำลังโมโห
เจ้าแมวน้อยของเขากำลังพองขนฟูชวนมองแล้วใจสั่นไหว ท่านชายไม่อยากให้เจ้าพวกทหารเพื่อนของตนมองภรรยาเขาไปมากกว่านี้แล้ว
จะว่าหวงก็ไม่แปลก
“เชอะ”
ยังจะมาเชอะใส่กันอีก เฮ้อ... น่ารักเกินไปแล้ว
สวรรค์แดนใต้คือสายวารีที่กว้างใหญ่ไพศาล แม้เมืองวารีจะเป็นเมืองชนบทห่างไกลความเจริญ
หากแต่เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสวยงามชวนมาพักผ่อนให้คลายเหนื่อย ปีนี้ทางมหาวิทยาลัยเลือกสถานที่เอาใจว่าที่คุณหมอเสียจริง
นานแล้วที่คุณแบมไม่ได้มาเยือนทะเล ครั้งสุดท้ายก็กว่าห้าปีแล้ว
แต่ต้องยอมรับเลยว่าวิถีชีวิตของชาวเมืองวารีนั้นน่าหลงใหล บ้านแต่ละหลังถูกสร้างบนเนินเขาริมทะเล
ซ้อนต่อไปสามชั้นสามขั้น บางหลังมองแล้วแทบจะกลืนกินไปกับธรรมชาติ ชาวบ้านอาศัยร่วมกับธรรมชาติโดยไม่เบียดเบียนท้องทะเล
ทำการประมงด้วยวิถีตัวเองไร้เทคโนโลยี ทำให้ท้องทะเลที่นี่ยังคงสวยงามอย่างที่ควรเป็น
ด้วยเพราะพึ่งเดินทางมาถึง คณะอาจารย์จึงให้เหล่านักศึกษาแพทย์นับ 30 คนนำของไปวางที่บ้านพักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีอนามัยของหมู่บ้าน
เมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองวารีไม่ได้มีโรงพยาบาลใหญ่โตคล้ายในเมืองหลวง มีพเยงสถานีอนามัยเล็ก
ๆ อยู่กลางหมู่บ้านเท่านั้น ส่วนแพทย์ก็มีเพียงแพทย์อาสาใจบุญเพียงสองคน แถมใกล้เลยวัยกลางคน
คุณแบมรู้สึกเห็นด้วยอย่างมากหากทางมหาวิทยาลัยจะจัดกิจกรรมแบบนี้ขึ้นที่เมืองแห่งนี้ในปีต่อ
ๆ ไป สถานที่ขาดแครนบุคลากรทางการแพทย์เช่นนี้ควรได้รับการอนุเคราะห์
“เราดูแลซุ้มที่ 5 นี่ เป็นซุ้มอะไรนะคุณแบม” หม่อมหลวงคิม รูมเมทชั่วคราวของคุณแบมเอ่ยถามหลังจากเดินเข้ามายังห้องของทั้งคู่
นักศึกษาแพทย์ต้องจับคู่เพื่อแบ่งที่นอน สถานที่พักแรมของเหล่านักศึกษาแพทย์เป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ทรงสูงเรียงกันเกือบ
30 เต็นท์ซึ่งชาวบ้านได้เข้ามาช่วยจัดเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนที่มาช่วยเหลือตัวเอง
นอกจากมาทำการตรวจสุขภาพและรักษาพวกเขาแล้ว ทางมหาวิทยาก็ยังร่วมลงทุนเตรียมจัดสร้างโรงพยาบาลขนาดกลางให้เมืองอีก
ส่วนเรื่องซุ้ม กิจกรรมของค่ายนักศึกษาแพทย์แบ่งออกเป็น
5 เพื่อแบ่งนักศึกษาไปดูแลอาการต่างกันไป
ซุ้มแรกสำหรับซุ้มเด็ก อายุแรกเกิดถึง 12 ขวบ มีอาจารย์แพทย์กุมารฯ
เป็นแม่ซุ้ม
ซุ้มที่สอง อายุรกรรม
ซุ้มที่สาม ศัลยศาสตร์
ซุ้มที่สี่ สูตินารีเวช
และซุ้มที่ห้า เวชศาสตร์ฉุกเฉิน
เวชศาสตร์ฉุกเฉินเป็นซุ้มที่น่าจะยุ่งที่สุดเพราะคือจำลองห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล
คนเจ็บป่วยคละแพทย์คละอายุต่างจากซุ้มอื่นที่เป็นเฉพาะทาง แต่ถึงอย่างนั้นคุณแบมก็ไม่เกี่ยงที่จะช่วยเหลือและทำงานภายในซุ้มนี้เพราะจะได้เรียนรู้มากมาย
เพราะถึงอย่างไรซะปีหนึ่งก็ยังไม่ได้เข้ามาจัดการอะไรมากเนื่องจากพึ่งเข้าเรียน
เพียงช่วยเล็กน้อยเท่านั้น เช่นเดียวกับซุ้มอื่นก็ทำแบบนี้
การได้ศึกษาจากคนที่ปฏิบัติจริงด้วยตาตัวเอง ถึงแม้คุณแบมจะเสียดายเพราะอยากเข้าซุ้มศัลยศาสตร์มากกว่าก็ตาม
คุณแบมฝันอยากเป็นหมอที่ผ่าตัดเก่งที่สุดในแคว้นหิมาลายัน
“เวชศาสตร์ฉุกเฉินอ่ะ”
“อ่อ... อาจารย์หมอคุณเป็นแม่ซุ้ม เอะ... หรือต้องเรียกพ่อซุ้ม?”
“พูดอะไรของคิมก็ไม่รู้ รีบเก็บของสิมัวชักช้าเดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก”
“คร้าบบบ”
สองเพื่อนซี้เก็บของเสร็จจึงเดินออกมาจากที่พักเพื่อตรงไปยังซุ้มที่ตนดูแล
จะว่าไปอาจารย์หมอคุณเป็นอาจารย์คนใหม่ที่คุณแบมยังไม่เคยเจอเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าจะใจดีไหม
คนตัวเล็กได้แต่แอบกังวลใจเพราะกลัวว่าอาจารย์คุณคนนั้นจะดุ หากแต่เพื่อนสนิทของคุณชายกลับคิดต่าง
ดูเหมือนบางทีนี่เมืองวารีอาจเกิดสงครามขึ้นก็ได้ใครจะรู้
ถ้าหากท่านชายผู้นั้นรู้เรื่องเข้าน่ะนะ :)
ความคิดเห็น