ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คดีฆาตกรรมเอ็นโทรปี (The Crime of Entropy)

    ลำดับตอนที่ #2 : ดร.วิเชียร (Mr.Wichaen,Ph.D.)

    • อัปเดตล่าสุด 6 เม.ย. 50




             ถ้าจะถามว่า"คดีฆาตกรรมเอ็นโทรปี"เป็นอย่างไร ถามข้าพเจ้า ดร.วิเชียร
    มันเริ่มต้นที่...

                   การเสวนาทางวิชาการครั้งหนึ่ง ประกอบด้วย ดร.สาโรช เป็นชายร่างสูงดูหนุ่มแน่นราวกับเพิ่งอายุ 30 มาหมาดๆ แต่ที่จริงเขาย่างเข้าหลักสี่แล้ว เป็นคนขี้เล่นเป็นกันเอง เป็นรุ่นพี่ตอนสมัยอยู่ปริญญาตรี ตอนนี้เป็นถึงรองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) อันเป็นหน่วยงานส่งเสริมการวิจัยของรัฐ โดยสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเลยทีเดียว 

                    ที่นั่งถัดไปนั้นคือ ดร.มนตรี หนุ่มกว่าข้าพเจ้าเล็กน้อย เป็นคนตัวเตี้ยและชอบใส่แว่น (ทำไมคนเก่งๆส่วนมากถึงใส่แว่นก็ไม่รู้ ว่าแต่ข้าพเจ้าก็ใส่กะเขาเหมือนกัน) เป็นเพื่อนกับข้าพเจ้าที่ที่ทำงานบริษัท ICCI บริษัทชั้นนำทางนาโนเทคโนโลยี ผลงานที่เด่นๆ ก็คือนาโนคอมแพลกซ์ดิสก์ ก็ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหนคิด ก็ดร.พิเชฐ คนที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นเอง
                     ดร.พิเชฐเป็นชายหนุ่มสูงวัยหน่อย แต่น่าจะอายุน้อยกว่าดร.สาโรชน่ะข้าพเจ้าว่า แต่เป็นคนแข็งแรงดูหนุ่มแน่น เป็นเพื่อนสมัยข้าพเจ้าเรียนตอนปริญญาตรี เขาเคยได้เอทุกวิชา แล้วยังเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยอีก คนอะไรก็ไม่รู้ เก่งจริงๆ มาทางฝั่งข้าพเจ้า 

                     ด้านตรงข้ามดร.พิเชฐ คืออ.อินทรชัย เป็นเพื่อนสมัยปริญญาตรีเหมือนกัน ดูเหมือนว่าอ.อินทรชัยจะไปคนเดียวในที่ประชุมที่ไม่ใส่แว่น รูปร่างสูงผอม เรียนจบปริญญาโทแล้วก็สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยมหิดล โดยไม่ต่อเอกอีกเลย แต่แน่ล่ะมันต้องมีสาเหตุอื่น ก็อ.สมศรีที่นั่งอยู่ข้างๆไงล่ะ รักกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ปริญญาตรีแล้ว  รักกันยืนจริงๆ สมัยก่อนสวยๆ เดี๋ยวนี้ก็ยังสวยไม่สร่าว แต่ใส่แว่นแล้วดูแปลกๆอย่างไรชอบกล รู้สึกแปลกๆที่ได้นั่งติดกับข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าก็หน้าตาใช้ได้เสียนี่กระไร ก็ลองนึกดูแล้วกัน สูงสมส่วน ใส่แว่น หน้าตาดูครุ่นคิดอยู่เสมออย่างนั้น

                     ด้านขวาของข้าพเจ้าคือดร.วีระวัฒน์ เป็นคนวัยเดียวกับข้าพเจ้า แต่ดูภูมิฐานกว่ามาก แม้ข้าพเจ้าจะไม่รู้จักเขาสักเท่าไหร่ แต่เขาสนิทกับดร.พิเชฐเพื่อนข้าพเจ้ามาก เพราะว่าเขาทำงานวิจัยนาโนคอมแพลกซ์ดิสก์ร่วมกัน

                      พวกเราเสวนากันบนเวที มีผู้ฟังแน่นขนัดห้องแกรนด์บอลลูนของโรงแรม ไม่มีแนวโน้มว่าจะเกิดเหตุฆาตกรรมแต่ประการใด ตอนนั้นดร.พิเชฐกำลังพูดอยู่ แต่ท่ามกลางผู้ฟังมากมาย กับมีชายแปลกหน้าผู้หนึ่งลุกขึ้นเขา สวมเสื้อคลุมทั้งตัวรวมถึงฮูทที่ศีรษะ เขาออกจะตัวเตี้ยสักเล็กน้อย เขาหยิบมีดบินรูปตัวเอสออกจากเสื้อคลุม พลางบอกว่า "ถึงเวลาแล้วที่เอ็นโทรปีจะฆ่าคุณ" ข้าพเจ้าคิดว่าเสียงของเขาเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินที่ไหน  แล้วเขาก็ขว้างมีดบินรูปตัวเอสซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเอ็นโทรปี มาบินมาทางอากาศปักตรงหัวใจดร.พิเชฐพอดีแล้วย้อนกลับมาหาชายผู้นั้นราวกับบูมเบอแรง ดร.พิเชฐกระอักเลือดแล้วล้มลง ทันใดนั้นเขาก็เล็งมีดนั้นมาทางข้าพเจ้า และกำลังจะเปิดฮูทออก ใจของข้าพเจ้าเต้นระทึก แต่ทว่า...

                      "กริ๊งๆๆ" เสียงโทรศัพท์ปลุกข้าพเจ้าขึ้นมาจากผวังค์ฝันร้าย แม้นี่จะเป็นแค่ฝัน แต่ดูเหมือนซ่อนความจริงอย่างไรชอบกล และนี่คือจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรมเอ็นโทรปี

    ***

                        "กริ๊งๆๆ"เสียงโทรศัพท์ดึงข้าพเจ้าจากความงุนงงอีกครั้ง ข้าพเจ้ามะงุมะงาหรารับโทรศัพท์ ก่อนที่จะควานหาแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมมาใส่นาฬิกายังบอกเวลาตีห้าอยู่ ราตรียังไม่ได้ผ่านพ้นไปเลย

                        "โทรมาทำไมตั้งแต่เช้า"ผมหงุดหงิด

                        "ขอโทษครับ" อีกฝ่ายหนึ่งตอบกลับมา

                        "อ้า ลุงวิจิตร" ข้าพเจ้าตอบรับ

                        ลุงวิจิตรคู่สายเป็นคนรับใช้ของบ้าน ดร.พิเชฐ ตอนนี้คงอายุราวราว 60 ปี ข้าพเจ้ารู้จักลุงดีตอนอยู่ปริญญาตรี ลุงแกมีลูกสาวคนหนึ่งสวยมาก ก็รุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้านั่นแหละ แต่เสียดายที่เป็นมะเร็งตั้งแต่ยังสาวยังแส้

                         "ลูกสาวคุณลุงเป็นอย่างไรบ้าง"ข้าพเจ้าถามสารทุกข์สุกดิบ

                         "อาการไม่คอยดีเท่าไหร่ ตอนนี้เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อาจจะ..."ลุงหยุดสะอื้นพักหนึ่งแล้วพูดต่อ"ไม่เป็นไรหรอก อ๋อ ลุงจะมาแจ้งเกี่ยวกับคุณพิเชฐ"

                          "คุณพิเชฐ!!!"ข้าพเจ้างง พลางนึกถึงความฝันเมื่อตะกี้ "ผมเพิ่งไปหาแกเมื่อวานที่บ้าน เชฐเป็นอะไรเหรอครับ"

                          "คุณพิเชฐ...ท่านเสียแล้วครับ"ลุงวิจิตรพูดช้า

                           "หา...อะไรน่ะ"ข้าพเจ้าถามอย่างไม่เชื่อหู

                          "คุณพิเชฐ ท่านเสียไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ"ลุงวิจิตรย้ำ

                          "เป็นไปไม่ได้ เชฐออกจะแข็งแรงขนาดนั้น ท่านเป็นอะไรตาย"ข้าพเจ้าตกใจ ในใจคิดถึงความฝันว่าดร.พิเชฐโดนมีดบินตาย หรือว่า ดร.พิเชฐจะโดนมีดบินฆ่าตาย...

                           "เอ่อ ท่านฟลุ๊บลงบนโต๊ะ ปกติท่านกินอาหารเช้าตอนตีสี่ ลุงก็ไปส่งตามปกติ ดร.ไม่ได้ล๊อกประตู ผมเลยเข้าไปดู ดร.หน้าเขียว ผมจับชีพจรไม่ได้ เลยรีบโทรไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าแกตายแล้วตั้งแต่เมื่อคืน"

                            "ดร.ตายเพราะอะไรเหรอครับ"ข้าพเจ้าถาม

                            "ยังไม่ทราบ แพทย์กำลังชันสูตรอยู่ อยากเชิญวิเชียรมาร่วมรดน้ำศพหน่อย"ลุงวิจิตรตอบกลับมา

                            "ครับ เดี๋ยวผมจะไปครับ"ข้าพเจ้าพูดเสร็จแล้วก็วางหูไป

                            เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็แต่งชุดดำไปรดน้ำศพ ข้าพเจ้าเปิดไฟ เปิดโทรทัศน์ ยังไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจจึงปิด ผมยังง่วงนอนนิดๆ บางทียังรู้สึกหวาดๆ กับฝันร้ายที่อยู่ในหัว บางทีก็มีลางสังหรณ์แปลกๆเกี่ยวกับการตายของดร.พิเชฐครั้งนี้ บางที...ข้าพเจ้าคิด อารมณ์ของเราช่างแปรเปลี่ยนได้หลายแบบเสียนี่กระไร

                             ข้าพเจ้าจ้องมองดูไฟหน้าบ้าน  ไฟฟ้านั้นก็สร้างแสงสว่าง ข้าพเจ้าปิดไฟหน้าบ้าน แล้วสตาร์ทรถ ไฟฟ้าก็ทำให้รถเคลื่อนที่ ข้าพเจ้าเปิดวิทยุ ซึ่งตอนนี้มีแต่เพลงฝรั่งขับกล่อมไปมา ไฟฟ้าก็ทำให้เกิดเสียงได้เช่นกัน บางที...ข้าพเจ้าคิด  พลังงานก็ช่างแปรเปลี่ยนได้หลายแบบเสียนี่กระไร

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×