คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : COURAGE : ตอนที่ 7 ภารกิจที่ 1 : ประเพณีสัตว์เลี้ยง (Part ฉกลูกเสือ)
คอราจ : ตอนที่ 7
ภารกิจที่ 1 : ประเพณีสัตว์เลี้ยง
ลู่หานกำลังตั้งใจฟังคำบรรยายของอาจารย์เซนดริก วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการฝึกของเขาก่อนเริ่มทำภารกิจแรก อยู่ไปอยู่มาก็ไม่ได้สนใจนับวันเวลาจนมันล่วงเลยมาถึงวันนี้นี่แหละถึงได้รู้ว่าอยู่ที่นี่มาสองอาทิตย์แล้ว
“เอาล่ะจบคลาสเพียงเท่านี้” อาจารย์เซนดริกปิดหนังสือก่อนจะเงยหน้าบอกบรรดานั่งเรียนที่นั่งหาวกันหวอดๆ รวมถึงบางส่วนที่หลับไปแล้วแต่พอได้ยินเสียงหนังสือก็สะดุ้งตื่นอย่างกับมีนาฬิกาปลุกดังอยู่ข้างหู
“จบสักที ฮ้าววว~!” หลังจากที่อาจารย์เซนดริกเดินออกไป ชานยอลก็ลุกขึ้นก่อนจะอ้าปากหาวแล้วบิดตัวคลายความเมื่อย คาบวิชาเวทจะมีการบรรยายสลับกับการฝึกพลัง แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้ถึงคาบบรรยายที่มีถึงสองวันในสัปดาห์และกินเวลาไปสองชั่วโมง
“เกลียดคาบบรรยายสุดๆ รู้สึกแบคอินไทม์สู่การเรียนสายวิทย์” ลู่หานบ่นออกมา ก่อนจะบิดตัวบ้าง เขาพยายามนั่งถ่างตาตลอดสองคาบ อยากจะหลับแต่ก็เกรงใจอาจารย์เซนดริกที่อุตส่าห์เปลืองน้ำลายสอนผิดกับไคที่นั่งหลับตั้งแต่สิบห้านาทีแรก
“ก็พูดไป นายยังเรียนไม่จบมอปลายด้วยซ้ำ” ชานยอลยกมือโคลงศีรษะลู่หานก่อนจะยิ้มขำ แบคอินไทม์อะไรกันเรียนก็ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ
“เออสิ พูดแล้วขึ้นเลย...อีกเทอมเดียวเองนะ น่าจะรอเรียนให้จบก่อน” ลู่หานเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วมันก็หงุดหงิดจริงๆ หลังจากปรับตัวเข้ากับโรงเรียนนี้ได้แล้วก็เพิ่งมาคิดได้ว่าตอนนั้นน่าจะต่อรองว่าขอเรียนให้จบก่อน
“กลัวอะไร อยากจะกลับไปเรียนที่นี่ก็ออกวุฒิให้อยู่แล้ว” ทั้งสองเดินออกมาจากห้องฝึกเวทเพียงแค่สองคน แกล้งทิ้งไคให้หลับอยู่ในนั้นแต่ไม่ต้องห่วงอีกไม่นานดีโอก็เข้ามาปลุกเอง
“ก็หงุดหงิดไปอย่างนั้นแหละ สงสัยจะนอนไม่พอด้วย”
“อ้าว เมื่อคืนทำไรอ่ะ”
“ไม่รู้อ่ะ อยู่ดีๆ ก็นอนไม่หลับ”
“สงสัยตื่นเต้นมั้ง จะได้ทำภารกิจแล้ว” ชานยอลบอกเสียงขัน ลู่หานมองด้วยหางตาก่อนจะหัวเราะประชดในลำคอ
“มาตื่นเต้นวันนี้ไม่ดีกว่ารึไง”
“แล้วจะไปรู้กับนายไหมล่ะ นอนไม่หลับก็ชีวิตนาย นี่ช่วยคิดเหตุผลให้ยังจะมายอกย้อน” ชานยอลยกหลังมือขึ้นจะโบกเข้าไปที่หน้าลู่หานแต่ลู่หานก็ยกมือขึ้นกันก่อนจะเบี่ยงตัวหนี
“ขอโทษได้ป่ะล่ะ เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ เรื่องทำภารกิจไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นอะไร”
“ฉันว่านายควรจะตื่นเต้นนะ เพราะภารกิจแรกนายไม่ได้ทำคนเดียว”
“หมายความว่ายังไง? รู้อะไรก็บอกมาให้หมดเลยนะ ชอบกั๊กจริงๆ” ลู่หานหยุดเดินก่อนจะหมุนตัวแล้วส่งสายตาคาดโทษไปให้ชานยอล ชานยอลเบ้ปากก่อนจะยกแขนกอดคอลู่หานให้เดินต่อไป
“มันเป็นประเพณีประจำปีอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจัดขึ้นมา เราเรียกกันว่าประเพณีสัตว์เลี้ยง ทุกปีทางโรงเรียนจะนำสัตว์เข้ามาให้พวกเราใช้สมองและกำลังแย่งชิงเพื่อนำมันมาเป็นสัตว์เลี้ยงของเรา แต่น้อยคนนักที่จะได้สัตว์เลี้ยงกลับมาเพราะเราต้องการแค่ลูกซึ่งอย่าหวังว่าจะได้มาง่ายๆ เพราะพ่อกับแม่ของมันก็อยู่ด้วย”
“ไมมันโหดงี้วะ” ลู่หานพึมพำกับตัวเอง
“ไงล่ะ เข้าใจรึยังว่าควรตื่นเต้น”
“ทำไมต้องมีสัตว์เลี้ยงด้วยล่ะ ไม่เข้าใจอ่ะ เอามันมาเป็นภาระทำไม?”
“ถามจริงเคยเลี้ยงหมาหรือแมวบ้างไหม?” ลู่หานส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ว่าแล้ว...ขนาดคนยังไม่ค่อยเมตตาแล้วนายจะไปเมตตาต่อสัตว์ได้ยังไงเนอะ” ลู่หานเบี่ยงตัวออกจากวงแขนชานยอลเมื่อเจอคำค่อนขอดกระแทกเต็มๆ
“อยากกินส้นตีนไหมครับ”
“นั่นไง เห็นไหมล่ะ...พูดยังไม่ทันขาดขำเลย” ชานยอลได้แต่หัวเราะเบาๆ ก็รู้กันหรอกว่าพูดแหย่กันเล่นๆ พอแหย่กันเสร็จเพื่อนตัวสูงก็เกี่ยวคอเพื่อนตัวเตี้ยเข้าไปใกล้อีกรอบ
“บางทีมันก็เป็นเพื่อนคลายเหงาให้เราได้นะ...นายไม่จำเป็นต้องเลี้ยงมันก็ได้ แค่พามันมาเป็นเครื่องยืนยันว่านายทำสำเร็จแค่นั้น...หลายคนก็ทำแบบนี้ คงคิดแบบเดียวกับนาย” ชานยอลพูดเสียงเบาคล้ายพูดกับตัวเองในประโยคแรก
“มันก็จริงแหละน่า เรียนก็เรียนทั้งวันคงมีเวลามาดูแลมันหรอก”
“แต่ฉันอยากให้นายเลี้ยงมันว่ะ มีเพื่อนเลี้ยงเสือนี่เท่จะตาย”
“คิดว่าฉันจะทำสำเร็จหรอ ไหนจะคนลงแข่งอีกไหนจะต่อสู้กับพ่อแม่มันอีก ถ้าฉันไม่รอดออกมาฝากจัดงานศพเปิดเพลงรีมิกซ์ให้ด้วยนะ ไม่อยากให้คนในงานเครียด”
“จะสั่งเสียทำเพื่อ? ไม่มีใครตายหรอก โดนมากสุดก็บาดเจ็บนิดๆ หน่อยๆ เอง”
“แล้วนายเคยได้สัตว์เลี้ยงกับเขาสักตัวไหม?”
“ไม่อ่ะ แข่งมาสองปีไม่เคยชนะเลย ปีนี้เลยไม่ลงล่ะ”
“เอ้า ท้อทำไม”
“ได้ยินว่าเสือก็ขอบายแล้วครับ ไม่ใจขนาดเลี้ยงเสือครับ”
แล้วคิดว่าฉันเต็มใจมากหรอ?
ลู่หานได้แต่คิดในใจ รู้ตัวอีกทีทั้งคู่ก็เดินเข้ามาในเขตที่พักแล้ว เขาเลือกที่จะเข้าไปนั่งพักในกระท่อมของชานยอลก่อนแล้วค่อยกลับที่พักตัวเอง แต่นั่งลงบนเก้าอี้ไม่นานวาร์ปโฟนก็เริ่มสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง
ลู่หานหยิบเจ้าวาร์ปโฟนออกมาแล้วเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นชื่อของคนโทรเข้ามาก่อนจะกดรับ
“ว่า?”
[อยู่ไหน]
“บ้านชานยอล”
[อืม รอนั่นแหละ]
“อืม”
ลู่หานตอบรับก่อนที่ฝ่ายนั้นจะวางไปก่อน คงจะพาไปหาผอ. เพื่อคุยเรื่องรายระเอียดภารกิจในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะลดอคติที่มีต่อกันแล้วไม่ค่อยได้จิกกัดกันเหมือนช่วงแรกๆ แต่เขากับเซฮุนก็ไม่ได้สนิทกันขนาดเดินกอดคอแบบชานยอล อาจจะเป็นเพราะเขาเจอกับชานยอลมากกว่าเลยกลายเป็นว่าตอนนี้สนิทกับชานยอลขนาดเล่นหัวกันได้หากไม่คำนึงถึงอายุ กับคนอื่นก็เริ่มสนิทเหมือนกันมีแหย่กันบ้างนิดๆ หน่อยๆ อ้อ...ยกเว้นไคกับเทาที่ตัวเหมือนสนิทกับชาวบ้านมาเป็นสิบปี แถมยังคอยกดขี่เขาด้วยคำว่า ‘น้องเล็ก’ ตลอดเวลา
อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซฮุนก็เปรียบเสมือนนักเรียนมัธยมปลายที่สนิทกันแบบเพื่อนร่วมห้อง เจอหน้าก็ทักกัน คุยกันบ้างประปรายแต่ก็ไม่ได้คุยกันอย่างสนิทใจเหมือนเพื่อนสนิทในกลุ่ม ออกจะเกรงใจอยู่นิดๆ นั่นแหละ...ความสัมพันธ์ตอนนี้ก็ประมาณนั้น ทั้งเขาและเซฮุนก็พยายามปรับตัวเข้าหากันเพราะยังต้องเจอหน้ากันไปอีกนาน
“เซฮุนหรอ?” ชานยอลถามพร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้ลู่หาน
“อืม คงจะพาไปหาผอ. นั่นแหละ”
“แปลกเนอะ ทั้งๆ ที่เซฮุนเป็นคู่หูนายแต่ดูพวกนายสองคนไม่ค่อยสนิทกันเลย นายดันมาสนิทกับฉันมากกว่า”
“อาจจะเพราะนายเป็นคนแรกที่เข้ามาทักฉัน”
“นายก็ทักกับเซฮุนก่อนป่ะ?”
“ถามจริง หน้าตอนนั้นเหมือนเต็มใจทักมากหรอ?” ลู่หานถามด้วยสีหน้าจริงจังก่อนที่ทั้งคู่จะหลุดขำออกมาแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ลู่หานเหลือบไปมองก่อนจะบอกชานยอลว่าจะออกไปเปิดเอง
“ไง” ลู่หานยิ้มกว้างก่อนจะส่งเสียงทัก
“ไม่ไง ทำอะไรอยู่” คำตอบกลับของเซฮุนทำให้ลู่หานหุบยิ้มในฉับพลัน ก็ดูสิ...แบบนี้จะให้สนิทกันไวได้ยังไง คงต้องใช้เวลาศึกษานิสัยกันไปสักพัก งานหนักไม่ได้อยู่ที่เซฮุนหรอก...มันอยู่ที่เขานี่แหละว่าจะเข้าใจจิตใจของเซฮุนได้ยังไงเพราะยังไงเขาก็เป็นคนสบายๆ คิดอะไรก็พูดอยู่แล้วไม่มีอะไรให้ต้องอ่านแบบคนหน้านิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูหรอก
“คุยกับนาย”
“กวนล่ะ ถามดีๆ”
“ก็ตอบดีๆ ช่วยทำหน้าให้แบบ...อยากรู้หน่อยสิ เห็นหน้านิ่งๆ แบบนี้แล้วรู้สึกอยากจะกวนอารมณ์จริงๆ นะ” นี่พูดด้วยท่าทางซีเรียสนะไม่ใช่แฮร์รี่ (มุก?)
“ไม่ได้อยากรู้มากมายไง แต่ก็ตอบดีๆ ได้ไหมล่ะ”
“ก็ตอบดีๆ แล้วไง ตอนนี้ก็คุยกับนายอยู่ วุ้ย...ว่าแต่คนอื่นกวนตัวเองก็กวนเหมือนกันนั่นแหละ”
“แล้วจะยืนเถียงกันอยู่หน้าประตูอีกนานป่ะ ยุงบินเข้าหมดแล้ว” เป็นเจ้าบ้านที่ขัดขึ้นมาก่อนที่เซฮุนจะอ้าปากตอบเลยจำเป็นต้องหุบปากไว้แล้วก้าวเข้ามาข้างในก่อนจะปิดประตู
“จะพาไปหาผอ. ไม่ใช่หรอ จะเข้ามาทำไมอ่ะ”
“ก็ยังไม่ถึงเวลาหรอก เดินมาจากท้ายทะเลสาบมันก็ไกลนะ ขอนั่งพักบ้างสิ”
“อ้อ ดื่มน้ำไหม?”
“ก็ดี”
คุยกันแบบนับคำได้...ขอบคุณนะที่พยายามตอบ - -*
ลู่หานแอบเบ้ปากใส่คนที่นั่งเท้าคางหันหลังให้ก่อนจะรินน้ำให้แขกหน้านิ่งที่นั่งหยิ่งมองวิวอยู่ ก็ไม่ได้อยากจะว่าหรอกนะ แต่ขอสักหน่อยเถอะ...ถึงจะหันมาคุยกันดีๆ (แบบนั้นแหละถือว่าดีแล้ว) แต่ก็อดหมั่นไส้ไม่ได้อยู่ดี ต้องโทษเซฮุนที่หน้าตาเป็นแบบนั้นเอง
“อ่ะ” พูดออกเสียงเพื่อให้คนที่นั่งมองวิวหันกลับมาก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม ตอนนี้ชานยอลไปอาบน้ำอยู่ข้างหลังกระท่อม บรรยากาศตอนนี้เหมือนกับรายการโทรทัศน์ที่มีเอฟเฟ็ตเสียงกาและมีรูปกาวิ่งอยู่เหนือศีรษะ เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน
“มาหาถึงนี่เพื่อนั่งเงียบรึไง” เป็นลู่หานเองที่ทนความเงียบไม่ไหว ขอกวนตีนสักหน่อยเพื่อความครื้นเครง
“ก็เปล่า แล้วใครบอกมาหา แค่มาตาม”
“เปล่าแล้วก็พูดสิ จะเงียบทำไม นายทำฉันเงียบไปด้วยเลย”
“ปกติเป็นคนพูดมากกับฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตอนนี้คงไม่ปกติ...นายไม่คิดว่ามันเงียบเกินไปรึไงทั้งๆ ที่นั่งกันอยู่สองคน”
“ก็ไม่นี่ ฉันมีลมเป็นเพื่อน”
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนายกับเพื่อนนะ”
“นายไม่เข้าใจรึไงว่าฉันล้อเล่น”
“โอโห...หน้านายโคตรใกล้เคียงกับว่าล้อเล่น” หลังจากที่ลู่หานแค่นหัวเราะไปก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาทั้งสองฝ่าย เขาพยายามหาเรื่องคุยด้วยการถามถึงภารกิจซะเลย
“แล้วตกลงภารกิจฉันนี่คือการแข่งกับคนอื่นหรอ?”
“คงรู้จากชานยอลแล้วสินะ”
“อืม”
“หมอนั่นเล่าอะไรก็ตามนั้นแหละ”
จบ...การพยายามของเขาขอจบลงเพียงแค่นี้
เซฮุนปรายตามองคนฝั่งตรงข้ามที่นั่งกอดอกแล้วเสหน้าไปทางอื่นด้วยสีหน้าหงุดหงิด เขาเข้าใจว่าลู่หานพยายามหาเรื่องคุย แต่เมื่อชานยอลเล่าไปแล้วเขาจะเล่าซ้ำอีกทำไม เขามั่นใจว่าคนพูดมากอย่างชานยอลและคนใฝ่รู้อย่างลู่หานคงเข้าใจเรื่องประเพณีดีแล้ว
เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทอะไรหมอนั่นเหมือนกันเพียงแต่ว่าบางทีเขาก็พูดห้วนเกินไปจนอาจทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิดได้ แล้วฝั่งนั้นก็ไม่รู้ว่าตั้งใจกวนประสาทเขารึเปล่าแต่คำแต่ล่ะคำที่หลุดมามันอดคิดไม่ได้ว่าหมอนั่นยังหมั่นไส้เขาอยู่ แต่ลู่หานควรจะชินได้แล้ว...รู้จักกันมาก็สองอาทิตย์แล้วสินะ
“มีคนลงแข่งประมาณสิบคน” จู่ๆ เซฮุนก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ลู่หานหันมาก่อนจะร้องถามในลำคอเพราะไม่ได้ตั้งใจฟัง
“หือ?”
“มีคนลงแข่งประมาณสิบคนได้ ใช้พลังและความรู้ที่เรียนมาได้เต็มที่ คิดเอาแล้วกันว่าเสือควรจะอยู่ตรงไหน ฉันบอกอะไรมากไม่ได้”
“นายไม่ได้ลงแข่งหรอ?”
“เปล่า ฉันขี้เกียจแล้ว ลงไปก็ไม่เคยไปถึงสักปี แล้วก็ไม่ได้อยากได้สัตว์เลี้ยงขนาดนั้นก็เลยลงแข่งไปงั้นๆ”
“อือ เข้าใจว่านายคงไม่อยากได้จริงๆ ถ้านายอยากได้ขึ้นมานายเรียกพายุทีเดียวก็ปลิวกันทั้งป่าแล้ว” เซฮุนยกยิ้มมุมปาก นึกขำประโยคของลู่หานที่อาจจะเป็นความจริงหากเขาอยากได้ขึ้นมาจริงๆ
“น่ากลัวไหมล่ะ?”
“ถ้านายทำแบบนั้นฉันจะไม่ลงแข่ง ต่อให้รอภารกิจต่อไปอีกสองสามเดือนฉันก็รอได้ บอกตรงว่าเข็ดจากวันนั้น” เซฮุนยิ้มบางๆ เมื่อรู้ว่าวันนี้ที่ลู่หานพูดถึงคือวันที่เขาคุมพายุไม่อยู่นั่นแหละ พอหลังจากวันนั้นเขาก็ลองทำแบบที่ลู่หานบอกดูซึ่งมันก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจอยู่
“ต้องขอบใจนายที่ช่วยให้คำแนะนำ”
“ไม่เป็นไร เพื่อนกัน ว่าแต่พอจะคุมได้หรือยัง?”
“อืม...ก็พอคุมได้ แต่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“จะฝึกก็บอกนะ...”
“จะช่วย?”
“เปล่า จะไม่เข้าไปยุ่งเลย”
“สงสัยจะเข็ดจริงๆ”
“นายเป็นเจ้าของพลังนายไม่รู้ถึงความน่ากลัวของมันหรอก” ลู่หานเบ้ปากเมื่อนึกถึงวันนั้นอีกรอบ คือเหตุการณ์วันนั้นจบลงด้วยดีก็จริงแต่ติดตามากเลยขอบอกพลังของโอเซฮุนคือพลังทำลายล้างจริงๆ
ทำลายล้างเพราะเจ้าตัวยังควบคุมไม่ได้เนี่ยแหละ
“พูดจริง? จะว่าไปพลังนายก็น่ากลัวเหมือนกันแหละ”
“น่ากลัวตรงไหน ฉันยังทำอะไรไม่เป็นด้วยซ้ำ”
“หากวันหนึ่งนายโกรธใครแล้วนายเผลอฆ่าเขาขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป การไม่รู้พลังที่แท้จริงของตัวเองนายไม่คิดว่ามันน่ากลัวหรอ?”
“ฉันอาจจะฆ่านายเป็นคนแรกก็ได้นะ”
“ตลกไหม นี่กำลังจริงจัง”
“ก็เอาใจช่วยฉันสิ หรือไม่ก็ช่วยฉันอยู่ห่างๆ ก็ได้ จะได้กลับบ้านไปถามพ่อสักที” เพราะใจจริงก็อยากรู้เรื่องของตัวเองใจจะขาด
“คงโดนปรับแพ้ล่ะถ้าทำแบบนั้น แต่ถ้าเอาใจช่วยน่ะทำได้”
“ดีมาก เป็นคู่หูก็ต้องให้กำลังใจกันและกัน”
“ตั้งใจแล้วกัน นายมีสมองที่ฉลาดกว่าคนทั่วไปนิดนึงพยายามทำให้สำเร็จล่ะ”
“จะถือว่านายให้กำลังใจกับชมฉันแล้วกันนะ”
“ตามใจ”
“อ้าว...ยังไม่ไปกันอีกหรอ?” ทั้งคู่หันตามเสียงก่อนจะเจอชานยอลที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวอย่างหมิ่นเหม่รอบสะโพกก่อนที่หยิบผ้าเช็ดผมที่วางอยู่บนที่นอนขึ้นมาเช็ด ลู่หานรู้สึกอิจฉารูปร่างของชานยอลเป็นรอบที่ร้อย หมอนั่นทั้งสูงยาวเข่าดีแถมยังมีซิกแพ็คที่สาวเห็นแล้วน้ำลายหกเป็นแถวผิดกับเขาที่สูงเลยมาตรฐานชายมาไม่กี่เซนต์ หน้าก็หวาน ตัวก็บางไหล่ก็แคบ ยังดีอยู่ที่ไม่ได้อ้วนลงพุงยังพอมีกล้ามหน้าท้องบ้างแต่มันก็แค่แข็งๆ เท่านั้นยังไม่นูนสวยแบบชานยอล
“อิจฉาล่ะสิ” ชานยอลเอ่ยแซวเมื่อเห็นลู่หานมองมาแล้วเบ้ปากใส่ ลู่หานก็เห็นเขาแบบนี้ทุกวันแล้วก็เบ้ปากใส่ทุกวัน ถามจริงไม่เบื่อบ้างรึไง
“เออ” ตอบตามความจริง
“อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็มีกล้ามเองแหละ ตอนมาฉันแห้งกว่านี้อีก”
“สมัยนั้นคงเป็นก้างเดินได้” น้ำเสียงบ่งบอกความอิจฉาล้วนๆ
“อิจฉามากไม่ดีนะ เดี๋ยวไฟก็ลุกที่ตาหรอก”
“ตาหลกจางงง~” ลากเสียงยาวเป็นการประชดซะเลย
“ฉันว่าเราควรไปกันได้แล้ว” เซฮุนส่ายหัวหน่ายๆ กับการเถียงของสองเพื่อนสนิทก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วบอกลู่หาน
“อืม...เบื่อหน้าชานยอลแล้วเหมือนกัน”
“โด่...ทำเป็นพูด พอฉันไม่อยู่แล้วจะเหงา เพราะไม่มีใครคุยกับนายนอกจากฉัน”
“หรอออ...เซฮุนก็คุยกับฉันหรอก เนอะ?” ลู่หานหันไปถามเซฮุนซึ่งเจ้าตัวดันให้ความร่วมมือกับชานยอลแทน
“หือ?”
“นี่! เวลานี้นายควรอยู่ข้างฉันสิ” กระชากเสียงขุ่นเมื่อเพื่อนตัวสูงสองคนเริ่มลงมือแกล้งเขา
“นายคือใครหรอ? นายรู้จักไหมชานยอล?” เซฮุนหันมาถามลู่หานตาใสก่อนจะโบ้ยไปหาชานยอล
“ไม่รู้เหมือนกัน หมาปั๊กที่ไหนมาเห่าแถวนี้”
“ย๊า!!!” ตวาดลั่นออกมาอย่างเหลืออด ไอ้พวกนี้ปล่อยให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องร่วมมือแกล้งน้องเล็กอย่างเขาอยู่ตลอด พอว้ากเสร็จก็ทำหน้าบึ้งเดินตึงตังออกมาแม่งเลย งอน!
“ฮ่าๆๆๆ”
แน่ะ! ยังจะหัวเราะกันอี๊กกก ขำมากสินะ ขำให้ปวดท้องตายไปเลยจ้ะ จ้ะะะะะะะะะ~!
“จะไปไหมโอเซฮุน!”
เมื่อหัวเราะจนพอใจแล้วก็หันไปแท็กมือกับชานยอลก่อนจะเดินตามน้องเล็กของกลุ่มออกไป การได้แกล้งใครสักคนให้หัวเสียคือความสุขของเหล่าเกาหลีไลน์ (รวมเทาไปด้วย ถึงจะเป็นคนจีนแต่ก็อยู่กับพวกเขาจนจะกลายเป็นคนเกาหลีแล้ว) เซฮุนที่ยังยิ้มค้างอยู่วิ่งตามน้องเล็กที่สาวเท้า (ด้วยขาสั้นๆ) อย่างรวดเร็ว แต่คนที่ขายาวกว่าวิ่งไม่กี่ก้าวก็ตามทันแล้ว
“ทำงอนเป็นตุ๊ดไปได้”
“เฮ้ย อย่าเอาคำว่าตุ๊ดมาใช้กับซังนัมจา เดี๋ยวงอนจริงๆ นะ” ทำเป็นตีเสียงเข้ม
“เออ แมน แมนมาก...เกือบจะซังนัมจาแล้วถ้าไม่มีคำว่างอน” เซฮุนยิ้มจนตาหยีก่อนจะยกมือขึ้นโคลงศีรษะลู่หานแล้วเป็นฝ่ายเดินนำไป ลู่หานหยุดกึกอยู่กับที่ก่อนจะทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่
เป็นสิ่งดีในรอบสองอาทิตย์ที่เซฮุนยิ้มให้เขาแบบนี้นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ปกติก็เจอกระตุกมุมปาก ยิ้มมุมปาก ดีหน่อยก็ยิ้มบางๆ แต่ท่าทางอ่อนโยนแบบเมื่อกี้เหมือนพี่ชายกำลังเอ็นดูน้องชายทำให้เขารู้สึกอบอุ่นแปลกๆ นี่คือสัญญาณที่ดีระหว่างเขากับเซฮุนใช่รึเปล่า ถ้าอย่างนั้นเขาก็ขอยกเซฮุนให้เป็นพี่คนที่สองรองจากชานยอลแล้วกัน
แต่เรื่องอะไรจะบอกทั้งสองว่าเขานับเป็นพี่อยู่ในใจ แบบนั้นคงโดนล้อไม่ก็โดนแกล้ง อีกอย่างเสียฟอร์มจะตาย อุตส่าห์วางมาดมาตั้งนาน
“รอด้วย~!” ตอนแรกก็กะว่าจะงอนแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าต้องวิ่งตามคนขายาวแทน
“เป็นไง ฟังดูน่าสนุกดีใช่ไหมล่ะ งานประจำปีเชียวนะ”
“ผมก็นึกว่าบุกเดี่ยวซะอีก”
ลู่หานทำหน้าเซ็งหลังได้ฟังรายละเอียดจากผู้อำนวยการโรงเรียนอีกรอบ แบบนี้มันยากเกินไปไหม? แล้วเมื่อไหร่เขาจะได้กลับบ้านสักทีล่ะ
“แบบนั้นมันก็ง่ายเกินไปน่ะสิ แข่งขันแบบนี้ถึงจะเข้าท่ากว่า”
“ครับ ตามใจผอ. เลย” ลู่หานพูดตรงกับที่ใจคิด อยู่ต่อหน้าสาวใหญ่คนนี้แล้วไม่จำเป็นต้องคิดให้เปลืองสมอง อยากพูดอะไรก็พูดออกไปเลยไม่จำเป็นต้องคิดในใจเพราะถึงยังไงเธอก็ได้ยินอยู่ดี
“เอาน่า ถ้าไม่ผ่านก็ถือว่าแข่งสนุกสนาน เธอยังไม่เคยลงสนามจะให้ผ่านในครั้งแรกมันก็ยาก แต่ก็ใช่ว่าโอกาสมันไม่มี”
“ตอนนี้ผมรู้สึกอยากกลับบ้านจริงๆ นะครับ จู่ๆ ก็คิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมา”
“นั่นแหละ ใช้ข้อนั้นเป็นตัวผลักดันให้เธอมีกำลังใจสู้ในการแข่งขัน ฉันจะรอเธออุ้มลูกเสือกลับมาหาฉันนะ” ผู้อำนวยการสาวใหญ่ตบบ่าลู่หานสองสามทีก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อหมดธุระแล้วลู่หานก็ลุกตามไปด้วย
“เจอกันอีกทีเช้าพรุ่งนี้”
“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“อ้าว นึกว่าไปแล้ว” ลู่หานเดินออกมาก่อนจะปิดประตูบ้านให้ผู้อำนวยการเผลอสะดุ้งเมื่อเหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตายืนพิงผนังอยู่
“ไปแล้วก็ไม่เห็นหรอก”
“รอนานเลยสิ แล้วทำไมไม่เข้าไปด้วยกัน”
“ไปนั่งฟังก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ก็รู้อยู่แล้ว”
“แล้วมายืนเก๊กอยู่แบบนี้มันใช่เรื่องไหมเนี่ย เฮ้อ...ช่างเถอะ ฉันล่ะไม่เข้าใจนายจริงๆ” ลู่หานปัดมือกับอากาศก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำไป
“ก็ไม่รู้จะทำอะไร ยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแป๊บเดียวนายก็ออกมาแล้ว”
“ฉันว่าฉันเข้าไปประมาณครึ่งชั่วโมงได้”
“แล้วจะมาถามเอาอะไร...จะให้บอกว่า ‘ฉันเป็นห่วงนายเลยรอ’ อะไรงี้หรอ?” เซฮุนแกล้งดัดเสียงให้ฟังดูนุ่มนวลก่อนจะเข้าโหมดเสียงเป็ดเหมือนเดิม
“แล้วฉันต้องตอบไหมว่า ‘ดีใจจังเลย ที่เห็นนายยังรออยู่’ น่ะหา!” ลู่หานก็ทำเสียงอ่อนก่อนจะตะคอกกลับ
“ขนลุกว่ะ” ทั้งสองเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดออกมาพร้อมกันด้วยสีหน้าเหยเกแล้วลูบไปตามแขนเพราะขนที่ลุกชันพร้อมกับเดินแยกตัวทิ้งระยะห่างไว้
“แล้วจะกลับกระท่อมเลย?” เมื่อเดินมาถึงเขตที่พักเซฮุนก็ถามขึ้น
“อืม ก็ไม่มีอะไรทำ นอนดีกว่า”
“เดี๋ยวก็ตื่นไม่ทันหรอก”
“ระดับนี้แล้ว”
“เหอะ ทำเป็นพูด วันไหนเผลองีบก็มาก่อนอาหารเย็นแค่ห้านาที”
“โห...ใส่ใจฉันด้วย?”
“ฉันเป็นห่วงเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะต่างหาก เขาต้องรอน้องเล็กแบบนายแน่ๆ ถ้าเกิดนายมาสาย แล้วเราก็จะไม่ได้กินข้าวกันทั้งๆ ที่หิวไส้จะขาดไง”
“เฮ้ แต่ฉันก็ไปทันนะ อย่าพูดให้รู้สึกผิดสิ”
“คราวหลังก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ วาร์ปโฟนก็มีนาฬิกาปลุก ได้มาแล้วใช้อะไรเป็นบ้างนอกจากโทรกับวาร์ป”
“แล้วจะไปรู้ไหมล่ะ ก็มันไม่มีคู่มืออ่ะ”
“ลองคุยกับมันดูก็ได้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง”
“มันเป็นญาติกับ Siri ในไอโฟนป่ะ?”
“ไปถามอาจารย์เซนดริกไป” เซฮุนผลักหัวร่างเล็กด้วยความหมั่นไส้ ลู่หานหันมาทำหน้าตึงใส่ เอะอะอะไรก็ผลักหัวๆ เออ...ใช่สิ อายุมากกว่านี่ เรามันอายุน้อยแถมยังขี้เกรงใจเลยไม่ทำคืน (ได้แต่สะสมความแค้นไว้ในใจ)
“ก่อนจะไปโรงอาหารก็จะไปรวมกันที่บ้านนายก่อนใช่ไหม?”
“อืม”
“แล้วปกติเข้าโรงอาหารกันกี่โมง?”
“เดินออกจากบ้านฉันประมาณห้าโมงครึ่ง ถึงโรงอาหารก็ประมาณห้าโมงสี่สิบ บวกลบเวลาแกล้งกันเล่น เดินเอื่อยระหว่างทางแล้วก็ประมาณนั้น”
“ก็ควรนานหรอก บ้านนายอยู่ซะท้ายทะเลสาบ”
“ถึงกระท่อมนายแล้ว อาบน้ำให้เรียบร้อยและอย่าเผลอหลับไปก่อนล่ะไม่อยากนั่งกินข้าวดมกลิ่นเน่าๆ”
“โอเซฮุน...” กดเสียงต่ำด้วยความเหลืออด ร่างสูงยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะลูบหัวน้องเล็กแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนโดนลูบหัวมองตามด้วยความขุ่นใจ ลูบหัวอีกล่ะ...จะทำให้ผมดูน่าเอ็นดูไปไหนครับ?
ลู่หานเดินเข้ากระท่อมก่อนจะเปลื้องผ้าออกมาแล้วนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินไปด้านหลังกระท่อมที่ทะลุไปห้องน้ำได้ก่อนจะชำระร่างกายบวกกับรับน้ำเย็นๆ ทำให้ร่างกายสดชื่นหายหงุดหงิดจากโอเซฮุนที่มาทำกวนตีนเขาไว้ เมื่อราดน้ำจนพอใจแล้วก็เดินกลับเข้ามาก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่วางอยู่ ตอนนี้ก็สี่โมงครึ่งแล้วจะให้นอนก็คงตื่นไม่ทัน ลู่หานเลยตัดสินใจไปขลุกอยู่บ้านเซฮุนรอเวลาทานอาหารเย็น
“ไง วันนี้ไม่นอนหรอ?” ไคทักขึ้นเป็นคนแรก น้ำเสียงออกไปทางประชดประชัน
“ก็ใช่ว่าจะนอนทุกวันป่ะ”
“ดีแล้วที่มา จะได้รู้ก่อนว่าใครลงแข่งบ้าง” ดีโอหันไปตีแขนไคเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะอ้าปากต่อคำอีกรอบแล้วหันไปคุยกับลู่หานแทน
“ฮะ? อย่าบอกว่าหนึ่งในนี้ก็ลงงั้นหรอ?”
“สองคนต่างหาก” เทายิ้มก่อนจะชูสองนิ้วประกอบ
“ให้เดาๆ” แบคฮยอนบอกออกมาอย่างตื่นเต้น
ลู่หานประมวลความคิดก่อนจะตัดเซฮุนกับชานยอลออกไปเพราะสองคนนี้บอกไว้ก่อนแล้ว ดีโอก็น่าจะตัดออกไปได้เพราะออกปากบอกก่อน แบคฮยอนนี่ไม่แน่ใจว่าอยากจะได้ลูกเสือไหม แต่ดูแล้วก็ไม่ค่อยเหมาะกับเจ้าตัวเท่าไหร่ งั้นสรุปเอาไอ้สองตัวที่ชอบกวนเท้าเขานี่แล้วกัน
“ไคกับเทา?”
“เก่งจังเลย!~ทายครั้งเดียวถูกเลยอ่ะ” แบคฮยอนปรบมือให้ก่อนจะยิ้มร่า เพื่อนคนนี้ก็เก่งทำเรื่องไร้สาระให้ดูมีคุณค่าขึ้นมาได้
“ก็ไม่ได้อยากจะดูถูกหรอกนะ แต่นายคงไม่ได้กลับบ้านแล้วแหงๆ ว่ะ” ไคเดินมาตบบ่าเขาเบาๆ สลับกับเทาที่เดินเข้ามาแกล้งทำหน้าหงอยๆ
“ไม่อยากจะแข่งกันเลยนะเว้ยเพื่อน แต่อยากได้เสือมาเลี้ยงจริงๆ ว่ะ”
“ไม่ต้องมาทับถมกัน นายไปทะเลาะกับไคนู้นไป ฉันเตรียมใจตั้งแต่รู้ว่าต้องแข่งกับคนอื่นแล้ว” ลู่หานปัดมือให้สองคนนี้เดินออกไปด้วยความรำคาญใจ ความกวนตีนของพวกนั้นที่มีต่อเขาไม่เคยมีวันหยุดจริงๆ
“โห ไม่สู้เลยว่ะ กาก” ไค
“เออเนอะ คนกากก็งี้แหละ” เทา
“ใครจะไปประเสริฐเหมือนพวกคุณล่ะครับ เก่งครับเก่ง...กวนประสาทคนอื่นเนี่ยเก่งกันจัง”
“แหม มึงก็ปากเก่งเหมือนกันแหละ” ไคพูดก่อนจะผลักหัวลู่หาน
“หัวอีกล่ะ ผลักบ้างลูบบ้างจนความรู้จะกระเด็นออกนอกหัวอยู่แล้ว” ลู่หานบ่นก่อนจะจัดทรงผมให้เข้าที่
“ดี มึงฉลาดเกินไปเอาความรู้ออกมาแบ่งกูบ้าง”
“ยอมรับว่าตัวเองโง่ด้วยวุ้ย”
“ไอ้เชี่ยลู่ มึงมาให้กูเตะซะดีๆ!” ลู่หานรีบวิ่งหนีทันทีเมื่อว่ากระทบไคเสร็จ ร่างสูงผิวแทนชี้หน้าคาดโทษก่อนจะวิ่งตามร่างเล็กที่วิ่งวนไปรอบบ้านแล้ววิ่งออกไปที่ระเบียงด้านนอก
“จะตามมาทำม้ายยย!”
“มาให้กูฟาดปากสักทีมา” ลู่หานหันมาว้ากใส่ก่อนจะวิ่งไปหลบในร่มแล้วเกาะเสาร่ม (ที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย) ส่ายตัวหยุกหยิกประหนึ่งหนังอินเดีย ลู่หานจ้องตากับไคเพื่อดูเชิงก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปทางห้องน้ำแต่โลกทั้งโลกดูเหมือนเคว้งคว้างเมื่อชนเข้ากับบางอย่างจนหงายหลัง
“ฮ่าๆๆๆ สมน้ำหน้ามึง!~” ไคตบเข่าก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะเดินกุมท้องเข้าไปนั่งในบ้าน ลู่หานยันตัวลุกขึ้นก่อนจะยกมือลูบหัวปอยๆ มองต้นเหตุที่ยืนเป็นเสาอยู่ข้างหน้าด้วยตาขุ่น
“โอเซฮุน! จะมายืนขว้างทางทำไม”
“เล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ” เซฮุนว่าก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อช่วยดึงลู่หานให้ลุกขึ้น ร่างบางยื่นมือออกไปก่อนที่ร่างจะลอยหวืดแต่ก็สามารถทรงตัวได้ทัน
“ก็เนี่ยวิถีของเด็กล่ะ ยังไม่โตสักหน่อย” ปัดก้นโชว์แม่งเลย
“แล้วที่มานี่คือรอไปกินข้าวพร้อมกัน?” เซฮุนถาม
“ไม่ใช่เพราะนายหรอก เกรงใจคนอื่นต่างหาก”
“ก็ดี ที่ยังรู้จักเกรงใจ” เซฮุนยกยิ้มมุมปากก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวทุยแล้วเดินเข้าบ้านไป
ลูบหัวอีกแล้ว ย๊ากกก!
“นี่ ไม่ต้องลูบหัวกันบ่อยได้ไหม ไม่ใช่หมานะลูบกันอยู่ได้” ลู่หานเดินเข้ามาบ่นข้างในให้ได้ยินทั่วกัน แต่มีหรือเหล่าพี่ใหญ่จะทำตามที่น้องเล็กขอ หลายมือมุ่งเข้ามาก่อนจะลงมือขยี้หัวน้องเล็กจนหัวฟูไปหมดเข้าตำราที่ว่ายิ่งว่ายุ่งยุ
ลู่หานร้องโวยวายก่อนจะเบี่ยงตัวออกมาจากมรสุมมือได้ สภาพหัวตอนนี้ไม่ต่างจากนั่งรถโต้ลมที่ขับด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่าร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง เหล่าพี่ใหญ่ที่เห็นสภาพหัวฟูๆ บวกกับหน้าที่มองค้อนเบะปากแล้วก็พากันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ลู่หานเดินกระทืบเท้าออกมาก่อนจะเข้าห้องน้ำเพื่อส่องกระจกจัดทรงผมให้เข้าที่อีกรอบ
ความแค้นสะสมครั้งที่สามร้อยยี่สิบสี่! (พ่นไฟ!!!)
เช้าวันต่อมา
แล้วก็เป็นอย่างที่ชานยอลบอก พอรู้ว่าต้องแข่งกับใครหลายคนเขาก็กังวลจนนอนไม่หลับ เหตุผลหลักๆ ก็คือกลัวไม่ชนะแล้วไม่ได้กลับบ้านนั่นแหละ ยิ่งมาเจอไคกับเทาที่พลังน่ากลัวพอๆ กัน อีกคนหยุดเวลาได้อีกคนเคลื่อนย้ายในพริบตา ถึงแม้ว่าจะทำได้เพียงไม่กี่วินาที แต่ทั้งคู่ก็เคยลงสนามมาแล้วทำให้รู้แนวทางในการแข่งซึ่งโอกาสชนะก็มีเยอะกว่าเขาแน่นอน
“ตาโหลๆ นะ” ชานยอลยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะทัก เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าร่างเล็กคงกังวลจนนอนไม่หลับ แกล้งทักไปกวนเล่นๆ
“ก็รู้ดีอยู่แล้วยังจะมาแซว”
“แล้วไหวหรอเนี่ย ดูหน้าแต่ล่ะคนดิ ฟิตมาอย่างดีทั้งนั้น” ชานยอลเหลือบไปมองคู่แข่งที่กำลังอบอุ่นร่างกายหรือฝึกใช้พลังอยู่ นี่ไม่ได้พูดข่มขวัญเพื่อนเลยนะ แค่อยากให้เพื่อนฮึดสู้...จริงๆ นะ
“อย่าเอามาข่มได้ป่ะ แค่ไอ้สองตัวนั้นก็กังวลอยู่แล้ว” ลู่หานพูดก่อนจะหันไปมองไคกับเทาที่อยู่ไม่ไกล ทั้งสองเห็นน้องเล็กเหลือบมามองก็ส่งยิ้มกวนๆ ไปให้ ลู่หานขึงตาใส่ก่อนจะหันกลับมามองชานยอล
“ดูมันทำดิ ไหนบอกเห็นเราเป็นน้องเล็ก”
“สนามแข่งไม่มีคำว่าพี่น้องหรอกนะ” ชานยอลว่าก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“คือดูจากพลังแต่ล่ะคนแล้วฉันนี่ง่อยสุดเลยนะ ไม่ได้กลับบ้านแหงอ่ะ” ลู่หานอบอุ่นร่างกายพลางบ่นไปด้วย ชานยอลตบบ่าให้กำลังใจสองสามทีก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่งเชียร์ ลู่หานถอนหายใจก่อนจะเดินไปรวมอยู่กับไคและเทา
“อันยองมักเน่~” ไคทักขึ้นก่อนจะยกมือโบกเบาๆ
“รู้สึกโลกไม่ยุติธรรม ไม่สิ ผอ. ไม่ยุติธรรมอ่ะ ฉันเพิ่งเข้ามานะเว้ย แล้วให้มาแข่งแบบนี้จะได้กลับบ้านชาติไหนครับ” ลู่หานยกมือเท้าเอวก่อนจะเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มด้วยความโมโห
“ไม่รู้จะปลอบยังไงดี ทำใจเถอะนะน้อง วันนี้คงไม่ใช่วันของน้อง” ไคทำหน้าเศร้าเสแสร้งเสียเต็มประดาพลางยกมือขึ้นตบหัวลู่หานเบาๆ ลู่หานก็เบี่ยงหัวหลบพร้อมกับปัดมือหนาออก
“หน้าตานี่บ่งบอกว่าปลอบมากจริงๆ” ลู่หานประชดกลับ
“เดินเข้ามาหาเพื่อบ่นให้ฟังเนี่ยนะ นึกว่าจะมาคุกเข่าขอร้อง” เทาพูด
“โอโห คงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ เสียศักดิ์ศรีไป เรื่องแค่นี้เอง”
“ครับบบ ไม่ได้กลับบ้านนี่เรื่องแค่นี้เอง” ไคล้อเลียนเสียงสูงก่อนจะหัวเราะสะใจกับเทา ลู่หานจิปากก่อนจะเตะเข้าที่หน้าแข้งไคแล้วรีบวิ่งหนีให้ห่างจากทั้งคู่
เขาได้ยินเสียงร้องโอดโอยและคำก่นด่าตามหลัง แต่ก็ไม่สนครับ พยายามหาที่สงบจิตสงบใจด้วยการนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้
“เฮ้ย!” ลู่หานร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อลืมตาขึ้นจากการสงบจิตใจแล้วเจอเขากับขาของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเห็นว่าเป็นเซฮุนที่ก้มมองด้วยใบหน้าเรียบเฉยแบบที่เจ้าตัวชอบทำ
“ตกใจอะไร...คน”
“ตกใจดิ ก็มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง แล้วมายืนอยู่ข้างหน้านี่ตลกมากหรอ? ก็เห็นว่านั่งสมาธิอยู่”
“ก็เพิ่งเดินเข้ามาตอนที่นายกำลังจะลืมตา หน้าตาเหมือนคนอดหลับอดนอน” เซฮุนยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของลู่หาน รู้สึกสมน้ำหน้าปนสงสารอยู่หน่อยๆ ในใจ สงสารตรงที่คราวนี้คงไม่ได้กลับบ้านอย่างที่ร่างเล็กคิดไว้
“พูดเรื่องอื่นกันไม่เป็นรึไง ต้องมาค่อนขอดกันเรื่องนี้ตลอด” ลู่หานกลอกตาอย่างเซ็งจัด เป็นคู่หูที่ให้กำลังใจดีมากเลย (กัดฟันพูด)
“ก็หน้านายมันบอกขนาดนั้น แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ได้นั่งสมาธิแล้วโอเครึยัง?”
“อืม ก็ดีขึ้นนิดนึง รู้สึกจิตใจสงบขึ้น”
“ไม่ต้องไปตื่นเต้นอะไรมากหรอก ทำตามสัญชาตญาณตัวเองก็พอ นายไม่ต้องไปกลัวพลังคนอื่นหรอกเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ก่อน พยายามดึงพลังออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด ถ้าต้องต่อสู้...ผู้หญิงก็ไม่ต้องไว้หน้า ไม่จำเป็นต้องสงสารเพราะผู้หญิงที่นี่ตลบหลังได้น่ากลัวกว่าผู้ชายอีก นายแค่เชื่อในความคิดกับพลังของนายก็พอ” เซฮุนตบบ่าลู่หานอย่างให้กำลังใจ ลู่หานเผยอปากอย่างอึ้งๆ เมื่อเซฮุนพูดกับเขายาวที่สุดเท่าที่เคยพูดกันพร้อมกับการให้กำลังใจ
“ฉันน่าจะบันทึกเสียงนายไว้ พูดยาวที่สุดในรอบที่คุยกัน”
“มาให้กำลังใจยังจะกวน” เซฮุนทำท่าจะหลังมือใส่ แต่ลู่หานก็ยกมือกันไว้ก่อนจะส่งยิ้มไปให้
“ขอบคุณนะ ช่วยได้เยอะ” ลู่หานพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ
“ตั้งใจเข้าล่ะ” เซฮุนบอกก่อนจะลูบหัวลู่หานสองสามทีแล้วเดินจากไป
“นี่!”
ลู่หานขึ้นเสียงตามหลังไป ก็บอกว่าอย่าลูบหัวไง เอ๊อะ!
“ขอให้นักเรียนทุกคนมารวมกันที่จุดเริ่มต้น” เสียงประกาศดังขึ้น ลู่หานสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปรวมกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ
“ผ้าผืนนี้คือตัวแทนของนักเรียน หากแย่งผ้าจากใครได้ถือว่าคนนั้นหมดสิทธิ์แข่งไม่มีการแย่งต่อ ขอให้นักเรียนทุกคนเคารพในกติกา ถ้าโดนแย่งผ้าแล้วกรุณาเดินออกมาจากป่า เด็กเก่าก็อาจจะรู้กันอยู่แล้ว...แต่ฉันก็ต้องพูดทุกปีเพราะมีเด็กใหม่มาตลอด” พออาจารย์เซนดริกพูดจบก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น เขากำมือเป็นสัญลักษณ์ให้เงียบเสียง ก่อนที่ผู้เข้าแข่งขันจะต่อแถวเพื่อให้อาจารย์ผูกผ้าให้
อ้อ...ที่ว่าไปไม่ถึงกันนี่เพราะโดนแย่งผ้าสินะ...เจ้าพวกนั้นก็กั๊กจริงๆ เลย ไม่ยอมบอกให้หมดเสียตั้งแต่ทีแรก
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ปิดตาได้” เป็นอีกครั้งที่ลู่หานขมวดคิ้ว อะไรอีกวะเนี่ย...ทำไมไม่บอกกันให้หมด!~
“เราต้องปิดตาแล้วส่งพวกเธอไปตามจุดต่างๆ ในเขตการค้นหาจะได้มีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการค้นหา เพราะถ้าปล่อยพร้อมกันแล้วโดนล้มตั้งแต่ต้นก็คงไม่ดี” อาจารย์เซนดริกเดินมาบอกลู่หานเป็นการส่วนตัว ลู่หานพยักหน้าเข้าใจและเห็นด้วยก่อนที่ภาพข้างหน้าจะกลายเป็นสีดำเพราะถูกปิดตา
“มีเวลาสามชั่วโมง กลับมาให้ทันข้าวเที่ยงนะ อ้อ...พวกเธอสามารถแก้ผ้าปิดตาได้หลังจากได้ยินเสียงปืน โชคดีนะเด็กๆ”
ลู่หานได้ยินเสียงหวืดข้างตัวก่อนจะโดนผลักเบาๆ เขาล้มลงกับพื้นเนื่องจากโดนปิดตาเลยมองไม่เห็นภาพตรงหน้า แต่ความรู้สึกที่มือก็ทำให้เขารู้ว่าได้เข้ามาอยู่ในป่าเรียบร้อยแล้ว ลู่หานใช้สองแขนยันตัวให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดป่ายมือเพื่อหาต้นไม้สักต้นไว้ยึดจับ
ปัง!
ทันทีที่เสียงปืนดัง ลู่หานก็ถอดผ้าปิดตาออกก่อนจะกระพริบตาถี่เพื่อปรับภาพ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้นแล้วลู่หานก็ยืนชั่งใจว่าจะเริ่มไปทางไหนพร้อมกับหาที่กำบังหลบผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ด้วย ถ้าหากเป็นป่าฝั่งทางเหนือของเกาะเขาก็คงจะคุ้นอยู่บ้างแต่เขตการแข่งขันปีนี้จัดที่ป่าทางตอนใต้มีรัศมีการค้นหาสามกิโลเมตร ไม่ต้องกลัวจะออกนอกเขตเพราะมีกำแพงล่องหนกั้นไว้อยู่
เอาล่ะ...ที่นี้จะไปทางไหนดี
ขวาร้าย...ซ้ายดี...
งั้นไปทางขวา
มองหน้าทำไมล่ะ...เสือมันใช่เรื่องดีซะที่ไหน
แต่ก่อนที่ลู่หานจะก้าวเดินเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ก่อนจะยิ้มพอใจกับตัวเองแล้วทำตามแผนการที่คิดไว้ ร่างบางเดินค่อมหลังใช้พุ่มไม้ที่สูงเท่าเอวเป็นการกำบังไปในตัว สายตาสอดส่องมองหาผู้เข้าแข่งคนอื่นๆ ก่อนจะนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วเอามือแตะพื้นเมื่อได้ยินเสียงอะไรแว่วๆ
‘หายไปไหนกันหมด’
ลู่หานได้ยินเสียงแวบเข้ามาในหัว หากเขาเอามือแตะพื้นแล้วมีเสียงแวบเข้ามานั่นแสดงว่าเจ้าของเสียงอยู่ไม่ไกล ลู่หานลืมตาก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นนั่งขัดสมาธิ แล้วก้มตัวให้ต่ำที่สุด
ตอนนี้ไม่อยากสู้กับใครทั้งนั้น เดินไป...เดินไป...ไม่มีใครอยู่ตรงนี้ทั้งนั้น
ลู่หานนั่งเหงื่อตกราวๆ สิบนาทีก่อนจะแตะพื้นเพื่อรับเสียงให้แน่ใจว่าชายคนนั้นเดินผ่านไปแล้ว เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วมองหาร่างที่เดินผ่านไป เห็นหลังไวๆ อยู่ตรงนู้นก็คงปลอดภัยแล้วล่ะ
ถึงกระนั้นลู่หานก็เชื่อในสัญชาตญาณแบบที่เซฮุนบอก เลือกที่จะก้าวต่อไปตามทางที่เลือกไว้ เขากลับมาเดินหลังตรงแบบเก่าเพราะเมื่อยก่อนจะบิดร่างกาย
จิ๊บ! จิ๊บ!
เสียงนกที่ดังขึ้นเหนือศีรษะทำให้ร่างเล็กว้าวุ่นหาที่กำบัง นกบินหนีมาทางนี้ถึงจำนวนจะไม่มากแต่ก็เป็นไปได้ว่ามีคนเดินผ่านพวกมันไม่ก็มีคนกำลังต่อสู้กันพวกมันจึงตกใจบินหนีมา
ลู่หานหาที่กำบังเป็นโพรงเล็กๆ ที่เกิดจากการทับกันของต้นไม้ มือเรียวเลื่อนไปแตะพื้นอีกครั้งเพื่อฟังเสียงก่อนจะเบิกตาอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงและชื่อที่คุ้นเคย
‘เฮ้ย! โดนจับได้แล้วอย่าวิ่งดิวะ ไอ้ไคตามมันไป’
‘ก็ตามอยู่เนี่ย จะสั่งทำไม’
ลู่หานละมือขึ้นเมื่อได้ยินฝีเท้าหนักๆ บริเวณเหนือศีรษะ ถึงแม้จะดีใจที่ได้เจอเพื่อนแต่ไอ้สองคนนี้มันก็เป็นหนึ่งในผู้แข่งขันเหมือนกัน ว่าแต่ทำไมมาอยู่ด้วยกันได้...
อ๋อ...
ลู่หานลากเสียงยาวในใจหลังจากเข้าใจเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ของการรวมตัว สองคนนี้อาจจะร่วมมือกันเพื่อกำจัดคู่แข่งแล้วให้ใครคนใดคนหนึ่งแกล้งแพ้เมื่อได้ลูกเสือ เพราะยังไงตั๋วกลับก็ไปได้สองค้นหากจะยอมแพ้ไปสักคนก็ไม่เสียหายอะไร
สรุปถ้าออกไปตอนนี้ก็ต้องโดนเฉดหัวในตอนท้ายอยู่ดี...ไอ้พวกนี้มันชอบรังแกเขาอยู่แล้ว คงไม่มีทางยอมให้เขาชนะแน่ๆ
“เทา...มึงวิ่งจนลืมไปรึเปล่าว่ามึงหยุดเวลาได้”
“เออว่ะ...ว่าแต่กู มึงก็ลืมเหมือนกันแหละว่ามึงหายตัวได้”
“ก็นั่นดิ...มัวแต่ตื่นเต้น เดี๋ยวกูแวบไปให้ใกล้ๆ มันแล้วมึงหยุดเวลาเลยนะ”
“เออ”
ลู่หานรู้สึกเหมือนลมหายใจขาดไปห้วงหนึ่งก่อนที่เสียงของเพื่อนทั้งสองจะหายไป ไคกับเทาได้หายไปจากบริเวณนี้แล้ว ร่างเล็กคลานออกมาจากโพรงก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ระหว่างที่เดินไปอย่างหลบๆ ซ่อนๆ สมองของลู่หานก็ประมวลสิ่งต่างๆ รอบกาย
ป่าบนเกาะนี้เต็มไปด้วยต้นสนและพืชพรรณที่มียอดแหลม บวกกับอากาศสบายๆ ในหน้าร้อนแล้วเดาได้ไม่ยากว่าเกาะนี้ต้องอยู่บนละติจูดที่สี่สิบห้าองศาเหนือขึ้นไป แต่เสือพันธุ์ไหนจะมาอยู่ในป่าสนแบบนี้กัน สัตว์สักตัวนอกจากนกก็ยังไม่เห็น ให้มาเลี้ยงอยู่ที่นี่แล้วมันจะเอาอะไรกิน หากที่นี่หิมะปกคลุมตลอดปีก็พอจะคิดได้ว่าอาจเป็นเสือดาวหิมะ แต่ก็มีปัญหาอีกนั่นแหละ เกาะนี้อาจจะไม่มีสัตว์ให้ล่าหากจะให้เสือว่ายน้ำกลับฝั่งไปก็คงไม่ดีอีก
คิดไปคิดมาก็ชักจะปวดหัว ลู่หานสะบัดศีรษะไล่ความคิดก่อนจะดึงสมาธิกลับมา คิดไปก็เท่านั้นใช่ว่าตัวเองจะได้เลี้ยงซะเมื่อไหร่ แต่ถ้าคนชนะคิดอยากจะเลี้ยงมันไว้ที่นี่ก็คงงานหนักเลยกระมัง
สวบ!
“เฮ้ย!” ลู่หานร้องออกมาเมื่อโดนรวบจากด้านหลัง มือปริศนาเคลื่อนมาที่ข้อมือบางหมายจะปลดผ้าออก แต่ลู่หานก็ชักแขนหลบทันก่อนจะจับท่อนแขนนั้นแล้วออกแรงทุ่ม
“อั่ก!” ชายหนุ่มที่นอนราบกับพื้นยกมือขึ้นกุมท้อง เปล่งเสียออกมาได้แค่นั้นเนื่องจากจุกแน่นไปทั่วร่าง ลู่หานเห็นผ้าผูกอยู่ที่แขนข้างที่จับแล้วก็รีบดึงออกเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
“ไม่ได้อยากทำร้ายเลยนะ มาให้ตกใจเอง” ลู่หานสะบัดผ้าไปมาก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วช่วยดึงร่างชายที่นอนกุมท้องพูดอะไรไม่ออกอยู่ พอชายคนนั้นลุกขึ้นยืนได้ก็ส่งยิ้มแหยๆ มาให้ด้วยความจุก
“เห็นตัวเล็กๆ แต่แรงเยอะเหมือนกันนะ”
“ทีหลังก็อย่าดูถูกคนที่ร่างกายนะ”
“ต่อไปนี้คงต้องระวังแล้วล่ะ ว่าแต่นายจัดการไปกี่คนแล้ว”
“นายคนแรก บอกแล้วว่าไม่ได้อยากทำร้ายใคร แค่อยากชนะเฉยๆ”
“นาย...อ้อ...ลู่หานสินะ เราเรียนไม่ค่อยตรงกันอาจจะจำกันไม่ได้”
“ฉันก็คุ้นๆ หน้านายอยู่นะ แต่เรายังไม่ได้คุยกัน...นายชื่ออะไรล่ะ”
“แบมแบม ฉันมาจากไทยชื่ออาจจะแปลกหน่อย” ชายหนุ่มยื่นมือมาตรงหน้า ลู่หานยืนมือไปจับตอบ
“อืม ยินดีที่ได้รู้จัก นายออกไปได้แล้ว ขืนยืนคุยกันอยู่แบบนี้มีหวังฉันโดนสอยแน่” ลู่หานมองไปรอบๆ อย่างระแวง แบมแบมหัวเราะเบาๆ เพราะความเถรตรงของคนตรงหน้าก่อนจะโบกมือลา
“อ้อ โอเค เอ้อ...นายเดินไปทางนี้แหละดีแล้ว ฉันมาจากทางนู้นไม่เจอเหมือนกันแล้วผู้หญิงก็โดนฉันเอ้าท์ไปสอง”
“งั้นตอนนี้ก็เอ้าท์ไปสาม โชคดีนะ ขอบใจมาก” ลู่หานชูเลขประกอบก่อนจะตบบ่าหนุ่มไทยแล้ววิ่งหาที่หลบต่อไป
คนที่โดนเทากับไควิ่งไล่อาจจะโดนยึดผ้าไปแล้วก็ได้ แสดงว่าคนที่เหลือในป่าตอนนี้มีหกคนรวมตัวเขาด้วย หากตัดไคกับเทาไป คนที่ต้องจัดการจริงๆ ก็เหลือแค่สามคน
สำหรับเพื่อนนี่ต้องเอาไว้ทีหลัง...จะจัดให้หนักๆ เลยคอยดู
เฮือก...
ลู่หานรู้สึกเหมือนลมหายใจขาดห้วงอีกหน เนื่องจากเทาใช้พลังหยุดเวลาสำหรับคนอื่นอาจจะไม่รู้สึกอะไรแต่สำหรับลู่หานที่สัมผัสไวกว่าคนอื่นทำให้รับรู้ได้ ใช้พลังแบบนี้แสดงว่าเทากับไคอาจจะกำจัดคนไปได้อย่างน้อยหนึ่งคนตอนนี้ไม่รู้ว่าไคกับเทากำลังไปทางไหนต้องรีบเดินหาแถวนี้ให้ถึงจุดสิ้นสุดก่อนที่โดนเอ้าท์ซะเอง
สวบ...
เสียงแหวกพุ่มไม้ดังอยู่ไม่ไกล ลู่หานรีบหลบเข้าที่หลังต้นไม้ใหญ่ก่อนจะใช้พลังฟังเสียง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าลู่หานก็กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเซ็งๆ อีกแล้ว...ไม่อยากจะทำร้ายใครครับ กรุณาเดินไปอีกทางเถอะครับคุณ อยากหาเสือเงียบๆ ครับบบ!~
แต่การภาวนาก็ไม่เป็นผล ลู่หานเห็นร่างสูงโปร่งคล้ายจะเตี้ยกว่าชานยอลไม่กี่เซนติเมตรเลี้ยวมาทางที่เขาหลบอยู่ ลู่หานรีบดึงตัวกลับมายืนตัวแข็งด้วยความลุ้นจัด ก่อนจะเหลือบไปเห็นท่อนไม้ขนาดพอเหมาะ พอเหมาะที่จะตีหัวคนให้หลับได้อ่ะนะ...
เอาวะ...ถึงเราไม่ทำก็ต้องมีคนทำอยู่ดี
ลู่หานจ้องไปที่ท่อนไม้ก่อนจะบังคับให้มันลอยขึ้นแล้ววนไปอยู่ด้านหลังของชายคนนั้นที่กำลังเดินใกล้เข้ามา อย่าโกรธกันเลยนะ ตั้งใจจะให้หลับเฉยๆ เห็นเหนื่อยๆ
พลั่ก!
หมับ!
“ใครน่ะ!” ลู่หานดึงตัวกลับมาซ่อนหลังต้นไม้อีกครั้งเมื่อชายคนนั้นคว้าท่อนไม้ที่กำลังจะฟาดเข้าท้ายทอยได้ทันก่อนจะหันกลับมาตวาดแล้วกราดมองไปรอบๆ
ใครจะเดินออกไปเฉยๆ ล่ะ...วินาทีนี้ต้องเอ๋วิ่งอย่างเดียวแล้วล่ะ
“เฮ้ย! หยุดนะ!”
โทษนะ...พูดไปก็ไม่มีใครหยุดให้พี่หรอกครับ
ชายคนนั้นตะโกนบอกลู่หานก่อนจะโยนท่อนไม้ลงกับพื้นแล้ววิ่งตาม ลู่หานวิ่งสุดแรงเกิด กระโดดบ้างเมื่อมีท่อนไม้นอนขวาง สายตาก็พยายามหาที่หลบดีๆ แต่ก็ไม่สามารถเบี่ยงตัวหลบได้เมื่อขายาวๆ นั่นวิ่งตามมาติดๆ
“โอย จะตามอะไรหนักหนา หิวน้ำแล้วนะเว้ย” ลู่หานบ่นกับตัวเองขณะเดียวกันก็เร่งฝีเท้าไปด้วย แต่แล้วร่างทั้งร่างก็จ้ำเบ้าหงายลงกับพื้นเมื่อชนเข้ากับกำแพงล่องหน เพราะวิ่งมาแรงเกินไปเลยทำให้สมองมึนงงไปชั่วขณะ ชายร่างโปร่งที่วิ่งตามมาเท้าเอวก่อนจะส่งเสียงหอบแข่งกัน
“ไปไหนไม่รอดแล้ว ยื่นแขนมา” ร่างโปร่งกระดิกนิ้ว
“ยื่นให้ก็โง่แล้ว”
“โดนดักขนาดนี้แล้วยังปากเก่งอีกไอ้หนู อย่าให้งัดพลังมาใช้เลย”
“กลัวตายเลย ลองงัดออกมาสิ” ลู่หานยันตัวลุกขึ้นก่อนจะยืนปะทะสายตากับร่างโปร่งตรงหน้า ร่างสูงแค่นหัวเราะก่อนจะจ้องหน้าลู่หานอย่างเอาเรื่อง
“ไอ้เด็กนี่มันอวดเก่งจริงๆ ว่ะ ดูทำหน้าทำตาเข้า”
“คุณรู้จักผมแค่ไหนถึงมาว่ากัน”
“ก็เห็นอยู่เนี่ย”
“ผมไม่ได้อวดเก่ง ผมแค่คิดว่าผมพอจะสู้คุณได้”
“แบบนี้แหละฉันเรียกอวดเก่ง ไหนมาดูสิว่าแกทำอะไรได้” ร่างโปร่งยกแขนขึ้นขนาบข้างลำตัวก่อนที่ดินจะค่อยๆ ขึ้นสูงจากพื้นและรวมตัวกันในสภาพที่เป็นโคลน ลู่หานได้แต่คิดในใจว่า...เปื้อนแน่เลย
“โห สกปรกอ่ะ เรียกโคลนทำไม เอาดินเฉยๆ ไม่ได้หรอ?” ลู่หานเบ้ปากใส่
“เวลานี้ยังจะมาตลกลง”
“ก็กลัวเปื้อนอ่ะ เอาอย่างอื่นไม่ได้หรอ ความสามารถพิเศษนี่เรียกโคลนหรอ?” ลู่หานอมลมไว้ในปากเหมือนเด็กถูกขัดใจ
“เออ มัวแต่ถามมากอยู่ได้ มีอะไรก็โชว์ออกมา”
“ขอโทษก็ได้ที่ยุ่งวุ่นวายไปหน่อย” ลู่หานบอกเสียงอ่อนก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ความจริงเขาแค่พูดถ่วงเวลาและเบี่ยงเบนความสนใจไปอย่างนั้น เขาน่ะเรียกพลังตั้งแต่ก่อนหมอนั่นเรียกดินแล้ว และตอนนี้ไม้เลื้อยก็พร้อมจะรัดตัวคู่ต่อสู้แล้ว
“รัด!” ลู่หานออกเสียงสั่งก่อนที่ไม้เลื้อยนั้นจะเคลื่อนเข้ามารัดร่างโปร่งอย่างรวดเร็ว ร่างสูงได้แต่ร้องออกมาอย่างงงๆ พร้อมสะบัดตัวให้หลุดออกจากการรัด โคลนที่ลอยอยู่ในอากาศทิ้งตัวกลับไปเป็นดินเหมือนเดิม
“เขาเรียกประมาทนะครับ” ลู่หานเข้าไปใกล้ก่อนจะแก้มมัดผ้าที่ข้อมือ ร่างโปร่งเงยหน้ากลอกตาเมื่อรู้ว่าหลงกลเด็กคนนี้เข้าอย่างจัง หลังจากแก้เสร็จลู่หานก็สั่งให้ไม้เลื้อยคลายออกไป ร่างสูงนวดคลึงไปตามจุดที่โดนรัดก่อนจะยิ้มบางๆ
“เก่งนี่หว่า นึกว่าอ้างชื่อพ่ออย่างเดียว”
“ผมนี่ก็ดังนะครับ ดังเพราะพ่อทั้งนั้น...ว่าแต่คุณชื่ออะไร ผมไม่ค่อยเห็นหน้าเลย” ลู่หานคล้ายจะบ่นกับตัวเองก่อนจะเอ่ยถามชื่อออกไป
“ฉันหรอ...มินโฮ ชอยน่ะ ส่วนมากก็จะหนีมาฝึกเวทในป่าน่ะ”
“อ้าว...คนเกาหลีหรอ?” ลู่หานเปลี่ยนจากภาษาสากลมาเป็นภาษาที่สองของตัวเอง ร่างโปร่งเลิกคิ้วอย่างแปลกใจที่เห็นร่างเล็กพูดภาษาบ้านเกิดเขาได้ก่อนจะตอบกลับไปเป็นภาษาเดียวกัน
“พูดได้หรอเนี่ย นึกว่าจีนแท้ๆ ซะอีก”
“ก็คนจีนแหละแต่ว่าผมเกิดที่เกาหลีเลยพูดได้สบายมาก...ว่าแต่คุณมาจากประเทศไหน?”
“ฉันมาจากเยอรมัน...ว่าแต่รู้ได้ไงว่าไม่ได้มาจากเกาหลี”
“ดูจากการพูดแล้วเหมือนไม่ค่อยได้พูดเกาหลีน่ะสิ เลยเดาเอา”
“ดันเดาถูก...เฮ้อ...เซ็งเลยกะจะเลี้ยงเสือเสริมบานมีสักหน่อย” ร่างสูงถอนหายใจ ลู่หานรู้สึกตะหงิดๆ คำก่อนจะทบทวนอีกรอบ
“บารมีรึเปล่า?”
“เออ นั่นแหละๆ ช่างเถอะ...ฉันไปดีกว่า นายก็โชคดีล่ะ”
“ขอให้เดินกลับจุดสตาร์ทอย่างปลอดภัย” ลู่หานโบกมือตามหลังไปก่อนจะยกมือกุมหน้าผากแล้วสูดปาก ก็เล่นชนกำแพงเข้าจังๆ ขนาดนั้น ทีหลังน่าจะมีป้ายปักเตือนไว้สักหน่อยว่าถึงกำแพงแล้ว วิ่งใส่เกียร์หมามาระดับสิบมึนไปหมดแล้วเนี่ย
ลู่หานเลือกที่จะเดินเลียบกำแพงไป นี่ก็เริ่มจะขี้เกียจแล้วนะ...ไม่มีเบาะแสอะไรให้สาวไปถึงตัว...เสือ...เลย...
จ๊ากกก! เจอแล้ว! เจอแล้ว!!!
เจอรอยเท้าเสือนะ แต่เอาเถอะ! แค่รอยเท้าก็ยังดี...แค่รอยเท้าก็ช่วยอะไรได้เยอะแล้ว
ลู่หานนั่งคุกเข่าก่อนจะแตะที่รอยเท้าเสือก่อนจะใช้พลังในการตามหาของช่วย ภาพที่ไหลเข้ามาทำให้ลู่หานขมวดคิ้ว เป็นภาพที่มองเห็นแต่ต้นไม้รอบๆ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายทีขวาทีสุดท้ายก็จบลงที่เห็นเสือดาวนอนอยู่บนโขดหินกับลูกเสือน้อย
ครับ...เสือดาวธรรมดาครับ แต่นอนกกลูกอยู่แบบนี้ใครจะสู้!!!
ลู่หานลืมตาโพลงก่อนจะกรีดร้องอยู่ในใจ เอาวะ...อย่างน้อยก็เดินไปดูให้เห็นกับตา นึกถึงคำของผอ. ที่บอกว่าสัตว์ที่นี่ไม่ธรรมดาบางทีมันอาจจะฟังเรารู้เรื่องก็ได้
คิดได้ดังนั้นร่างเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทางที่ถูกต้องก่อนจะรู้สึกลมหายใจขาดห้วงอีกครา แสดงว่าตอนนี้คงเหลือแค่พวกเขาสามคนแล้ว ดีล่ะ...มาดูกันสิว่าจะหักหลังกับแบบไหน
แต่คนถึงก่อนย่อมมีโอกาสมากกว่า วรั๊ยยย!
ลู่หานเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง ณ ตอนนี้ไม่สนใจอะไรแล้ว เพียงแค่คิดว่าลูกเสืออยู่ไม่ไกลและคู่แข่งก็เหลือแค่เพื่อนตัวเอง หนทางที่จะได้กลับบ้านก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ลู่หานไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมานานเท่าไหร่แล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่วิ่งมาถึงจุดสูงสุดของเนินที่มีทางลาดลงไปไม่สูงมาก แต่ตอนนี้ร่างบางก็ไม่กล้าลงไป ได้แต่เกาะต้นไม้อยู่แบบนั้นก่อนจะยิ้มดีใจเมื่อเห็นเป้าหมายสองเสือแม่ลูกนอนอยู่บนโขดหินข้างล่าง ปัญหาหลังจากหายเหนื่อยคือทำยังไงถึงจะขโมยตัวลูกเสือมาได้เนี่ยแหละ
เชี้ย!
ลู่หานหลุดอุทานออกมาเมื่อกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาของช่วยแต่มารผจญสองตัวก็มาไวเสียเหลือเกิน เนื่องจากอยู่คนล่ะฝั่งและอยู่สูงกว่าพวกนั้นทำให้เขาเห็นการกระทำทุกอย่าง ร่างผิวแทนทั้งสองกำลังเดินชิวๆ กันอยู่ก่อนที่เทาจะกดหัวให้ไคนั่งลงแล้วชี้ให้ดูเสือที่นอนอยู่ ก่อนจะถกเถียงกันเบาๆ ลู่หานลากสายตามามองแม่เสือดาวที่กำลังขยับตัว เพราะเสือดาวประสาทสัมผัสไวอยู่แล้ว ยิ่งช่วงที่มีลูกอ่อนยิ่งไวเข้าไปใหญ่...ไอ้พวกนั้นอาจจะเถียงกันเสียงดังเกินระดับการกระซิบไปหน่อยเลยทำให้แม่เสือตื่นขึ้นมาซะได้
ซวยแล้วมึง...บอกได้แค่นั้น
“เห้ย เสืออะเสือ” เทากดหัวให้ไคนั่งลงหลบหลังโขดหินก่อนจะร้องออกมาเสียงแหลมอย่างดีใจ ไคยกมือขึ้นปิดปากเทาเต็มแรงด้วยความกลัวว่าเสือจะรู้ตัว
“มึงเบาๆ ดิ แม่งตื่นขึ้นมามึงตายแน่”
“ทำไงดีวะมึง แม่นอนกกงี้เข้าไปเอายากแน่เลยว่ะ” เทาทำท่ากระสับกระส่าย
“ต้องหาอะไรล่อแม่มันก่อน”
“แล้วไมไม่ลองหยุดเวลาแล้วมึงแวบไปเอาวะ”
“สัด มึงอย่าใช้คำว่าลองดิ พลาดขึ้นมากูตายมึงทำไง” ไคเสยหัวเทาไปหนึ่งทีเบาๆ
“ทำศพ”
“ขอบใจ...ถุ้ย!”
“ถุ้ยดังไปแล้วมึง เดี๋ยวแม่งตื่นจริงหรอก”
กรรรรรซ์…
เสียงขู่ต่ำๆ ทำให้ไคกับเทาหันมามองหน้ากันก่อนจะชะโงกหน้าไปมองสองแม่ลูกเสือแล้วพบว่าแม่เสือลุกยืนขึ้นจ้องเขม็งมาทางนี้พร้อมกับขู่เสียงต่ำในลำคอ
แค่นั้นก็กลัวหัวหดแล้วครับ...
“ไอ้เชี้ยเทา มึงนั่งอยู่ทำไม วิ่ง!” ไคลุกขึ้นวิ่งไปได้สามก้าวก็เข้ามาฉุดเพื่อนที่นั่งจมอยู่กับโขดหินตัวสั่นไม่ขยับไปไหน
“กูลุกไม่ขึ้น กลัวจนตัวแข็งหมดแล้วเนี่ย” เทาบอกเสียงสั่น ไคดึงแขนเทาให้ลุกขึ้นก่อนจะใช้พลังเคลื่อนย้ายในพริบตาหายตัวไปพร้อมกับเทา
“โห สัส สิบเมตร! กูหายตัวตอนตกใจได้สิบเมตรนี่คุ้มไหม!!!” ไคสบถออกมาหลังจากที่หายตัวมาพร้อมกับเทาแล้วหันไปมองข้างหลังยังเห็นแม่เสือยืนขู่อยู่และกำลังย่างกรายเข้ามา
“มึงไม่วิ่งก็เรื่องของมึงล่ะ” ไคสะบัดแขนเทาก่อนจะวิ่งนำไป เทาที่เห็นเพื่อนวิ่งนำไปก็วิ่งตามก่อนจะสบถเป็นภาษาบ้านเกิดด้วยความกลัว ตอนเรียนป้องกันตัวอาจจะเท่แต่มาเจออะไรแบบนี้แล้วเท่ไม่ออก ขอร้องไห้ก่อนเป็นอันดับแรกเลย
ลู่หานเห็นเพื่อนทั้งสองวิ่งหนีเสือแล้วไม่อยากจะคิดภาพต่อแต่เห็นแม่เสือที่วิ่งเหมือนออมแรงแล้วคงไม่คิดจะทำอะไรแค่อยากไล่ให้ไปไกลๆ มากกว่า เขาใช้จังหวะนี้สไลด์ตัวลงไปก่อนจะวิ่งสุดแรงเกิดเข้าไปอุ้มลูกเสือไว้ ก้มมองลูกเสือที่กำลังหลับในอ้อมแขนแล้วรู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก
น่ารักจังเลย...เหมือนลูกแมวตัวน้อยๆ ไม่มีผิด อยากเลี้ยงขึ้นมาทันที
เฮ้ย...แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ ในเมื่อเรามีลูกเสืออยู่กับมือแล้วเราก็ต้องไปช่วยเหลือเพื่อนให้รอดจากแม่เสือก่อน
ร่างบางวิ่งตามแม่เสือ เห็นแม่เสืออยู่ไม่ไกลก็ส่งเสียงดังให้แม่เสือหันมา เมื่อแม่เสือเห็นลูกตัวเองในอ้อมกอดคนก็วิ่งม้วนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ลู่หานเลิกลั่กก่อนจะตะโกนพูดในสิ่งที่คิดไป หวังว่าแม่เสือเข้าใจสักนิดก็ยังดี
“เดี๋ยว! ใจเย็นๆ ก่อนคุณแม่ ผมไม่คิดจะเอาเขาไปเลี้ยงนะ แค่ยืมเฉยๆ เดี๋ยวผมเอามาคืนแน่นอน!”
โฮกก!!!
แม่เสือดาวคำรามใส่ลู่หานสั้นๆ คล้ายกับว่าให้ปล่อยลูกตัวเองลง แต่พอลู่หานพูดจบเหมือนแม่เสือจะเข้าใจที่เขาพูดเพราะเปลี่ยนจากวิ่งเป็นย่างกรายเข้ามาอย่างช้าๆ ลู่หานจึงตัดสินใจพูดต่อ
“จริงๆ ผมสัญญา ผมแค่ต้องพาเขาไปยืนยันกับผอ. เอ่อ...ไม่รู้จะเข้าใจไหม แต่ช่างเถอะ ผมจะเอาเขามาคืนคุณภายในวันนี้แน่นอน” ลู่หานอุ้มเสือดาวน้อยไว้ด้วยแขนข้างเดียว ส่วนแขนอีกข้างก็ยืดออกไปทำท่าห้ามปราบกับแม่เสือไว้ แม่เสือหยุดสาวเท้าก่อนจะจ้องลู่หานอีกครั้ง
“ได้ไหม ผมขอยืมลูกคุณ...แป๊บเดียว แป๊บเดียวจริงๆ”
“เอ้างี้ ถ้าคุณอนุญาต คุณก็กลับไปรอผมอยู่ที่เก่า...แต่ถ้าไม่คุณก็ส่งเสียงขู่ออกมาผมจะได้วางเขาลง” ลู่หานชี้ไปด้านหลังก่อนจะทำเสียงขู่เบาๆ ประกอบเพื่อให้แม่เสือเข้าใจ
ลู่หานมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อแม่เสือยังคงนิ่ง สายตาดุดันนั่นยังจ้องมาที่เขาไม่หยุดหย่อน ลู่หานสะดุ้งน้อยๆ เมื่อแม่เสือขยับเท้าก่อนจะเดินเข้ามาหาเขาแล้วเบี่ยงตัวไปทางด้านซ้ายมุ่งตรงไปยังโขดหินเดิม
สรุปว่าเข้าใจและอนุญาตใช่ป่ะ?
“ขอบคุณนะ ผมจะรีบเอาเขามาคืนแน่นอน” ลู่หานว่าตามหลังไป ก่อนจะวิ่งตามหาเทากับไค
“เฮ้ย!!! หยุดวิ่งได้แล้ว” ลู่หานตะโกนไล่หลังไปเมื่อเห็นร่างสูงสองร่างใส่เกียร์เสือ (ความเร็วสูงกว่าหมา) วิ่งไม่คิดชีวิต ลู่หานหัวเราะอย่างสะใจเมื่อเห็นทั้งคู่หันมามองเขาแล้วเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น
“ไงล่ะ สนุกเลยไหมล่ะ?” ลู่หานวิ่งเข้ามาก่อนจะทักทาย
“โหย มึงชนะได้ไงวะเนี่ย” ไคกอบโกยอากาศก่อนจะมองลูกเสือในอ้อมแขนลู่หานแล้วส่ายหน้าอย่างเสียดาย เจ้าตัวยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนจะตอบกลับไป
“ก็พวกนายดันทะเลาะกันเองนี่ แม่เสือก็ไหวตัวทันดิ”
“ไปอยู่ตรงไหนวะ เห็นหมดเลย” เทาถามขึ้น
“อยู่บนผาอ่ะ คนล่ะฝั่ง”
“โห เสียใจๆๆๆ” ไคดิ้นเร่าๆ อยู่กับพื้นอย่างเสียดาย เสียดายทั้งเสือเสียดายทั้งตั๋ว ที่สำคัญเสียหน้าด้วยที่อุตส่าห์ด่ามันไปตั้งเยอะ
“ช่างเถอะมึง รอดจากการโดนขย้ำมาได้ก็ดีแล้ว” เทาตบบ่าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วฉุดให้ไคลุกขึ้นตามมาด้วย
“วาร์ปกลับเถอะว่ะ กูหมดแรงแล้ว” ไคบอกเทาก่อนที่เทาจะพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเป็นที่สุด
ลู่หานรู้สึกถึงแรงดิ้นก่อนจะก้มมองลูกเสือในอ้อมกอด เสือดาวตัวน้อยลืมตาเงยหน้ามองเขาตาแป๋ว มันคงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อถูกมนุษย์อุ้ม แต่เจ้าเสือน้อยก็หยุดดิ้นไปเมื่อได้สบตากับเขา
“เสือแม่งน่ารักว่ะ ตอนเด็กงี้โคตรมิ้ง” ไคมองลูกเสือตาแป๋วแล้วก็อดชมไม่ได้
“โตขึ้นมาแดกหัวมึงทำไง”
“ไอ้ห่าเทา มึงนี่ก็ดับฝันจัง เปิดวาร์ปเร็วๆ เลย” ไคหันไปว่า เทาหยิบวาร์ปโฟนขึ้นมาก่อนที่จะยื่นมือไปจับลู่หานพร้อมกับไคที่เกาะไหล่เขาไว้แล้วออกคำสั่งให้วาร์ปมายังจุดเริ่มต้น
ภาพป่าสลับเป็นภาพขาวโพลนก่อนจะหายไปในพริบตา ทั้งสามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับภาพก่อนที่สมองจะรับรู้เสียงร้องดีใจเมื่อพวกเขาปรากฏตัว ลู่หานยิ้มบางๆ เมื่อรู้สึกถึงแรงสะดุ้งน้อยๆ ในอ้อมแขนเขาก่อนจะตบก้นเสือดาวน้อยเบาๆ เป็นการปลอบขวัญ
“เราได้ผู้ชนะแล้ว…นั่นก็คือลู่หาน!” อาจารย์เซนดริกประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียงก่อนจะผายมือมาทางร่างเล็กที่ยืนอุ้มลูกเสืออยู่ สองซี้ผิวแทนต่อยแขนลู่หานคนละข้างอย่างหมั่นไส้ ลู่หานเดินขึ้นไปบนเวทีตามประกาศของอาจารย์
“อยากจะเลี้ยงลูกเสือตาดำๆ ตัวนี้ไหม?” อาจารย์เซนดริกรับหน้าที่เป็นพิธีกรเมื่อถามเสร็จก็ยื่นไมค์มาจ่อปากร่างเล็ก ลู่หานยิ้มบางๆ ก่อนจะส่ายหัวส่งผลให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างร้องด้วยความเสียดาย
“ผมสัญญากับแม่เขาไว้ว่าจะเอาลูกเขาไปคืน ผมแค่ยืมมายืนยันอาจารย์เท่านั้น”
“เขาคุยกับนายด้วยหรอ?” ลู่หานรู้สึกตะหงิดกับคำถาม
“เปล่าครับ แต่เหมือนเขาจะฟังผมรู้เรื่อง ยังไงก็แล้วแต่ผมไม่อยากผิดสัญญา ถึงผมจะไม่เลี้ยงเองแต่ผมก็ไม่ยกให้ใคร ถึงจะเป็นสัตว์ที่พูดไม่ได้อย่างมนุษย์แต่เขาก็ต้องการครอบครัวเหมือนกับเรา”
ลู่หานหวนนึกไปถึงตอนที่จ้องตากับแม่เสือ ความรู้สึกในตอนแรกของแม่เสือบอกเขาว่ารู้ตัวเหมือนกำลังจะโดนพรากลูก ทำให้เขานึกถึงตอนที่แม่กอดเขาแล้วน้ำตาไหลอย่างเงียบๆ ตอนนั้นแม่ของเขาก็คงจะคิดแบบนี้...
“พูดได้ดี...ปรบมือ” เสียงปรบมือดังระงมพร้อมกับเสียงโห่ร้องไปในทางที่ดี ผอ. เดินมาข้างหน้าก่อนจะยื่นซองสีขาวมาให้
“รหัสการเดินทาง พูดใส่วาร์ปโฟนแล้วก็บอกสถานที่แค่นั้น” ผู้อำนวยการสาวใหญ่ชี้แจ้งให้ลู่หานทราบ ลู่หานรับก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ ลู่หานยืนอยู่บนเวทีจนกระทั่งอาจารย์เซนดริกกล่าวจบและนักเรียนต่างพากันไหลไปที่โรงอาหารแทน
“น่ารักจังเลย” แบคฮยอนเดินเข้ามาแล้วย่อตัวให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับลูกเสือก่อนจะเอ่ยชม ลู่หานยื่นลูกเสือให้แบคฮยอนอุ้ม แต่แบคฮยอนก็ยกมือฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่ล่ะๆ แค่มองก็พอ นายอุ้มนั่นแหละดีแล้ว”
“ลู่หานเก่งจัง เล่าให้ฟังบ้างสิว่าไปฉกมาได้ยังไง” ดีโอเดินเข้ามาสมทบก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดๆ
“ต้องเอาลูกเสือไปคืนก่อนนะ เอาไว้เล่าตอนเย็นก็ได้” ลู่หานบอกก่อนจะอุ้มลูกเสือชูขึ้นเหนือศีรษะเพื่อดูเพศ
“ตัวเมียซะด้วย”
“ดูลู่หานก็ชอบมันออกนะ ไม่เลี้ยงจริงๆ หรอ?” แบคฮยอนถาม
“อืม ไม่หรอก ให้มันอยู่กับแม่นั่นแหละดีแล้ว เดี๋ยวอาจารย์ก็คงพามันกลับถิ่นนั่นแหละ งั้นฉันเอาลูกเสือไปคืนก่อนนะ”
“อ้าว ไม่กินข้าวก่อนล่ะ?”
“ไปไม่นานหรอก ใช้วาร์ปโฟนเอา จับตำแหน่งได้”
“เดี๋ยวไปด้วย” เซฮุนที่เดินมาสมทบทีหลังทันบทสนทนาก่อนหน้าก่อนจะออกปากขอไป
“ไปทำไมอ่ะ?”
“อยากเห็นแม่เสือ ไปด้วยไม่ได้หรอ?”
คำว่าไปด้วยไม่ได้หรอของโอเซฮุนคือ ‘นายต้องยอมให้ฉันไป’ เพราะน้ำเสียงไม่ได้มาแนวขอร้องสักนิด ออกไปทางบังคับเสียมากกว่า
“น้ำเสียงนี่โคตรจะขอร้อง...อืมๆ จะไปก็ไป” ลู่หานบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบวาร์ปโฟนขึ้นมา เซฮุนยกมือขึ้นแตะไหล่บางก่อนที่ร่างทั้งสองจะโผล่ในป่าสนภายในพริบตา
“อ่ะ...ดิ้นใหญ่เลย คงได้กลิ่นแม่สินะ” ลู่หานพูดกับเจ้าเสือน้อยในอ้อมแขนก่อนจะปล่อยลงกับพื้นแล้วเดินตามเจ้าเสือน้อยไป
“น่ารักดีนะ” เซฮุนเดินล้วงกระเป๋าเดินตามเสือดาวตัวน้อยที่เดินตุปัดตุเป๋ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา
“อืม คิดเหมือนกัน รู้สึกถูกชะตานะ...แต่ว่าจะให้เลี้ยงที่แบบนี้คงไม่เหมาะ”
“อืม ที่แบบนี้เลี้ยงได้อย่างมากก็กวางกับนก”
“ที่นี่มีกวางด้วยหรอ?”
“มี กวางมูสไง มันอยู่ทางใต้ของเกาะนี่แหละ เพียงแต่ว่าอยู่ห่างออกไปจากเขตแข่งขันนิดหน่อยนายเลยไม่มีโอกาสได้เห็น”
“บอกฉันทีว่าเกาะนี้มันตั้งอยู่ส่วนไหนของโลก ถึงแม้ว่ามันไม่ปรากฏบนแผนที่แต่มันก็ยังอยู่บนโลกอยู่ดี”
“ฉลาดอย่างนายก็ลองเดาดูสิ”
“...รัสเซียตะวันออก ไม่ก็แคนาดาตะวันตก”
“อันแรกถูก”
“โห ไกลฝั่งมากไหม?”
“อยู่ตรงเขตแบ่งทวีปพอดี”
“ไกลพอสมควร”
“ถึงแม่มันแล้ว” เซฮุนเพยิดค้างให้ลู่หานหันไปมองภาพตรงหน้า ลู่หานเห็นแววตาดีใจของแม่เสือเมื่อได้เห็นลูกก่อนจะเข้ามาคลอเคลีย พร้อมๆ กับเจ้าตัวเล็กที่กระโดดเกาะแม่อย่างดีใจ
“เห็นไหมล่ะ ฉันทำตามสัญญา” ลู่หานพูดกับแม่เสือก่อนจะมองภาพด้านหน้าด้วยความประทับใจ
‘ขอบใจนะ ที่ไม่เอาลูกฉันไป’
ลู่หานเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงลอยเข้ามากระทบโสตประสาทพอๆ กับเซฮุนทื่ยืนเหวออยู่ข้างๆ ถึงแม้แม่เสือจะไม่ได้อ้าปากพูดเหมือนคนปกติ แต่เขาก็แน่ใจว่าเสียงนั้นเป็นของแม่เสือแน่ๆ
“นายก็ได้ยินหรอ?” ลู่หานหันไปถามเซฮุนที่ดูจะนิ่งค้างผิดปกติ
“อือ...ครั้งแรกในชีวิตที่ได้ยินความคิดเสือ”
“คุณพูดได้ด้วยหรอ?” ลู่หานถามออกไป
‘ฉันสามารถส่งกระแสจิตได้ ฉันเข้าใจที่พวกคุณพูด คุณเป็นคนดีฉันสัมผัสได้...คุณอยากตั้งชื่อให้เขาไหม? ฉันสามารถพาเขามาหาคุณเมื่อไหร่ก็ได้ที่คุณต้องการ’
“ไม่ลำบากแย่หรอ ไม่เป็นไรหรอก”
‘ฉันกับลูกก็ถูกชะตากับคุณนะ คุณตั้งชื่อให้ลูกฉันแล้วก็เรียกเขาเวลาคิดถึงหรือเวลาต้องการความช่วยเหลือ เราจะไปหาคุณเอง’
“เอาสิ คิดซะว่าได้เพื่อนเพิ่ม” เซฮุนเห็นด้วยก่อนจะใช้ศอกสะกิดลู่หานยิกๆ
“อ่า...เนื่องจากลูกคุณเป็นเพศเมีย...แล้วผมก็ชอบการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่ง...ให้เขาชื่อคิตตี้แล้วกัน”
“ห้ะ?” เซฮุนร้องเสียงสูง เขาตกใจที่ลู่หานดูการ์ตูนผู้หญิงแล้วก็ตกใจที่เอาชื่อนั้นมาตั้งให้เสือที่จะกลายเป็นเสือดาวทรงสง่าในอนาคตแต่คนอาจจะหลุดหัวเราะได้เพราะชื่อดันขัดกับภาพลักษณ์
“ทำไมล่ะ ความน่ากลัวลดลงตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ คุณเห็นด้วยไหม?”
‘แล้วแต่คุณ คุณว่าชื่อนั้นดี ฉันก็เห็นด้วย อุ้มเขาแล้วบอกเขาทีว่าเขาชื่ออะไร’
“นี่แม่เสื้อน้อย เธอชื่อคิดตี้นะจำไว้ดีๆ ล่ะ” ลู่หานเข้าไปอุ้มเจ้าเสือดาวน้อยให้หน้าอยู่ระดับเดียวกันก่อนจะบอก แล้วเอาหน้าคลอเคลียกับท้องอุ่นด้วยความหมั่นเขี้ยวแล้วเจ้าเสื้อตัวน้อยครางงิ้งอย่างชอบใจ ลู่หานยิ้มกว้างก่อนจะเจ้าตัวเล็กลงกับพื้น
“งั้นฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวอดกินข้าว”
‘ขอให้โชคจงบังเกิดแด่ท่านเสมอ’
“ขอบคุณนะ ไปนะคิดตี้” ลู่หานบอกกับแม่เสือก่อนจะโบกลากับเสือตัวน้อย
“หวังว่าคิดตี้ของนายจะโตเป็นเสือดาวสาวน่าเกรงขามนะไม่ใช่มุ้งมิ้งแบบในการ์ตูน”
“น่า ไม่เคยได้ยินเรื่องตั้งชื่อแก้เคล็ดรึไง”
“แก้เคล็ดอะไรล่ะ เอาตามความพอใจมากกว่ามะ...” ลู่หานโคลงศีรษะก่อนจะคว้าข้อมือเซฮุนแล้ววาร์ปกลับมายังโรงเรียนโดยที่เซฮุนยังพูดไม่จบ พอล่ะ เบื่อจะฟัง
“แม่เสือนี่เอาอะไรมองว่าเป็นคนดีนะ ดูทำสิ...นิสัยเด็กชะมัด” เซฮุนแค่นหัวเราะ เหลือเชื่อจริงๆ กับเด็กคนนี้พอหาทางเถียงไม่ได้ก็ตัดบทเสียดื้อๆ
“นิสัยเด็กฉันจะได้คุยกับเด็กรู้เรื่องไง คนดีที่รักเด็กฟังดูดีจะตาย” ว่าจบก็เดินหนีเข้าโรงอาหาร เซฮุนส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะเดินตามเข้าไป
สงสัยคงต้องมองลู่หานใหม่อีกรอบ เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้จริงๆ นอกจากจะมีสมองอันชานฉลาดแล้วยังมีพลังที่นอนนิ่งซ่อนอยู่ภายในรอวันปรากฏ คราวนี้ลู่หานได้กลับบ้านสมใจและเขาจะได้แน่ใจเสียทีว่าพลังที่ลู่หานมีคือพลังอะไรกันแน่
Talk: นี่ก็แก้ไขแล้วนะ แต่ถ้ามีผิดอีกก็บอกได้ค่ะ ตอนนี้มันยาวจริงๆ อ่ะ กลับมาอ่านเองยังตาแฉะเลย โฮกกก
อ้อ ชื่อเกาหลีในเรื่องจะอ่านถอดมาจากภาษาอังกฤษนะคะเพราะฉะนั้น ชเว ของมินโฮเลยกลายเป็น ชอย เผื่อใครสงกะสัย
121214
ตอบเม้นท์ชุปิ๊ดูวั๊บ
-
อะโห้ย~~ เสียวจริง ขอให้เสี่ยวลู่หาลูกเสือได้เหอะ เสียวตกรอบ อ้ากกก /// ลุ้นจริงอะไรจริง ขอบคุณที่อินไปด้วยกันนะคะ 555#40
-
มาแล้วฮุนฮานนนนนน /// เดี๋ยวมาอีกเพียบ ไคเค๊นๆ (ใจเย็นๆ)#39
-
สนุกมากๆค่า ชอบมากแนวแบบนี้จะติดตามจนจบเลยค่า /// กราบขอบพระคุณอย่างสูงเลยค่ะ T/\T#38
เม้นที่ 31 ไปไหนอ่ะ ไม่เห็นเจอหรือเธอไม่มี T^T