คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : COURAGE : ตอนที่ 6 ไคเมร่า (Chimera) 2
คอราจ : ตอนที่ 6
ไคเมร่า (Chimera) 2
ลู่หานที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเห็นว่าเวลาเหลือเยอะพอสมควรเลยแอบงีบไปราวๆ ชั่วโมงครึ่งก่อนจะตื่นตัวลุกขึ้นแล้วเดินหาวหวอดๆ เข้ามาที่โรงอาหาร นั่นก็เกือบหลับเพลินดีที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันไม่อย่างนั้นคงนอนไม่หลับ เขาต้องปวดท้องเพราะหิวข้าวแน่ๆ
“สรุปแล้วเราก็มานั่งอัดกันเหมือนเดิมสินะ”
ลู่หานเดิมมาถึงโต๊ะเป็นคนสุดท้ายก่อนจะผ่อนลมหายใจ คิดว่าทุกมื้อต่อจากนี้ไปต้องมานั่งอัดกันแบบนี้แน่ๆ คงต้องหาโต๊ะที่ติดกับที่รั้วกั้นโรงอาหารซึ่งทำเป็นที่นั่งพาดยาวแทนการล้อมรั้ว มื้อนี้ได้โต๊ะเกือบกลางโรงอาหารก็เลยนั่งเบียดกันตำแหน่งเดียวกับเมื่อกลางวัน
“ก็อบอุ่นดีออก อย่าเรื่องมากเลย มีให้นั่งก็นั่งไป” ไคทำหน้าเอือม มาทีหลังแล้วยังจะพูดมาก
“แหม...เห็นเด็กกว่าก็โขลกสับเต็มที่เลยนะ” ลู่หานเบ้ปากส่งกลับไป ตอนนี้อาหารวางอยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ววันนี้เป็นอาหารชุดอาจจะเพราะเตรียมไว้ให้ผู้มาเยือนเพื่อความสะดวกสบายจะได้ไม่ต้องไปต่อแถวรับอาหาร แต่สำหรับเด็กคอราจต้องมีเขม่นกันตอนกินแน่ๆ ประมาณว่าตักเยอะมึงตาย
“จะพอกินรึเปล่าเนี่ย” เมื่อเห็นสีหน้าแต่ล่ะคนที่เริ่มจ้องอาหารแล้วทำหน้าตาหิวโซเต็มที่ เพราะมีคนมาแชร์อาหารกับข้าวเลยลดลงมาน้อยกว่าปกตินิดหน่อย บวกกับการกินของกลุ่มนี้ที่จะค่อนไปทางเขมือบมากกว่าทำให้ดีโอบ่นออกมา ตอนนี้ได้แค่รอเวลาว่าเมื่อไหร่พวกเด็กงูจะมากันสักที
“เมื่อไหร่มันจะมากันวะ หิวไส้จะขาดแล้ว” ชานยอลทำหน้าเหยเกยกมือลูบท้องป้อยๆ
“แกเพิ่งซัดขนมไปสองห่อนะ” เทาขัดขึ้น
“แค่ขนมเอง”
“มาแล้วว่ะ” ไคที่นั่งหันหน้าไปฝั่งทางเข้าเห็นเด็กโรงเรียนเซอร์เพนไทน์ค่อยๆ ทยอยเดินเข้ามาจึงเพยิดหน้าไปทางนั้นเพื่อให้เพื่อนในโต๊ะมองตาม
“มาสักที หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว” ชานยอลก็ยังลูบท้องอยู่ร่ำไป
แกร๊งๆๆ
“เสียงมาแล้ว เสียงมา” ไคยังคงพากย์ต่อเมื่อได้ยินเสียงเหล็กกระทบกัน คนที่ทำแบบนี้ก็มีแค่อาจารย์เซนดริกเท่านั้น อาจารย์ทั้งสองโรงเรียนก็รับประทานอาหารร่วมกันซึ่งโต๊ะอาหารอยู่ด้านหน้าสุดเพื่อจะได้ดูแลนักเรียนอย่างทั่วถึง
“ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ขอให้ทุกคนเริ่มรับประทานได้ อย่าส่งเสียงดังกันเกินไปนะ เกรงใจอาจารย์เขาบ้าง” อาจารย์เซนดริกผายมือไปทางอาจารย์แปลกหน้าสามคนที่นั่งอยู่ อาจารย์เหล่านั้นยิ้มตอบก่อนจะโบกมือเชิงว่าไม่เป็นไร
“ตามสบายเลยจ้ะ ฉันควรจะบอกนักเรียนของฉันมากกว่า” อาจารย์หญิงวัยกลางคนหนึ่งเดียวในสามเป็นคนกล่าวออกมา
ลู่หานพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ แล้วสรุปในใจ คงจะเป็นอาจารย์จากเซอร์เพนไทน์ไม่ผิดแน่
“อาจารย์ใหม่ของที่นั่นหรอวะ? หรืออาจารย์โรงเรียนนั้นเยอะวะ? เห็นเปลี่ยนหน้าทุกปี” ไคเปิดประเด็นระหว่างที่ทาน ทุกคนต่างสลับกันตักอย่างรู้จังหวะ มีลู่หานคนเดียวที่นั่งจับช้อนส้อมค้างไว้ ไม่รู้จะเริ่มจากอะไรก่อนดี
“อาจจะเป็นประเด็นแรก โรงเรียนนั้นก็เด็กพอๆ กับเราอาจารย์คงไม่เยอะหรอก” เซฮุนบอกก่อนจะตักข้าวเข้าปากแล้วเหลือบไปเห็นคนที่นั่งเยื้องอยู่จับช้อนค้างมองอาหารตาแป๋ว
เซฮุนกลอกตาก่อนจะกวาดตามองเพื่อนๆ ที่ไม่ได้สังเกตเพื่อนร่วมแก๊งคนใหม่แม้แต่น้อย เอาแต่ถกประเด็นโรงเรียนงูอยู่นั่นแหละ เมื่อเห็นว่าร่างที่อยู่เยื้องไปกระพริบตาถี่ขึ้นเซฮุนก็จิ้มน่องไก่ทอดส่งให้ลู่หานผ่านหน้าเทาไป ทำให้หลายคนเริ่มหันมาสนใจลู่หาน
“เออลืมไปว่าลู่หานคงไม่รู้จังหวะการใช้ช้อนกลางของพวกเรา โทษทีนะพอดีคุยกันเพลินไปหน่อย” ชานยอลพูดออกมาเป็นคนแรก ลู่หานส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะบอก
“ไม่เป็นไร...ขอบใจนะ” ประโยคสุดท้ายหันไปบอกเซฮุน
“เรื่องอาหารชุดเนี่ยโรงเรียนเราก็มีจัดให้ทุกอาทิตย์อยู่แล้ว อาทิตย์ละวันเพื่อสอนมารยาทในการร่วมโต๊ะอาหาร แต่ว่ากลุ่มเราก็ตั้งกฎการใช้ช้อนกลางขึ้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องเกรงใจอะไรมากและรู้สึกหนักใจซึ่งกันและกัน” แบคฮยอนอธิบายให้ลู่หานฟังและส่งต่อให้ดีโอ
“อย่างอาหารที่ต้องใช้ช้อนกลางเนี่ยก็นับจานที่วางหัวโต๊ะเป็นจานแรกแล้วก็ตักวนจากคนที่อายุเยอะสุดไปหาน้อยสุด แบคฮยอน เซฮุน ชานยอล ฉัน เทา ไค นาย ตอนแรกก็ชิมมันทุกจานก่อนนั่นแหละ หลังจากนั้นก็แล้วแต่คนชอบเอา พอวนเสร็จในรอบแรกแล้วรอบต่อไปก็แล้วแต่จะช่วงชิงกัน ส่วนอาหารที่แยกมาเป็นชิ้นๆ ก็หารแบ่งเท่าๆ กันหรือมาพอดีคนก็เอาไปคนละชิ้น”
“เป็นกฎที่แปลกแต่ก็โอเคดี” ลู่หานยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถามออกไป “ตาฉันตักแล้วใช่ป่ะ?”
“เขาตักกันไปสามชาติแล้ว อยากจะกินอะไรก็ตักไปเถอะ” ไคก็กวนประสาทตามประสา
“ฉันจะจำกฎนี้ให้ขึ้นใจเลย” ลู่หานทำท่าทุบอกสองสามทีก่อนจะลงมือตักอาหารใส่จานตัวเอง ทุกคนหันกลับมาทำตัวตามปกติแล้วคุยไปกินไปตามประสาวัยรุ่น ไม่นานอาหารที่มีอยู่ก็พร่องไปจนหมด ไคลูบท้องก่อนจะเรอออกมาอย่างไม่อาย
“นึกว่าไม่อิ่ม แต่ก็อิ่มนะเนี่ย”
“ทำตัวทุเรศอีกละ” ดีโอเบี่ยงตัวออกอย่างรังเกียจแต่ไคก็ไสหัวเข้าไปใกล้ก่อนจะถูไถไปมางัดไม้ตายของตัวเองออกมาใช้
“โถ่ฮยอง ขอโทษแล้วกัน” มีคนเดียวเท่านั้นที่ไคยอมเรียกว่าพี่ ดีโอก็ใจอ่อนทุกทีเมื่อคู่หูของเขาออกอาการอ้อนเวลาทำผิดหรือว่าอยากได้อะไร
“เอาหัวไปไกลๆ” ดีโอผลักไคออกเบาๆ ไคยอมกลับมานั่งหลังตรงเหมือนเดิมเมื่อรู้ว่าคนข้างๆ แพ้ลูกอ้อนของเขาไปแล้ว
“เฮ้ย มารมาผจญว่ะ” เทาบอกเสียงเบาก่อนที่คนโดนพาดพิงจะเดินมาถึงโต๊ะเพื่อคลายความสงสัยของทุกคน ลู่หานจงใจกลอกตาขึ้นฟ้าให้มาร์คเห็นเพราะรำคาญใจสุดๆ แต่พอหันกลับมาจ้องหน้ามาร์คกลับไม่สะทกสะท้านสักนิดแถมยังยืนเท้าโต๊ะส่งยิ้มมาให้อีก
“ใครเชิญหรอ?” ลู่หานถามออกไป
“ก็ไม่มี มาหาเพื่อนไม่ได้รึไง”
“ใครเพื่อนนายกัน”
“น่า อย่างน้อยก็รู้จักกันแล้ว” มาร์คลากเสียงยาวอย่างอ่อนใจ
“ไม่มีที่ว่างให้นายนั่งหรอกนะ แล้วก็ไม่ต้องมายืนค้ำหัวด้วย กลับที่ไป” ลู่หานไล่เสียงห้วน มาร์คแกล้งยู่ปากก่อนจะวาดมือทำอะไรบางอย่าง
น้ำที่เหลืออยู่ในแก้วกับในเหยือกลอยออกมาก่อนจะก่อตัวเป็นเก้าอี้ใส มาร์คนั่งลงเท้าแขนกับโต๊ะก่อนจะวางคางบนหลังมือแล้วส่งยิ้มกวนประสาทให้ทุกคน
“แค่นี้ฉันก็มีที่นั่งแล้ว”
“รู้งี้น่าจะรีบแดกน้ำให้หมด” ไคพูดออกมาอย่างจงใจ
“บอกเจตนารมณ์ชัดเจนเหลือเกินนะ” มาร์คแค่นหัวเราะก่อนจะลากสายตากลับมามองลู่หาน ลู่หานกับเทานั่งใกล้มาร์คมากที่สุดเพราะเป็นตำแหน่งริมสุด ตากลมจ้องกลับอยู่นานจนทนไม่ไหวจึงเป็นคนพูดออกมาเอง
“จ้องหน้าอยู่ได้มีอะไรก็ว่ามา อย่ามามองตาหวานใส่ ขนลุกว่ะ” ลู่หานทำท่าสะอิดสะเอียนประกอบ มาร์คหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ลู่หาน ลู่หานผงะเอนตัวถอยด้วยความตกใจ
“นี่จีบอยู่ยังไม่รู้อีกหรอ?”
“ขอโทษนะ ไปบอกงูที่โรงเรียนเถอะ” ลู่หานดันหน้ามาร์คออกอย่างรังเกียจ
“เสียดายจังเลยที่ได้เจอหน้ากันปีล่ะครั้ง ฉันคิดถึงนายแย่”
“คิดถึงให้ตายไปเลยนะ” ลู่หานประชดหน้าตายก่อนจะลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับกระท่อม ทุกคนเห็นว่าลู่หานไปคนเดียวเลยเป็นห่วงว่ามาร์คจะตามไปเลยพากันลุกตามลู่หานไปทั้งโต๊ะ วันนี้แม่ครัวใจดีเก็บจานให้ เลยไม่ต้องห่วงว่าใครจะมาด่า
มาร์คมองตามหลังไปก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับเก้าอี้น้ำที่สลายตัวไหลคืนสู่ที่เดิม “หึ...ย้ายมาอยู่ที่นี่ดีไหมนะ”
สรุปแล้วก็มารวมหัวกันอยู่ที่บ้านเซฮุน ลู่หานรู้สึกอุ่นใจที่เห็นเพื่อนๆ วิ่งตามมาแล้วเดินกอดคอไปด้วยกัน ทุกคนต่างก็ยังไม่ง่วงเลยชวนกันมาสถิตที่บ้านเซฮุนเหมือนเดิม
“เข้าใจนะว่าชอบวิวตรงนี้มากแต่มืดขนาดนี้มองเห็นหรอคุณ” ลู่หานหันไปตามเสียงค่อนขอดก่อนจะเจอร่างสูงโปร่งของเซฮุนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างเขา
“ก็มองแสงจันทร์ที่มันกระทบน้ำแล้วกัน สวยดี”
“นายชอบอยู่คนเดียวรึไง หรือไม่ชอบเสียงดัง” เซฮุนที่ถือน้ำอัดลมกระป๋องมาด้วยยื่นให้ลู่หานไปหนึ่งกระป๋องก่อนจะเปิดของตัวเองแล้วยกดื่ม
“ทั้งสองอย่าง” ลู่หานตอบก่อนจะเปิดกระป๋องแล้วดื่มตาม
“โห...ตอบแบบไม่มีความเกรงใจสักนิด ไอ้พวกนั้นมาได้ยินคงงอนตาย”
“คงเพราะฉันอยู่กับเพื่อนฉันแค่สองคนมาตั้งแต่เด็กๆ เลยไม่ชอบที่คนพลุกพล่านแล้วก็เสียงดังเท่าไหร่ แต่บางทีการเข้าสังคมมันก็จำเป็น”
“นายมีเพื่อนแค่คนเดียวจริงหรอ?”
“ที่ไว้ใจมีแค่คนเดียว ส่วนที่เหลือก็แค่คบผ่านๆ ไป นายก็น่าจะรู้ว่าถ้าไว้ใจใครมากๆ เราอาจจะเปิดเผยความลับของเราให้เขารู้ แต่ถ้าสิ่งที่ได้กลับมาคือความหวาดกลัวในตัวเรา...ฉันขอปิดกั้นตัวเองดีกว่า อาจเพราะฉันกลัวความเสียใจ”
“ชีวิตนี้เคยเศร้าหรือเสียใจบ้างไหม?”
“ไม่เคย ขนาดโดนเพื่อนว่าว่าเป็นสัตว์ประหลาดตอนเด็กๆ ฉันยังไม่ร้องเลย ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงกลัวฉัน ฉันก็แค่อยากให้พวกเราเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน”
“นายแม่งอาร์ตชะมัด” เซฮุนแค่นหัวเราะก่อนจะกระดกน้ำอัดลมเข้าไปอึกใหญ่ ลู่หานยิ้มขำกับคำ (ที่เหมือนว่า) ชมก่อนจะกระดกน้ำตามเมื่อความเงียบเข้าปกคลุม
“แล้วนายล่ะ หลังจากพัดเพื่อนกระเด็นเข้ากำแพงที่บ้านนายทำยังไงกับเรื่องนั้น”
“ก็บอกว่าอุบัติเหตุน่ะสิ จู่ๆ ลมก็พัดเข้ามาแรงมาก ก็นะ...ของฉันพลังมันเป็นธรรมชาติที่สุดแล้วเลยไม่มีใครสงสัย” เซฮุนยักไหล่ทำท่าให้คนข้างๆ หมั่นไส้
“จ้ะ พ่อคนธรรมดาไม่วิเศษ” ลู่หานยกน้ำขึ้นดื่มจนหมดเพื่อระงับความหมั่นไส้ที่มีต่อคนข้างๆ ถึงจะเริ่มคุยดีๆ กันบ้างแล้วแต่เซฮุนก็คือเซฮุน พลังวิเศษอีกอย่างคือทำให้คนหมั่นไส้เป็นพิเศษสินะ
“หมดแล้ว เข้าไปข้างในกันเถอะ” เซฮุนกระดกน้ำอักๆ จนน้ำในกระป๋องพร่องไปจนหมดก่อนจะชวนลู่หานเข้าข้างใน ลู่หานพยักหน้ารับแล้วเดินตามหลังเซฮุนไป
“อ้าว ทำไมไม่เล่นเกมกันล่ะ” เซฮุนเดินเข้ามาเห็นพวกทำหน้าเครียดกันอยู่ก็ร้องออกมาอย่างประหลาดใจก่อนจะนั่งลงที่พื้นข้างๆ ชานยอล ลู่หานที่เดินตามมาทีหลังจำใจไปนั่งโซฟาเพราะมันเหลือว่างที่เดียวพอดี ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะกาแฟเป็นวงกลมแล้วทำหน้าเครียด
“ว่าจะออกไปตามอยู่พอดี เมื่อกี้มีเพื่อนมาบอกว่าอาจารย์เซนดริกกับผอ. เรียกประชุมที่ห้องฝึกเวทเพื่อจัดเวรยามเฝ้ารอบโรงเรียน อีกครึ่งชั่วโมงให้ไปรวมกัน” ชานยอลพูดกับเซฮุนหน้าเครียด
“ลางสังหรณ์ของผอ. สินะ” เซฮุนพูด
“ลางสังหรณ์ของทั้งโรงเรียนเลยก็ว่าได้ ปีนี้มาเงียบผิดปกติเกินไป” ไคที่ปกติทำหน้าง่วงตอนนี้ก็ทำหน้าจริงจังแบบที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็น
“อืมก็จริง ปีที่แล้วก็มีแค่อาจารย์สี่คนที่เฝ้าเวร ฉันว่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปพวกเราน่าจะไปช่วยอาจารย์บ้าง” ดีโอออกความเห็น
“ความคิดดี ปีก่อนๆ เราชะล่าใจเกินไป ทั้งๆ ที่ปลดกำแพงเวทมนตร์ออกแล้วความปลอดภัยของโรงเรียนเรากลายเป็นศูนย์” เทาสนับสนุนความคิดของดีโอ ลู่หานได้ฟังก็ทำหน้าฉงน เขางงมานานแล้วว่าทำไมต้องปลดกำแพงเวทมนตร์ออกคิดได้ดังนั้นจึงถามออกไป
“ทำไมต้องปลดกำแพงออกล่ะ ฉันสงสัยมานานแล้ว”
“กำแพงเวทมนตร์จะปกป้องเกาะ นายรู้เรื่องนั้นใช่ไหมล่ะ? กำแพงเวทมนตร์เกิดจากไข่มุกทองคำของศักสิทธิ์ประจำโรงเรียนเรา กำแพงเวทมนตร์จะไม่ยอมให้ใครผ่านเข้ามา แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครคนนอกใครคนในใช่ไหม? เรียกง่ายๆ ว่าการลงทะเบียน ทำได้โดยหย่อนของของคนๆ นั้นลงในบ่อของไข่มุกทองคำ ไข่มุกทองคำก็จะจำเจ้าของของสิ่งนั้น ทุกคนที่มาที่นี่บ้างก็ผ่านจากการฝากฝังรุ่นสู่รุ่น บ้างก็ผ่านการจัดสรรของสมาคมเวทย์ แต่ก่อนจะเข้ามาที่นี่ได้พวกเขาต้องส่งสิ่งของอะไรก็ได้ที่เป็นของเจ้าตัวมาทำการลงทะเบียน จึงจะสามารถเข้ามาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย” แบคฮยอนรับหน้าที่อธิบาย ลู่หานถึงบางอ้อพยักหน้ารัวเป็นการเข้าใจ แสดงว่าข้าวของเครื่องใช้ที่มาอยู่ก่อนก็คือของลงทะเบียนสินะ
“นั่นแหละเพราะมีโครงการแบบนี้ขึ้นมาเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจัดเวรเฝ้ายาม” เทาโคลงศีรษะอย่างเหนื่อยใจ
“แล้วจัดแบบนี้มากี่ปีแล้ว คนต้นคิดนี่คือพี่ชายของผอ. หรอ?” ลู่หานถามออกไปด้วยความสงสัยซึ่งเพื่อนๆ ก็เต็มใจตอบเพราะลู่หานก็มีสิทธิ์รู้เรื่องทุกอย่าง
“รวมปีนี้ก็จัดมาได้สี่ปีแล้ว เซฮุนกับแบคฮยอนเข้ามาก็เจอแจ็คพ็อตเลย ส่วนคนต้นคิดนั้นไม่ใช่พี่ชายผอ. หรอก สมาคมเวทย์ต่างหาก อยากให้โรงเรียนกระชับมิตรบ้าบออะไรก็ไม่รู้ จะฆ่ากันให้ตายไปข้างอยู่แล้ว” เทาที่อยู่มานานพอๆ กับดีโอบอกออกมาอย่างหัวเสีย
“แล้วทำไมเราไม่ไปบ้างอ่ะ? เหมือนเสียเปรียบเลยว่ะ” ลู่หานถามก่อนจะบ่นกับตัวเอง
“โรงเรียนเรามีครูน้อย ถ้าจะไปเยี่ยมโรงเรียนอื่นก็ต้องขนครูไปสามคน ครูของเราก็มีแค่สี่รวมผอ. อีกเป็นห้าจะทิ้งให้เหลือสองคนมันก็ยังไงอยู่ อีกอย่างทุกคนก็เป็นห่วงโรงเรียนแล้วก็ครูที่เหลือเลยลงมติไม่ไปเยี่ยมใครทั้งนั้น เป็นฝ่ายตั้งรับให้ดีที่สุด อีกอย่างเรามักโดนกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ ใครๆ ก็อยากได้เกาะเราทั้งนั้นเพราะเรามีไข่มุกทองคำ” เทาอธิบายต่อ
“ครูที่อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นศิษย์เก่าของที่นี่ทุกคน ผอ. เลยไม่อยากรับคนนอกเพราะตอนนี้จะไว้ใจใครก็ยากเหลือเกิน” แบคฮยอนพูด
ลู่หานพยักหน้าเข้าใจ ตอนนี้ทุกคำถามที่ค้างคาใจของเขาได้ถูกไขกระจ่างให้ได้รู้ แต่จู่ๆ ลู่หานก็นึกได้อีกหนึ่งคำถาม
“แล้วก่อนปีที่แล้วล่ะ โดนอะไรกันไปบ้าง?”
“ปีแรกไม่โดนอะไรเลย เหมือนมาสำรวจลาดเลา ปีที่สองก็โดนรบกวนตอนนอน พวกนั้นเข้ามาทำเสียงดังบริเวณที่พักของพวกเรา ป่วนคลาสเรียน ส่วนปีที่สามก็อย่างที่รู้ ปีที่สี่ก็รอดูอยู่นี่แหละ” เซฮุนสรุปแบบรวบรัดให้ลู่หาน
“แล้วพวกอาจารย์ที่มาด้วยล่ะเขารับผิดชอบไหม? เด็กแอบทำหรือว่าพวกเขาจงใจไม่รู้เรื่อง”
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พวกอาจารย์ก็ขอโทษแทนเด็กๆ แล้วบอกว่าอย่าถือสานักเรียนของเขา เด็กพวกนั้นคึกคะนองกว่านักเรียนทั่วไป พูดงี้ทุกปีอ่ะ” เทาบอกก่อนจะทำหน้าซังกะตาย
“อ้าว ปีที่แล้วก็พูดงี้หรอ? ดูหนักกว่าทุกปีเลยนะ”
“อ้อ ปีที่แล้วเขาบอกว่างูเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนแล้วก็เป็นเพื่อนของเด็กๆ แค่แวะมาส่ง แวะมาส่งห่าอะไร เลื้อยเต็มโรงเรียนเลย บรึ้ย!~ขนลุก” คนพูดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไคที่เป็นศัตรูกับงู
“เอ๊อะ ก็หาข้ออ้างมาแก้ได้ทุกปีเนอะ”
“ป่ะละ ร้ายguard” ไคว่าพลางยู่หน้า แต่ว่ากาจคุณจะมีตัวอาร์มาทำไมครับ
“เฮ้ย แต่ฉันว่าเราควรออกไปรวมกันที่ห้องฝึกเวทได้แล้วนะ นั่งคุยกันกินเวลามานานแล้ว” ชานยอลยกนาฬิกาที่ข้อมือดูก่อนจะร้องเตือนเพื่อนๆ
“เออๆ ไปๆ เดี๋ยวไม่รู้เรื่องกันพอดี” ไคเออออเห็นด้วยก่อนที่ทุกคนจะทยอยลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้วยกัน
“ฉันว่าเราควรเสนอให้นักเรียนพกอาวุธไว้ป้องกันตัวนะ” เซฮุนพูดขึ้นมาระหว่างทางเดินไปห้องฝึกเวท
“เออ จริงของแก งั้นแกเป็นคนเสนอแล้วกัน ความคิดแก” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่ไคจะออกปากบอก
“ได้”
“แล้วขอให้ใช้พลังในยามฉุกเฉินด้วยได้รึเปล่า?” ลู่หานเสนอความคิดบ้าง
“ไม่แน่ใจว่าจะผ่านไหม แต่ลองขอดูแล้วกัน ยังไงนายก็เป็นลูกของศิษย์รักผอ. อาจจะได้รับโอกาส ซึ่งมันก็ดีกับพวกเราที่ต้องมาใช้อาวุธแทนพลังของตัวเอง” เซฮุนตอบ
“งั้นนายขอให้หน่อยดิ ประโยคหลังของนายเมื่อกี้เข้าท่ามากเลยอ่ะ ไม่อยากแย่ง”
“นี่กะจะโบ้ยมาให้ฉันกันหมดเลยหรอ?”
“รีบเดินดีกว่าเดี๋ยวไม่ทันเพื่อน” ลู่หานเดินนำลิ่วไปก่อนโดยคนที่เหลือก็เร่งฝีเท้าอย่างรู้ทัน
“ย๊า!”
“ฉันรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ ที่พวกเธอมากันทุกคน ขอบคุณมากที่รักโรงเรียนกันขนาดนี้ เอาล่ะเข้าเรื่อง...ก็อย่างที่ฉันให้เด็กบางคนไปกระจายข่าว เนื่องจากปีนี้พวกเขามาเงียบผิดปกติและเกาะของเราก็เริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้น เราไม่สามารถปิดกำแพงเวทมนตร์ตอนที่พวกเขาอยู่ได้เพราะกำแพงเวทมนตร์จะจำพวกเขา หากเราปิดไปหลังจากนี้ฉันก็ไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาจะมาคุกคามอะไรเรา ฉันจึงจะมาขอแรงพวกเธอให้ช่วยกันผลัดเปลี่ยนเฝ้าเวรยามรอบๆ โรงเรียนและรอบๆ เกาะ เพื่อความสบายใจและเพื่อความปลอดภัยของทุกคน อย่าลืมพกวาร์ปโฟนติดตัวไว้ตอนนี้มันจำเป็นมากจริงๆ ถ้าเกิดมีอะไรผิดปกติให้รีบบอกอาจารย์คนไหนก็ได้ ห้ามเข้าไปตรวจสอบเองเด็ดขาด รับทราบนะทุกคน”
“ทราบครับ/ค่ะ!!!”
หลังจากที่พวกกลุ่มเกาหลีต่างสัญชาติ (บวกหนึ่งจีน) มารวมกับเพื่อนคนอื่นๆ ได้สักพักอาจารย์ทั้งสี่รวมถึงผู้อำนวยการก็เดินเข้ามาพร้อมกัน ผู้อำนวยการยกมือทาบอกมีสีหน้าปลื้มใจน้ำตาคลอเมื่อเห็นหน้านักเรียนของเธอครบทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งผู้หญิง
“อ้อฉันลืมบอกไป ผู้หญิงแค่คอยหาอาหารว่างหรือเสิร์ฟน้ำให้เพื่อนก็พอ แล้วก็ตั้งหน่วยพยาบาลไว้ที่โรงอาหารด้วยนะ” ประโยคหลังผู้อำนวยการหันไปบอกกับอาจารย์เลย์ผู้มีพลังรักษา
“ยกเว้นหนูค่ะผอ.!” หญิงสาวผมแดงเพลิงลุกขึ้นพรวดก่อนจะบอกเสียงดัง
“โอเค ยกเว้นเธอ...ฉันมั่นใจว่าเธอเอาตัวรอดได้แต่อย่าทำอะไรเกินกำลังล่ะคริสตัล” ผู้อำนวยการเตือนด้วยความเป็นห่วง เธอเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่ตอนเท่าเอวเธอ ถึงแม้จะโตเป็นสาวสะพรั่งแล้วเธอก็ยังเป็นเด็กเสมอสำหรับผอ. คนนี้
“ค่ะ หนูสัญญา”
“พูดดิ” ลู่หานสะกิดเซฮุนที่นั่งอยู่ข้างๆ เซฮุนจิ๊ปากใส่ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วค่อยๆ ยืนเต็มความสูง
“ผมมีเรื่องจะเสนอสองเรื่องครับ”
“ว่ามา”
“เพื่อนส่วนหนึ่งกับผมอยากขอให้ผอ. อนุญาตให้พวกเราพกอาวุธไว้ป้องกันตัวกับข้อที่สองอนุญาตให้งัดพลังออกมาใช้ยามฉุกเฉิน แต่ผมว่าเลือกอย่างหลังไปเลยดีกว่านะครับ เราก็มีพลังวิเศษกันทุกคนอยู่แล้วจะใช้อาวุธทำไม”
“เฮ้ย ฉันแค่หายตัวได้นะเว้ย ถ้าไม่มีอาวุธจะเอาอะไรไปสู้เล่า!” ไคบอกเสียงกระซิบ แต่ก็ไม่รอดพ้นหูทิพย์ของผู้อำนวยการ
“เรียนมาตั้งแปดเดือนแล้ว เตะต่อยไม่ได้รึไงล่ะ” เทาโบกหัวไคไปหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้ คนกำลังลุ้นมาทำเสียเวลาหมด
“ฉันอนุญาต...ทั้งสองอย่าง เลือกใช้อาวุธตามที่ถนัด ย้ำนะว่าเพื่อป้องกันตัว ไม่ได้เอาไว้ฆ่าใคร ไตร่ตรองให้รอบคอบที่สุดก่อนจะลงมือทำอะไร ถือซะว่าเป็นของตอบแทนที่พวกเธอเต็มใจมาช่วยกันขนาดนี้”
“เรื่องเล็กครับ เรารักโรงเรียนนี้เหมือนบ้าน ยังไงก็ต้องปกป้องให้ถึงที่สุด” นักเรียนชายที่นั่งอยู่หน้าสุดบอกก่อนที่นักเรียนคนอื่นๆ จะเริ่มบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ารักและผูกพันกับที่นี่มากแค่ไหน
“เอาล่ะๆ เงียบเสียงเถอะ ฉันฟังไม่ทันแล้ว ได้เวลาแล้ว พวกเธอแบ่งกลุ่มเด็กผู้ชายแล้วกันนะ ส่วนนักเรียนหญิงตามฉันมาก่อน...ยกเว้นคริสตัล” ผู้อำนวยการยิ้มให้เด็กๆ ก่อนจะหันไปสั่งอาจารย์ที่เหลือแล้วหันกลับมาเรียกนักเรียนหญิงให้ตามไป
“อ่างั้น...เราควรให้เกียรติผู้หญิงก่อน คริสตัลเธออยากไปกับอาจารย์คนไหน” เมื่อนักเรียนหญิงออกไปจนหมดแล้ว อาจารย์รุ่นใหญ่อย่างอาจารย์เซนดริกก็ออกมาจัดแจงเรื่องแบ่งกลุ่มทันที
“หนูอยากอยู่คุ้มกันในโรงเรียน”
“งั้นก็อยู่กับอาจารย์คริส อาจารย์คริสจะคอยดูแลรอบๆ โรงเรียน ที่พักและฝั่งพื้นที่ตะวันตกของเกาะ อาจารย์ดอมินิกจะไปเฝ้าอยู่ที่ที่พักของนักเรียนเซอร์เพนไทน์และตอนใต้ของเกาะ ส่วนอาจารย์เลย์จะไปดูหน่วยพยาบาลก่อนแล้วไปเฝ้าทางตอนเหนือของเกาะ และฉันจะไปเฝ้าทางเข้าคือทางตะวันออกของเกาะ เลือกตามใจชอบเลยเด็กๆ แต่ขอแถวละสิบคน” อาจารย์เซนดริกอธิบายเสร็จสรรพก่อนจะหันหลังเป็นสัญญาณให้เด็กๆ มาต่อแถว อาจารย์คนอื่นๆ ก็หันหลังรอเหมือนกัน
ชายหนุ่มทั้งเจ็ดมองหน้ากันก่อนจะแยกย้ายกันไปตามจุดที่ตัวเองอยากอยู่ เซฮุนกับแบคฮยอนเลือกไปกับอาจารย์เซนดริก ลู่หานกับชานยอลเลือกไปกับอาจารย์เลย์ ดีโอกับไคเลือกไปกับอาจารย์ดอมินิกแม้ไคจะไม่เต็มใจไปก็ตาม ส่วนคนสุดท้ายก็คือเทาเลือกไปกับอาจารย์คริสโดยปริยาย เป็นการแยกย้ายที่เหงาสึด
อาจารย์แต่ล่ะคนหันมาสำรวจว่านักเรียนครบไหม แล้วจำหน้าตาของนักเรียนไว้ก่อนจะเดินไปคลังเก็บอาวุธพร้อมกัน ลู่หานกับชานยอลเลือกมากับอาจารย์เลย์แน่นอนว่าต้องเลือกอาวุธเป็นธนูอยู่แล้ว เซฮุนก็เข้ามาหยิบๆ จับๆ อยู่หลายชนิดก่อนจะจบลงด้วยมีดสั้นคู่ผิดกับแบคฮยอนที่คิดมาดิบดีแล้วว่าต้องดาบเท่านั้น ดีโอก็เดินเข้ามาหยิบธนูอย่างไม่ลังเลเหมือนกัน ไคที่เจออันไหนอันแรกก็หยิบออกมาอย่างไม่ใส่ใจแต่ก็ถือว่าเลือกได้ดีเพราะนั่นคือหอก ส่วนนักศิลปะป้องกันตัวอย่างเทาก็เลือกหยิบกระบองเหล็กสองท่อนมาคู่หนึ่ง
ระหว่างที่ลูกศิษย์กำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกอาวุธเหล่าอาจารย์ก็รีบไปเอาอาวุธประจำกายของแต่ล่ะคนมาทันที อาจารย์เลย์กับอาจารย์ดอมินิกไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นธนูและดาบตามลำดับ และอาจารย์คริสถึงแม้จะสอนวิชาป้องกันตัวแต่ก็ยิงธนูแม่นราวกับจับวาง ส่วนพี่ใหญ่อย่างอาจารย์เซนดริกก็มีดาบไฟฟ้าแรงสูงที่ตัวเองประดิษฐ์เป็นของคู่กาย
หลังจากที่นักเรียนและอาจารย์เตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้วก็แยกกันกระจายไปตามจุดต่างๆ อย่างที่ตกลงกันไว้ อาจารย์เลย์พาพวกนักเรียนชายมาที่โรงอาหารก่อนจะเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยของหน่วยพยาบาลแล้วพาพวกเขาไปยังทางเหนือของเกาะ นักเรียนเดินเรียงแถวตามอาจารย์เลย์อย่างระมัดระวัง คบเพลิงที่มีอยู่แค่หัวแถวกับท้ายแถวไม่ได้ช่วยให้แต่ละคนอุ่นใจสักเท่าไหร่แต่อาจารย์ผู้มีพลังรักษานั่นแหละที่ทำให้พวกเขาอุ่นใจมากกว่า หากมีใครเป็นอะไรอาจารย์คนนี้ก็สามารถช่วยได้ในทันที นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่นักเรียนอยากจะอยู่กับอาจารย์แก้มบุ๋มคนนี้
“นี่เราเดินกันมากี่กิโลแล้ว?” ลู่หานถามออกไปเมื่อรู้สึกเหนื่อยและเมื่อยขานิดหน่อย
“ราวๆ สามกิโลได้แล้ว อีกนิดก็จะถึงหาด” ชานยอลบอกด้วยท่าทางสบายๆ ขัดกับคนฟังที่ได้ยินแล้วร้องออกมาเสียงดัง
“หา! สามกิโล โอโห เกิดมาฉันเคยเดินมาราทอนมากสุดก็แค่กิโลเดียวเอง”
“แต่เดินตอนมืดๆ ในป่ามันก็เพลินดีใช่ไหมล่ะ?”
“มันก็คงจะเพลินถ้าไม่ได้มาเดินในสถานการณ์แบบนี้”
“นายกับเซฮุนทำอะไรกันตอนอยู่ที่ระเบียงหรอ? มีอะไรน่าขำขนาดนั้น” ชานยอลเงียบไปอึดใจก่อนจะถามเรื่องคาใจออกไป
“อ้อก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่อยากเห็นพลังของหมอนั่นแต่เขาดันควบคุมไม่ได้ อยู่ดีๆ ฉันก็เข้าไปได้ยินความคิดเขาแล้วก็พยายามช่วยเขาหยุดพายุ ที่ฉันขำก็เพราะไม่เคยเห็นด้านแบบเด็กๆ ของเขามาก่อน เขาดูใจร้อนอยากเอาชนะ เสียงความคิดเขานี่ตีกันอย่างกับคนตีกลองไม่เป็น มันมัวไปหมดจนจับไม่ได้ นี่พูดแล้วยังอยากขำอยู่เลย” ลู่หานยิ้มกว้างออกมาเมื่อย้อนนึกถึง ชานยอลพยักหน้าเข้าใจ
“โอ๊ะ รู้สึกถึงลมเย็นๆ คงจะถึงชายหาดแล้ว” ลู่หานบอกออกไป เดินไปอีกไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงคลื่นเป็นระลอกๆ เด็กนักเรียนร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อถึงที่หมายสักที
“เฮ้ๆ ไม่ได้พามาเล่นน้ำทะเลนะ ดีใจกันเวอร์ไป” อาจารย์เลย์ปักคบเพลิงลงกับพื้นทรายก่อนจะเริ่มบอกแผนการเฝ้าให้นักเรียนฟัง
“อันดับแรกสองสามคนช่วยกันไปหากิ่งไม้แห้งใบไม้แห้งมาก่อนเราต้องทำกองไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแล้วก็เป็นสัญญาณบอกว่าเรามาถึงแล้ว แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้สามารถใช้วาร์ปกลับไปที่โรงเรียนได้เลย แต่ขามาที่เราใช้การเดินแทนการวาร์ปมันเป็นการสำรวจทางไปในตัว เข้าใจกันนะ”
“ครับ” เด็กๆ พยักหน้ารับก่อนที่จะมีสองสามคนอาสาออกไปเก็บฟืนให้ ชานยอลกับลู่หานเลือกที่จะอยู่กับอาจารย์เลย์เพื่อฟังแผนต่อไป
“ส่วนพวกเธอกระจายกันไป อยู่ห่างกันคนละร้อยเมตรถ้าตรงไหนมีอะไรผิดปกติโทรมาหาครูหรือถ้าใครง่วงครูจะให้สามคนเมื่อกี้นี้ไปเปลี่ยนเวร ครูคงต้องให้พวกเขานอนก่อนเพื่อจะได้เปลี่ยนเวรกับพวกเธอ ทุกคนโอเคนะ” ทุกคนพยักหน้าเข้าใจก่อนจะตกลงกันว่าจะใครจะต่อใคร
ลู่หานเลือกต่อจากชานยอล ก่อนจะหาที่เหมาะๆ เป็นกิ่งไม้ท่อนหนาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนนั้น ลู่หานทอดสายตามองทะเลยามค่ำคืนก่อนจะรู้สึกมีอะไรสั่นๆ ในกระเป๋ากางเกงแล้วพบว่าเป็นชานยอลที่ส่งวิดีโอคอลมา
“ว่าไงชานยอล”
[เหงาดิ ฉันเงียบได้ไม่เกินสามนาที]
“แถวนั้นไม่มีต้นไม้รึไง มานั่งกอดเข่ารับลมไม่หนาวแย่หรอ?”
[มี แต่อยากรับลมสักแป๊บ อากาศกำลังดี]
“นั่งไปนั่งมาระวังหลับไม่รู้ตัวล่ะ พอน้ำขึ้นเดี๋ยวก็ขึ้นอืดตายไม่รู้ตัว”
[โอโห ระดับนี้ไม่ยอมขึ้นอืดตายหรอกครับ เดี๋ยวศพไม่หล่อ]
“อื้อหือ มั่นหน้าไปหน่อยป่ะ” ลู่หานหัวเราะร่วนพอๆ กับชานยอลก่อนที่วาร์ปโฟนจะแจ้งเตือนว่ามีสายซ้อน
บ๊ะ...ไฮเทคได้ใจ
“มีสายซ้อนอ่ะ แป๊บนะชานยอล…อ้าวว่าไงเซฮุน” ลู่หานกดพักสายชานยอลไว้ก่อนจะรีบกดรับอีกสายอย่างไวแล้วเรียกชื่อออกไปอย่างแปลกใจเมื่อเห็นหน้าคนโทรมา
[บอกอาจารย์เลย์ให้แบ่งกำลังมาที่โรงเรียน!] เซฮุนรีบบอกออกมา
“เกิดอะไรขึ้น”
[ไม่รู้เหมือนกัน กำลังช่วยกันกระจายข่าว]
“โอเค ฉันจะรีบไปบอกเดี๋ยวนี้”
“เฮ้ลู่หาน! อาจารย์เลย์เรียก บอกเพื่อนที่อยู่ถัดไปด้วย” ลู่หานปีนลงมาจากต้นไม้ยังไม่ทันจะก้าวไปไหนชานยอลก็วิ่งหอบมาบอกเขา แสดงว่าอาจารย์เลย์ได้รับข้อความแล้ว
ลู่หานวิ่งไปยังเพื่อนที่อยู่ถัดไปซึ่งเป็นคนสุดท้ายแต่ก็เจอเพื่อนคนนั้นกำลังวิ่งมาทางนี้เหมือนกันเพราะรู้ข่าวจากเพื่อนที่โทรมาบอกแล้ว พวกเขารีบวิ่งกลับมารวมกันตรงที่ๆ อาจารย์เลย์อยู่
“มีสัตว์เข้ามาเยี่ยมเยือนเราอีกแล้ว พวกเธอสามคนอยู่ที่นี่ ส่วนที่เหลือไปกันฉัน” อาจารย์เลย์ชี้ไปยังนักเรียนที่หาฟืนก่อนหน้าก่อนจะปาอะไรบางอย่างไปในอากาศแล้วกลายเป็นแสงสว่างวาบหมุนวนอยู่ตรงหน้า
“วิ่งเข้าไป!” ถึงจะยังงงๆ ว่ามันคืออะไรแต่ลู่หานก็วิ่งตามคนอื่นเข้าไปก่อนจะพบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่ภายในโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว
“อาจารย์คะ! ที่หน้าโรงเรียนค่ะ ที่หน้าโรงเรียน!” นักเรียนหญิงคนหนึ่งที่วิ่งมาทางนี้รุดเข้ามาเขย่ามืออาจารย์เลย์ก่อนจะกอบโกยอากาศแล้วบอกด้วยเสียงสั่นเครือพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาด้วยความกลัว
“ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น”
“ไคเมร่าค่ะ อาจารย์ ไคเมร่าสัตว์สามหัว!”
“หา! บ้าบออะไรวะเนี่ย” อาจารย์เลย์สบถอย่างหัวเสียก่อนจะบอกให้นักเรียนหญิงไปรวมกันที่บ้านผอ. เพื่อความปลอดภัย
“ไคเมร่าคือตัวอะไรชานยอล?” ลู่หานขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ...เป็นญาติกับก็อตซิล่าหรือเปล่า
“เป็นสัตว์ในตำนานกรีกไง ไม่เคยได้ยินบ้างเลยหรอ?” ชานยอลบอกลู่หานในขณะที่วิ่งตามอาจารย์เลย์ไปยังสถานที่เกิดเหตุ
“ไม่ได้สนใจตำนานขนาดนั้นเว้ย รู้จักแค่เทพโอลิมปัสก็หรูแล้ว”
“ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่ะ แต่ก็น่ากลัวพอๆ กัน”
“แล้วจะจัดการมันได้ยังไง?”
“บางตำนานก็ว่าโดนยิงโดนแทงจนตาย บางตำนานก็บอกว่าเจอหอกตะกั่วยัดเข้าปาก แต่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์วันนี้จะใช้อะไรเนี่ยสิ”
“แล้ว...โอ้...มาย...ก็อด”
ลู่หานกำลังจะถามต่อแต่เหมือนเห็นลูกไฟแวบๆ อยู่ไม่ไกลจึงหันไปมอง ลู่หานถึงกับหยุดวิ่งแล้วอุทานออกมาอย่างลืมตัว เบื้องหน้าที่เห็นเป็นสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาสามหัวที่หัวแรกเป็นสิงโตร้องคำรามก่อนจะพ่นลมหายใจเป็นไฟออกมา ฟันที่แหลมคมของมันนั้นทำให้ลู่หานใจสั่นยิ่งกว่าตอนเห็นขนาดตัว ไม่อยากจะนึกถึงตอนโดนขย่ำศพคงเละแบบเก็บชิ้นส่วนไม่ได้ ส่วนกลางลำตัวนั้นก็ปรากฏเป็นหัวแพะสีดำนัยน์ตาสีอำพันส่องสว่างภายในความมืดกับเขาแหลมคมถึงแม้มันจะอยู่เฉยๆ ไม่ร้องอะไรแต่ก็น่ากลัวอย่างประหลาด พร้อมกับหัวที่สามที่กลายเป็นงูเกล็ดสีดำเงาแทนหางอย่างที่ควรจะเป็นเคลื่อนตัวมาอยู่ขนาบข้างหัวสิงโตก่อนจะขู่ฟ่อใส่
อาจารย์อี้ชิงหยุดฝีเท้าก่อนจะหาที่หลบเว้นระยะให้ปลอดภัยจากเปลวไฟที่ออกมาจากรูจมูกหัวสิงโตตลอดเวลา แล้วบอกให้เด็กๆ กลับเข้าไปหลบให้ห้องฝึกเวท บ้านผอ. หรือบ้านอาจารย์เซนดริก
“เฮ้ยลู่หาน ไป!” ชานยอลดึงลู่หานให้รีบถอยหลังไปหาที่ซ่อน ลู่หานเลือกที่จะหาที่ซ่อนอยู่บริเวณนั้นด้วยความอยากรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
“เฮ้ย ทำแบบนี้ทำไม เดี๋ยวได้ตายพอดี” ชานยอลที่โดนลู่หานลากมาหลบด้วยร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจว่าร่างเล็กกำลังคิดอะไรอยู่
“มีไฟเหมือนกันไม่เข้าไปทักทายกันหน่อยล่ะ”
“ตายห่ากันพอดีครับคุณ ดูตัวด้วย”
“หลบเงียบๆ สิ เดี๋ยวใครได้ยิน”
“มาทำบ้าอะไรกันตรงนี้! เข้าไปข้างในสิ!” สองสหายสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็เจอเสียงตวาดดังมาจากข้างหลังเมื่อเห็นว่าไม่ใช่อาจารย์ลู่หานก็รีบดึงมือร่างสูงอีกคนนั่งแอบด้วยกัน
“เฮ้ย ฉันไม่แอบกับพวกนายนะเว้ย จะหลบอะไรก็หลบให้ไกลจากตรงนี้หน่อยดิวะ” ไคสะบัดแขนออกก่อนจะบอกแล้วเอาแขนล็อคคอให้เพื่อนสองคนลุกขึ้นเพื่อพาไปหลบในที่ๆ ปลอดภัยกว่า
ตึง!
“ชิบลอส!” เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวไคก็สบถออกมาเมื่อเจ้าไคเมร่ากระทืบเท้าจนแผ่นดินสะเทือนจึงรีบลากคอชานยอลกับลู่หานกลับไปนั่งที่เดิม
“ออกไปตอนนี้แม่งตายแน่”
“ภาวนาให้อาจารย์กำราบมันได้ก็แล้วกัน” ลู่หานได้แต่จ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าแล้วขอร้องอ้อนวอนพระเจ้าในใจ
อาจารย์วิชาธนูแอบอยู่หลังพุ่มไม้สูงก่อนจะมองเจ้าตัวนั้นที่พ่นไฟขู่เป็นระยะ ถึงแม้ว่ามันจะอยู่เฉยๆ ไม่เข้ามาวิ่งถล่มโรงเรียน แต่ก็ปล่อยให้มันอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้เขาต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
“เฮ้เลย์” เป็นอาจารย์สัญชาติเดียวกันที่วิ่งเข้ามาแล้วส่งเสียงเรียกก่อนจะนั่งแอบอยู่ด้วยกัน
“วางแผนอะไรได้หรือยัง?”
“ยังเลย ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน จะเข้าไปคุยก็คงไม่รู้เรื่องคงต้องหาวิธีไล่...ไม่ก็วิธีฆ่า”
“…ถ้าจำไม่ผิดไคเมร่าถูกกำจัดด้วยการยิงธนูไม่ก็หอกตะกั่วละลายในปากไม่ใช่หรอ?” อาจารย์ตัวสูงนิ่งคิดก่อนจะถามความเห็นคนข้างๆ
“แล้วเราจะไปหาตะกั่วมาจากไหน อาวุธเราก็ทำจากเหล็กบริสุทธิ์หมดเลย”
“...บ้านอาจารย์เซนดริก!” ทั้งสองนิ่งเงียบก่อนจะพูดออกมาพร้อมกัน นึกถึงอาจารย์ตัวเองที่กลายมาเป็นเพื่อนร่วมอาชีพเป็นคนแรก เพราะอาจารย์เซนดริกเป็นนักประดิษฐ์ต้องมีตะกั่วเก็บไว้อยู่แล้ว
“อาจารย์อยู่ไหนครับ!” เลย์ใช้วาร์ปโฟนโทรไปหาอาจารย์เซนดริก
[ฉันกำลังซุ่มดูเจ้าไคเมร่าอยู่ พวกนายอยู่ตรงไหน?]
“ผมอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ ทางเข้าโรงเรียน แต่ว่าประเด็นที่ผมโทรหาคืออาจารย์มีตะกั่วใช่ไหมครับ?”
[ใช่ กำลังคิดเหมือนกันว่าจะลองใช้แต่เราจะปาเข้าไปในปากมันได้ยังไง]
“เดี๋ยวผมคิดอีกทีแต่ตอนนี้ผมจะไปเอาตะกั่วที่บ้านอาจารย์ก่อน อย่าให้เด็กๆ เข้าไปนะครับ มันอาจจะคลั่งขึ้นมาก็ได้”
[อืม วางอยู่บนโต๊ะทำงานเลย ฉันเอาออกมาใช้พอดี เอามาแค่แท่งเดียวก็พอ]
“ครับ”
“นายอยู่ตรงนี้นะเดี๋ยวฉันกลับมา” อาจารย์แก้มบุ๋มหันไปบอกเพื่อนตัวสูงก่อนจะวาร์ปเข้าไปที่บ้านอาจารย์เซนดริกเห็นตะกั่ววางอยู่บนโต๊ะสองสามแท่งก็หยิบออกมา เตรียมจะวาร์ปกลับไปที่เดิมแต่เขาก็ชะงักเปลี่ยนใจไปอีกที่หนึ่งก่อน
“ทำไมไปนานจัง...อ๋อ” คริสขมวดคิ้วถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเล็กไปนานกว่าที่คิดแต่ก็ร้องออกมาอย่างหายส่งสัยเมื่อเห็นว่าอีกคนถือหอกตามมาด้วย
“ฉันไปคลังอาวุธมาเจอดอมินิกกำลังเข้ามาเอาอาวุธพอดี”
“นายหายไปไหนมา” คริสถามดอมินิก
“ฉันนั่งสอบสวนพวกอาจารย์กับเด็กเซอร์เพนไทน์อยู่น่ะสิว่ามีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้ไหม แต่พวกนั้นก็บอกว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ ปีนี้ไม่คิดจะแกล้งอะไรทั้งนั้น”
“จะเชื่อได้หรอเนี่ย เรื่องสอบสวนต้องให้ผอ. จัดการอีกที” เลย์เบ้หน้าก่อนจะนึกถึงผอ. ที่ตอนนี้กำลังดูแลนักเรียนหญิงอยู่
“เราต้องวาร์ปไปหาอาจารย์เซนดริก จะได้วางแผนได้ง่ายขึ้น” เลย์บอกกับเพื่อนร่วมทีมก่อนจะวาร์ปไปเป็นคนแรก
“โชคดีที่มันยืนอยู่นิ่งๆ แต่แม่งก็ยืนขู่อยู่นั่นแหละ กลัวนะเว้ย” คริสเหลือบมองเจ้าตัวนั้นก่อนจะกรอกเสียงบอกชื่ออาจารย์เซนดริกแล้ววาร์ปไปพร้อมๆ กับดอมินิก
“อ้าว อาจารย์หายไปไหนกัน” ไคร้องออกมาเมื่อร่างของอาจารย์ทั้งสามหายไปจากสายตา
“คงไปหาอาจารย์เซนดริก เขาก็คงหลบอยู่แถวๆ นี้เหมือนกัน นี่พวกเราจะไปกันได้หรือยัง?” ชานยอลบอกก่อนจะเอ่ยปากชวนด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ
“อาจารย์สี่คนนั้นมีใครบินได้บ้างไหม?” ลู่หานไม่ได้สนใจคำชวนของชานยอลแม้แต่น้อย เขานั่งครุ่นคิดมานานก่อนจะถามเพื่อนทั้งสองไป
“มี...อาจารย์คริสอ่ะ เหินเวหาได้” ไคตอบ
“ลงตัวเป๊ะ! ฉันจะบอกแผนที่ฉันคิดให้อาจารย์ฟังแล้วกัน” ลู่หานเตรียมจะวาร์ปไปหาอาจารย์เลย์แต่ก็โดนชานยอลคว้าวาร์ปโฟนไปซะก่อน
“ไม่ได้ห้าม แต่บอกพวกฉันก่อนจะฟังว่ามันโอเคหรือเปล่า” ชานยอลบอก ความจริงเขาก็สนใจอยู่นิดหน่อยเมื่อลู่หานบอกออกมาว่ามีแผน
“ความเสี่ยงมันก็สูงอ่ะนะ นายบอกว่าแต่ละหัวมีความคิดเป็นของตัวเองใช่ไหม? อันดับแรกเราต้องดึงความใสใจให้หัวงูมาอยู่ข้างหลังและอยู่ให้ต่ำที่สุดแล้วก็ใช้จังหวะนั้นทำให้หัวสิงโตมันยัวะอ้าปากคำรามแล้วก็ปาตะกั่วเข้าไปในปากมัน ถ้าวิธีนี้ได้ผลมันก็คงตาย”
“หัวงูนี่น่ากลัวสุด” ชานยอลบอก
“เนอะ ม่อไปทั่ว”
“มันใช่เวลามาเล่นมุกไหม?” ชานยอลกับลู่หานหรี่ตามองไคอย่างปลงตก ไอ้หมอนี่มันเคยเครียดอะไรกับเขาบ้างไหม?
“โทษๆ ก็ไม่อยากให้เครียดมาก แต่ฉันว่าแผนนายก็โอเคดีว่ะ ลองไปบอกอาจารย์กันไหม?” ไคยกมือขอโทษขอโพยก่อนจะเบี่ยงประเด็น
“โอเค” ชานยอลคืนวาร์ปโฟนให้ลู่หานก่อนที่ไคและชานยอลจะจับตัวลู่หานไว้แล้ววาร์ปไปหาอาจารย์ด้วยกัน
“เฮ้ย! พวกเธอมาทำไม?” อาจารย์เลย์ทักขึ้นเมื่อจู่ๆ นักเรียนสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับอาจารย์แต่ว่าผมมีแผนดีๆ มาเสนอ” ลู่หานบอก
“ไหนลองว่ามาสิ” เป็นอาจารย์เซนดริกที่ตอบรับแทน
“เราต้องให้คนเบี่ยงเบนความสนใจหัวงูกับหัวสิงโตให้แยกกันไปอยู่คนละทาง จากนั้นก็ทำให้สิงโตมันอ้าปากพ่นไฟแล้วเราก็ใช้จังหวะนั้นปาตะกั่วเข้าไป แต่ว่าตัวมันใหญ่จะให้แม่นก็ต้องให้อาจารย์คริสเป็นคนขว้าง...แบบว่าเหินอ่ะครับเผื่อฉุกเฉินจะได้หนีทัน”
ลู่หานอธิบายให้อาจารย์คริสฟังเมื่อเห็นว่าอาจารย์ตัวสูงขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่เข้าใจ
“อ้อ...เออก็เข้าท่าดี” อาจารย์คริสพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ครูว่าครูต้องเป็นคนปาแล้วล่ะเพราะครูมัดตะกั่วไว้กับหอกเรียบร้อยแล้ว” อาจารย์เลย์หยิบหอกมาให้นักเรียนดู
“ถ้าอาจารย์มีแผนของอาจารย์เองอยู่แล้วก็ดีครับ ผมก็เสนอความคิดผมเฉยๆ”
“ไม่หรอก ความคิดนายก็ช่วยฉันได้เหมือนกัน แต่ว่าเราจะล่อมันยังไงไม่ให้ไอ้หัวสิงโตกับหัวแพะเห็น”
“ผมก็ไม่ได้อยากเสนอหรอกครับ แต่อาจารย์คงไม่ลืมว่าไคหายตัวได้นะครับ ” ชานยอลพูดก่อนจะเหยียดยิ้ม ผิดกับคนถูกพาดพิงร้องออกมาเสียงดังก่อนจะส่ายหัวเป็นพัลวัน
“เฮ้ยๆๆ ไม่ดีมั้ง ไม่ได้ทำประกันไว้อีกอย่างฉันยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลยนะเว้ย”
“จะกลัวอะไรล่ะอาจารย์เลย์ก็อยู่” ชานยอลก็ยังคงเสี้ยมไค
“อย่าเลยน่าชานยอล ให้นักเรียนไปเสี่ยงไม่ดีหรอก” อาจารย์เซนดริกปราม
“งั้นใครจะออกไปล่อล่ะครับ จะใช้วาร์ปไปก็ดันไม่รู้พิกัดจุด จะให้อาจารย์คริสบินไปมันก็เห็นแน่ๆ ออกไปไฟว้เลยก็มีแต่ตายกับตายแน่ครับ” พอชานยอลพูดจบรอบกายก็ตกอยู่ในความเงียบ อาจารย์ต่างคิดว่าที่ชานยอลพูดมาก็มีเหตุผลแต่มันก็ไม่ควรให้นักเรียนไปเสี่ยงถึงแม้ว่าไคจะมีสมาธิกว่าแต่ก่อนแต่มันก็อดประมาทไม่ได้ ไคเองก็นิ่งคิดก่อนจะถอนหายใจออกมายาวพรืด
“ผมไปก็ได้ครับ จากตรงนี้ไปถึงเจ้านั่นก็ไม่น่าเกินสามร้อยเมตรพลังผมพอคงที่ได้”
“...เอางั้นก็ได้ เราต้องเข้าใกล้กว่านี้นิดหน่อย ฉันจะออกไปล่อมันก่อนแล้วนายก็หายตัวตามไปโอเคนะ” พอเห็นแววตาที่ตั้งมั่นของลูกศิษย์อาจารย์แต่ละคนก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่อาจารย์เลย์จะบอกแผนกับไค
“ครับ”
ทุกคนค่อยๆ ย่องไปหาที่หลบใหม่ที่เข้าใกล้ไคเมร่ามากกว่าเดิม ไคลองทดสอบพลังของตัวเองด้วยการหายตัวไปยังที่กำบังใหม่ซึ่งมันก็ตรงกับระยะที่เขาอยากปรากฏพอดี
“นายโอเคแล้วนะไค” อาจารย์เลย์หันมาถามนักเรียกผิวแทนที่เหงื่อเริ่มผุดตามไรผม
“ไม่โอเคก็ต้องโอเคแล้วครับอาจารย์”
“ดี ระวังตัวให้ดีล่ะ” อาจารย์เลย์บอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวิ่งออกไปหาเจ้าไคเมร่าที่ตอนนี้กำลังนอนราบกับพื้นแต่ยังชูคอไว้เฉกเช่นราชสีห์ทั่วไป หัวราชสีห์ขยับมาตามเสียงก่อนจะแยกเขี้ยวแล้วส่งเสียงคำราม
“ไงสิงโตน้อย!”
ไคเห็นว่าหัวสิงโตให้ความสนใจกับอาจารย์เลย์แล้วเลยหายตัวไปยังข้างๆ งูที่นอนนิ่งราบอยู่กับพื้นแต่ปรากฏว่าอสรพิษเคลื่อนตัวไปทางนั้นพอดีส่งผลให้ไคไปโผล่อยู่บนส่วนหัวของอสรพิษแทน
“เอ้าชิบหาย!” ไคสบถออกมาก่อนที่อสรพิษเริ่มรู้ตัวว่ามีสิ่งผิดปกติบนตัวแล้วชันตัวตั้งขึ้น ไคหาที่ยึดไว้แน่นอยากจะหายตัวกลับไปแต่รู้สึกสมาธิหายไปชั่วขณะ
“เฮ้ยไค!!!” คนที่ซุ่มดูอยู่ร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อนักเรียนผิวแทนดันไปปรากฏตัวอยู่บนหัวงูอย่างไม่ควรจะเป็น แต่เหมือนจะเบี่ยงเบนความสนใจหัวงูกับหัวสิงโตให้แยกออกจากกันได้แล้ว
ไอ้หัวแพะแม่งหลับรึเปล่าวะ ไม่เห็นมันจะทำอะไร เออ...แต่อยู่เฉยๆ นั่นก็ดีแล้ว
“อย่ากลัวๆ อย่าคิดมาก รีแลกซ์ดิมึง รีแลกซ์” ไคพูดกับตัวเองก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสมาธิกลับมา แต่ไอ้หัวงูนี่ก็เหมือนแกล้งเขามันส่งเสียงขู่ฟ่อๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวไปมาเพื่อให้เขาหลุดจากการเกาะกุม
“โห คิดว่ากูอยากจับมึงมากรึไงอีงูถ่าน!” ด่าไปก็ไม่รู้ว่ามันจะรู้เรื่องไหม...ทำมาเป็นเบี่ยงตัวอย่างกับรักนวลสงวนตัว แต่เออ...ตามตำนานแล้วมันเพศเมียหมดเลยนี่หว่า
“ไค ไปทำอะไรตรงนั้น หายตัวลงมาเร็วๆ สิ!” อาจารย์เลย์ที่รอจังหวะราชสีห์อ้าปากอยู่เหลือบไปเห็นนักเรียนตัวเองเกาะหัวงูอยู่จึงร้องบอก
“โหจารย์! สมาธิมันหดตดหายหมดแล้วเนี่ย อิงูนี่ก็ขยับจัง คิดว่ากูอยากจับมึงนักใช่ไหมหา!” ไคตะโกนตอบก่อนจะก่นด่าด้วยความรำคาญ
“เห้ยอ้าปากสิอ้าปาก” อาจารย์เลย์บอกกับสิงโตตัวใหญ่ที่ยืนทำหน้าดุแล้วขู่เสียงต่ำแต่ยังก็ยังไม่ยอมคำรามสักที อาจารย์เลย์เขยิบถอยหลังเมื่อแรงไฟจากจมูกราชสีห์เริ่มพ่นยาวขึ้น
“ไม่มีอะไรไปกระตุ้นมันเลย เอางี้แล้วกัน!” ลู่หานพูดออกมาก่อนจะยิงธนูไปโดนขาของราชสีห์ ราชสีห์เมื่อโดนลูกธนูเข้าไปก็เงยหน้าคำรามออกมาด้วยความโกรธ
“เอ้า มันไม่พ้นไฟ ลู่หานยิงอีกทีสิ!” อาจารย์เลย์หันมาสั่ง เขารู้ดีว่าใครเป็นคนยิง ลู่หานทำตามคำสั่งก่อนจะใช้พลังบังคับเสมือนลูกธนูออกพุ่งออกมาจากอาจารย์เลย์เพื่อให้ราชสีห์เข้าใจผิด
“เร็วดิอาจารย์ อิงูถ่านนี่มันดิ้นใหญ่แล้วเนี่ย” ไคที่เกาะอยู่บนหัวงูเริ่มเกาะไม่ไหวเนื่องจากอสรพิษตัวยักษ์เริ่มส่ายตัวแรงขึ้น
ปัก!
หลักจากลูกธนูปักเข้าที่แผงคอราชสีห์ก็กดเสียงต่ำก่อนจะคำรามใส่หน้าอาจารย์เลย์ แต่ไม่มีไฟออกมาอย่างที่ควรจะเป็นเลยหันไปสั่งนักเรียนอย่างรวดเร็วก่อนที่ปากมันจะปิด
“ชานยอลไฟ!”
ชานยอลปล่อยลูกไฟไปในทันทีก่อนที่อาจารย์เลย์จะออกแรงขว้างหอกไฟพร้อมกับลูกไฟ
ฉึก!
หลังจากที่อาจารย์เลย์ขว้างหอกเข้าไป เจ้าตัวก็รีบวิ่งเข้ามาหลบพร้อมๆ กับไคที่สามารถเรียกสมาธิกลับมาได้หลังจากที่ชินกับงูแล้ว เขารีบหายตัวมานั่งหอบอยู่กับลู่หานและชานยอล
ทุกคนเฝ้าดูอาการของราชสีห์หลังจากที่ขว้างหอกมัดตะกั่วไป หัวราชสีห์และอรพิษนิ่งงัน (หัวแพะมันนิ่งอยู่แล้ว) ก่อนจะรู้สึกได้ว่าตัวมันสั่นๆ ราชสีห์คำรามเสียงดังด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ร่างไคเมร่าจะระเบิดแตกเป็นผุยผงไป
ตู้ม!
“โกโก้ครั้นเลยมึง” ไคเงยหน้าขึ้นมาพูดคนแรกหลังจากที่ร่างของไคเมร่าหายไปแล้ว ไคทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นก่อนที่ชานยอลกับลู่หานจะผลัดกันถาม
“โอเคเปล่าวะ นั่นงูเลยนะ”
“ตัวใหญ่ยังดีกว่ามาเยอะว่ะ”
“แล้วทำไมไปโผล่บนหัวงูได้”
“อิงูถ่านมันขยับตัวพอดีอ่ะดิ ตำแหน่งเคลื่อนเลย”
“ลุ้นแทบตาย นึกว่าจะไม่ได้กลับมาซะแล้ว” อาจารย์คริสตบบ่าไคเป็นการให้กำลังใจสองสามที
“ฉันให้กลับบ้านได้สองวันเลยไค” อาจารย์เซนดริกบอก
“จริงป่ะอาจารย์ วู้! พรุ่งนี้เลยนะ” ไคถวนอีกรอบโดยที่อาจารย์เซนดริกก็พยักหน้ารับ
“อ้าวอาจารย์แล้วผมกับลู่หานล่ะ” ชานยอลถามออกไป แต่ลู่หานก็โคลงศีรษะว่าเขาไม่เป็นไร
“ไม่เป็นไรชานยอล ฉันไม่เครียดเรื่องกลับบ้านอยู่แล้ว ฉันแค่ช่วยคิดแต่ไคยอมเอาตัวไปเสี่ยง ไคก็สมควรได้ไป ถ้านายอยากกลับบ้านนายก็ไปกับไคสิ”
“อ่า...งั้นฉันก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ก็ถามไปงั้นเผื่อฟลุ๊ค” ชานยอลยักไหล่ทำท่าทางสบายๆ
“พวกนายสองคนถ้าทำภารกิจผ่านฉันให้กลับบ้านได้สองวัน” อาจารย์เซนดริกพูดขึ้นทำให้ชานยอลปรบมือดีใจยกใหญ่
“ดีครับดี”
“ฉันว่าเราควรกลับไปบอกนักเรียนที่เหลือกับผอ. ก่อนว่าเราจัดการไคเมร่าได้แล้ว” อาจารย์ดอมินิกเสนอ
“พูดถึงนักเรียนฉันให้เด็กสามคนเฝ้าเวรอยู่ทางเหนือต้องกลับไปรับพวกเขาก่อน” อาจารย์เลย์นึกขึ้นได้ก่อนจะใช้วาร์ปโฟนหายตัวไป
“ฉันก็ให้นักเรียนเฝ้าไว้ที่ค่ายเซอร์เพนไทน์เหมือนกันต้องแวะไปหาสักหน่อยก่อน” ดอมินิกพูดกับคริสก่อนจะหายตัวไปอีกคน
“อาจารย์ล่ะครับ กระจายนักเรียนไว้รึเปล่า?” คริสหันไปถามอาจารย์เซนดริก
“ไม่ล่ะ ฉันพานักเรียนมาหมด ร่ายเวทไว้แล้ว...เอาล่ะงั้นพวกเราไปรอเขาที่ห้องฝึกเวทแล้วกัน” อาจารย์เซนดริกตอบคริสก่อนจะหันมาสั่งนักเรียนแสบสามคนให้เดินตามไป
“อาจารย์เซนดริกถนัดร่ายเวท ประมาณพ่อมดน่ะแต่ก็ไม่ถึงขั้นนั้น” ชานยอลตอบออกมาเมื่อเห็นลู่หานขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
“นายนี่รู้ตลอดเลยว่าฉันคิดอะไร?”
“นายก็สงสัยมันทุกเรื่องนั่นแหละ”
“แต่พวกแกแม่งพยุงฉันหน่อยดิวะ รู้สึกขาไม่มีแรงเลยว่ะ” ไคเดินมาคั่นกลางก่อนจะยกแขนเกี่ยวคอเพื่อนทั้งคู่ไว้แล้วทำตัวอ่อน ชานยอลกับลู่หานสงสารไคที่ต้องไปปะทะกับงูทั้งๆ ที่ตัวเองแขยงเลยยอมให้มันทิ้งน้ำหนักแล้วพยุงพาไปที่ห้องฝึกเวท
“ไคเป็นอะไรไป!” ดีโอร้องออกมาเมื่อเห็นชานยอลกับลู่หานพยุงไคเข้ามา ไครีบดีดตัวกลับมายืนท่าปกติก่อนจะยิ้มทักทายไป
“เปล่าๆ พอดีไปสู้กับงูมา ขาอ่อนเลยฮยอง”
“หา! นายเนี่ยนะไปสู้กับงู?”
“ก็ผมนี่แหละ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”
“ตอนนี้ไคเมร่าถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ปลอดภัยหายห่วง แต่เราก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีตัวอะไรโผล่มาอีกไหม เพราะฉะนั้นควรนอนรวมกันดีกว่า” อาจารย์เซนดริกประกาศบอกนักเรียน ทำให้ทุกคนร้องดีใจออกมา
“งั้นนักเรียนหญิงไปนอนที่บ้านฉันแล้วกันส่วนนักเรียนชายก็นอนที่นี่” ผู้อำนวยการเคธีถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินข่าวดี ก่อนจะจัดแจงเรื่องที่นอนให้นักเรียน
“พวกนายสามคนไปทำอะไรมา อย่าบอกนะว่าไปจัดการไคเมร่ากันเอง” แบคฮยอนถามขึ้นเมื่อลู่หานกับชานยอลนั่งลงใกล้ๆ
“บ้าหรอ ไม่บ้าบิ่นขนาดนั้นหรอก เห็นตัวแล้วขอวิ่งหนีอย่างเดียวดีกว่า” ลู่หานตอบ
“วิ่งหนีอะไรของนาย นายยังนั่งแอบดูอยู่เลยไม่ใช่หรือไง” ชานยอลแย้ง
“ก็ฉันอยากรู้นี่นาว่าจะกำจัดมันยังไง เอาเถอะน่า...มันผ่านไปแล้ว” ลู่หานบอกปัด
“ปีนี้โรงเรียนนั้นเล่นแรงเกินไปแล้วนะ ถึงเจ้าไคเมร่ามันจะไม่วิ่งอาละวาดก็เถอะ แต่ยังไงมันก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี” ดีโอที่นั่งอยู่ถัดไปพูดขึ้น
“มีใครรู้บ้างว่ามันเข้ามาทางไหน?” เซฮุนถามขึ้น
“ไม่ได้มาทางฉัน” ชานยอลกับลู่หานพูดขึ้นพร้อมกัน
“ไม่ได้มาทางฉันเหมือนกัน” ดีโอกับไคที่ไปเฝ้าอยู่ทางใต้บอก
“ทางฉันก็ไม่ใช่” เซฮุนส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันไปเฝ้าทางกระท่อม แถวนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ” เทาบอกเป็นคนสุดท้าย ทั้งเจ็ดคนมองหน้ากันก่อนจะถามออกมาพร้อมกัน
“แล้วมันมาจากไหน?”
หลังจากถามออกไปทุกคนก็สลับกันมองหน้าครุ่นคิดกันอยู่แบบนั้น ไคเมร่าตัวใหญ่ขนาดนั้นไม่มีทางที่มันเข้ามาแล้วจะไม่มีใครรู้หรือว่าโรงเรียนนี้จะมีหนอนบ่อนไส้จริงๆ ลู่หานถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่เขาอยู่มาแค่สามวันเองหรอเนี่ย ทำไมเกิดเรื่องมากมายจนรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่มาแล้วสักสามปี
วันต่อมา
อาจารย์เซนดริกเข้ามาปลุกนักเรียนชายให้แยกย้ายกลับที่พักในเวลาหกนาฬิกาและบอกให้นักเรียนทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย วันนี้จะทานข้าวพร้อมกันในเวลาแปดนาฬิกาแทน
ศาสตราจารย์เคธีรีบตรงไปยังค่ายพักของนักเรียนเซอร์เพนไทน์ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น เขาไปถามไถ่อาจารย์ฝั่งนั้นว่ามีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยไหมแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคนพวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ ยืนยันด้วยการได้ยินความคิดของแต่ละคนที่วุ่นวายสับสนไปหมดว่าเมื่อคืนโรงเรียนคอราจเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ได้เรื่องอะไรไหมครับ?” อาจารย์คริสถามขึ้นหลังจากที่ผู้อำนวยการเดินเข้ามาในห้องประชุมอาจารย์ ตอนนี้อาจารย์ทุกคนอยู่กันพร้อม ระหว่างที่ปล่อยให้นักเรียนทำธุระส่วนตัวเหล่าอาจารย์ก็มารวบรวมความเห็นกันอยู่ที่นี่
“พวกเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ ฉันอ่านทะลุแล้วทะลุอีกพวกเขาก็งงและสับสนเหมือนเรา” หญิงวัยกลางคนยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะคลึงเบาๆ
“นี่หมายความว่ายังมีกลุ่มอื่นที่จ้องจะทำลายโรงเรียนเรางั้นหรือครับ?” คราวนี้เป็นอาจารย์เลย์ที่ถามขึ้น
“มันมีมาตั้งนานแล้วล่ะแต่เพิ่งจะเริ่มปรากฏตัวออกมา” อาจารย์เซนดริกตอบแทน
“ฉันจะลองไปคุยกับพี่ชายฉันดู มีเปอร์เซ็นต์ห้าสิบห้าสิบระหว่างบุคคลอื่นกับพี่ชายฉัน” ศาสตราจารย์เคธีบอกเสียงเรียบ
“จะดีหรอครับผอ. เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก” อาจารย์ดอมินิกบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไม่ลองก็ไม่รู้ สถานการณ์ตอนนี้เรารออะไรไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้ฉันก็ยังหวังว่าพี่ชายฉันคงไม่ใจร้ายเกินไปที่ทำกับฉันแบบนั้น” อาจารย์ที่เคยเป็นอดีตนักเรียนมาก่อนนิ่งเงียบ พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของศาสตราจารย์ดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นศาสตราจารย์เคธีก็ยังรักและเป็นห่วงพี่ชายเธอเสมอ
“แล้วคุณจะไปเมื่อไหร่?” หลังจากที่บรรยากาศเงียบไปอาจารย์เซนดริกก็เอ่ยถามออกมา
“ฉันจะไปพรุ่งนี้ ฉันอยากรู้เรื่องให้เร็วที่สุด เราต้องบอกเด็กๆ ไปก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากเซอร์เพนไทน์แต่เกิดจากคนกลุ่มอื่นและฉันก็เชื่อว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ”
“อะไรทำให้ผอ. คิดแบบนั้นครับ?” อาจารย์เลย์ถามพลางทำหน้าฉงน
“เซนส์ของฉัน...มันมักจะแม่นเสมอ”
“ใกล้เวลาทานอาหารแล้ว พวกเราไปรอเด็กๆ ที่โรงอาหารกันเถอะ” อาจารย์เซนดริกหยิปวาร์ปโฟนขึ้นดูเวลาก่อนจะเอ่ยชวนอาจารย์คนอื่น อาจารย์ที่เหลือพยักหน้ารับก่อนจะทยอยเดินออกจากห้องไป อาจารย์เซนดริกลุกขึ้นเป็นคนสุดท้ายรอให้อาจารย์ที่เหลือออกไปหมดก่อนจะเข้าไปตบบ่าศาสตราจารย์เคธี
“ระวังตัวให้ดีนะ พี่ชายเธออาจจะซ้อนแผนก็ได้” เขาเตือนด้วยความเป็นห่วง เซนดริกกับเคธีรู้จักกันมาตั้งแต่วัยเรียน พวกเขารวมถึงพี่ชายของเคธีเคยสนิทกันมากและเขาก็รับรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับสองพี่น้อง ศาสตราจารย์เคธีส่งยิ้มเจื่อนไปให้
“ขอบใจมาก ไม่ต้องเป็นห่วงฉันมากหรอก ฝากดูแลเด็กๆ แทนฉันด้วยนะ”
“ปกติฉันก็อยู่กับเด็กๆ มากกว่าเธออีก” เซนดริกพูดติดตลกเพื่อให้เพื่อนสนิทผ่อนคลาย
“นั่นสิ ถ้าไม่มีนายฉันก็คงทำอะไรไม่ได้เลย”
“อย่าดูถูกตัวเองไป พลังของเธอใครๆ ก็อิจฉาทั้งนั้นแหละอีกอย่างเธอเป็นผอ. เชียวนะ” เซนดริกยื่นมือไปโคลงศีรษะเคธี ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่พวกเขาก็ให้กำลังใจกันแบบนี้เสมอ
“ฉันก็เป็นแค่ในนามเท่านั้นแหละ นายต่างหากที่ควรจะเป็นผอ. ตัวจริง เปลี่ยนตำแหน่งกันดีไหมนะ?” ศาสตราจารย์ทำท่าครุ่นคิด
“ช่างมันเถอะ เธออยู่ตำแหน่งนั้นนั่นแหละดีแล้ว ไม่ต้องมาลำบากสอนเด็กหรอก”
“นายพูดแบบนี้มายี่สิบปีแล้ว”
“ฉันจะให้เธอนั่งตำแหน่งนี้จนกว่าเธอจะตายนั่นแหละ”
“นี่...” ผู้อานวยการสาวใหญ่ลากเสียงต่ำอย่างเหนื่อยอ่อนกับเพื่อนสนิทต่างเพศที่ดื้ออย่างไงก็ดื้ออย่างนั้น
“ไปดูเด็กๆ กันเถอะ” อาจารย์เซนดริกยักไหล่ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องทิ้งให้คนอยู่ข้างหลังยิ้มบางโคลงศีรษะกับความดื้อเงียบของตัวเอง
“เจอแต่เช้าเลยหรอ? ว่าแต่นั่งกันเงียบผิดปกตินะ” แบคฮยอนพูดขึ้นหลังจากที่เดินเข้ามาในโรงอาหารแล้วเจอกับโรงเรียนคู่อริที่นั่งทำหน้าถอดสีกันอยู่ ชายหนุ่มทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากันอย่างงงๆ กับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปก่อนจะเดินเข้าไปนั่งโต๊ะติดรั้วโรงอาหารที่อีกหน่อยคงกลายเป็นโต๊ะประจำ
“คิดว่าโรงเรียนนั้นทำจริงๆ หรือเปล่า” เทาเปิดประเด็นขึ้นมาระหว่างรอเวลาทานอาหาร
“เห็นนั่งทำหน้าถอดสีแบบนั้นก็คิดได้สองอย่าง หนึ่ง...ทำ นั่งหน้าซีดเพราะโดนจับได้กับสอง...ไม่ได้ทำ แต่กลัวคนอื่นเข้าใจผิดว่าทำ” เซฮุนเสนอความเห็น
“ก็จริงอย่างที่เซฮุนว่า...แต่ได้ข่าวว่าผอ. ไปสอบปากคำมาแล้วนะ คงต้องรอดูว่าผลเป็นยังไง อ๊ะ...อาจารย์มากันแล้ว” ดีโอพยักหน้าเห็นด้วยกับทางเลือกของเซฮุนก่อนจะเหลือบไปเห็นเหล่าอาจารย์ที่กำลังเดินเข้าโรงอาหาร
“อีกเดี๋ยวผอ. ก็คงมาบอกเอง” ชานยอลที่ไม่เห็นผอ. กับอาจารย์เซนดริกเดินมาด้วยพูดขึ้น
ผ่านไปไม่นานอาจารย์เซนดริกกับผู้อำนวยการเคธีก็เดินเข้ามาในโรงอาหาร ทุกคนต่างเงียบเสียงและมองไปด้านหน้าเป็นตาเดียว ผู้อำนวยการฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเริ่มพูด
“อรุณสวัสดิ์จ้ะเด็กๆ ทุกคน เรื่องเมื่อคืนคงทำให้หลายคนหวาดกลัวจนนอนไม่หลับ ฉันเข้าใจพวกเธอดี ฉันก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้เหมือนกัน แต่คราวนี้ไม่ใช่ฝีมือของโรงเรียนเซอร์เพนไทน์อย่างที่พวกเธอคิด อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าพวกเขาผิด ตอนนี้ฉันกำลังสืบหาคนที่ทำเรื่องนี้อยู่ หลังจากส่งพวกเขากลับแล้วโรงเรียนเราก็จะกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง และฉันก็เห็นว่าปีนี้ควรเป็นปีสุดท้ายที่จะเปิดเกาะให้ใครมาเยี่ยมเยือน ฉันจะส่งเรื่องยกเลิกไปที่สมาคมเวทย์ช่วยกันภาวนาให้มันผ่านการพิจารณาก็แล้วกัน ท้ายนี้ขอให้พวกเธอปรับความเข้าใจกัน ฉันเข้าใจว่าปีที่ผ่านมาพวกเธออาจจะทำด้วยความคึกคะนองตามประสา แต่ถ้าพวกเธอโดนทำกลับบ้างพวกเธอจะรู้สึกอย่างไร? เอาล่ะจ้ะ หมดหน้าที่ของฉันแล้วขอให้ทานมื้อเช้าอย่างมีความสุขนะ”
“สรุปแล้วเป็นทางเลือกที่สอง” เซฮุนลากสายตากลับมามองหน้าเพื่อนร่วมโต๊ะก่อนจะพูดขึ้น
“ถ้าผอ. ไม่ออกมาบอกเราคงโทษพวกเขาแหงๆ” ลู่หานว่า
“ถ้าตัดเรื่องไคเมร่าไปก็ถือว่าพวกนั้นมาแบบสงบเหมือนปีแรก” เทาพูดต่อ
“หรือพวกนั้นไม่คิดจะทำอะไรแล้ว อาจจะสำนึกผิดกับเรื่องปีที่แล้ว” ดีโอถามออกไป
“ช่างเถอะ คิดเรื่องพวกนั้นไปให้ปวดหัวเปล่าๆ ยังไงก็จะไม่ได้เจอพวกมันแล้ว แม่งมีความสุขสัสๆ” ไคทำหน้าระรื่นก่อนจะจิ้มผลไม้ใส่ปาก
“ยังไม่ได้กินข้าวเลยนะไค ไม่หิวหรอ?” ดีโอหันไปถามเมื่อเห็นไคจิ้มผลไม้เข้าปากลูกเดียว
“งดกินเนื้อสัตว์สักแป๊บ เห็นแล้วสยอง” ไคเบ้ปากก่อนที่ขนทั่วตัวจะตั้งลุกชันพร้อมกัน
...เป็นอันว่าเข้าใจกันทั้งโต๊ะ
หลังจากที่นักเรียนทั้งสองโรงเรียนทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วก็พากันออกมาส่งนักเรียนเซอร์เพนไทน์ขึ้นเรือ สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปก็คือพวกนักเรียนคอราจที่ช่วยยกกระเป๋าให้ฝั่งนั้นอย่างเงียบๆ ไม่ได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจ ถือซะว่าเป็นการช่วยเหลือครั้งสุดท้ายก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีก
“เฮ้อ...” ลู่หานยืนมองนักเรียนขึ้นเรืออยู่ตรงสุดทางท่าเรือ ได้ยินเสียงถอนหายใจอยู่ไม่ไกลแต่ก็ไม่ได้หันไปมองอย่างใด
“กวางน้อย...”
“...เสียดายจังเลยไม่ได้เจอกวางน้อยแล้ว” เสียงที่ดังขึ้นเหนือศีรษะหลายหนทำให้ลู่หานเงยหน้ามองอย่างแปลกใจก่อนจะพบหน้าของผู้ชายจอมกวนประสาทของโรงเรียนเซอร์เพนไทน์
“รู้สึกดีมากเลยที่จะไม่ได้เจอนายอีก” ลู่หานทำหน้าตึงใส่มาร์คที่เท้าคางพูดกับเขาอยู่ที่ขอบเรือก่อนจะทำหน้าแปลกใจที่มาร์ครู้คำแปลของชื่อเขา
“ฉันเป็นคนจีนแต่โตที่อเมริกาไม่ต้องแปลกใจไป”
“ไม่ได้อยากรู้เลย จะไปไหนก็ไปเถอะไป” ลู่หานออกปากไล่อย่างรำคาญ
“นี่อย่างน้อยก็รับฉันเป็นเพื่อนต่างโรงเรียนสักคนสิ”
“ต่อไปนี้ก็ไม่ได้เจอกันอีกแล้ว จะเป็นเพื่อนกันไปทำไม”
“แน่ใจ?”
มาร์คทิ้งท้ายไว้กับรอยยิ้มมุมปากและหน้าเจ้าเล่ห์แบบที่ชอบทำก่อนจะหายเข้าไปในเรือ ลู่หานเงยหน้ามองค้างอยู่แบบนั้นและกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ในใจ
ดูหมอนั่นมั่นใจซะเหลือเกินว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง
Talk : ver. Edit แต่ยังมีคำผิดหรือบางประโยคอ่านแล้วไม่เข้าใจก็บอกได้เลยค่ะ จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง
111214
ตอบเม้นท์คิคุ (ไม่เล่นมุกสวยล่ะ เดี๋ยวคนอ่านหมั่น 555)
ร้องเพลง ฉันผิดเองที่ดูดีมากไป ฉันผิดเองที่มันสวยเกินห้ามใจ~! จะได้กินรองเท้าก็ตอนนี้แหละ
สู้ๆๆค่ะไรต์ ^^ /// ขอบคุณน้าาา น่ารักจังเลย ล้องห้ายดีใจฝุดดด T_T
รอน้า /// ขอบคุณที่ชอบค่ะ จะพยายามแต่งให้ดียิ่งขึ้นๆ ไปอีกนะ