คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : COURAGE : ตอนที่ 2 ก่อนเริ่มภารกิจ
คอราจ : ตอนที่ 2
ก่อนเริ่มภารกิจ
“ถึงแล้ว...นี่แหละห้องผู้อำนวยการ”
“คือบ้านสไตล์โมเดิร์น...ในป่าเนี่ยอ่ะนะ”
“ก็นะ...จะไปรู้ได้ไงว่าเขาคิดอะไร”
ลู่หานอ้าปากค้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นกะทัดรัดที่สำคัญประตูทางเข้านี่สีชมพูแปร๋นมาก ก็ถือว่าสวยนั่นแหละ แต่ที่อ้าปากค้างก็เพราะมาสร้างอยู่ในป่าแบบนี้นี่แหละ ช่างขัดและเป็นเอกลักษณ์เสียจริงๆ
เดาว่าผู้อำนวยการไม่ใช่ผู้หญิงก็ต้องเพศที่สามแน่นอน
“ผู้อำนวยการนี่เป็นผู้หญิงรึเปล่า?”
“รู้ได้ไง เคยเจอเหรอ?”
“เดาน่ะ ดูจากความคิดที่สร้างบ้านแบบนี้กลางป่าและทาสีแบบนี้แล้ว...คิดได้สองอย่าง”
“คือ?”
“ไม่ผู้หญิงก็กะเทย”
“อุ๊บ...อย่าไปพูดให้เขาได้ยินเลยนะ ฮ่ะๆ”
เซฮุนกลั้นหัวเราะก่อนจะปล่อยฮาออกมาสั้นๆ ลู่หานเบิกตาและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่คาดคิดว่าเซฮุนจะหัวเราะกับความคิดตลกๆ ของเขา แสดงว่า...เขาก็เคยคิดเหมือนกันน่ะสิ
“เชิญเข้ามา”
ลู่หานตกใจนิดหน่อยกับเสียงที่ลอดออกมาจากอินเตอร์คอมที่อยู่หน้าบ้าน เขากับเซฮุนยังไม่ทันกดกริ่งหรือทำอะไรก็มีเสียงเชิญให้เข้าไปซะแล้ว
“ระบบตอบรับอัตโนมัติหรอ?” ลู่หานถามขึ้นเมื่อจู่ๆ ประตูก็เปิดออกก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไป
“ผอ. ไม่ใช่คนธรรมดาหรอกนะ”
“-_-?”
“ไฮ!~ลูกชายเวเกเนอร์ ขอกอดทีสิ” ลู่หานยอมให้หญิงวัยกลางคนท่าทางสดใสกอดอย่างงงๆ เขาเหลือบตาไปมองเซฮุนแต่เซฮุนแค่ยักไหล่กลับมาเหมือนกับจะบอกว่าไม่มีอะไรหรอก
“สวัสดีครับ ผอ.”
“เรียกฉันว่าศาสตราจารย์เคธีก็ได้จ้ะ เชิญนั่งก่อน”
“ว่าแต่ภารกิจของผมนี่มันคืออะไรหรอครับ?”
“ฮะๆ เธอรีบขนาดนั้นเลยหรอ?”
“ก็ผอ. เรียกผมมาคุยเรื่องนี้...”
“ใช่ ฉันเรียกเธอมาคุยเรื่องภารกิจ แต่ก็ไม่ได้รีบขนาดนั้น ก่อนจะทำภารกิจเธอต้องได้รับการฝึกสี่แขนงซะก่อน”
ลู่หานขมวดคิ้วไม่เข้าใจในคำพูดของศาสตราจารย์เคธี ศาสตราจารย์เคธียิ้มบางๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่านั่งหลังตรงแล้วอธิบายให้ลู่หานฟัง
“วิชาที่เธอต้องรับการฝึกคือดาบ ธนู การป้องกันตัวและวิชาเวท”
“วิชาเวท?”
“พลังที่เธอมีก็คือวิชาเวท ถึงจะไม่ได้แสดงออกมาเป็นรูปร่างแต่เธอสามารถควบคุมสิ่งของได้อาจจะเรียกอีกอย่างว่าพลังกระแสจิต นั้นเป็นเวทที่น่ากลัวรู้รึเปล่า...เซฮุนอาจจะเคยได้ยินมาแล้ว เรื่องของคนที่เคยมีพลังแบบเธอแล้วเขาใช้มันในทางที่ผิด เขาใช้ควบคุมจิตใจคนให้ทำนู้นทำนี่ จนสุดท้ายเขาก็พลาด...เวทนั้นย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง...อ้อ เธอคงรู้แล้วสินะว่าเซฮุนมีพลังอะไร”
“ทราบจากชานยอลแล้วครับ”
“นั่นแหละ พวกเธอสองคนได้พลังที่น่ากลัวทั้งคู่ คนหนึ่งสามารถควบคุมในขณะที่อีกคนต้องทำลาย ฉันถึงให้พวกเธอมาคู่กัน เซฮุนก็อยู่ที่นี่มานาน แต่เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมมันได้สมบูรณ์ฉันถึงลองให้เขาคู่กับเธอดู เผื่อจะไปด้วยกันได้...แต่พลังของเซฮุนก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดทำลายล้างโลกหรอกนะ ไม่ต้องกลัว” …ก็แค่ตอนนี้ล่ะนะ
“ถ้าผอ. เคยดูหนังบนโลกมันก็น่าคิดนะครับ...ก็ชื่อมันอลังการซะขนาดนั้น”
“ก็เพราะฉันเคยดูแล้วก็คิดว่าเธอก็ต้องเคยดูนี่แหละ เลยพูดดักไว้ก่อน”
“แล้วเรื่องของพ่อผมที่เขาพูดกันนี่มันจริงหรือเปล่าครับ?”
“จริงที่พ่อเธอเป็นฮีโร่ แต่มันมีอะไรลึกกว่านั้น...” ศาสตราจารย์เคธีปรายตาไปทางเซฮุนเหมือนจะถามลู่หานว่าอยากให้เขาออกไปรึเปล่า ลู่หานยิ้มก่อนจะบอก
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้ว พูดไปก็แก้อะไรไม่ได้ แล้วผมก็คิดว่าเขาคงไม่บอกใครหรอกครับ”
เซฮุนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง...ลู่หานไว้ใจเขาขนาดนั้นเชียวหรือทั้งที่เพิ่งเจอกันแท้ๆ แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบก่อนจะแกล้งหันหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่อยากรับรู้แทน
“เรื่องจริงเลยก็คือตอนที่พ่อเธอมาฝึกเขามีแฟนอยู่คนหนึ่ง เธอคนนั้นบุกไปที่รังยักษ์ไซคลอปส์เพื่อจะทดสอบวิชาที่ได้ไป แต่ดันไม่สามารถจัดการได้ เลยหนีกลับมาที่โรงเรียนแล้วก็คิดไม่ถึงว่ายักษ์จะตามมาด้วย ช่วงนั้นกำแพงเวทมนตร์ถูกทำลายไปด้วยเลยทำให้พวกมันเข้ามาได้ง่าย พ่อเธอมาสารภาพกับฉันว่าเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงเขารู้เพียงแค่ว่าอยากให้ทุกคนปลอดภัย จริงๆ แล้วเขาอยากจะควบคุมให้มันเลิกโกรธแล้วกลับไปแต่มันดันพลาดกลายเป็นว่าให้พวกมันทะเลาะกันเอง ก็ยังดีที่ทำพลาดแต่ได้ผล พวกมันหันมาทะเลาะกันเองแล้ววิ่งออกนอกเขตโรงเรียนไป ทุกคนจึงปลอดภัย ไม่มีใครรู้เรื่องจริงนอกจากฉันและอาจารย์เซนดริก พวกเด็กๆ สมัยนั้นก็คิดว่าเขาตั้งใจให้พวกมันทะเลาะกัน พวกเราก็เลยปล่อยให้เด็กๆ คิดอย่างนั้นไป เด็กๆ ไม่รู้ว่ายักษ์มาได้อย่างไร ถ้ารู้ว่าต้นเหตุมาจากแฟนพ่อเธอก็คงจะไม่ดี ฉันยอมรับเลยว่าพ่อเธอเป็นศิษย์คนโปรดของฉัน...และฉันก็หวังในตัวเธอไว้มาก”
“โอ้...อย่าฝากไว้ที่ผมดีกว่าครับ ผมยังไม่มั่นใจในตัวเองเลย ผมทำได้แค่ควบคุมสิ่งของเล็กๆ เท่านั้น”
“เพราะแบบนั้นถึงมีโรงเรียนเราไงล่ะ นอกจากจะฝึกสิ่งต่างๆ ให้พวกเธอแล้วพวกเราก็ยังพยายามช่วยให้เธอดึงพลังออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โรงเรียนนี้สอนให้พวกเธอเป็นนักเวทที่ดี แต่โรงเรียนด้านมืดก็มี เธอควรระวังตัวไว้ประมาณกลางเดือนจะมีนักเรียนแปลกหน้ามาที่โรงเรียนเรา ถึงเบื้องหน้าการสอนของโรงเรียนนั้นจะเหมือนโรงเรียนเราแต่เบื้องหลังโรงเรียนนั้นสอนนักเรียนให้ใช้เวทในทางที่ผิด”
“แล้วไม่มีใครสามารถจัดการได้เลยหรอครับ?”
“ฉันก็อยากจะจัดการถ้าเจ้าของโรงเรียนเขาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของฉัน” ลู่หานเห็นความหมองหม่นในแววตาของศาสตราจารย์เคธีที่ฉายออกมาอย่างชัดเจน “เอาล่ะ เข้าเรื่องภารกิจของเธอสักที”
“ครับ”
“ให้เธอเตรียมใจไว้เนิ่นๆ เลยดีกว่า”
“เตรียมใจเลยหรอครับ?”
“อ่าหะ ไม่ต้องเครียดมากก็ได้นะ หลังจากการฝึกแล้วเธอจะมั่นใจขึ้น หลังจากฝึกได้สองอาทิตย์แล้ว ฉันก็จะเรียกตัวเธอมาที่นี่อีกครั้งเพื่อเตรียมตัวออกทำภารกิจ และภารกิจของเธอก็คือ...ฉกลูกเสือ”
“ครับ?”
“หมายถึงขโมยลูกเสือนั่นแหละ ลูกของเสือน่ะ”
“มันไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะครับ...เสือเป็นๆ เนี่ยนะครับ!” ลู่หานแทบจะลุกพรวดเพราะเขาออกเสียงสูงมาก ก็มันน่าตกใจจริงๆ นี่ ใครจะไปกล้ากันล่ะ
“มันถึงเรียกว่าภารกิจไงล่ะ แต่ข้อดีหลังจากที่เธอได้มันมาแล้ว เราไม่ทำอะไรมันหรอกแต่เราจะให้เธอเลี้ยงมันเหมือนสัตว์เลี้ยง มันจะเป็นทั้งสัตว์เลี้ยงและเพื่อนของเธอ ยามใดที่เธอมีเรื่องเดือดร้อนมันจะสามารถไปช่วยเธอได้ ยิ่งถ้าเธอผูกมิตรกับหัวหน้าฝูงได้แล้วล่ะก็...จะเป็นเรื่องดีมากๆ เลย”
ใครจะไปคุยกับเสือรู้เรื่องกันล่ะ!
“เธอคุยกับเขารู้เรื่องแน่นอน ที่ป่านี้ไม่มีคำว่าธรรมดาหรอกนะ มีแต่คำว่าเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ จำคำนี้ไว้ให้ดีๆ เอาล่ะ...ฉันบอกเธอเรียบร้อยหมดแล้ว ฉันจะให้เธอพักพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน ส่วนหลังจากนั้นจะเป็นการฝึกฝนสี่แขนง ขอให้เธอโชคดี อ้อ...ระหว่างฝึกห้ามใช้พลังยกเว้นวิชาเวท เอาล่ะ...ฉันต้องออกไปข้างนอกต่อ” ศาสตราจารย์เคธีควักเจ้าโทรศัพท์ไฮเทคนั่นขึ้นมาก่อนจะชูมันขึ้นแล้วแก้ไขความข้องใจให้ลู่หาน
“มันเรียกว่าวาร์ปโฟนนะ อย่าเรียกยาวๆ แบบนั้นเลย” เธอยิ้มกว้างก่อนจะใช้วาร์ปโฟนนั่นแล้วเธอก็หายไปในพริบตา ลู่หานหันไปมองเซฮุนอย่างช้าๆ ก่อนจะถามคำถามที่คาใจมานาน
“เธออ่านใจคนออกใช่ไหม?”
“ถูกต้อง ดีนะที่นายรู้ทัน”
ลู่หานรู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ได้คิดอะไรมากมายขณะคุยกับศาสตราจารย์เคธี เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินนำเซฮุนออกไป
“นายจะไปหาแบคฮยอนสินะ”
“อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้น แล้วนาย...”
“ฉันคงไปหาชานยอลน่ะ เขาบอกว่าจะพาไปกินข้าวเย็น”
“เห็นหงิมๆ นี่ก็ไวไฟกันดีนะ”
“ขอโทษเถอะ เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นแหละ”
“แล้วจะคอยดู” ลู่หานเบ้ปากก่อนจะเดินจ้ำพรวดให้ออกห่างเซฮุนมากที่สุด
ผู้ชายอะไรปากคอเราะร้ายชะมัด...คิดว่าเป็นพวกเย็นๆ หยิ่งๆ ไม่สนใจโลกซะอีก
“ชานยอลลล อยู่ไหม?” ลู่หานยืนตะโกนอยู่หน้ากระท่อมของชานยอล ก่อนที่เจ้าของห้องจะเปิดประตูออกมาแล้วยิ้มจนตาหยีแถมฟันที่มาเกือบครบปาก ชานยอลเปิดประตูกว้างขึ้นเพื่อให้ลู่หานเข้าไป
“ทำไมรีบมาล่ะ ยังไม่เย็นเลย”
“ฉันไม่มีอะไรทำ อยากมาดูห้องนายด้วย สะอาดกว่าที่คิดนะ”
“ก็ฉันไม่ใช่คนซกมก พูดเล่นไปงั้นแหละ”
“จ้าๆ เฮ้ย! เจ๋งอ่ะ มีตู้เย็นด้วยหรอ?”
“อ่าหะ...ก็ฉันอยู่มาเกือบสองปีแล้ว แต่ตู้เย็นฉันไม่ได้ใช้ไฟฟ้า”
“แล้วใช้อะไรล่ะ?”
ชานยอลไม่ตอบแต่เดินนำลู่หานไปข้างหลังตู้เย็นก่อนจะกวักมือเรียกให้เข้ามาดู ลู่หานเมื่อมาเห็นแล้วก็เบิกตากว้างก่อนจะยิ้มบางๆ กับสิ่งที่เห็นและน่าอัศจรรย์
“เจ๋ง แต่มันคงไม่ออกมาไหม้บ้านนายหรอกนะ?” สิ่งที่ลู่หานเห็นคือลูกไฟขนาดเล็กที่อยู่เหนือมอเตอร์ตู้เย็น ลูกไฟนั้นทำให้มอเตอร์หมุนได้ ซึ่งเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง
“ถ้าไหม้แล้วจะใช้ทำไมล่ะ”
“ทำไมถึงใช้ลูกไฟแบบนี้ล่ะ แล้วของคนอื่นมีรึเปล่า?”
“ก็แล้วแต่นะ แต่ฉันขี้เกียจออกไปข้างนอกบ่อยๆ ก็เลยซื้อตู้เย็นมา ส่วนการใช้พลัง...ไม่ใช่แค่ตู้เย็นหรอกนะ แต่ของทุกอย่างที่มาจากโลก ต้องใช้พลังงานของเจ้าของขับเคลื่อนถึงจะใช้การได้”
“อ้าว อย่างงี้ฉันก็มีได้อ่ะดิ?”
“ยัง นายมีได้อย่างมากก็แค่วาร์ปโฟน ต้องผ่านเวทการใช้พลังขับเคลื่อนก่อนนายถึงจะมีของที่มาจากโลกได้”
“งี้นายก็มีคอมอ่ะดิ?”
“มีดิ แต่ไม่มีเน็ตนะ ฉันเอาไว้พิมพ์ข้อมูลการเรียนเก็บไว้เฉยๆ เผื่อกลับไปโลกแล้วจะเขียนหนังสือขาย” ชานยอลบอกก่อนจะหยิบแล็ปท็อปออกมาจากตู้เสื้อผ้าเพื่ออวดลู่หานแล้วเก็บกลับไปที่เดิม
“งั้นเซฮุนอยู่มาหลายปีแล้วก็ต้องมีอะไรเยอะแยะแน่เลย” ลู่หานนึกถึงคู่หูของตัวเองที่อยู่ที่นี่มานานกว่าชานยอล ขนาดชานยอลยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างขนาดนี้เพียงแค่อยู่มาสองปีแล้วคนที่อยู่มาสี่ปีอย่างเซฮุนจะมีสักกี่อย่างกันนะ
“อยากเข้าไปดูห้องหมอนั่นไหม?”
“เฮ้ย ไม่ดีหรอก ไปบุกห้องเขาได้ไง”
“ใครบอกจะพาไป แค่ถาม”
ลู่หานหรี่ตามองชานยอลด้วยความคับแค้นใจ หมอนี่จะกวนเขาเยอะไปไหม?
“ฉันหิวน้ำ ขอน้ำหน่อย”
“ครับๆ เดี๋ยวทำให้ครับ รอสักครู่ครับนายท่าน” ชานยอลทำเป็นอ่อนน้อม เขาก็รู้ตัวนั่นแหละว่าเมื่อกี้คงกวนประสาทเพื่อนใหม่เยอะไปหน่อย เลยเอาใจสักนิด แต่คนฟังน่ะ...คิดว่าเขาประชดไปแล้วแหละ
“แล้วภารกิจเป็นไง เขาบอกรึยัง?” ชานยอลถือแก้วน้ำมาสองแก้วก่อนจะยื่นให้นั่งลงข้างๆ ลู่หานแล้วยื่นแก้วให้ แล้วถามพลางจิบน้ำไปด้วย
“ให้ฉันไปขโมยลูกเสือ”
“พรวด! ห๊ะ!” ชานยอลตกใจจนเกือบจะปล่อยแก้วหลุดมือ
นี่แหละ...เสียงสูงพอๆ กับฉันตอนได้ยินเลย ลู่หานคิดในใจ
“ตามนั้น...”
“ไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยหรอ?”
“กลัวดิ แต่ก็ไม่รู้สิ ฉันมีลางสังหรณ์ว่าฉันทำได้”
“นายอาจจะทำได้...ดูแล้วนายเป็นคนเหนือความคาดหมาย”
“งั้นหรอ ขอบใจที่ให้กำลังใจกัน ไหนบอกฉันสิว่าเวลาฝึกฉันควรทำตัวยังไง”
ชานยอลนั่งคุยกับลู่หานไปเรื่อยๆ ถามเรื่องเรียนบ้างเรื่องส่วนตัวบ้าง สลับกันไป จนลู่หานง่วงนอนและของีบที่ห้องชานยอลก่อนจะออกไปกินข้าว ชานยอลเห็นว่าลู่หานคงเพลียเลยปล่อยให้นอนพัก ส่วนเขาก็นั่งเล่นเกมส์ในแล็ปท็อปรอเวลา
พอเวลาอาหารมื้อเย็นมาถึงเขาก็ปลุกให้ลู่หานไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะอธิบายเรื่องการทานอาหารที่โรงอาหาร การทานอาหารของที่นี่จะเป็นเวลา ทุกคนจะต้องทานพร้อมกันทุกเช้าเย็น ส่วนมื้อกลางวันนั้นแล้วแต่คน เพราะช่วงกลางวันบางคนก็ติดฝึกเลยนัดให้ทานพร้อมกันไม่ได้ จึงมีแค่เช้ากับเย็นของทุกวันที่เด็กคอราจจะเจอหน้ากันครบ อาหารเช้าเจ็ดนาฬิกาและอาหารเย็นหกนาฬิกา ต้องมาก่อนหรือให้เป๊ะ ไม่อย่างนั้นจะอดกิน
“บางทีก็โหดไปนะ” ลู่หานพูดออกมาหลังจากฟังจบ ตอนนี้ทั้งคู่มานั่งอยู่ที่โรงอาหารแล้ว ก็เหมือนโรงอาหารทั่วไปที่วัยรุ่นเจอกันแล้วเสียงคงดังขึ้นมาเป็นเจ็ดสิบแปดสิบเดซิเบล แต่ที่นี่คงเสียงไม่ก้องเท่าไหร่เพราะเป็นโรงอาหารแบบเปิดโล่ง มีแค่หลังคาคอยกันฝนกับเสารับน้ำหนักเท่านั้นแหละ แต่โต๊ะนี่ถือว่าโอเคอยู่ ก็นะ...อยู่กลางป่าก็ต้องกลมกลืนสิ
“เซฮุนมันจะมารึเปล่า?”
“อ้อ...วันนี้คงไม่มาอ่ะ เห็นแบคฮยอนชวนกลับโลก”
“แบคฮยอนคงได้ตั๋ว”
“อืม เห็นเขาว่างั้น”
“ถ้านายหรือฉันได้ตั๋วเราต้องไปด้วยกันนะ สัญญาเพื่อนสนิท”
“นี่เราสนิทกันแล้วหรอ?”
“เอาน่า ไหนๆ เราก็เข้าห้องกันและกันไปแล้ว สนิทแล้วกันนะ”
“เชื่อนายเลย” ลู่หานยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของชานยอลที่จ่ออยู่นานแล้ว ลู่หานยิ้มและส่ายหัวก่อนจะลงมือทานอาหารของตัวเอง แต่แล้วเขาก็ต้องเอาช้อนคาปากไว้สักพักเพราะงงกับผู้มาเยือนที่นั่งลงข้างๆ ตัวเอง
“ไหนว่าจะไปกับแบคฮยอน?”
“อาจารย์เซนดริกมีเรื่องด่วนจะประกาศ เลยระงับการกลับโลก”
“อ้อ แล้ว...” ลู่หานกำลังจะถามหาแบคฮยอนแต่เจ้าตัวดันโผล่มาซะก่อน แบคฮยอนนั่งลงข้างๆ ชานยอลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามลู่หานก่อนจะกล่าวทักทาย
“หวัดดี มื้อแรกของนายเลยใช่ไหม?”
“อือฮึ หลังจากชิมไปเมื่อกี้ก็ถือว่ารสชาติโอเค”
“อย่าพูดว่าโอเคให้แม่ครัวได้ยินล่ะ เธอชอบคำว่าอร่อยมากๆ เท่านั้น”
“ฮ่ะๆ จะบอกว่าอร่อยก็ได้นะ แต่มากๆ นี่คงไม่จริง”
“เห็นด้วยเลย” ชานยอลพูดขึ้นบ้าง
“เอ่อ...อยากย้ายที่ไหม เดี๋ยวฉัน...” ลู่หานพูดกับแบคฮยอน ก็นะ...ที่ว่างมันดันเหลือตรงกลางโต๊ะอาหารและมันก็เหลือคนละฝั่งซะด้วย เขาก็เลยเสนอเผื่อแฟนเค้าอยากนั่งด้วยกัน
“ไม่เป็นไร นั่งตรงข้ามแหละดีแล้ว ฉันขี้เกียจหันคอคุย เมื่อย” แบคฮยอนตอบก่อนจะเริ่มตักอาหารเข้าปาก
“โอเค”
แกร๊งๆๆ
เสียงเหล็กกระทบกันทำให้ทุกคนเงียบและหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนที่ทุกคนจะปล่อยช้อนแล้วตั้งใจฟังว่าเขาคนนั้นจะพูดอะไร ‘เซนดริก โจนส์’ คืออาจารย์ที่ทุกคนนับถือ เพราะเขาเป็นห่วงศิษย์และดูแลศิษย์ทุกคนอย่างทั่วถึง เด็กที่คอราจจึงเคารพและรักเขามาก
“ขอขัดเวลาสักครู่นะเด็กๆ วันนี้ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องมาแจ้งให้รู้ วันมะรืนนี้เด็กจากโรงเรียนเซอร์เพนไทน์จะมาเยี่ยมโรงเรียนเรา ใช่...ฉันก็คิดเหมือนพวกเธอว่ามันผิดปกติ เลยมาบอกให้รู้ล่วงหน้า พวกเธอต้องระวังตัวให้มากๆ และตั้งสติให้ดี เมื่อมีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้วาร์ปมาหาครูหรือ ผอ. เท่านั้น ใครที่ไม่มีวาร์ปโฟนหรือทำหายมารับได้ที่ครูวันพรุ่งนี้ ขอให้พวกเธอโชคดี เชิญทานข้าวต่อได้”
ประเด็นที่เซนดริกออกมาพูด ทำให้เด็กๆ เริ่มเปลี่ยนหัวข้อคุยเป็นเรื่องเพื่อนที่จะมาเยี่ยมโรงเรียนแทน ลู่หานคิดไปถึงตอนที่ ผอ. พูดเกี่ยวกับโรงเรียนหนึ่งที่เป็นของพี่ชายเธอ ก่อนจะกัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิดแล้วถามเซฮุน
“ใช่ที่ผอ. บอกฉันหรือเปล่า?”
“ใช่ โรงเรียนนั้นแหละ”
“ทำไมเขาถึงมาเร็วขึ้นล่ะ?”
“เราไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรนอกจากผอ.”
“เราไม่มีสิทธิ์รู้เลยหรอ?”
“การรู้อะไรมากเกินไปเป็นสิ่งไม่ดี โรงเรียนนี้อาจจะมีพวกของเซอร์เพนไทน์แฝงอยู่ นายก็อย่าไว้ใจใครมาก”
“นายด้วยรึเปล่า?”
“ถ้าจะคิดอย่างนั้นก็เอาเถอะ...”
“ฉันล้อเล่นน่า พรุ่งนี้พาฉันไปเอาวาร์ปโฟนด้วยนะ ฉันไม่รู้ว่าอาจารย์เซนดริกอยู่ที่ไหน”
“นึกว่าอยากไปกับเพื่อนสนิทนายซะอีก”
“ฉันต้องใช้คู่หูของฉันบ้างสิ นี่...นายน่ะ อย่าทำตัวให้มันเข้าถึงยากสิ จะปิดกั้นตัวเองเพื่ออะไร?”
“ไม่ได้ปิดกั้นซะหน่อย”
“ที่ทำอยู่นี่แหละเขาเรียกว่าปิดกั้น หัดเปิดใจซะบ้างนะ”
“กล้าสอนฉันเหรอ?” ดูจากคำพูดแล้วลู่หานก็คิดว่าเขาคงจะขมขู่อยู่แน่ๆ แต่พอฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนเขาแค่ล้อเล่น ลู่หานยิ้มบางก่อนจะบอก
“เนี่ย หัดล้อเล่นกับเพื่อนแบบนี้บ้างก็ได้ ไม่ตายหรอก”
“นายก็ระวังไว้เถอะ ทำตัวเหมือนไม่กลัวอะไร ระวังจะตายไม่รู้ตัว”
“นายจะฆ่าฉันรึไง?”
“ฉันคงไม่ทำ แต่อาจจะมีคนหมั่นไส้นายก็ได้ เพราะนายเป็นลูกชายของคนดังซะด้วยสิ”
“อย่ามาอิจฉาฉันเลย ฉันทำอะไรไม่เป็นหรอก”
“อย่ามาถ่อมตัว ไหนลองยกช้อนให้ดูสิ”
“ผอ. บอกว่าห้ามใช้”
“ก็ยกต่ำๆ สิ”
ลู่หานกลอกตาไปมาก่อนจะวางช้อนแล้วเพ่งสมาธิไปที่มัน ช้อนนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นภายในไม่กี่วิก่อนจะตกหวืดอยู่ในมือของเขา
“ถือว่าทำได้เร็ว แปลกที่พ่อนายไม่เคยสอน แต่นายสามารถทำเองได้”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่าตอนเด็กๆ ฉันมีความคิดแปลกๆ ฉันอยากให้ตุ๊กตาเดินได้ ฉันอยากให้ดินน้ำมันมีชีวิต แค่คิดแล้วก็มองไปที่พวกมัน อยู่ดีๆ พวกมันก็เป็นแบบนั้นเฉยเลย แล้วนายล่ะ...รู้ด้วยตัวเองรึเปล่า?”
“จะว่างั้นก็ได้ แต่ที่บ้านฉันไม่ปิด ตอนฉันอายุเจ็ดแปดขวบฉันทะเลาะกับเพื่อนฉันโกรธมากแล้วจู่ๆ ก็มีลมพัดเข้ามาแรงมากจนเพื่อนฉันลอยไปกระแทกกำแพง พอพ่อรู้ พ่อก็เล่าเรื่องความลับของครอบครัวให้ฉันฟัง ฉันก็เลยรู้ตัวตนตั้งแต่ตอนนั้นแหละ”
“นายยังดีที่พ่อแม่นายบอกอะไรบ้าง”
“พ่อแม่นายอาจจะไม่อยากให้นายมาที่นี่ก็ได้ล่ะมั้ง อยากให้นายใช้ชีวิตธรรมดาๆ แบบปกปิดตัวตน แต่ฉันว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างที่พวกเขาส่งนายมาที่นี่”
“ฉันก็อยากรู้ว่าทำไม?”
“นายอาจจะเป็นตำนานอีกคนก็ได้”
“คงไม่มีทาง ฉันคงไม่ทำแบบพ่อฉันหรอก”
ลู่หานส่ายหัวเป็นพัลวันก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อไป เงยหน้าคุยกับคนอื่นๆ บ้าง แต่ในใจก็คิดถึงสิ่งที่เซฮุนพูด
เหตุผลที่เขามาที่นี่...คืออะไรกันแน่?
Talk : อะวู้วฮู้ วู้ววว รีทัชคำผิด 5555
6 ธ.ค.57
ความคิดเห็น