ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายลับเขย่ารัก

    ลำดับตอนที่ #3 : ว่าจ้าง

    • อัปเดตล่าสุด 14 ธ.ค. 55



    ��������������� จุ จุ จุ ...

    ��������������� จิ้งจกสองตัวเกาะอยู่บนขอบประตูร้องขึ้นเสียงดัง� ยังผลให้ข้าวหอมเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนร่วมบ้านที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาทักมาทายอะไรกัน� สงสัยวันนี้จะมาให้หวยแม่กระมัง� หญิงสาวนึกขันอยู่ในใจ� ยังไม่ทันที่ขาเรียวจะได้ก้าวพ้นธรณีประตู� เสียงของมารดาก็ดังขึ้นด้านหลัง

    “เขาว่าจิ้งจกทักบนหัวจะมีเคราะห์นะลูกข้าวหอม� แม่ว่าวันนี้ให้แม่ไปขายเองดีกว่านะ� เราจะได้อยู่บ้านอ่านหนังสือสอบด้วย” น้ำเสียงปราณีที่ส่งมาหมายความตามนั้นจริงๆ

    “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่� แค่นี้สบายมาก� ข้าวหอบหนังสือไปอ่านที่ตลาดด้วย� ยังไงเทอมนี้ก็ต้องจบ ม.6 ให้ได้”

    “แต่แม่ว่า....”

    “แม่ไม่ต้องห่วงนะ� ข้าวหอมจะดูแลตัวเอง� เนี่ยมีไอ้ส้มฉุนไปเป็นเพื่อนด้วย� แม่ไม่ต้องห่วงเลย”

    จบการสนทนาเปมิกาก็ออกจากรั้วบ้านไปเข็นรถข้าวแกงที่เมื่อก่อนแม่ของเธอเข็นขายเป็นประจำ� มาช่วงนี้ที่โรคภัยไข้เจ็บเข้ามารุมเร้า� ทำให้เปมิกาต้องออกไปขายของเอง� แล้วยังมีงานพิเศษช่วงกลางคืนอีกที่หล่อนพยายามจะทำให้ได้มากที่สุด� เพื่อเก็บเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษามารดา� และค่าใช้จ่ายอื่นๆภายในบ้าน� ที่เชียงใหม่นี่อะไรๆก็แพง� จะแพงเสียยิ่งกว่ากรุงเทพอีกกระมัง� แต่จะทำไงได้ก็แม่วรรณา� มารดาของหล่อนไม่ยอมย้ายไปไหนเพราะที่นี่คือบ้านเกิด




    � � � � � � วันนี้เปมิกาก็ยังขายข้าวแกงได้หมดเหมือนเช่นทุกวัน� ตกเย็นหล่อนต้องรีบนำหม้อชามลามไหกลับไปล้างก่อนที่จะออกไปทำงานกะค่ำ� ที่ผับซึ่งอยู่ห่างจากตลาดไปไม่กี่กิโล �ส้มฉุนซึ่งตามมาเป็นลูกมือให้ข้าวหอมทุกวันก็ปั่นจักรยานคันเล็กตามมาต้อยๆ� แล้วทั้งสองก็ต้องหยุดเดินเมื่อมีชายแปลกหน้าสามคนมาดักหน้าไว้

    “สวัสดีจ้ะแม่หนู” ผู้ชายตาตี่ที่มีผมหลอมแหลมเต็มทนในสายตาเปมิกาเอ่ยทักอย่างสุภาพ

    “สวัสดีค่ะคุณลุง� มีอะไรกับฉันหรือคะ” เมื่อน้ำเสียงไมตรีส่งมา� หล่อนก็ตอบกลับไปอย่างมีไมตรีเช่นกัน

    “คือ... ลุงแล้วก็หลานอีกสองคน� อยากจะได้ตัวหนูไปทำงานด้วยน่ะจ้ะ� รายได้ที่ให้รับรองว่าสูงกว่าการมานั่งขายข้าวแกงแต่เช้าทุกวันอย่างนี้แน่นอน� หนูสนใจมั้ย?” ถามออกไปอย่างนั้น� แต่ในใจจ่าเฉยนี่ตอบแทนให้แล้วว่า จงสนใจเถิด� หากแต่คำตอบที่ได้กลับมาก็ทำให้ทั้งสามอ้าปากหวอไปตามๆกัน

    “ไม่อ่ะค่ะ� อาชีพที่ทำอยู่นี่ก็ดีอยู่แล้ว ถึงรายได้ไม่มากแต่ก็สุจริต� แล้วดูลักษณะพวกคุณแล้วดิฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันจะสุจริตรึป่าว� ขอโทษนะคะ ขอทางหน่อย ต้องรีบกลับไปทำมาหากิน” คำตอบตรงๆผ่านเข้าหูของทั้งสามทำเอาอึ้งกันไปเป็นแถบๆ� ก่อนที่ชยินจะเอ่ยซ้อนทับขึ้นมา

    “แล้วถ้าคุณไปทำงานนี้แล้ว� เราจะดูแลค่าใช้จ่ายเรื่องการรักษาพยาบาลแม่ของคุณให้ล่ะ� คุณจะสนใจมั้ยครับ� ผมรับรองว่างานของพวกผมสุจริตแน่นอน”

    “คุณรู้เรื่องของฉันได้ยังไง” หญิงสาวข่มเสียงตระหนกไว้สุดกำลัง� พวกนี้เป็นใครกัน� ใส่แจ็คเก็ตสีดำกับกางเกงยีนส์� แว่นตาดำนั่นอีกเล่า� ดูไม่น่าไว้ใจสักนิด!

    “เราไปนั่งคุยกันด้านนู้นดีกว่า”

    ���������������





    ��������������� ประตูบ้านไม้ที่เก่าเต็มทนถูกเปิดออก� พร้อมกับร่างบางที่เดินเข้ามาภายในบ้าน� ส่งเสียงเรียกหามารดาแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ� หรือว่าอยู่บนบ้านนะ� ไวเท้าความคิดเท้าเรียวก้าวขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของแม่� แต่ก็ต้องผิดหวัง� จึงวิ่งเหยาะๆลงบันไดเข้าไปในครัว�

    � � � � � � � �

    ภาพตรงหน้าที่เห็นเล่นเอาหัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ�



    แม่!!!



    หญิงร่างท้วมนอนสลบอยู่หน้าตู้เย็น� ใบหน้าอวบอูมซีดเซียว� เลือดยังเลอะอยู่ที่ริมฝีปากแห้งผากนั่น �ในมือของหล่อนกำกระดาษทิชชู่ที่มีรอยคราบเลือดติดอยู่� เปมิกามือไม้สั่นตรงเข้าเขย่าร่างของแม่� หากแต่หล่อนก็ไม่ฟื้นขึ้น� จึงจำต้องออกไปโบกรถเมล์แดงหน้าบ้านเพื่อพาแม่ไปส่งโรงพยาบาล




    1 ชั่วโมงก่อนหน้านี้....


    “เราทราบว่าแม่ของคุณป่วยเป็นมะเร็งปอด� และเราคิดว่าเราน่าจะพอช่วยคุณได้”

    “ด้วยการให้ดิฉันไปทำงานกับคุณงั้นหรือคะ”

    “ใช่ครับ� ที่จริงแล้วพวกเราเป็นตำรวจ� และกำลังต้องการสายลับที่คุณลักษณะอย่างที่เจ้านายต้องการ� และคุณ... ก็คือผู้หญิงคนนั้น” ชยินตอบ

    “งานของพวกคุณคงใหญ่มากสินะคะ� ถึงได้ลงทุนจ้างสายลับแพงขนาดนี้”

    “ครับ� ก็ถ้าคุณตกลงทำสัญญากับพวกเรา� ผมจะเชิญคุณไปผมสารวัตรเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้”

    “ดิฉันคิดว่า� พวกคุณอย่ามาเสียเวลากับดิฉันเลยจะดีกว่านะคะ� คนอื่นที่เขามีความสามารถในเชียงใหม่มีเยอะแยะ� ถ้าคุณจะลองค้นดูให้ทั่วเท่านั้น� อีกอย่างแม่ฉันก็ยังใช้ชีวิตอย่างปกติสุขดี� ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร... ” ปฏิเสธเสียงเรียบ

    “สองวันครับ� ผมให้เวลาคุณในการตัดสินใจสองวัน� ถ้าวันเสาร์นี้ภายในเที่ยงคืนคุณยังไม่เปลี่ยนใจ� ผมก็จะเคารพสิทธิ์การตัดสินใจของคุณ� แต่ถ้าคุณติดต่อกลับมา� ผมจะนัดพบคุณอีกครั้ง” กล่าวจบทั้งสามก็เดินจากเปมิกาไป� ปล่อยปัญหาหนักไว้ให้หล่อนได้คิดทบทวน

    ��������������� หน้าห้องฉุกเฉินอันเงียบเชียบ� มีเพียงร่างบางนั่งเดียวดายอยู่บนเก้าอี้� สองมือยกขึ้นกุมทาบไว้กับหน้าผากเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวที่มักจะเกิดขึ้นเวลาเครียดเสมอ� ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับแพทย์ที่เดินออกมาจากห้องดังกล่าว� เปมิกาลุกขึ้นแทบจะทันที�

    “หมอคะ� แม่ฉันเป็นยังไงบ้าง”

    “อาการน่าเป็นห่วงนะครับ� เชิญด้านนี้”� เปมิกาเดินตามนายแพทย์ผู้นั้นเข้าไปยังห้องตรวจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพูดคุยกับเขา

    “ตอนนี้มะเร็งในปอดของคนไข้กำลังรุกราม� อาจเกิดจากการไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง� ตอนนี้ผมคิดว่ายังทันหากจะมีการผ่าตัดให้กับคนไข้”

    “แล้วแม่จะเป็นอะไรมากมั้ยคะ”� สีหน้าและแววตาบ่งบอกความกังวลออกมาจนคนเป็นหมอเองยังสงสาร� ก็วัยรุ่นตัวเท่านี้� ถึงจะรูปร่างหน้าสะสวยเหมือนสาวสะพรั่ง� แต่เขาก็คิดว่าหล่อนยังเด็กนัก

    “ถ้าได้รับการผ่าตัดภายในสัปดาห์นี้� ผมคิดว่าเปอร์เซ็นต์ความปลอดภัยก็จะมีสูงครับ”

    “ฉันขอพบแม่ได้มั้ยคะ...”

    ���������������

    � � � � � � � ในห้องพักรวมของคนไข้หญิง� บรรยากาศน่าอึดอัดมาคุไปทั่ว� ความโศกเศร้าครอบคลุมอยู่ทุกอณูในห้อง� บางเตียงอาการกำเริบ� ในขณะที่บางเตียงนอนสงบนิ่งไม่ไหวติง� ญาติๆที่เฝ้าอยู่ข้างๆมีสีหน้าหม่นหมองไม่แพ้กันเลยทีเดียว� เปมิกาก็เป็นอีกหนึ่งคนที่นั่งกุมมือมารดาอยู่ข้างเตียงพยาบาล� ในขณะที่วรรณาเพิ่งจะรู้สึกตัวได้เมื่อไม่นานมานี้เอง

    “แม่เป็นยังไงบ้าง� เจ็บตรงไหนมั้ย”

    “ไม่แล้วล่ะลูก� แค่เห็นหน้าลูกแม่ก็หายเจ็บแล้ว� หิวข้าวมั้ย� กินข้าวมารึยัง”

    “แม่ไม่ต้องห่วงข้าวหอมนะ� ข้าวหอมดูแลตัวเองแล้ว� แม่น่ะพักผ่อนเยอะๆเถอะ� เราจะได้กลับไปขายของด้วยกันอีกไง”� เสียงพูดคุยของทั้งสองเงียบลงเมื่อยาบรรเทาอาการปวดของวรรณาออกฤทธิ์ �เมื่อไม่มีสายตาของผู้เป็นแม่ที่จ้องมองมาแล้ว� ความกังวลก็ฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าสวยนั้นอีกครั้ง� หล่อนจะหาเงินจากที่ไหนมารักษาแม่� ลำพังแค่โครงการรักษาของรัฐบาลนั้นไม่อาจฉุดชีวิตของมารดาหล่อนไว้ได้แน่� พลันสมองก็ประหวัดนึกถึงผู้ชายสามคนเมื่อกลางวันนี้.... หล่อนคงต้องตัดสินใจแล้วสินะ!



    � � � � � � � � �“สวัสดีค่ะคุณตำรวจ”� เปมิกากระพุ่มมือไหว้ชยินและจ่าเฉยที่วันนี้มากันเพียงสองคนที่วัดแห่งหนึ่ง� นี่คงเป็นจุดนัดพบที่ปลอดจากสายตาของคนเลวที่สุดแล้วกระมัง� ชยินนึกค่อนขอดจ่าเฉยอยู่ในใจ

    “เรียกผมว่า� หมวดชยิน� กับจ่าเฉย ก็ได้ครับ”

    “ค่ะ� ดิฉันต้องการมาตอบตกลงข้อเสนอที่คุณให้ไว้เมื่อวันก่อน �คุณคงยังไม่ได้รับใครมาทำงานใช่มั้ยคะ?”� ถามออกไปอย่างสุภาพ� อยากจะลบไอ้ถ้อยคำขวานผ่าซากเมื่อสองวันก่อนที่หล่อนพูดกระแทกใส่เขาไปนัก

    “ครับ� ยังไม่ได้รับใคร� และยินดีมากที่คุณตอบรับงานของพวกเรา”

    “ฉันจะเริ่มงานได้วันไหนคะ”

    “พรุ่งนี้เราจะพาคุณไปพบสารวัตรครับคุณเปมิกา”

    “เรียกฉันว่า ข้าวหอม ก็ได้ค่ะ แล้วเรื่องค่ารักษาพยาบาล...”

    “หลังจากคุยข้อตกลงกันในวันพรุ่งนี้� เราจะส่งเงินช่วยเหลือคุณทันทีครับ”








    ___________________________________________






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×