ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Wing of Release

    ลำดับตอนที่ #9 : Release 07 [Mana Stone]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 539
      1
      8 มิ.ย. 51



    แก.... แก....!!!!

    ชื่อตอนสร้างสรรค์หน่อยไม่ได้เร้อ !!!!

    (เอิ้กๆ)

    (หวังว่าคนที่เข้ามาคงไม่โวยเป็นเสียงเดียวกันนะ)

    ครบ 100% เลยก็แล้วกัน แฮ่กๆ เหนื่อยแฮะ

    เซฟ 40%




         Release 07



         พลั่ก!!

         "โอ้ย!!"

         "ว้าย!!"

         สิ้นเสียงพิลึกพิลั่นนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโวยวายของหนุ่มตาดุ ประมาณว่าให้สาวสวยที่นั่งทับหลังรีบลุกไปสักที ส่วนสาเหตุหลักซึ่งทำให้ทั้งคู่มาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ก็คงต้องบอกว่าเป็นเพราะ... ความกวนประสาทของผู้สร้างถ้ำนี้นั่นเอง ทางตรงดิ่งใครจะไปตรัสรู้ว่าทางออกมันขนานอยู่กับเพดาน พอหลุดจากเขตห้วงมิติแล้ว แรงดึงดูดก็ดึงคนเดินดุ่ยๆอย่างสบายอารมณ์หน้าทิ่มเต็มแรง โดยลืมไปสนิทว่าพวกตนบินได้!

         หลังจากหมดเรื่องวุ่นวายทั้งสองก็ต้องทำหน้าเหยเกเมื่อพบว่า พวกเขามาอยู่ในห้องขนาดห้าคูณห้าเมตร ทั้งห้องทาทับด้วยสีขาวบริสุทธิ์ มีเพียงประตูหินสองบานท่าทางไม่น่าไว้ใจก็เท่านั้น

         ไหนบอกว่าทางออกไง... หรือจะออกก็ต้องผ่านอีกด่าน?

         สาวในชุดขาวปนชมพูอ่อนมอมแมมเดินไปอ่านตัวอักษรซึ่งสลักไว้ข้างประตูตามหน้าที่ ก่อนจะหันมายิ้มอย่างเหนื่อยใจแล้วเอ่ยเสียงค่อยว่า

         "เขาว่าที่นี่คือ เส้นทางแตกหัก น่ะ"

         ดรีมคิ้วขมวดหนักกว่าเดิมอีกเท่าตัวพลางเดินเข้าหาเธอบ้าง แล้วสอดส่องไล่มองไปจนทั่วก็ต้องพบว่า.... ที่นี่ไม่มีอะไรเลยจริงๆ จะอย่างไรก็ต้องไปตามทางนี้อยู่ดี และก็คงต้องเป็นไปตามกฎข้างฉลากประตูนั่นแหละ!

         สาวเจ้าพยายามเพ่งพินิจตัวอักษรสีน้ำตาลตัวจ้อยแล้วก็ต้องม่วนคิ้วลงบ้าง

         "เจ้าจะต้องเลือกสักทาง ประตูทั้งสองจะเปิดพร้อมกันและรับได้ด้านละหนึ่งคนเท่านั้น"

         ลีนแปลบรรทัดแรกออกมาให้ฟัง แล้วดรีมก็ต้องพยักหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย การจะผ่านด่านที่แล้วมาได้ จำเป็นต้องมีคนมากกว่าหนึ่ง มันก็เลยซ้อนกลหน้าด้านอย่างนี้เลยงั้นสิ!

         "หากประตูปิดลงแล้ว การจะเปิดอีกครั้งต้องรอให้คนข้างในผ่านไปได้เสียก่อน... หรือไม่ก็ต้องรอจนกว่าจะครบกำหนดเวลา..."

         "กำหนด?" ดรีมถามขัดอย่างประหลาดใจ มันไม่กำหนดว่าคนข้างในตาย นั่นหมายความว่าต่อให้ตายคนที่เหลือก็ต้องรอเวลาอยู่ดี คนคิดมันหาเรื่องและเรื่องมากจริงๆ ว่าแต่นี่มันทางออกแน่เหรอ ทำไมจะต้องผ่านด่านอีกเล่า!

         "สองปีน่ะ"

         "เฮ้ย!!! มันจะบ้าเหรอไงวะ!!!!" หลังจากได้รับคำเฉลยชายผมน้ำตาลแซมม่วงก็ต้องตาโต โพล่งออกมาเสียงดัง

         ไม่รู้ว่าทางนี่มันจะยากจริงหรือล้อเล่น แต่ว่าถ้ามีคนพลาด คนต่อไปรอเหงือกแห้งแน่... ไม่สิรอจนเหลือแต่กระดูกแหง คนธรรมดาถ้าไม่มีอาหารกับน้ำจะอยู่ได้นานเท่าไหร่กันเชียว

         "อ๋อ สำหรับทางออกถ้าไปถึงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรออีกฝ่ายล่ะ เห็นว่ามีห้องรับรองด้วย"

         ลีนสรุปพยายามจะให้คนฟังใจชื้น แต่ทว่าคนคิดมากกลับมองไปว่า ห้องรับรองนั่นแหละจะไม่ยอมเปิดถ้าไม่อยู่ด้วยกันครบสองคน เป็นการดักทางพวกที่เข้าไปคนเดียว... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม

         บางทีแล้วประตูฝั่งนี้อาจจะปลดล็อคก็ต่อเมื่อประตูห้องรับรองนั่นเปิด และประตูห้องรับรองเองก็อาจจะเปิดไม่ออกถ้าประตูฝั่งนี้ไม่ยอมปิดลง เนื่องจากเข้าไปเพียงฝั่งเดียวมันก็เป็นได้อีกนั่นแหละ ส่วนความคิดซึ่งไม่อยากจะคิดเลยก็คือว่า... ห้องรับรองจะเปิดให้ออกไปได้คนเดียว หากเป็นอย่างสุดท้ายนี่คนจะรอดจริงก็คงมีได้แค่คนเดียวเท่านั้น...

         "มีต่ออีกหน่อยหนึ่ง... ในแต่ละทางจะมีทางแยกแตกแขนงกันออกไปอีกฝั่งละยี่สิบเอ็ด ห้าทางจะเชื่อมกับทางออก ที่เหลือจะเป็นทางตัน ซึ่งในแต่ละทางตันนั้นจะมีสมบัติมากค่ารออยู่... คือ ฉันไม่น่าจะแปลผิดนะ" ลีนเหล่ไปมองคนด้านข้างแล้วก็ต้องเสริมขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากเจ้าคนที่ว่าเปลี่ยนหน้าตาจากคิ้วขมวดมาเป็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เสียแล้ว

         "โชคดีนะที่มากันสองคน" เขาว่า

         ใช่ โชคดีมาก ถ้ามากันหลายคนคงตื้บกันตายแย่งจะเข้าก่อนให้ได้แน่ ตั้งแต่สมบัติและกฎบ้าบอนี่!

         "เอ๋?" เธอยังรับมุขไม่ทัน และไม่แน่ใจว่าชายด้านข้างเธอนี่คิดอะไรแผลงๆไว้อีกบ้างหรือไม่

         "ลีน แล้วบรรทัดทิ้งท้ายด้านล่างนี่ล่ะ!"

         ชายหูตาไวถามด้วยหน้าท่าทีรำคาญเล็กน้อย พลางย่อตัวลงแล้วชี้ไปยังตัวอักษรซึ่งแยกลงไปอยู่เสียเกือบติดพื้น ซ้ำยังตัวเล็กจนเกือบมองไม่เห็นทีเดียว สาวผมน้ำตาลก้มลงมองพลางเสยผมที่ลงมาปิดหน้า แล้วพยายามหรี่ตาเพ่งดูให้ชัด

         "นี่คือทางออกของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย" เธอเอ่ยเสียงค่อย ดึงสายตาของอีกฝ่ายเข้าหาทันที เขานึกว่าเธอพูดเล่นหรือตีความออกมาเองแต่ไม่ใช่...

         คนสร้างมันเขียนเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ

         ใครมันสร้างถ้ำนี้นะ! ความกวนประสาทและความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่เล่นเลย!!

         เขาชายตามองหญิงสาวด้านข้างเล็กน้อย แล้วชำเลืองมองประตูหินสีน้ำตาลแดงแล้วยักไหล่ เป็นเชิงว่าช่วยไม่ได้ล่ะงานนี้ จะไม่ไปก็ออกไม่ได้


         เขาเดาไม่ออกเลยว่างานนี้ ไอ้คุณคนสร้างมันจะมามุขไหนอีก...


         หลังจากเลือกทางกันได้แล้ว ดรีมกับลีนก็ประคบมือเข้าแถบสัญลักษณ์อีกครั้ง และประตูหินสีน้ำตาลแดงเลื่อนเปิดออกอย่างเชื่องช้า ทั้งสองลังเลกันอยู่ได้ชั่วอึดใจก่อนจะล่ำลากันพอเป็นพิธี โดยฝ่ายหญิงสาวเป็นผู้เข้าประตูทางขวาไปก่อน แต่เมื่อหันมาจะโบกมือให้ประตูเจ้ากรรมก็ปิดใส่หน้าโครมใหญ่ จนตกใจลงไปนั่งจ้ำเบ้าหัวเราะแก้เขินคนเดียว แล้วตีหน้าขึงขังหันมองไปรอบตัว

         สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาคือ ตะเกียงซึ่งติดตามผนังไปตลอดทางตรงดิ่งไกลลิบ ไฟภายในนั้นเป็นดวงไฟเวทสีนวล และมันก็สว่างขึ้นทีละคู่จนมองไม่เห็น พื้นหินทั้งหมดเย็นเฉียบราวกับสร้างมาจากน้ำแข็ง แต่เท่าที่เห็นตอนนี้เธอไม่เห็นเลยว่ามีกับดักอะไรอยู่บ้างหรือไม่ จึงลองเตรียมใจลุยจับนู่นคว้านี่ไปทั่ว เริ่มตั้งแต่ภาพวิวทิวทัศน์ตามผนัง รูปปั้น และชุดเกราะสีดำมะเมี่ยมดูน่าหวั่นเล็กน้อย เธอปาดเหงื่อเล็กน้อยแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเดินฮัมเพลงไปเรื่อยตามทาง พลางเคาะกำแพงไปด้วย หวังอยู่นิดหน่อยว่าชายผมน้ำตาลยาวอีกฝั่งนั้นจะได้ยิน และตอบกลับมาบ้างสักนิด...


         ฝ่ายดรีมเมื่อแยกกับลีนไป เขาก็ยืนกระดิกเท้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าอีกประตูหนึ่งไปบ้าง แต่ทันทีที่ขาย่างก้าวพ้นขอบประตูหอกแสนคมกว่าสิบก็พุ่งแทงลงมาจากเพดาน เฉียดหัวคนปฏิกิริยาไวไปอย่างน่าหวาดเสียว อันความจริงแล้วถ้าเขาไม่เบี่ยงตัวจนชิดกับกำแพงได้ทันท่วงทีก็คงตายไปแล้วด้วยซ้ำ

         เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เหงื่อเม็ดเป้งผุดออกจากไรผมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เขาขยับตัวเล็กน้อยเพื่อจะออกจากภาวะวิกฤต และทันทีที่ปลายเท้าขยับพ้นรัศมี ประตูนรกก็ปิดโครมเข้าให้จนเขาเผลอเอนตัวหลบล้มลงไปกอง พริบตานั้นเองขวานสีดำสนิทก็โผล่ออกมาจากกำแพงสับวูบเข้าใส่ซอกชนิดกะตายสนิทภายในพริบตา เขามีเวลาได้ตาโตแค่ชั่วเสี้ยววินาทีเพื่อจะกลิ้งหลบไปกอดหอกสู่นรกซึ่งคาเด่อยู่ด้านข้างนั้น

         สะ... สองกับดักติดกันภายในระยะไม่ถึง 3 เมตร!

         มันบ้าไปแล้วแน่ๆ!!

         ดรีมโวยวายในใจแล้วหันมองไปรอบๆ ทางเดินนั้นยาวไกลลิบลิ่ว มีประดับประดาตกแต่งไปทั่ว ราวกับว่าเป็นแกลเลอรี่ให้ชมภาพ หรือไม่ก็ห้องโชว์นิทรรศการอะไรสักอย่าง เมื่อลองสังเกตให้ชัดแล้วตามพื้นและกำแพงมีกลไกกับดักจำนวนมากซุกซ่อนเอาไว้ เมื่อครู่เขาอาจจะเผลอไปแตะมันเข้าก็ได้

         แต่...

         กับดักบ้ามันทำงานตั้งแต่เขายังไม่ได้เข้ามาข้างในเชียวนะ!!

         เขาสะบัดหน้าแล้วตบแก้มทั้งสองข้างของตัวเองปลุกประสาทรับรู้ให้ตื่นตัวเต็มที่ แล้วสะบัดแข้งสะบัดขาเป็นการวอร์มอัพ และเมื่อมั่นใจในสายตาของตัวเองแล้วเขาก็ก้าวต่อไป โดยพยายามเลี่ยงกลไกทั้งหมดแต่ทว่าเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น รูป "ภูเขาไฟ" ด้านข้างก็โยนลูกเพลิงเข้าใส่จนกระโดดถอยไปชนกับขวานอันโต แล้วก็ต้องรีบหลบเศษหินที่แตกกระจายเนื่องจากชนกำแพงจนแตก

         "....."

         แน่นอนเขาว่าเขายังไม่ได้แตะกลไกสักนิด แต่แล้วทำไม?

         ทำไมล่ะ!!

         ในหัวตอนนี้มีข้อสันนิษฐานอย่างหนึ่งแล้วเกี่ยวกับชื่อเส้นทาง และเขาเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคิดถูกแน่

         รองเท้าผ้าสีขาวเตะโครมเข้าให้ที่กำแพงซึ่งเขาเห็นชัดแล้วว่ามันเป็นกลไกกับดัก แต่ทุกอย่างกลับเงียบเชียบ ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแม้แต่น้อย เขาก้มหน้ามองพื้น เหล่ซ้ายขวามองกำแพง และเลื่อนสายตาสีน้ำตาลนั้นขึ้นมองตรงไปข้างหน้า แล้วหัวเราะ หึ หึ ในลำคอจนตัวสั่น

         =เป็นอะไรไปอีกแล้วล่ะครับ คุณนี่นับวันยิ่งคล้ายคนบ้าเต็มทน

         ดรีมชะงักการหัวเราะแล้วเลื่อนมือมาแปรสภาพดาบปากเสียให้คืนสู่ฐานะเดิมอีกครั้ง

         "ฉันเข้าใจแล้ว... ว่าทำไมถึงเรียกว่าเส้นทางแตกหัก เข้าใจแจ่มแจ้งทีเดียว"
    เขาเอ่ยเสียงเย็น แต่เจ้าดาบยังดูงงเหมือนไม่เข้าใจอะไรสักเท่าไหร่นัก จึงถามขึ้นมาบ้างและเขาก็อธิบายด้วยเสียงหงุดหงิดว่า

         "กลไกกับดักนี่จะทำงานกับอีกทางหนึ่ง และทางนู้นเองก็คงจะเป็นการเปิดกับดักฝั่งนี้เช่นกันน่ะ"

         =ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...

         ไทม์พูดค้างไว้แค่นั้น และดรีมก็เสริมให้จนจบประโยคพร้อมทั้งยกมือกุมขมับอย่างเหนื่อยหน่าย

         "นี่กับดักที่ยัยนั่นเปิดทั้งนั้นเลยน่ะสิ เดินยังไงกันวะ สี่กับดักส่งมา 3 เนี่ย!!!"

         เขาตะโกนลั่นแล้วก็ส่ายหัวอีกครั้งชี้ดาบตรงไปข้างหน้า สายตาหรี่เล็กลงชนิดที่ว่าไม่กล้าทำอะไรเล่นอีกต่อไป จากปากทางนี่เดาสุ่มไปได้เลยว่า เขาคงเจอกับดักอีกนับไม่ถ้วน หนทางหาสมบัติแทบจะถูกปิดตายลง แต่ทว่า... มันก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เขาตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่ออกไปมือเปล่าเป็นอันขาด

         และจากกลไกชนิดที่ว่า มันทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเส้นทางคงไม่ยาวนัก เพราะกับดักแบบนี้ใช่ว่าจะสร้างกันได้ง่ายดายนัก หากแต่ต้องคำนวณให้ดีที่สุดก่อน ด่านนี้สำคัญตรงการยุให้ทั้งคู่แตกแยกกัน ชิงกันตัดหน้าเปิดกับดักเพื่อความสะดวกของตน โดยมีทางแยกจำนวนมากเป็นจุดพลิกผันความได้เปรียบ ใครไปผิดทางก็ต้องย้อนต่อให้นำไปก่อนแต่ถ้าเดาผิดคนนั้นก็จะเป็นฝ่ายรับกับดักทันที

         ที่สำคัญหากอยากได้สมบัติแต่ไปถูกทางแล้ว... ก็คงต้องย้อนกลับอยู่ดี และก็ต้องเผชิญกับดักนรกทั้งหลายจนได้

         บางทีตัวกับดักแถบตอนต้นนี่ยังเรียกได้ว่า "หมู" สุดท้ายจนแล้วจนรอด คนสร้างอาจจะกะให้คนใดสักคนต้องตาย... และถ้าตายไปจริงประตูห้องรับรองอะไรที่ว่านั่นก็คงไม่ยอมเปิดให้ ซึ่งก็คงเหลือแต่กระดูกในตอนจบอยู่ดี

         แต่...

         นั่นก็แค่เรื่องที่เขาสันนิษฐานไปเองเท่านั้น ซึ่งอย่างน้อยมันก็พอเป็นไปได้

         "ไทม์ พร้อมนะงานนี้คงหนักใช่ย่อย"

         ชายผมน้ำตาลเหลือตามองแขนขวาของตนช้าๆ ดาบสีดำนิ่งเงียบไปราวกับเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

         ใช่แล้ว... แขนขวาของเขาบาดเจ็บมาตั้งแต่ไอ้ห้องมืดนั่น จนบัดนี้เวทรักษายังใช้ไม่ได้

         รอยยิ้มบางเผยอขึ้นจากปากสีแดงชุ่มฉ่ำนั้นอีกครั้ง พร้อมกับเหงื่อเม็ดน้อยใหญ่ที่พรั่งพรูลงมาไม่หยุด

         ซวยแล้วตูงานนี้....

         เขารำพึงกับตัวเองในใจ และเจ้าดาบในมือก็ผงกขึ้นลงราวกับกำลังพยักหน้า แล้วยืนยันเสียงแข็งจนเขาต้องทำหน้าเมื่อย


    40%


         "ดีเวนัส"

         หญิงสาวหน้านวลชูมือของตนขึ้นข้างหน้าแล้วเอ่ยเรียกเพื่อนคู่ใจของตน โดยแทบจะไม่ต้องรอเสียงขานรับเล็กๆ ก็ดังขึ้นอย่างน่ารัก

         "คะ?"

         "ไปทางไหนดีล่ะ ให้เธอเลือกบ้างดีกว่า"

         คนหน้าระรื่นเอียงคอยิ้มให้แหวนทั้งห้าของตัวเอง สถานการณ์เช่นนี้หากมีผู้อื่นอยู่ด้วยเขาผู้นั้นคงจะหาว่าเธอบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ความจริงแล้วมันผิดถนัด เธอรู้สึกว่าด่านสุดท้ายนี่สมกับเป็นทางออกจริงๆ จะมีอะไรง่ายไปกว่านี้อีกเหรอ... ก็แค่เดินไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอุปสรรคอะไรเลยสักนิด และตอนนี้เธอก็ผ่านทางแยกรูปตัววี มาได้สิบเอ็ดแห่งจากทั้งหมดยี่สิบเอ็ด ซึ่งนับได้ว่ามาเกินครึ่งทางแล้ว

         ที่สำคัญเธอยังเลือกทางไม่ผิดสักครั้ง ยังไม่เจอทางตันสักหนนี่สิมันทำให้รู้สึกเบื่อชอบกล!

         "คุณลีนคะสนใจสมบัติขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ย้อนกลับสิ"

         แหวนน้อยสวนกลับเข้าให้ สาวผมน้ำตาลหน้างอลงเล็กน้อยแล้วก็ตัดสินใจเดินเฉียงขึ้นซ้ายไปตามเรื่องตามราวของตน ทางเดินนั้นช่างว่างเปล่าเสียนี่กระไร รูปภาพตามข้างฝาก็ชักเป็นรูปบูดเบี้ยวดูไม่รู้เรื่อง ตะเกียงตามผนังก็เปลี่ยนรูปลักษณ์สลักลายแก้วสวยงาม และความกว้างก็ดูจะกว้างขึ้นกว่าตอนเพิ่งจะเข้ามากนัก ทางแบบนี้น่ะเดินคนเดียวมันเหงาจะตายไป...


         "อ๊ะ!" เป็นครั้งแรกที่คุณเธออุทานอย่างดีใจหลังจากได้เข้ามาในทางเดินนี้ มันเรียกความสนใจของแหวนทั้งห้าไปหยุดอยู่ ณ ใจกลางทางเดินข้างหน้านั้น ตอนแรกเธอนึกว่าเป็นทางตันแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ ชุดเกราะสีเงินงามสง่า สูงกว่าบ้านสองชั้นถือหอกชี้ลงสู่พื้นราวกับเป็นคำเตือนให้ผู้ผ่านทาง หากแต่มันไม่ขยับสักนิด

         ลีนฉวยโอกาสเดินเข้าสำรวจอย่างใกล้ชิด ทั้งที่ใจหนึ่งก็หวาดหวั่นขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ชุดเกราะนี้เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ บางทีมันอาจมีชีวิตและลุกขึ้นไล่กระทืบเธอเมื่อไหร่ก็ได้ คิดอย่างนั้นคนอยากรู้ก็หน้าซีดทันที ความรู้สึกเธอบอกชัดว่าเธอไม่มีทางต่อกรกับสิ่งข้างหน้านี้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะ แต่เธอเลือกจะเชื่อความรู้สึกนั้นจึงพยายามถอยออกห่าง ซึ่งก่อนจะจากไปนั้นเองสายตาคู่โตของเธอก็พบบางอย่างถูกกำอยู่ในมือซ้ายอย่างหลวมๆ โดยเว้นช่องไว้ให้เอื้อมเข้าไปหยิบได้ไม่ยากนัก

         แท่งผลึกสีดำขลับถูกบดบังด้วยเงามืดจากมือสีเงินขนาดใหญ่จนเกือบมองข้ามไป ถ้ามันไม่สะท้อนแสงโคมไฟให้เห็นชั่วแว่บหนึ่งก็คงผ่านไปโดยไม่ทันสังเกตแน่  ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรดลใจแต่เธอดันอยากหยิบมันออกมาเสียได้ มือบางค่อยๆ เขี่ยมันออกมา และพร้อมจะชิ่งหนีได้ทุกเมื่อถ้าเจ้ายักษ์นี่ขยับขึ้นมาได้ แต่มันก็ยังนิ่งเหมือนเดิม หน้านวลเริ่มยิ้มออกแล้วลองส่องดูให้ชัด แท่งผลึกที่ว่านั่นขนาดก็แค่ไล่เลี่ยกับถ่านขนาด AAA เท่านั้นอีกทั้งเป็นสีดำเงาทั้งแท่ง มิหนำซ้ำยังเรียบเนียนไร้ริ้วรอยใด

         "สวยดีจัง!"

         "ตอนแรกฉันนึกว่าคุณลีนชอบแต่ของที่ส่องประกายได้ซะอีก นึกไม่ถึงเลยนะคะนี่"

         ลีนเอานิ้วจิ้มคางตาเหลือบมองเพดาน นึกทบทวนนิสัยตัวเองดูอีกสักรอบ ซึ่งมันท่าทางจะจริงตามว่านั่นแหละ แต่เจ้าผลึกประหลาดนี่มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ จะว่าชอบหรือถูกใจก็ไม่เชิง...

         "คงเพราะมันแปลกดีมั้ง"

         คุณเธอเล่นตัดบทเสียอย่างนั้น แล้วใช้เวทของตนเชื่อมเป็นวงรูปลักษณ์คล้ายเงินผูกติดกับผลึกสีดำ ก่อนจะคล้องไว้ที่คอในฐานะเครื่องประดับใหม่

         "อย่างฉันก็มีติดไม้ติดมือออกไปเหมือนกันแฮะ ว่าแต่ตานั่นจะเป็นยังไงบ้างนะ..." เสียงแสนหวานอ่อนลงเล็กน้อยราวกับกำลังเป็นห่วง ฉับพลันนั้นแหวนตัวดีก็พูดด้วยเสียงเซ็งจิตว่า

         "อย่าไปสนเลยค่ะ ป่านนี้ตานั่นคงกำลังไล่โกยสมบัติยกใหญ่แล้ว ลืมเรื่องทางออกไปแล้วด้วยซ้ำ!"

         ว่าแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะคิกคักกันต่ออีกยก และเปิดฉากนินทากันไปเรื่อยตลอดทาง

         ส่วนตานั่นที่ว่า...


         ตาคนที่ถูกนินทาขณะนี้กำลังเหงื่อแตกพลั่กยามต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่งบางอย่าง ในยามนี้ซึ่งร่างกายกำลังโหยหาการพักผ่อนอย่างรุนแรง เขาส่งสายตาปริบๆเป็นสัญญาณว่า "ผมมาดีนะปล่อยผมผ่านไปเหอะ" แต่เจ้ายักษ์ใหญ่เกราะสีเงินนี่จะไม่ยอมญาติดีด้วย

         เขาถึงกับสะอึกไปหนึ่งรอบครั้งแรกที่ได้เจอโดยภาวนาให้มันอย่าขยับ ขออย่าให้ยัยคนไม่ดูตาม้าตาเรือไปยุ่งกับมัน แต่มันไม่เป็นผลเมื่อหอกขนาดยักษ์ขยับชูขึ้นข้างบนอย่างเชื่องช้า คอซึ่งบิดหันไปด้านข้างจ้องตรงมาทางเขา ละท้ายที่สุด มันลุกขึ้นเผยให้เห็นสัดส่วนขนาดมโหฬาร

         ดรีมยกแขนเสื้อทั้งซ้ายและขวาขึ้นดูปรากฏว่ามันรุ่งริ่งชอบกล แถมมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยอีกต่างหาก การใช้ดาบด้วยมือซ้ายมันไม่ถนัดเอาเสียเลย แถมกับดักนรก... ใช่กับดักนรก

         เขามองย้อนกลับไปดูซากปรักหักพังของหินแกร่ง กับเหล็กกล้าบิดเบี้ยวตลอดทางที่ผ่านมาแล้วก็ต้องถอนหายใจ  แต่มันเต็มกลืนแล้ว เขารู้สึกว่าชักจะเสียเลือดมากพอดู ซี่โครงขวาก็เพิ่งจะโดนลูกตุ้มซัดเข้าให้โชคยังดี เขาใช้จิตมารับแรงกระแทกไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นก็คงม่อยกระรอก ขาซ้ายเองก็ดันพลิกเนื่องจากมือผีบ้าผุดออกจากพื้นแล้วจับเขาทุ่ม


         แล้วตูจะเอาอะไรไปซัดกับไอ้นี่เล่า และต่อให้ชนะต่อไปจะเจออะไรอีกบ้างวะ ถามจริงเถอะไม่มีตัวช่วยบ้างหรือไง?


         =คุณดรีมจะปลงแล้วเหรอไง จะตายไปตายข้างนอกนะแบบนี้ผมก็ถูกขังไปด้วยสิ
    ดาบบรรลัยโวยเสียงดังเรียกสายตาแสนดุหันไปค้อน

       
      "หุบปากไปเลยถึงจะเคยตายมาแล้วแต่ไม่ได้อยากลงนรกอีกรอบนะโว้ย!"

         เขาเงียบไปชั่วอึดใจหลังตวาด สายตาเหล่มองเกราะยักษ์สีเงินอีกครั้งมันกำลังเดินกระแทกเท้าเข้าหา...

         "ถึงเวลาตัวช่วยแล้ว จะเจ็บเพิ่มอีกไม่ได้... ลมขั้นสิบเลยไทม์ ฉันเหลืออดเต็มทนแล้ว..."

         =รับทราบ

         ไทม์ตอบเลียนแบบตัวการ์ตูนในทีวีซึ่งเคยดูกันมาไม่นานนี้... มันคือรายการงี่เง่าของพวกแปลงร่างได้แล้วก็กระโดดขึ้นหุ่นยนต์ตัวโตสู้กับสัตว์ประหลาด ในเมืองระดับสุดยอดที่ไม่ว่าจะพังไปกี่รอบวันต่อมามันก็ซ่อมเสร็จ มันเป็นเรื่องที่ดรีมนับถือคนงานของเมืองอย่างยิ่ง และเหนือสิ่งอื่นใด "เขาเกลียดเรื่องที่ว่า"

         "บอกให้หุบปากไงเล่ายั่วอยู่ได้เจ้าบ้านี่!"

         ไทม์หัวเราะก๊ากใหญ่ก่อนจะส่องแสงสีเขียวสว่างเรืองรองไปทั่ว สายลมรายรอบหยุดชะงักไปชั่วอึดใจและหมุนวนรายรอบแขนและขาของดรีมราวกับทำหน้าที่เป็นเกราะฉุกเฉิน ส่วนตัวดาบกลับเปลี่ยนรูปลักษณ์จากคาตานะ เป็นทรงตรงและหักมุมเล็กน้อยช่วงกึ่งกลาง ตัวประกับหุ้มดาบสีขาวสลักลายเป็นอักขระสีเขียวสว่าง และกั่นดาบเป็นเพียงสายลมไร้รูปร่างแท้ คล้ายละอองสีเขียวจางเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด

         "เอาล่ะ งานนี้ถล่มให้ราบเท่านั้น!"

         =อย่าดุนักเลยครับ... เดี๋ยวถ้ำราบคุณก็เรียบไปด้วยหรอก

         ดรีมหัวเราะหึหึเย็นยะเยือกเป็นการตอบคำถามนั้น

         =ผมจำไม่ได้ว่าผมใช้ร่างสายน้ำ... แถมเป็นน้ำแข็งเสียด้วยสิ


         "หุบปากไปเลยไทม์!!"


         ปากก็ร้องด่าคู่หูตัวเองลั่นแต่ร่างกายกับระเบิดใส่เจ้ายักษ์เสียล้มตึงเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว


        
    "ฮูมมมมมม!!!"

         มันร้องลั่นด้วยความโกรธอย่างกับภูเขาไฟพิโรธ พร้อมวิ่งเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่คนกวนโมโหยิ้มเย้ยให้แต่ไกลก่อนจะกระโดดอ้อมไปข้างหลังเปิดกับดักเกะกะขวางทางไปทั่ว จนเกราะยักษ์เคลื่อนไหวไม่ถนัดนักเหวี่ยงหอกมั่วซั่วไปหมด และก็โดนลูกลิงลอบตีหัวจากด้านหลังล้มลงไปกองอีกรอบ

         "เพิ่งเห็นกับดักมีประโยชน์ก็งานนี้แหละ!" ดรีมกำหมัดอย่างผู้ได้ชัย ตะโกนอย่างเริงร่า ทว่าใบหน้าก็ต้องหดลงเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน

         "ล้อเล่นใช่ไหมน่ะ เมื่อครู่ซัดเต็มแรงแล้วนะ...."

         โครม!!!

         สามง่ามขนาดใหญ่แทงใส่เต็มแรง แม้กับดักที่ขวางยังแหลกกระจุย พื้นหินแกร่งมหาแกร่งยังเป็นรอยร้าว ถ้าเขาดูไม่ผิดมันใช้เวทเสริมความรุนแรงด้วยอีกกึ่งหนึ่ง และเมื่อดูจากร่องรอยแล้วเชื่อได้เลยว่าเกราะลมของเขากันไม่อยู่ชัวร์

         "เฮงซวย! แยกต่อไปไปทางไหนดีไทม์!!"

         ดรีมตะโกนลั่นถามคู่หูซึ่งก็ได้รับคำตอบมาว่า

         =ทางไหนก็ได้ครับที่ไม่ตัน

         หะ ให้ตายสิ.... ดวงวันนี้ไม่มีเอาซะเลยเลือกสิบเอ็ดถูกสาม อยากได้อะไรติดมือไปบ้างก็เถอะ แต่กับดักมันขวางจนหยิบติดมือมาแทบไม่ได้ ไม่คุ้มเอาซะเลย!
    จะว่าไป ยัยลีนมันเปิดกับดักทางแบบนั้นด้วยเหรอ.... ไม่ใช่แน่....

         หรือว่าทางที่มีสมบัติจะมีกับดักอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้น!

         คิดจบคนหัวใสก็ร่อนหลบกับดักเข้าสู่ทางแยกขวา พริบตานั้นเองพายุน้ำแข็งก็โหมกระหน่ำเข้าซัดจนต้องลงจอดพื้น เปลี่ยนไปทางซ้ายบ้างคราวนี้เวทสายฟ้าผ่าวูบวาบเข้าใส่ โชคดีพอจะกันและหลบได้

         แต่...

              แต่....

                   โว้ย!! ยัยลีน แล้วแบบนี้ฉันจะรู้ได้ไงเล่าว่าทางไหนมันทางตันหรือทางไปต่อ!!


         "เฮ้ย"

         ตูม!!!

         ในระหว่างลังเลนั้นหัวเล็กๆของเขาก็เกือบแหลก เมื่อเจ้ายักษ์มันตามมาทัน

         ไม่อยากเลือกก็ต้องเลือก เข้าทางน้ำแข็งนี่ล่ะวะ! สาธุน้ำแข็งเกาะจนขยับไม่ได้!!

         เมื่อเห็นว่าสู้ไม่เข้าท่าปากด่ามันก็ไม่รู้สึก สาปแช่งมันทางจิตก็น่าจะเข้าท่าอยู่เหมือนกัน พี่แกเลยหนีไปหลบไปแช่งไปตลอดทาง จนแล้วจนรอดความซวยก็มีจริงเมื่อทางที่เลือกนั้น... มันตันอีกแล้ว!

         ใบหน้าสีซีดมองไปมองมาหาทางหนีแต่ก็โดนบังเรียบ จะเคลื่อนไหวไม่คิดเห็นทีจะโดนสอยเอาง่ายๆ วันนี้คิ้วเขาคงจะขมวดม้วนชนิดดัดไม่กลับเป็นแน่ สายตาสีน้ำตาลหรี่เล็กลงฉับพลัน ดาบสีเขียวนั้นขึ้นสีดำไปครึ่งหนึ่งก่อนที่ทั้งแสงสว่างและความมืดจะแผ่ซ่านออกมา ปกคลุมตั้งแต่โคนยันปลายดาบเล่มงาม

         "เจอท่าที่ใช้แหวกนรกหน่อยเป็นไง...."

         สิ้นเสียงเย็นเยียบนั้นร่างเล็กของเด็กหนุ่มก็กระโดดหลบหอก กระโดดชิ่งกำแพงตรงดิ่งเข้าซัดอีกครั้ง...

         ณ ใต้ร่มไม้ใบงามแสงน้อยลอดผ่านร่องระยิบระยับ เธอนอนเหม่อขึ้นไปบนเพดานถ้ำซึ่งมีรากไม้แผ่ไปทั่ว เท้าน้อยๆตีน้ำในคูใสเหมือนจะสบายอารมณ์ แต่ความจริงแล้วนี่เป็นนิสัยยามเธอเบื่อสุดขีด มือข้างซ้ายซึ่งเคยบาดเจ็บหนุนผมสีน้ำตาลยาวสลวยไว้ราวกับไม่มีปัญหาอีกต่อไป เสื้อผ้าที่เคยเปรอะเปื้อนมีรอยขาดเองก็กลับสู่สภาวะปกติเรียบร้อย

         "ช้าจัง นี่มันเกือบจะวันนึงแล้วนะ"

         "ใช่ค่ะ คุณรอมาเกือบจะสี่สิบชั่วโมงแล้ว ขนาด กิน นอน อาบน้ำเล่นในสระด้านหลังซากอารยธรรมนี่ตั้งหลายรอบหมอนั่นยังไม่มาเลย สงสัยสะดุดกับดักตามสมบัติตายไปแล้วมั้งคะ"

         "บ้า! พูดอะไรอย่างนั้นเล่าดีเวนัส!!"

         สาวหน้าบึ้งยันตัวลุกขึ้นฉับพลัน เหม่อมองไปทางประตูอีกบานซึ่งไร้วี่แววว่าจะเปิดออกแม้แต่น้อย ซึ่งความจริงแล้วเธอเองก็กำลังกังวลใจ เกรงว่าจะเป็นอย่างแหวนน้อยในมือว่าจริง เพราะจากระยะทางแล้วมันใช่จะไกลอะไรเลย ถ้ารีบแล้วอย่างดรีมควรจะถึงได้ในเวลาไม่เกินสี่ชั่วโมง แม้ว่าจะเลือกทางผิดทั้งหมดก็เถอะ...

         "เราพอจะพังประตูนี้ไหวไหม?"

         ผู้รู้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบ "ยากนะคะ..." ดีเวนัสว่าแล้วเสริมต่อ "ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันต้องเป็นเวทขนาดทะลวงห้วงมิติได้เลยล่ะ แล้วก็ซัดจากทั้งสองทางพร้อมกัน"

         หมายความว่า... ส่งเวททะลุไปอีกฝั่งก่อนหนึ่งสาย แล้วสร้างอีกสายทางนี้อีกสายด้วยสินะ...

         ยากจริงด้วย

         "แต่ก็น่าลองดูสักนิดนะ"

         "....." ดีเวนัสเงียบลงฉับพลัน ต่อให้เป็นมันเวทพรรณนั้นก็ยังรับประกันอะไรไม่ได้อยู่ดี คนที่สามารถแล้วมันรู้จักเห็นทีจะมีแต่ คุณรีส กับคุณแม่ชาร็อตที่ให้กำเนิดมันขึ้นมาก็เท่านั้น ให้เจ้าฟาร์ยังไม่ไหวเลย...

         "น่านะ~~" ลีนเข้าโหมดออดอ้อนฉับพลันซึ่งมันก็ดูเหมือนจะได้ผล

         "ตามใจเจ้าค่ะ คุณลีนน่ะลองพูดแล้วก็คงห้ามไม่อยู่แล้วล่ะ" ดีเวนัสตอบกลับอย่างเซ็งๆ ส่วนสาวเจ้าตบมือด้วยหน้าระรื่น เป็นอีกครั้งที่ความดื้อชนะได้ทุกอย่างแม้แต่ใจของแหวนขี้งอน!


         ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่การใช้เวทของเธอต้องทำพิธีประกอบเพื่อเตรียมการ ทั้งการปักเสาเวทตามจุดต่างๆเพื่อการไหลเวียน และเชื่อมโยงสายใยเข้าด้วยกัน ทั้งเพิ่มพูนและประสานพลังเวทซึ่งจะใช้ไปพร้อมกัน กว่าจะเตรียมการเสร็จก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ลีนปาดเหงื่อเล็กน้อยและยืนกลางวงดาวห้าแฉกส่องสีม่วงแก่ขึ้นจากพื้น มือสองข้างเผยออกข้างลำตัว และแล้ววงเวทรอบนอกก็ส่องแสงกันเป็นชั้นๆ จนกระทั่งดีเวนัสส่งเสียงเรียก


         "ตอนนี้ล่ะค่ะ จะส่งเวทอะไรก็เชิญ! ลองดูก่อน!!"


         "เอาล่ะนะ!"

         สองมือบางประสานกันด้านหน้า สายตาจ้องตรงไปทางประตูหินสีแดง ดวงไฟซึ่งโดนบีบอัดจนเหลือเพียงเท่าลูกบอล หายวับไปต่อหน้าต่อตาราวกับเล่นมายากล


         "จ๊าก!!!"


         "โอ้ย!! อะไรวะเนี่ย กับดักสุดท้ายเป็นประตูระเบิดงั้นเหรอ ใครมันสร้างวะเฮงซวยชะมัด!!"

         อยู่ดีๆประตูที่ไม่เคยเปิดก็เปิดอ้าซ่า ตามมาด้วยเสียงโวยวายอันคุ้นหู มิหนำซ้ำยังบ่นไม่หยุดไม่หย่อนไม่รู้จักเบื่อ แต่ดูจากสภาพแล้วก็สมควรจะโวยวายอยู่ เธอชักไม่แน่ใจว่าผ่าด่านเดียวกันมาหรือไม่ แต่คนข้างหน้าหัวกระเซิง หน้าตามอมแมม เสื้อผ้าดูรุ่งริ่งชอบกล เลือดซึมออกจากสีข้างกับแขน ส่วนขาก็เดินกระเผลก มิหนำซ้ำ.... มือซ้ายข้างที่ถือดาบสีเขียวงามนั้นมีรอยแผลไฟไหม้นิดหน่อย

         ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นฝีมือของเธอเอง แต่ยังดีที่หมอนั่นกันเอาไว้ทัน....

         ตุบ!

         อ้าว... โวยวายเสร็จหมดแรงหน้าทิ่มไปซะแล้ว...

         ลีนลอบนินทาแล้วแอบเบือนหน้าหลบไปหัวเราะคิกคักทางอื่น

         =ฟู่... รอดตายหวุดหวิดเลยครับงานนี้

         "แหม มาช้าเพราะมัวแต่ควานหาสมบัติล่ะสิท่า ชิ!" ดีเวนัสพูดแกมประชดแต่ไทม์ในร่างดาบสีดำกลับบิดไปมา แทนการส่ายหน้า

         =ไม่รู้สิครับแต่ผมว่าหมอนี่ตื่นมาคลั่งแน่ สมบัติที่โกยมาโดนกับดักสอยซะเกือบเรียบแน่ะ

         "อ้าวคุณลีนคะยืนยิ้มอะไรอยู่คนเดียว จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?"

         "อะ"

         มนุษย์เพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลือสติโดนแว้งกัดเข้าให้ฉับพลัน จนตั้งตัวไม่ติดได้แต่ทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะเดินเข้าเอานิ้วเขี่ยแก้มของคนหน้าดุเล่น แล้วเบิกรอยยิ้มหวานให้

         ไม่ว่าจะเจออะไรมาบ้าง แต่ที่นี่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ

         เธอมองไปรอบด้านก็พบกับบรรยากาศซึ่งทำให้เธอรู้สึกอิ่มเอมแก่จิตใจ ทั้งวิหารหินอ่อนใจกลางน้ำ อันเป็นฐานให้รากไม้ใหญ่รัดพันราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียว พื้นกระเบื้องแม้จะมีแตกหักบ้างเพราะรากไม้ซึ่งชอนไช แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงชีวิตซึ่งมีอยู่ และสุดท้ายแสงนวลจากร่องหินด้านบนนั่นก็คงไม่พ้นทางออก

         "เอาล่ะ จะยังไงก็ขอรักษาให้ก่อนก็แล้วกันนะจ๊ะ" เธอเอ่ยเสียงค่อยแล้วเอามือทาบลงที่ร่างเขา ละอองสีนุ่มและอ่อนโยนกระจายออกไปทั่วร่าง และในไม่ช้าบาดแผลก็หายไปไม่เหลือแม้เพียงร่องรอย...


         เวลาหลายวันต่อมา ภายในคุกหินสีดำ รองพื้นด้วยฟางเพื่อให้เป็นที่นอน ห้องสุขาก็อยู่ในตัวอย่างกับเล้าหมู ดีอย่างหนึ่งอาหารอย่างน้อยก็ไม่ใช่รำถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่รอดแน่

         เขาอยู่ที่นี่มาเกือบจะสัปดาห์แล้ว แต่ทำไมเหมือนร่างกายปรับเวลาไม่ทันเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจดีนัก ใครๆก็บอกว่าเวลาทุกข์ใจเวลาย่อมผ่านไปอย่างเชื่องช้าท่าจะจริง...

         แต่มันก็ไม่ควรช้าเพียงนี้นี่นา! แค่ช่วงกลางวันเขาก็หิวขึ้นมาเสียห้าหกรอบ แถมรู้สึกเหมือนกับว่าเพียงแค่กลางวันก็เปรียบเสมือนหนึ่งวันเต็มแล้ว เขาเบือนสายตามองลอดลูกกรงออกไปบนฟากฟ้า เวลานี้ดวงจันทร์เด่นเป็นสง่ากว่าที่เคย มันช่างดูนวลและใหญ่จัง มิหนำซ้ำยังเหมือนกับว่ามีมากกว่าหนึ่งดวง หลายวันมานี่ไม่รู้ว่าเมาหรือบ้าไปแล้วกันแน่ แต่เขาเห็นดวงจันทร์บริวารถึง 4 ดวงด้วยกัน!

         เขายกมือขวาขึ้นมองนาฬิกาของตน เข็มวินาทีก็ดูปกติ ซึ่งเมื่อเขาว่าง... แน่นอนว่าว่างทั้งวันเขาก็นั่งจับเวลา เหมือนมันมีอะไรแปลกๆ นาฬิกาวนครบสองรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงกลางวันก็ยังไม่พ้นไป

         โอ้แม่เจ้า!

         แกร๊ง เคร้งๆๆ

         "บูบา บู๋ ลาดา ก๊อง"

         แหม... เสียงต๊องๆ นี้ผมได้ยินมาก็นานอยู่เหมือนกันแต่ฟังให้ตายก็ฟังไม่ออก ที่แน่ๆมันคือเวลาอาหาร คนส่งของให้ผมก็หน้าตาแปลกชอบกลเหมือนไม่ใช่คน

         เขาขยับกรอบแว่นตาเพื่อจะมองให้ชัดเป็นรอบที่พันกว่า

         ผมว่าผมรู้จักพวกนี้นะ จะส่งอาหารให้ทำไมต้องแต่งตัวด้วยชุดแฟนซีเป็นออร์คด้วย หรือว่าจะขี้อาย? แล้วอาหารวันนี้มันตัวอะไรหว่าหน้าตาน่าเกลียดดีแท้!

         แต่...บางทีแล้วนะผมอาจจะกำลังหลอกลวงตัวเอง เพื่อจะหนีความจริงอยู่ก็ได้ ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นฝันร้ายคืนหนึ่ง

         ใช่ฝันที่เขาหลับๆตื่นๆมาหลายรอบแล้วยังไม่ฟื้นเลย

         ไม่อีกอย่างก็คือ... เขาตายไปแล้ว...

         ความทรงจำสุดท้ายที่ผมจำได้... ผมนอนเล่นอยู่ชายหายบ้านเกิดอย่างสบายอารมณ์ แต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นน้ำทะเลลดฮวบไปในพริบตา ผมขยับแว่นดูเล็กน้อยแล้วหัวเราะกับเพื่อนว่า "ใครมันดูดน้ำทะเลไปวะ"

         ทันใดนั้นไอ้คนบ้าที่ว่าก็บ้วนคืนมาให้เป็นคลื่นยักษ์ คนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น รวมทั้งผมด้วย...

         แน่นอนไอ้คนคิวหน้าอย่างผมโดนคลื่นกลืนไปแล้วก็จำความอะไรไม่ได้อีกเลย จนกระทั่ง...

         ฟื้นขึ้นมาบนชายหาดสีขาว มีเสียงพิลึกดังประมาณ "หูบูดู ดาบ๊อง" จากนั้นโลกก็เบาลงในชั่วพริบตา... อันว่าความจริงแล้วผมคงจะโดนแบกมายัดตารางนี่

        
    ถ้าผมไม่ได้บ้า

         ตอนนี้ผมอยู่โลกอื่นใช่ไหม?


         ไอ้คลื่นนั่นมันกลืนผมไม่ลงเลยสำรอกออกทางอื่นใช่ไหม?

         แล้วสรุปเจ้าออร์คพวกนี้มันจับผมมาเลี้ยงก่อนจะเอาไปกินหรือเปล่า...

         ว้ากกกกก!!!

         ยิ่งคิดยิ่งบ้าวุ้ย!!!!

         ทันใดนั้นเอง เสียงซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้ยินอีกครั้งก็แว่วมาแต่ไกล จนเข้ามาใกล้ขนาดได้ยินชัด

         เสียงหนึ่งเป็นชาย หลังจากฟังแล้วดูท่าจะเป็นคนสุขุมน่าดู เขากำลังล้อเล่นอยู่กับหญิงสาวเสียงใส ซึ่งท่าทางคงจะน่ารักเป็นแน่ อ่อจริงสิมีเสียงเจ้าออร์คเกลอที่เอาน้ำและอาหารมาส่งให้ผมประจำด้วย!

         ในไม่ช้าทั้งสองก็มาหยุดหน้าเล้าของผม

         "เฮ้ย ไม่จริงน่ามนุษย์นี่หว่า" ชายผมน้ำตาลยาวเอ่ย ใบหน้าฉายแววตกใจเล็กน้อย แต่ว่าครับคุณพี่จะตกใจให้มากกว่านี้ผมก็ไม่ว่านะ

         "ครับผมเป็นคนจริงๆนั่นแหละ ว่าแต่ช่วยเอาผมออกไปจากที่นี่ได้ไหม"

         ผมเข้าใจแล้วว่านางฟ้ากับซาตานคู่กันได้จริง สาวสวยผมน้ำตาลยิ้มหวานให้ผมอย่างอ่อนโยน แต่ทว่าอีกคนกลับแสยะยิ้มให้ราวกับจะคาดคั้นอะไรสักอย่าง ซึ่งความจริงแล้วผมอยากจะบอกออกไปนัก....


         ว่า....


         ผมกลัวแล้วครับพี่!!



    ================================



    และแล้วตัวละครใหม่ก็เปิดตัว

    มันคือใครเอ่ย ใครหนอ เอ๊ะใครกันหว่า






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×