ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Wing of Release

    ลำดับตอนที่ #33 : Release 30 [พันธมิตร ไร้ มิตรภาพ] - New -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 478
      0
      12 เม.ย. 51













    สวัสดีวันสงกรานต์ครับ ^^

    ใครเดินทางเที่ยวที่ไหนขอให้ทั้งสนุก ทั้งปลอดภัยนะ

    คิดถึงบอร์ดนี้ คิดถึง The Wing จัง อย่างกับห่างหายกันไปนาน.... (นานจริงๆนี่หว่า ไอ้ท้องงงงง -0-)




    Release 30




    ภายในห้องอันเงียบงันชายทั้งห้านั่งเหม่อไปคนละทิศมิได้ส่งเสียงใด ปล่อยให้นาฬิกาเรือนโตแกว่งไกวขานบอกทุกวินาที ในไม่ช้าประตูไม้เพียงบานเดียวก็เปิดออก ชายเรือนผมสีเขียวงามงดเอ่ยทักด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายอะไรพลางอ่านหนังสือต่อโดยมิได้มองแม้แต่น้อย


    "แต่งเรื่องเก่งดีนี่..."


    ปึง


    ประตูบานนั้นปิดลง เด็กหนุ่มผมสีทรายยาวประบ่าเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด และเป็นครั้งแรกที่เขากล้ามองสบตาชายทั้งห้านั้นพร้อมกันโดยไม่ใส่ใจสิ่งที่จะตามมาเบื้องหลัง


    "ผมจงใจ... เพราะใครบางคนคงต้องเอาเรื่องมาบอกพวกคุณแน่"


    เขาตอบพลางมองหา "ใครบางคนนั้น" ซึ่งคงยังไม่ไปไหนแน่ เพราะตัวเขาเองก็รีบตรงรี่กลับมาบ้านทันทีเช่นกัน...


    "ออกมาได้แล้วราล เจ้าไม่จำเป็นต้องซ่อนหรอก"


    ชายคนหนึ่งส่งเสียงเรียกชื่อเพื่อนของเขาอย่างคุ้นเคย มันยิ่งทำให้ใจของเขาสั่นสะเทือนอย่างไม่เคยมีมาก่อน


    ทั้งราล ทั้ง โบรมีเนน เขาเคยคิดว่าทั้งคู่คือคนที่เขาเชื่อมั่นและไว้ใจได้มากกว่าใคร แต่วันนี้สองคนนี้คือผู้คอยติดตามสืบเรื่องราวของเขาเสียเอง


    ราลเดินออกมาจากอีกห้องแล้วเข้าไปยืนข้างโบรมีเนน โดยไม่กล้าสบตากับชาน่อนแม้แต่น้อย


    "ถ้าผมเล่าเรื่องจริงทั้งหมดสั่งให้ราลฆ่าผมเลยล่ะสินะ" ชาน่อนฉุนจัดพูดจากระแทกเข้าอย่างจังเรียกให้ราลเงยหน้าขึ้น


    "ฆ่าอะไรกัน เราไม่เคยคิดอย่างนั้น ที่ทำก็แค่..."


    โบรมีเนนยกมือขึ้นห้ามมิให้ราลพูดต่อ พลางเอ่ยขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ


    "ข้าขอให้ราลทำเรื่องนี้เอง ส่วนความจริงอะไรนั่นเขาไม่รู้ด้วย"


    "ชิ มาทำปกป้องกันอย่างกับเป็นคนเดียวกัน"


    ชาน่อนสบถแล้วเดินตัดไปทางบันได ไม่คิดจะร่วมวงสนทนาต่อ แต่โอดราฟก็ปิดหนังสือแล้วเดินเข้าขวางเสียก่อน


    "เดี๋ยวพวกผู้เฒ่าคงเรียกเรา เจ้าก็คงไม่มีใครเฝ้าเพราะทุกหน่วยต่างต้องสืบเรื่องที่เกิดขึ้นกันจ้าละหวั่น รวมทั้งตามจับดรีมกับลีนให้จงได้..."


    "แล้วยังไงเล่า?" ชาน่อนเงยหน้าขึ้นจ้องกลับตรงๆ


    "ข้าต้องยึดไรราเจียคืนเสียแล้วสิ" โอดราฟพูดเสียงเรียบพลางยิ้มบางออกมาดุจจะหยุดลมหายใจของผู้อยู่ข้างหน้าเดี๋ยวนั้น เวลาทั้งห้องเหมือนจะหยุดเดิน มีเพียงสองผู้แสดงเป็นพี่น้องที่ยังยืนจ้องหน้ากันราวกับจะห้ำหั่นกันให้ตายไปข้าง ชาน่อนเหงื่อแตกพลั่กทั้งที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนอะไร แรงกดดันข้างหน้าเป็นของจริง แต่ตัวเขาก็ไม่ต้องการให้ที่พึ่งสุดท้ายของตนต้องอยู่ห่างตัวเช่นกันจึงไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว


    หนึ่งนาทีผ่านไปบรรยากาศที่คุกรุ่นก็สงบลงด้วยเสียงถอนใจของชาน่อนอย่างปลดปลง รับสภาพในปัจจุบันได้แล้ว และล้วงเข้าไปที่กระเป๋าในของเสื้อคลุมเพื่อจะหยิบออกมาให้โอดราฟ แต่ก่อนที่บางสิ่งนั้นจะเผยออกมาว่าเป็นอะไร ดวงตาสีดำกลับลุกโพลงเฉียบพลัน มือซ้ายคว้าปืนจากขอบกางเกงขึ้นเล็งในชั่วพริบตา นิ้วชี้อยู่ในโกร่งไกและเข้าดึงเวทของตนเพื่อยิงออกไปด้วยความเร็วสูงสุด ทุกคนที่ยืนคุมเชิงอยู่มองเห็นปากขยับอย่างเชื่องช้าก่อนที่เสียงตะโกนลั่นจะกระแทกเข้าโสตสัมผัสว่า



    "อยากได้ก็ชิงเอาเองสิโอดราฟ!"



    นั่นเป็นการตัดสินใจที่บ้าระห่ำที่สุดของเขาตั้งแต่เกิดมา ทั้งมีศัตรูล้อมรอบเขากลับเลือกเส้นทางที่ยิ่งกว่าทางตัน แต่ก็เพราะว่าคงไม่มีใครคาดทุกคน ณ ที่นั้นไม่สามารถตอบสนองการเคลื่อนไหวของชาน่อนทันแม้แต่คนเดียว... ยกเว้นชายคนหนึ่งผู้ยืนเผชิญหน้าอยู่...


    รอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันแยกเขี้ยวรอรับปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันงดงามดุจเทวดา เส้นผมสีเขียวโบกสะบัดด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียง "ตูม!!" ดังสนั่นหวั่นไหวกลบเสียงตะโกนของทุกคนที่ตะโกนให้โอดราฟ "ระวัง"


    "โครม!!"


    เวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้นจบลงด้วยร่างของเด็กหนุ่มลอยตามแรงหมัดซึ่งซัดใส่ท้องแบบไม่เกรงใจ จนลอยไปชนกับชั้นหนังสือข้างหลังหัก หนังสือเหมือนกระเด็นออกด้วยแรงกระแทกกระจายเกลื่อนพื้น สติของเด็กหนุ่มขาดสิ้นไปในบันดล...


    ทั้งห้องเงียบกริบทันทีเมื่อเห็นภาพนั้น ซ้ำยังเผลอกลืนน้ำลายพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สองเท้าของโอดราฟก้าวเดินตรงไปดูผลงานอย่างไม่ใยดี แล้วกระชากปืนทรงโบราณซึ่งไม่น่าจะมีพิษสงอะไรออกจากมือเล็กๆ ในไม่ช้าเลือดเหนียวหนืดก็ไหลเยิ้มออกมาจากศีรษะของเด็กหนุ่ม สายตาของโอดราฟซึ่งมองลงในเวลานั้นเย็นชาดุจคนที่กำลังมองดูหนอนแมลงบนพื้น ตัดขาดสิ้นซึ่งความเป็นพี่น้องจอมปลอม


    "ถ้าเจ้ายังได้ยินอยู่... พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว"


    "พวกเจ้ามองอะไรกัน?" โอดราฟเลื่อนสายตาขึ้นสบตาทุกคนบ้าง... ดวงหน้าที่ส่อออกมานั้นไม่ว่าใครก็คงบอกว่า... หมอนั่นต้องเป็นปีศาจไม่ผิดแน่แล้ว...


    "มะ ไม่มีอะไร ข้าก็แค่สงสัยเจ้าจับเจ้าเด็กนี่มา ข้านึกว่าเจ้าจะถูกใจมันเสียอีก" เกียรานอสตอบตามตรงโดยนึกว่าอีกฝ่ายคงไม่พอใจแน่ แต่มันผิดคาดเมื่อหมอนั่นกลับหัวเราะราวกับเสียสติ และตอบมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ


    "ข้าสนใจเพียงวิธีใช้ไรราเจียของพี่ข้า และอาจารย์ของเจ้าเด็กนี่เท่านั้น ข้าไม่รู้หรอกว่าวันนี้เจ้าสองคนนั้นเกิดบ้าอะไรขึ้นมา แต่... มันทำให้เหยื่อหมดประโยชน์เสียแล้วก็แค่นั้น"


    ภายใต้สติสัมปชัญญะอันเลือนรางใกล้ขาดไป ประสาทสัมผัสทั้งหมดกลับตื่นตัว... ชาน่อนไม่สามารถขยับร่างของตนได้แม้แต่น้อย ทว่าเสียงกลับได้ยินอย่างแจ่มชัด คำพูดทั้งหมดของโอดราฟเขาจับได้ไม่มีผิดเพี้ยน เขาไม่อาจเข้าใจตัวเองสักนิดว่าที่ผ่านมา... เข้าพยายามทำความเข้าใจชายผู้ที่เขาเรียกว่าพี่มาทำไม เมื่อทำแล้วจะต้องเจ็บปวดจนอยากตายมันให้ได้เดี๋ยวนี้หลังจากได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริง ทุกอย่างมันเป็นเพียงการหลอกให้เขาตายใจ...


    น้ำตาอุ่นเอ่อล้นออกจากขอบตา อาบแก้มช้ำไหลรินลงสู่พื้นไม้เย็นเฉียบ หูที่แนบพื้นได้ยินเสียงฝีเท้าของคนอื่นกำลังเดินจากไป ประตูที่ปิดลงเสียงดังตัดสติที่เหลืออยู่ให้ขาดสะบั้นตาม...




    เวลาผ่านชั่วข้ามคืนสถานการณ์กลับตึงเครียดลงฉับพลัน


    ลางแห่งความหายนะเปล่งประกายไม่ว่าใครก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน


    ความสงบสุขดั่งเคยมีภายในอาณาจักรกว้างสูญสลายดั่งชั่วอึดใจ...


    เมืองหลวงของเอลฟ์ หลังจากถูกโจมตีโดยมือมืดมิสามารถตามหาร่องรอยใดได้... หรืออันที่จริงควรจะเรียกว่า ไม่อาจเปิดเผยให้คนทั่วไปรับรู้ สองคนนั้นยังถูกหน่วยลับหนึ่งและสองตามตัวกันจ้าละหวั่น แต่ก็มิอาจจับได้แม้จะผ่านมากว่าสองวัน ความกังวลของชาวเมืองทั้งรอบนอกและเมืองใหญ่ต่างเพิ่มพูนเป็นอนันต์ ความเคลือบแคลงสงสัยพาลพาตีความถึงการมีส่วนร่วมของไครม์และปีศาจ เพราะไม่ว่าออร์คจะพยายามเช่นไรก็คงไม่ถึงกับสามารถลอบเข้ามาถึงใจกลางเมืองหลวงได้โดยไม่มีใครสังเกตแน่นอน และยิ่งถึงขั้นก่อความไม่สงบและจากไปไร้วี่แววยิ่งเป็นเรื่องไม่น่าจะเป็นไปได้ใหญ่


    สงครามชานเมืองกับพวกออร์คก็ยิ่งระอุขึ้น เมื่อพลพรรคลูกผสมออร์คต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นต่อต้าน และเป็นกำลังสำคัญในการห้ำหั่น ประกอบกับการตั้งค่ายอย่างชาญฉลาดเหลือเชื่อภายในป่าใหญ่ ราวกับมีจอมบงการคอยดูแลยิ่งทำให้ความสงสัยแต่เดิมเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น... เนื่องจากทุกอย่างดูดีเกินกว่าฝีมือของออร์ค


    บางกระแสตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเกิดเรื่องถึงขั้นนี้ทำไมไม่มีการติดต่อกับพวกไครม์และปีศาจให้ชัดเจนเล่า?


    มันเป็นเรื่องที่น่าแปลก...


    ใช่ถ้าเรื่องการสนับสนุนจากทั้งสองเผ่านั้นเป็นเรื่องจริงขึ้นมา จากสงครามต่อออร์คฝ่ายเดียว ก็ต้องคอยระวังอีกสองฝ่ายซึ่งเพ่งเล็งโจมตียามอ่อนแอ สงครามเย็นซึ่งดำเนินมาหลายร้อยปีเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามลำดับแล้ว... เพราะเช่นนั้นการที่ยังมิได้ติดต่อกับทางปีศาจและไครม์ จึงน่าจะเป็นเรื่องโกหก


    อันที่จริงหากอธิบายว่า คำตอบจากทั้งสองเผ่าไม่ใช่เรื่องที่ควรเปิดเผย อันจะก่อความตื่นตระหนกต่อผู้คนทั่วไปนั้นจะดีกว่า...



    มือหนึ่งผุดยกขึ้น สายตาสีฟ้าฉายแววสงสัยเต็มประดา ปากเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง


    "เรื่องที่ไม่ควรเปิดเผยตามที่อาจารย์ว่าคืออะไรบ้างหรือครับ?"


    ชายชราชาวเอลฟ์ผมยาวสีขาวถึงกลางหลัง ลูบเคราสีขาวอย่างใจเย็นแล้วเงยหน้าขึ้นมองนักเรียนในชั้นของตนแล้วยิ้มให้


    "เรื่องเช่นนั้นมีหลายอย่าง อย่างหนักหน่อยก็คือทั้งสองเผ่าปฏิเสธความสัมพันธ์โดยชัดเจนออกมา แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะการรักษาเอาไว้แม้จะในระดับหนึ่งก็ยังคอยดูท่าทีกันได้ โดยปล่อยให้พวกออร์คลองเชิงและคอยสนับสนุนอย่างลับๆ ดีกว่าตัดขาดกันเสียทีเดียว"


    ทั้งห้องตะลึงกับคำตอบที่ชัดเจน... ชัดเจนจนเกินไป...


    อาจารย์ผู้นี้ไม่ใช่อาจารย์ปกติอย่างทั่วไป แต่เป็นอาจารย์ซึ่งปกติไม่ค่อยจะได้ออกมาสอนเท่าไหร่ แอบซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของโรงเรียน สร้างบ้านหอสมุดสีเงินอยู่ริมรั้วตามลำพัง... อาจารย์ผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นจอมขมังเวทย์โบราณ และปราชญ์ผู้รอบรู้ มีคนเคยพูดเอาไว้ว่าสร้างอัจฉริยะในตำนานมาแล้วไม่ใช่น้อยทีเดียว กระทั่งไฮเอลฟ์ในหอราชันย์ยังต้องนอบน้อม


    แต่ทำไมต้องเอาตาแก่ปลดเกษียณเช่นนี้มาสอนในเวลาเช่นนี้กันเล่า..?


    "อาจารย์คะ ถ้านี่คือเรื่องที่ไม่ควรรับรู้แต่ทำไมถึงเอามาบอกพวกเราล่ะ"


    ราเฟรเซียยกมือถามบ้างด้วยใบหน้าข้องใจไม่น้อย ตรงกันข้ามกับชายชราที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนชวนสงสัยยิ่ง


    "อาจารย์ได้รับมอบหมายมาสอนวิชาการเมือง ก็แค่พูดไปตามความเห็นเท่านั้น"


    "ไม่ค่ะ เรื่องที่อาจารย์พูดฉันเชื่อว่าหลายคนในที่นี้ก็คิดกันทุกคน แต่ฉายารับรู้ร้อยแปดด้านอย่างอาจารย์มาพูดให้ฟังก็เหมือนได้รับการยืนยัน... ฉันว่ามันไม่เหมาะเพราะ... เพราะ..." คำพูดของราเฟรเซียชะงักลงไปเมื่อสมองคิดตามปากจนเกือบไล่ทัน.. เรื่องราวบางเรื่องก็ไม่ควรพูดออกไป แต่แบคซิคจอมแสนรู้ก็เติมเต็มหน้าระรื่นเหมือนล้อเล่นตามวิสัยว่า


    "เหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่เราต้องรู้ใช่ไหมล่ะ?"


    ว่าแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อนกะจะสร้างบรรยากาศห้องเรียนอันตึงเครียดมาตั้งแต่เริ่ม ใจของแต่ละคนก็เริ่มชื้นขึ้นเมื่อตาแก่หัวเราะออกมาคนแรก พลางตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "ใช่" ชนิดไล่ดวงใจไหลไปสู่ตาตุ่มในพริบตา ไม่เว้นแม้แต่แบคซิคซึ่งหุบยิ้มลงฉับพลัน


    การตีความง่ายๆไหลย้อนศรในหัวของแต่ละคนเร็วช้าลดหย่อนต่างกันไป... ถ้าเรื่องที่คนอื่นไม่รู้จะดีกว่า แต่เราจำเป็นต้องรู้นั่นหมายความว่า เรา-จะ-ต้อง-มี-ส่วน-ร่วม


    "เรื่องใหญ่ขนาดพร้อมจะเป็นสงครามได้ทุกเมื่อนี่นะคะ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย!"


    ราเฟรเซียโพล่งขึ้นเสียงดัง สีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนพรรคพวกในห้องก็แสดงออกไม่แพ้กัน จากความตั้งใจฟัง เปลี่ยนเป็นแสดงความเห็นกันอย่างเผ็ดร้อน แบ่งฝ่ายเป็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยชัดเจน ส่วนพวกไม่แสดงความคิดเห็นก็นั่งกันเงียบกริบด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป


    ....สรุปอาจารย์คนนี้มาเพื่อสร้างความยุ่งเหยิง หรืออีกนัยหนึ่งมาพูดให้เตรียมใจยอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ได้ โดยปกติบุคคลที่เป็นตำนานก็ย่อมคู่กับความวุ่นวายอยู่ร่ำไป ถ้าหน้าที่ของตาแกคือสิ่งนี้แล้ว ฉายาจอมสร้างอัจฉริยะก็คงไม่แปลกสักเท่าไหร่....


    ราเฟรเซียคิดแล้วแอบชำเลืองมองผู้ที่ตนเรียกว่าอาจารย์อย่างไม่กล้าไว้วางใจอีกต่อไป ยิ่งคิดถึงเรื่องไอลาซึ่งอยู่กับตาแก่นี่เป็นประจำตั้งแต่ย้ายเข้ามา ประกอบกับอาการป่วยเฉียบพลัน... ความรู้สึกมันบ่งบอกว่าเรื่องต่างๆเชื่อมโยงกันอยู่ไม่มากก็น้อย...


    สุดท้าย... "ชาน่อน" ตั้งแต่วันที่ไปเยี่ยมไอลาด้วยกันเธอก็ไม่พบเขามาโรงเรียนอีกเลย เรื่องที่หมอนั่นเล่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทั่วไปเช่นว่า เขา กับ ไอลา ป่วยเป็นโรคเดียวกัน ตัวชาน่อนเดิมทีอยู่ในหมู่บ้านเล็กกลางป่า ไม่ใช่พี่น้องโดยแท้กับโอดราฟ ไครม์และปีศาจสองคนนั้นเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาจากสัตว์ปีศาจ และเลี้ยงดูมาเรื่อย แต่เมื่อประมาณปีก่อนเขาได้พบเจอกับโอดราฟครั้งแรก... เพราะโอดราฟได้รับงาน "กำจัดไครม์และปีศาจซึ่งลักลอบสืบเรื่องอันเป็นความลับของพวกไฮเอลฟ์"


    ดรีมกับลีนเห็นว่าท่าไม่ดีจึงฝากเขาเอาไว้กับหมู่บ้านและหลบหนีไป ส่วนตัวเขาเองโอดราฟก็รับมาเลี้ยงไว้ทั้งในฐานะน้องชาย... เพื่อจะได้ควบคุมได้ไม่ยาก...


    เรื่องที่เล่ามานั้นเธอเชื่อส่วนหนึ่ง


    แต่มันกลับรู้สึกขัดอย่างประหลาด หมายความว่ายังน่าจะมีความลับอันน่าตื่นตระหนกยิ่งกว่านั้นซ่อนอยู่


    และชาน่อนคือกุญแจเพียงหนึ่งเดียวที่จะไขเอาความจริงออกมาได้ ชาน่อนถึงไม่ได้มาโรงเรียนนับแต่วันนั้น...


    "ราเฟรเซีย..?"


    เสียงหนึ่งดังแว่วขัดจังหวะความคิด ราเฟรเซียจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้าด้วยสายตาขึ้งโกรธทว่า...


    นั่นคือเสียงตาแก่ และเป็นครั้งแรกที่ตาแก่สะดุ้งจนเกือบกระโดดถอยหลัง มือที่ลูบเคราอยู่เรื่อยเปลี่ยนเป็นปาดเหงื่อ


    "อาจารย์ขอโทษที่รบกวนความคิด แค่จะลาหน่อยเดียวเกือบโดนกัดเสียแล้ว"


    คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะครืนจากทั้งห้อง ยกเว้นเพียงสายตาสองคู่ซึ่งแกล้งยิ้มให้กันสร้างบรรยากาศส่วนตัวอันเย็นเยียบราวกับลิ่มน้ำแข็งกำลังฟาดฟันกันจนเกิดประกายไฟ


    ราเฟรเซียไม่อาจรับรู้ว่าคนที่เธอจ้องมองอยู่คิดเช่นไร และไม่รู้ว่าคนอื่นที่หัวเราะร่าได้ในภาวะสงครามจะคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับเธอ... ใครอยากสอนนอกเรื่องก็ควรแสดงความคิดและฐานะที่แท้จริงออกมาด้วย ตอนอยู่ในห้องเรียนแบบนี้ขออาจารย์ที่เป็นอาจารย์มาสอนก็พอ...




    ณ มุมหนึ่งกลางป่าใหญ่อันเงียบงัน สรรพชีวิตตามธรรมชาติต่างลี้หลบ มิย่างกรายเข้าในอาณาเขตซึ่งกองกำลังสามเผ่าพันธุ์กระจายกันรักษาความปลอดภัยชนิดไม่ปล่อยให้ผู้ใด สิ่งใด หรืออะไรทั้งมวลเข้ามาขัดขวางการประชุมสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีผู้เข้าร่วมถึงหกคนด้วยกัน


    ประกอบด้วยเจ้าภาพของงานนี้สองคน เป็นปีศาจและไครม์ซึ่งก่อเรื่องให้กับฝ่ายที่เหลือไม่ใช่น้อย การชักชวนมาในครั้งนี้ก็ยังมิวายใช้วิธีน่าปวดสมองแทน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไครม์และปีศาจไม่ถูกกัน กลับให้ดรีมไปเจรจากับพวกไครม์และลีนไปเจรจากับฝ่ายปีศาจ เพื่อเรียกร้องความสนใจ ผลก็พอจะรับไหวทั้งสองฝ่ายมาถึงพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง ไม่ทราบว่ามาตามนัดเพราะหัวข้อเจรจา หรือมาเพื่อจะเอาเรื่องทั้งสองหน่อให้จงได้ก็ไม่มีใครทราบ


    ฝ่ายเจ้าภาพร่วมซึ่งให้ยืมสถานที่นั้นคือ องค์ชาย "อูรุกัน" แห่งออร์ค ประสานงานกับ "บุดันบัง" หนึ่งในทหารฝีมือดี และเพื่อนสนิทคนหนึ่ง... ส่วนเหตุที่ทำให้ต้องมาเปิดฉากเจรจากันที่แดนออร์คก็เพราะ ในหมู่สามเผ่าพันธุ์ออร์คนับว่าเป็นกลางที่สุดแล้ว หากต้องไปแดนปีศาจหรือไครม์แทนการพบปะคงต้องมีอันเป็นไปเสียก่อนเริ่มอย่างแน่นอน...


    ด้านปีศาจนั้นยังคงเป็นผู้ครอง "เมืองด้านบน" ท่าทางภูมิฐานมาทำหน้าที่ตามปกติ พวกดรีมกับลีนเองก็เพิ่งรับรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่า ชายผู้ชื่อ "ฟิเลม" นี้ยิ่งใหญ่เพียงใดในเขตปีศาจ ซ้ำชื่อเสียงยังลือลั่นถึงเขตไครม์ ชนิดใครพบหน้าใกล้แดนไครม์ให้แจ้งองค์กรทางการปกครองอย่างไวที่สุด และหากเข้ามาในรัศมีต่ำกว่าหนึ่งกิโลเมตรให้จู่โจมได้โดยไม่ต้องเจรจา... เรียกว่าอยู่ในแบล็คลิสต์เลยก็คงไม่ผิด วันนี้จึงต้องให้ทหารเอกของ "โลกด้านล่าง" มาคุ้มกันเป็นแถบ โดยมี "อาเลส" เป็นหัวหน้าทีมคอยระวังความปลอดภัยรอบนอกมิได้เข้าประชุมด้วย


    สุดท้ายฝ่ายไครม์นั้นเป็นเผ่าทิ่ติดต่อด้วยยากที่สุด ครั้งก่อนหน้าที่เจอกันก็เข้าไปหาเรื่อง แถมยังด่ากวนโทโสเขาไว้เยอะ แค่จะย่างเท้าเข้าไปยังทำใจลำบาก แต่ก็ยังดีเมื่อฝ่ายไครม์รู้จักอะลุ่มอล่วยมากกว่าที่คิด ส่ง "ไมนัส" หนึ่งในผู้เฒ่าซึ่งมีชีวิตผ่านสงครามใหญ่กับพวกปีศาจมานับไม่ถ้วน เป็นผู้ได้รับความยำเกรงต่อมวลไครม์ รวมทั้งมีลูกน้องผู้ซื่อสัตย์คอยตามอีกเป็นพรวน ดั่งที่คุ้มกันรอบนอกอยู่ ณ เวลานี้


    "ทำไมพวกเจ้าเพิ่งจะเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง"


    ราชันย์ออร์คพูดจากซักขึ้นมาเป็นคนแรกอย่างอดไม่ได้ หลังจากได้ฟังเหตุผลที่ทำให้เกิดการสนทนากันอย่างลับๆนี้ขึ้น และสายตาจากตัวแทนไครม์กับปีศาจก็สามัคคีกันเพ่งเล้งสองมนุษย์เพื่อคาดคั้นเอาคำตอบอีกแรงหนึ่ง ดรีมหน้ามุ่ยลงถนัดตาแล้วถามกลับเสียงอ่อนว่า "เรื่องไหนครับ?"


    ครานี้เขาไม่มีเจตนาจะกวนประสาทผู้สูงส่งในกระโจมเล็กนี้แต่อย่างใด หากแต่เรื่องเท่าที่เล่าไปมันเยอะจนไม่แน่ใจว่าจะคุยเรื่องไหนก่อน ผู้นำทั้งสามฝ่ายต่างถอนใจไปตามกันคนละเฮือกสองเฮือก ก่อนจะตอบออกมาเต็มปากเต็มคำอย่างไม่พอใจว่า


    "มันก็ทุกเรื่องนั่นแหละ!!"


    "เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นโดยข้าไม่รับรู้เลยได้อย่างไรกันเนี่ย" ฟิเลมเผลอสบถเสียงต่ำ แต่เมื่อเบนหน้าไปมองไมนัส คู่กรณีเก่าซึ่งทำหน้าไม่สู้ดีอยู่ก็รู้สึกชื้นใจขึ้นมาเล็กน้อย ผิดกับอูรุกันที่เดือดจนแทบเก็บเอาไว้ไม่อยู่ มือไม้กำแน่นและสั่นระริก


    "พวกเจ้าทำเช่นนี้เหมือนกับหลอกเรามาตลอดเชียวนะ ดรีม ลีน" องค์ชายออร์คเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวังอย่างรุนแรง


    "ถ้าอย่างนั้นสงครามที่เกิดขึ้นก็เพราะพวกเจ้าสองคนสินะ" บุดันบังสรุปความซ้ำทั้งห้วนและกระชับจนบรรยากาศยิ่งตึงเครียดเข้าไปกันใหญ่...


    เรื่องนี้... ความจริงแล้วจะว่าเป็นต้นเหตุก็ไม่เชิง เพราะแต่เดิมพวกเอลฟ์ก็กะจะบุกทำลายถ้ำนั้นเพื่อครอบครองผลึกแห่งมาน่าให้จงได้อยู่แล้ว แม้จะต้องส่งคนไปตายมากน้อยเพียงใด หรือจำเป็นต้องฆ่าผู้รู้เห็นซึ่งอาจทำให้ข่าวของผลึกรั่วไหลออกไป เมื่อถ้ำนั้นอยู่ในเขตออร์ค... ผู้ที่จะต้องรับเคราะห์ก็ต้องเป็นออร์คอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปัญหาคือ... ถ้าเราไม่เอาผลึกออกมาอาจไม่มีวันที่ผลึกนั้นจะปรากฏสู่สายตาของโลกใบนี้ดุจเดียวกัน จึงไม่ใช่เรื่องที่สามารถปฏิเสธออกไปได้อย่างชัดถ้อยชัดคำสักเท่าใดนัก


    "เหตุมันเกิดจากพวกเอลฟ์ซึ่งต้องการพลังอำนาจจากของสิ่งนั้น แต่พวกเราไม่ได้หลอกลวงอะไรพวกท่านนะคะ"


    ลีนส่ายศีรษะ พลางตอบออกไปด้วยสีหน้าหนักใจและทำท่าจะอธิบายต่อ แต่ดรีมยกมือขึ้นห้ามเอาไว้เสียก่อน


    "เรายอมรับว่าเราเป็นผู้เร่งให้สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่ผลึกแห่งมาน่าขึ้นมาจากใต้พิภพ... และในขณะนี้ทั้งออร์คและเอลฟ์ซึ่งไม่รู้เรื่องราวกลับต้องมาทำสงครามเข่นฆ่ากัน โดยมิอาจรับรู้ถึงความจริงเบื้องลึกได้ สิ่งนี้บ่งบอกว่าพวกที่ต้องการสิ่งที่เราครอบครองอยู่นั้นเลือดเย็นเพียงใด... แต่โปรดเข้าใจว่าสิ่งที่เราปกป้องเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่ ใช้ครอบครองโลกทั้งใบให้ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือหนึ่งของผู้ที่ใช้มัน..."


    "แต่อย่างไรเสียพรรคพวกของข้าก็ล้มตายกันไปมากแล้ว!"


    "รอก่อนท่านอูรุกัน เราจะโทษแต่สองคนนี้ก็ไม่ถูก เพราะตามความเห็นของข้าพวกเขายังมิได้ทำการอันใดซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสงครามเลย มิหนำซ้ำยังพยายามเสี่ยงตายเพื่อต่อต้าน ไม่หนีเอาตัวรอดไปเพียงสองคน เพราะเช่นนั้นหากจะมีคนผิด มันผู้นั้นคงไม่พ้นเจ้าพวก 'หูยาว'" ไมนัสพูดปรามมิให้การเจรจาต้องมีอันเป็นไปก่อนกำหนด แต่แกล้งเน้นเสียงสุดท้ายให้ชัดเจน แสร้งเหลือบมองชายร่างท้วมซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามนิดหนึ่ง


    อันว่า... พวกปีศาจเองก็มีบางกลุ่มที่มีหูยาวแบบเอลฟ์เช่นเดียวกัน จึงไม่อาจทราบได้ว่าอันที่จริงแล้วคุณท่าน ไมนัส จะช่วยระงับข้อพิพาทหรือสร้างใหม่ก็ยากจะคาดเดา


    "แต่ข้าก็ยังไม่อาจยอมรับได้... พวกเรารู้จักกันมาสักพัก ข้าเชื่อใจพวกเจ้าแต่เจ้ากลับไม่ยอมเชื่อใจแล้วบอกมาให้เร็วกว่านี้ มิเช่นนั้นแล้วข้าคง..."


    อูรุกันพูดเสียงค่อยลงอย่างเห็นได้ชัด และหยุดชะงักไปเสียทื่อๆ ไม่ต่อให้จบประโยค ในเวลานั้นทุกคนคงมีความเห็นตรงกันว่า ต่อให้รับรู้ล่วงหน้า แต่จะให้ส่งตัวสองคนนี้ไปก็ใช่เรื่อง หากเอลฟ์ได้รับผลึกมาน่าไปผลพวงที่ตามมาคงไม่ใช่น้อย ต่อให้ส่งสองคนนั้นหนีไปเอลฟ์พวกนั้นก็ต้องตามรอยมาถึงออร์คซึ่งมิวายจะได้มีเรื่องกัน และถ้าหากไม่ส่งผลึก ดีไม่ดีสงครามนั้นอาจจะเกิดไวขึ้นยิ่งกว่านี้เพราะความเลือดร้อน...


    เมื่อการเจรจาตกอยู่ในความเงียบงันชั่วอึดใจ ลีนถอนหายใจอย่างเบาบาง สีหน้ายังดูสำนึกผิดไม่จาง


    "เพราะเป็นพวกท่านสิคะ เราถึงไม่กล้าบอก ผู้ที่ตกอยู่ในความเสี่ยงขนาดต้องโดนตามล่าจากหน่วยลับพิเศษของพวกเอลฟ์ขอเป็นแค่พวกเราก็พอ... คุณบุดันบังก็เคยพบกับพวกนั้นมาบ้างแล้วคงจะทราบดีค่ะ"


    บุดันบังนั่งฟังอย่างเงียบงัน พลางคิดไปประสบการณ์เฉียดตายที่สุดในชีวิต ก่อนจะถอนใจและพยักหน้าพร้อมกัน บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกดังกล่าวมีฝีมือขนาด นายทัพใหญ่แห่งออร์คยังยอมศิโรราบทีเดียว...


    "ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะบอกพวกข้าสิ หากออร์คไม่สามารถต้านทานเอลฟ์ได้... แต่พวกข้าทำได้"


    ฟิเลมประกาศกร้าว


    "ด้วยการใช้ผลึกมาน่านั่นเป็นขุมพลังสินะ?"


    ผู้กล่าววาจาเชือดเฉือนนี้ไม่ใช่ใครอื่น... มีเพียงอริร่วมโลกของเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้น


    "เจ้าว่ากระไรนะไมนัส?"


    "แล้วหลังจากจัดการพวกเอลฟ์เรียบร้อย ก็คงถึงทีพวกเราเผ่าไครม์ จริงไหม... ฟิเลม?"


    "แต่ข้าว่าความคิดนั้นน่าจะเป็นของพวกเจ้ามากกว่า ไมนัส เพราะที่เจ้าพูดข้ายังนึกไม่ถึงเลย"


    "อย่ามาดูถูกกันให้มากนัก พวกเราสืบทอดจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณกาลไม่มีวันทำเช่นนั้น"


    "พวกข้าเองก็สืบทอดจิตวิญญาณอันสูงส่งจากบรรพชนจนกระทั่งตอนนี้ ไม่มีทางทำตามคำกล่าวหาของเจ้าแน่"


    "ตึง!"


    "ไมนัส เจ้า...!!"


    "แก ไอ้ฟิเลม!!"



    โต๊ะผู้ไร้ความผิด ติดก็แค่ตั้งอยู่ด้านหน้าทั้งสองหน่อถูกกระแทกอย่างจัง บรรยากาศเงียบสงัดกลายเป็นคุกรุ่นขึ้นทันตา และบรรยากาศดังกล่าวมิวายแพร่กระจายไปถึงผู้เฝ้ายามสองชนเผ่า ซึ่งอยู่ด้านนอกและไม่ไกลนักจนได้ยินประโยคสนทนาอย่างชัดเจน แต่ก็อย่างว่า... พวกพี่แกทะเลาะกันมาหลายร้อยปี จับมานั่งคุยร่วมโต๊ะกันได้ในระยะประชิดเช่นนี้ก็เป็นยิ่งกว่าปาฏิหาริย์แล้วเหมือนกัน
    ดรีมถอนใจออกมาบ้าง ความจริงอยากจะเล่าเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ปล่อยไว้เห็นทีจะจบเห่แค่นี้จึงสูดลมหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่และเอ่ยขัดออกมาบ้าง


    "ที่สำคัญ ในเวลานี้ผลึกแห่งมาน่าก็ถูกแย่งชิงไปได้แล้ว"


    และนั่นเป็นประโยคที่ชะงัดมาก ขนาดผู้ที่ทะเลาะกันยังเลิกตาขวางหันมามองอย่างเหรอหรา ส่วนคนที่นั่งกุมขมับมองสองเผ่าพันธุ์ทะเละกันเช่น บุดันบัง กับ อูรุกัน ยังถึงกับตาค้างอ้าปากเหมือนจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่ไม่สามารถขยับปากได้


    "เจ้าว่ากระไรนะ!!!" และนี่คือการประสานเสียงกันครั้งแรกของสามเผ่าพันธุ์ในป่าใหญ่จนคนอยู่ภายนอกสะดุ้งเฮือก หันมามองกระโจมเล็กๆ เป็นทางเดียวกัน


    "นั่นคือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกท่านได้รับรู้กันครับ"


    "เจ้าไม่คิดว่าบอกช้าไปหน่อยหรือดรีม?" อูรุกันพูดดักทางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ดรีมกลับส่ายหน้าช้าๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มบางปนเปื้อน และสบตากับทุกคนในที่นั้นโดยตรง


    "ก่อนจะถูกชิงไปนั้นเราวางกับดักไว้กับผลึกนั้นด้วย ชั้นแรกเป็นมนต์ขั้นสูงสุดของลีน ส่วนชั้นนอกเป็นพลังจิตของผม และจำเป็นต้องเปิดผนึกทั้งสองชั้นพร้อมกัน ด้วยเงื่อนไขบางอย่างซึ่งไม่มีใครทำได้นอกจากพวกเราสองคนเท่านั้น ถ้าหากคิดจะใช้พลังทำลายผนึกทั้งสองชั้น หรือทำผิดเงื่อนไข พลังทั้งมวลนั้นจะระเบิดออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"


    ทุกคนสงบนิ่งกับคำอธิบายนั้นอย่างเห็นได้ชัด บ้างก็พยักหน้าตาม


    "สรุปก็คือแม้จะได้ผลึกไว้ในมือแต่ก็ยังใช้งานไม่ได้ แต่จำเป็นต้องจับพวกเจ้าสองคนไปคลายผนึกให้สิ" ฟิเลมถอนหายใจอย่างโล่งอกและสรุปความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และมันก็ทำให้ผู้อื่นใจชื้นขึ้นด้วยเช่นกัน


    "ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คงต้องการให้เราทำการคุ้มครองพวกเจ้าล่ะหรือ?" ไมนัสถามด้วยทีท่าฉงน
    แต่ดรีมกับลีนก็ส่ายหน้า


    "คือว่า..."


    ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะมองหน้ากันนิดหนึ่ง หนึ่งปีศาจ หนึ่งไครม์ เบิกรอยยิ้มบางให้กัน แล้วเปลี่ยนเป็นมองตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคง วาจาที่ออกมาทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึง และการเจรจาวันนั้นก็จบลงอย่างหลังจากนั้นไม่นานนัก เนื่องจากตัวแทนฝ่ายปีศาจกับไครม์พร้อมจะวิวาทกันได้ทุกเมื่อ


    แต่อย่างไรเสีย ก็นับว่าการพบปะกันในครานี้ได้สืบทอดเจตนารมณ์ และได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างครบถ้วน และแต่ละกลุ่มก็ย่อมมีวิถีทางของตน โดยมีจุดร่วมกันเพียงหนึ่งเดียวคือ... จะมิยอมให้ผลึกแห่งมาน่าต้องอยู่ในเงื้อมมือของเอลฟ์บ้าอำนาจ...



    หลังจากสองตัวแทนต่างเผ่าพันธุ์กลับไปแล้ว ทั่วทั้งป่ากลับเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง พวกออร์คเจ้าบ้านช่วยกันรื้อกระโจมมิให้เหลือร่องรอย และพากันเดินขบวนกลับโดยมิได้บอกลาเป็นคำพูดสักคำ หากมีเพียงแต่สายตาซึ่งบ่งบอกความเชื่อมั่นคละเคล้ากับความเหินห่าง


    ภายใต้ผืนป่านี้... ภายในโลกใบนี้ ดรีมกับลีนเพิ่งจะได้รู้สึกถึงความอ้างว้างเป็นครั้งแรก ความเงียบงันของสรรพสิ่งช่างน่าใจหาย ตลอดมาพวกออร์คนับเป็นเพื่อน และพรรคพวกที่เชื่อใจได้ รวมทั้งร่วมทุกข์สุขกันมาพักใหญ่ แต่เมื่อบทบาทของตนจำเป็นต้องเปิดเผยออกสิ่งเหล่า ก็จำเป็นจะต้องจากลา...


    "เหงาเนอะ"


    ลีนเอ่ยขึ้นเสียงค่อย พลางหย่อนตัวลงนั่งบนก้อนหินอันเย็นเฉียบของฤดูหนาว บรรยากาศนั้นเสริมส่งอธิบายความหมายของคำว่า เหงา ได้เป็นอย่างดี


    "ฉันว่าพวกนั้นต้องเข้าใจสิ่งที่คุณทำค่ะ คุณลีน"


    แหวนทั้งห้าพูดจาปลอบใจ แต่มันกลับยิ่งทำให้ใจเจ็บแปลบปลาบมากยิ่งขึ้น...


    สิ่งที่กำลังจะทำต่อจากนี้นั่นแหละ คือสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะทำให้ต้องสูญเสียอะไรอีกมากมายเพียงใด


    "แต่ผมนึกไม่ถึงเลยนะครับนี่ ว่าจะเปิดเผยความสามารถของผมกับดีเวนัสออกไปด้วย"


    จี้ห้อยคอรูปดาบสีดำสนิทพูดออกมาบ้าง


    "ช่วยไม่ได้ มันเป็นวิธีที่จะทำให้พวกนั้นเชื่อในเรื่องที่เราเล่า แล้วก็... ยืนยันเรื่องความสามารถด้วย"


    "เปล่าผมไม่ได้จะแย้ง แต่ควรจะบอกให้ไวกว่านี้สักหน่อย แกล้งเป็นใบ้มันไม่ง่ายนะครับไอ้คุณดรีม"


    "อ้าวเหรอ ไม่ได้แย้งงั้นแล้วไป"


    "แล้วไปไม่ได้ครับ นี่ถ้าบอกให้ผมพูดได้แต่แรกก็คงคุยกับพวกปีศาจรู้เรื่อง แล้วก็ไม่ผิดใจกับพวกออร์คอย่างนี้แหง สรุปก็คือถ้าคุณมีความซื่อตรงอยู่บ้างเรื่องมันก็คงไม่วุ่นวายขนาดนี้แหง"


    จากใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆเพราะพูดเล่นเมื่อครู่ กลับกลายเป็นอ้าปากพะงาบๆ เนื่องจากคิดไม่ถึงว่าปล่อยให้พูดได้ไม่ครบนาที พี่แกก็เปิดฉากด่าเขาอีกจนได้!


    "นั่นสินะ ถ้ามีความซื่อตรงสักหน่อย... อย่างเมื่อครู่ก็ยังไม่วายจะโกหกว่าพวกเรามาจากใต้พิภพ มีหน้าที่ดูแลผลึกมาน่ามาตั้งแต่อดีตเสียอีกแน่ะ"


    แหวนทั้งห้าในมือของหญิงสาวร่วมด้วยช่วยกันส่งเสียงยียวนกวนโทโส แต่ผิดคาดเมื่อครานี้อีกฝ่ายกลับทำหน้าจริงจัง


    "นั่นไม่ใช่คำโกหกนะ"


    ดรีมสวนกลับทันควัน สร้างความสงสัยให้แม้กระทั่งกับลีน


    "ถ้าเราบอกว่าตัวเองมาจากต่างโลก เพราะโดนเทพงี่เง่าส่งมาแล้วจะเป็นยังไง?"


    "นี่ถ้าคุณเซรอสได้ยินคำนี้คงหน้าหงายตกเก้าอี้แหง.."


    "เรื่องเจ้าเซรอสน่ะช่างหัวมันก่อนไทม์ ถ้าเราบอกไปอย่างนั้นก็หมายความว่าเราอยู่ในฐานะคนนอก และมานี่เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเทพงี่เง่านั่น ซึ่งมันอาจจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่ากำลังถูกครอบงำและไม่เป็นกันเองซะเปล่า ในที่นี้... ฉันรู้สึกว่าตัวเองผูกพันกับที่นี่จนกลายเป็นคนในไปแล้ว เราเป็นคนในตั้งแต่เมื่อเวลาที่มีสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆบนโลกนี้ และที่สำคัญในเมื่อแรกเริ่มเดิมทีเราก็ถูกส่งมาเพื่อดูแลผลึกมาน่า... เรื่องราวที่เล่าออกไปก็ย่อมไม่ใช่เรื่องโกหกเช่นกัน"


    "...."


    มันเป็นคำพูดซึ่งเหมือนจะมีเหตุผลแต่ว่า "งง"


    แต่นี่แหละอาจจะเป็นความสามารถที่ทำให้สามารถโกหกตัวเองได้อย่างแนบเนียน...


    "ผมคงบอกได้แค่ว่า..."


    "ว่าอะไรไทม์?"


    "คุณมันทั้งบ้า ทั้งเพี้ยนเลยครับผมกล้าฟันธง"


    "เฮ้ย ฉันอุตส่าห์ตอบจริงจังนะ"


    "จริงจังบ้านคุณสิ ผมไม่เห็นรู้เรื่อง"


    "!!!"


    หนึ่งสิ่งที่ช่วยจรรโลงใจอาจเป็นภาพคนทะเลาะกับดาบ ซึ่งไม่ได้เห็นมาเสียนานทำให้ผู้คุ้นเคยรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก เสียงหัวเราะเล็กๆช่วยคลายบรรยากาศอันตึงเครียดได้มากโข ยกเว้นแต่... ชายปีศาจหน้าบูดบึ้งเพียงหนึ่งเดียว ที่ความซีเรียสทวีคูณพุ่งทะลุลิมิต


    เวลานั้นดวงอาทิตย์สาดแสงสุดท้ายลอดผ่านช่องว่างของไม้ใหญ่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีอะไรสะดุดตาไปมากกว่าโลหะอันหนึ่งซึ่งถูกยึดติดไว้กับต้นไม้ในระดับสายตา มันเป็นทองมีสัญลักษณ์ดาบไขว้กันในวงกลม และมีเขาควายประดับอยู่ทั้งสองด้าน... อันว่ารูปลักษณ์นั้นโดดเด่นสวยงามไม่ใช่น้อย และจะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่านี่คือของออร์ค ถ้าไม่มีเขา...


    "นี่มัน...?" ลีนหยิบขึ้นส่องดูให้ชัด ก็ยิ่งพบว่ามันเป็นทองคำแท้จริง ที่สำคัญมันใหญ่เกือบเท่าหนึ่งฝ่ามือและน้ำหนักเกือบจะเท่าทองแท่งเลยทีเดียว เพียงแว่บแรกก็รู้แล้วว่ามันมีค่า


    "ก่อนหน้าเราก็เคยได้ของคล้ายๆ แบบนี้ไม่ใช่เหรอคะ?" ดีเวนัสพูดเสริม ทำให้สองหน่อที่กำลังทะเลาะกันไม่ลืมหูลืมตาหันมาสนใจ แล้วตรงรี่เข้ามาดูใกล้ๆ รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของทั้งสาวไครม์ ชายปีศาจอีกครั้ง


    "ลีน ฉันว่านะพวกบุดันบัง กับ อูรุกัน เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วล่ะ นี่คือสัญลักษณ์นั่น..."


    "ไม่คิดว่ามันเป็นสัญลักษณ์ขอตัดขาดหรือครับ?"


    ...พูดได้พูดใหญ่เชียวนะ ปากช่างเป็นมงคลมาก...


    "นายคิดว่าสัญลักษณ์ตัดขาดจะสวยขนาดนี้หรือไง เอาสมองส่วนไหนคิดหา?"


    "สมองผมมันอยู่ตรงไหนยังไม่รู้เลยดีกว่า"


    ดรีมเอามือตบหน้าผากหนึ่งปั้กแล้วเหลือบมองเจ้าตี้ห้อยคอรูปดาบไม่มีปากแต่พูดมากนั้นอีกครั้งอย่างคาดโทษตาย ซึ่งเจ้าดาบตัวกวนก็ไม่ยี่หระแกล้งเฉไฉเปลี่ยนเรื่องทันที


    "คุณดรีมปวดหัวก็ไม่บอก"


    ไม่ต้องห่วงหรอกมันปวดเพราะแกแหละไทม์!


    "ถ้าอย่างนั้นเราควรหาที่พักก่อนดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็สบายใจแล้วนี่นา"


    สบายแค่เรื่องเดียว แต่ที่เหลือเป็นสิบเรื่องเล่า?


    โดยเฉพาะเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดอย่างนาย....



    "ที่ไทม์ว่ามันก็ถูกนะคะคุณลีน เราควรหาที่พักเสียก่อน"


    แหวนน้อยๆทั้งห้าลงความเห็นเมินคนปวดหัวที่ต้องอาศัยต้นไม้พิงร่างมิให้ทรุดไปกองกับพื้น ลีนหยุดคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วตบมือด้วยสีหน้าเริงร่า เหมือนกับคิดอะไรดีๆออก... แต่มันช่างทำให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาตะหงิดๆ ช่วงหลังมานี้เขารับปากไว้แล้วว่าจะช่วยเสริมแผนการให้ แต่ลีนจะเป็นผู้นำการใหญ่ทั้งหมด... และการใหญ่ที่ว่าเริ่มตั้งแต่กับดักในผลึกมาน่า พบกับพวกโอดราฟโดยตรง บุกเมืองเอลฟ์ หรือแม้กระทั่งเปิดเผยความจริงในวันนี้...


    บอกตามตรงแม้มันจะผ่านมาได้ด้วยดี แต่มันต้องมีเหตุการณ์ชวนใจหายวาบอยู่เรื่อย เนื่องจากความเสี่ยงนั้นเรียกได้เลยว่าอยู่ในเกรด S


    "เธอคิดอะไรออกอีกล่ะ..."


    ดรีมถามเสียงเรียบแต่ใจกำลังเต้นโครมครามอย่างแรง สาวเจ้ายิ้มร่าให้อีกครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นในเวลาสงบสุขเขาควรจะดีใจกับรอยยิ้มนั้น ทว่าเวลาสงครามทุกอย่างกลับตรงกันข้าม!


    "ก็ไม่มีอะไรมากนะ แต่ฉันว่าถ้าเราวางแผนจะปะทะกับเจ้าพวกนั้นอยู่แล้ว ทำไมไม่ไปหาที่พักในแถบเขตแดนเอลฟ์เลยล่ะ?"


    "เธอคิดจะทำอะไรอีกเนี่ย!!"


    "ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรนี่นา อยู่ใกล้พวกนั้นสักหน่อยจะได้เห็นการเคลื่อนไหวบ้าง แล้วถ้าอยู่ในเขตแดนของพวกตัวเอง เจ้าพวกนั้นก็น่าจะต้องระมัดระวังเรื่องการใช้พลัง และระวังไม่ให้ความลับเปิดเผยด้วยใช่ไหมล่ะ?"


    ล้อเล่นน่า... คิดง่ายไปหรือเปล่า เจ้าพวกนั้นมันคงกล้าทำลายทุกคนที่ล่วงรู้ความลับ แม้จะเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเองแน่ แล้วยังจะระมัดระวังอะไรอีก ยังไงเรื่องใส่ความพวกมันก็ควรจะถนัดอยู่แล้ว!


    "เป็นความคิดที่ดีนี่คะคุณลีน"


    "นั่นสิผมเห็นด้วย"


    "..."


    "เฮ้ย..."



    ดูเหมือนว่าคนคิดยากจะมีคนเดียวหรือไง... อย่างนั้นก็แย่สิ เพราะเจ้าพวกนี้มันรู้จักเสียงส่วนมาก รู้จักประชาธิปไตยมาจากตำราเรียนนี่หว่า!!!






    =================================================

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×