ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Wing of Release

    ลำดับตอนที่ #29 : Release 27 [จงปลดปล่อยตนเอง]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 457
      0
      12 เม.ย. 51







    เซพ 30% , 70%


    เขียนไม่ทันแฮะ แต่เย้นนี้คงได้อีก 30% ^^"


    เมื่อคืนอยู่ในสภาพไม่อาจเขียนออกมาได้ แหะๆ


    ป.ล. มีแถมท้ายตอน รั่วแบบเดิมๆ (มันกลับมาอีกครั้ง)


    Release 27




    หลังจากชาน่อนรับรู้ว่าพวกโอดราฟออกไปปฏิบัติภารกิจสำคัญ... แน่นอนว่าหนีไม่พ้นเรื่องผลึกแห่งมาน่าแห่งตำนาน และนั่นย่อมหมายถึงลีนกับดรีม ต้องตกเป็นเป้าหมายหลัก ถึงอย่างนั้นสองไครม์ปีศาจตามที่เขารู้จัก ก็ไม่ใช่ประเภทจะโดนจับได้หรือไล่ทันโดยง่าย ทั้งฝีมืออันแท้จริงก็หยั่งลึกอยู่ในจิตใจไม่อาจประเมินออกมาด้วยความคิดง่ายๆ


    มันทำให้เขาต้องเฝ้ารอผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อ


    ไม่ว่าใครจะเป็นผู้มีชัย สำหรับเขาก็มีแต่ความสูญเสียทั้งนั้น...


    "ลีน" หญิงสาวลูกครึ่งมนุษย์-ไครม์ผู้สวยงามราวนางฟ้าและแสนอ่อนโยน คอยช่วยเหลือเขามาตั้งแต่ "หลุดโลก" หากไม่มีเธอเขาคงโทรมสะบักสะบอมเพราะ...


    "ดรีม" ปีศาจหนุ่มจอมโฉด ความคิดความอ่านพิลึกพิลั่นหรืออาจจะเรียกได้ว่าเพี้ยน แต่ก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งเป็นห่วงเขาโดยไม่ปริปาก วิชาต่างๆ แม้จะสอนแบบโหดร้ายแต่มันก็ได้ผลจริงไม่ได้ลวงโลก


    ถึงระยะหลังแทบไม่ค่อยได้พบกัน เขาและเธอก็ต้องยังคงดำเนินชีวิตตามเส้นทางของตน ไม่ยอมพ่ายให้กับเรื่องเลวร้ายและ "น่าจะ" คิดช่วยเขาด้วย... ทั้งที่เคยพูดเอาไว้ว่าเรื่องของใครก็ต้องลงมือจัดการด้วยตัวเองนั่นแหละ เห็นได้จากการช่วยสนับสนุนออร์คอยู่โดยไม่เห็นทางชนะอย่างตอนนี้ก็ชัดเจนแล้ว ว่าสองคนนั้นไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องกับผู้ที่ตนเคยผูกพันและพยายามฝ่าเส้นทางนั้นด้วยตัวเอง


    อย่างผม


    หรือว่าไม่ใช่หว่า?


    ส่วน "โอดราฟ" เอลฟ์สุดกวนผิดกับบุคลิกอันเย็นยะเยือก อีกทั้งความบ้าระห่ำก็ไม่มีใครเกิน และที่สำคัญเหมือนไม่ค่อยมีใครมองเห็นบุคลิกซ่อนนี้สักเท่าไหร่ ยกเว้นก็แต่พวกบ้าบิ่นกล้าอยู่กับหมอนี่ทั้งวี่วัน.... เช่นเขา


    อันที่จริงเรียกว่า "ต้อง"อยู่คงจะดีกว่า


    ก็ในเมื่อโดนจับมาในฐานะเชลย


    ชาน่อนเอนตัวพิงโซฟานุ่ม ใช้นิ้วเขี่ยขอบตาที่มีลักษณะเป็นรอยคล้ายหมีแพนดาเนื่องจากข่มตาไว้ไม่ให้หลับ คลอนศีรษะแก้ง่วงพลางมองคฤหาสน์ประดับประดาด้วยตู้ตั้งโชว์ ตู้หนังสือ โคมไฟเวทมนตร์ส่องแสงนวลจากริมห้อง พรมทอจากใบไม้เหนียว ปูทับพื้นซึ่งเป็นรากไม้สลับกับก้อนหินที่แกะสลักและเกลาจนเงา สูงต่ำเหลื่อมกันบ้าง บางจุดก็เอาเบาะรองเป็นเก้าอี้ไปซะอย่างนั้น โทนสีเน้นชุ่มชื่นสบายตาผิดกับการจัดแต่งของโลกซึ่งเน้นความโอ่อ่า หรูหรามาเป็นอันดับหนึ่ง


    อันที่จริงแบบนี้ก็ดูหรูจริงๆ แต่กลับดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะห้องรับแขกนี้เขาชอบมากยิ่งกว่าสถานที่ใดซึ่งเคยพบเห็นมาทั้งชีวิตสิบสี่ปี


    แล้ว


    เชลยที่ไหนมันอยู่ในสภาพแบบนี้บ้างล่ะ?


    ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ แต่ที่จับมาก็เพื่อเป้าหมายอันใดอันหนึ่งซึ่งโอดราฟคงไม่มีวันบอกให้รับรู้ด้วยตนเอง


    เรื่องเอามาทดลองผลึกมาน่าก็เป็นเรื่องที่มีทางเป็นไปได้ แต่หากคิดให้รอบคอบแล้ว ลบความทรงจำซ้ำใช้ทดลองจริงจังจากส่วนกลางอย่างไอลายังไงก็ดีกว่าการแสดงเป็นครอบครัวเดียวกันกับโอดราฟให้ยุ่งยาก แถมยังให้ใช้ผลึกก้อนเท่าขี้ผง ซ้ำร้ายคลายผลึกได้ทุกเมื่อมันจะทดลองอะไรได้?


    ทั้งที่เขาคอยจ้องจับผิดมาตลอด แต่กลับเจอข้อดีมากขึ้นตามลำดับซะอย่างนั้น ในบางเวลาเขาต้องการที่พึ่งแม้โอดราฟ จะไม่เคยช่วยอะไรด้วยมือของตน ทว่ามันเหมือนว่าหมอนั่นยืนหนุนให้อยู่เบื้องหลังทำให้มุ่งไปข้างหน้าได้เต็มที่ จะว่าไปมันก็อาจจะเป็นเพราะตัวเขามองว่าร้ายถึงขีดสุดไว้แต่ต้นก็เป็นได้


    และตัวเขาเองก็เป็นลูกชายคนเดียว... ยิ่งอยู่ด้วยนาน ยิ่งรู้สึกเหมือนโอดราฟเป็นพี่ชายขึ้นมาจริงๆ


    เขาคิดถึงบ้าน


    คิดถึงพ่อ


    คิดถึงแม่


    คิดถึงญาติ


    คิดถึงเพื่อน



    ทั้งหมดอยู่ในโลกซึ่งเขาจากมา และไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับไป หรือจะได้กลับไปหรือไม่ เวลาบนโลกนี้ผ่านไปหลายเดือนแล้ว แต่ถ้าเทียบกับเวลาของโลกก็เกือบทวีคูณเข้า เพราะวันเวลาบนโลกนี้ยาวนานกว่าเยอะนัก คนเหล่านั้นอาจจะคิดว่าเขาตายไปแล้วก็ได้...


    และบนโลกนี้


    เขาก็มีคนที่คิดถึงไม่เว้นวันอย่างไอลา


    คนที่รู้สึกห่วงและผูกพันอย่างโอดราฟ


    และพวกเพื่อนที่เขาไม่อยากจากไปอีกแล้ว เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าเป็นอีกครึ่งชีวิตของเขาก็คงไม่ผิดนัก...




    "เจ้าไม่นอนหรือไง"


    เสียงเรียกดังแว่วจากด้านข้างทำให้เขาตื่นตัวสะดุ้งขึ้นฉับพลัน พลางอาศัยความมืดปาดหยาดน้ำตาทิ้ง


    "ยังไม่ดึกมากเลยนี่ครับ ผมยังไม่ง่วงสักนิด"


    โบรมีเนนคงรู้อยู่แล้วว่าคำพูดพวกนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่ก็ไม่ได้สาวความให้มากมาย ลุกขึ้นมานั่งบิดขี้เกียจหาวหวอดๆ


    "ตามใจเจ้า ถ้าอย่างนั้นไปสูดอากาศข้างนอกดีกว่า ดีไม่ดีจะได้ต้อนรับเจ้าพวกนั้นกัน"


    "เอ๋?"


    ชาน่อนอุทานออกมาเสียงค่อย แล้วลุกขึ้นยืนในทันใด แต่แข้งขาที่คุดคู้มานานดันทรยศเลยล้มไปเกาะตู้ข้างๆอย่างน่าอนาถ ปล่อยให้เอลฟ์ด้านข้างหัวเราะเยาะเล่นโดยไม่มีความคิดจะช่วยสักนิด!




    ค่ำคืนหนึ่งอันไม่สามารถมองเห็นฟ้า แต่ดวงดารากำลังเริงระบำภายใต้ร่มเงาของต้นไม้แห่งชีวิต ต้นหญ้าใต้ฝ่าเท้าชุ่มชื้นด้วยหยาดน้ำค้าง กลุ่มควันก่อตัวกันบริเวณปากยามหายใจภาพข้างหน้าพร่ามัวชั่วขณะ แต่มันกลับทำให้ดวงตาตื่นขึ้นเต็มที่ ปากอ้ากว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว ฤดูหนาวที่มาเยือนโดยพลันเสริมสร้างให้บรรยากาศดุจดั่งที่อยู่ของเหล่าทวยเทพในเทพนิยายต่างๆของโลก


    และขณะนี้เขาได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมัน...


    "เป็นไง นี่แหละคือโลกของพวกข้า" โบรมีเนนเห็นท่าทีของชาน่อนแล้วก็พลอยยืดไปด้วย


    "เหมือนฝันไปแน่ะ...." ชาน่อนตอบออกมาจากความรู้สึก


    "เหรอ ถ้าอย่างนั้นหากข้าได้ไปเยี่ยมโลกของเจ้าก็คงเหมือนฝันร้ายสินะ"


    เด็กหนุ่มหันขวับแล้วขยับแว่นให้เข้าที่ทันที เนื่องด้วยเลือด "โลกนิยม" เดือดพล่าน


    "แบบนั้นมันก็พูดเกินไปแล้วนะ อย่าดูถูกโลกมนุษย์ให้มากนัก"


    ปากโพล่งก่อนความคิดสำนึกผิด


    อันที่จริง... หากเทียบกับโลกที่ยืนอยู่นี้ โลกที่เต็มไปด้วยพิษ มนุษย์แก่งแย่งชิงดีไล่ฆ่าก่ออาชกรรมกันเรียงวัน ธรรมชาติแทบสูญสิ้นมันก็นรกชัดๆ


    "ฮะๆๆ ข้าขอโทษ ถ้าในเมื่อมนุษย์มีแต่พวกขี้ขลาดอย่างเจ้าก็คงไม่สร้างปัญหาอะไรมากมายนักหรอก"


    เอ่อ... ขอบคุณครับ จะขอรับไว้ในฐานะคนถูกชมก็แล้วกัน....


    ถึงมันจะเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ก็เถอะ!!


    "ข้ารักที่นี่... อ๊ะ ไม่ใช่บ้านโอดราฟมันนะอย่าเข้าใจผิด"


    ชาน่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจดี แม้มันจะเลวร้ายเพียงใดแต่มันก็คือ "บ้าน"


    บ้านเกิดที่ไม่มีวันลืม...


    "แล้วข้าก็ชอบบรรยากาศเวลาค่ำคืนของที่นี่ มันเป็นช่วงเวลาที่เข้ากับข้ามากที่สุด...."


    "อย่าบอกนะว่านั่นคือเหตุผลที่คุณโบรมีเนนเลือกงานนี้"


    โบรมีเนนสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย แล้วตอบว่าใช่ซ้ำหัวเราะกลบเกลื่อน.... แล้วมีรึ ผู้ที่จับอาการโอดราฟได้จะหลงเชื่อกับมือสมัครเล่นด้านการโกหกเช่นนี้


    "ทั้งที่งานมันเลวร้ายอย่างนี้น่ะเหรอครับ?"


    "พอเถอะ ข้าทำงานนี้เพราะข้าเชื่อว่าหน่วยพิเศษคือผู้รักษาความสงบเบื้องหลัง"


    "สิ่งที่คุยกันตอนกลางวันคือหน้าที่ของผู้ดูแลความสงบงั้นเหรอ?"


    "แต่มันก็แค่ข้อสันนิษฐาน"


    "ชิ แต่เรื่องไอลาตกอยู่ในอันตรายน่ะเป็นเรื่องจริง ถ้าอย่างนั้นผมแอบไปช่วยไอลาตอนนี้ล่ะ คุณจะทำยังไง"


    โบรมีเนนเงียบแล้วหลับตาลงชั่วครู่หนึ่ง...


    "การตัดสินของพวกผู้เฒ่าคือเส้นทางที่ดีที่สุด ข้าเชื่อพวกเขาผู้สร้างให้เมืองเอลฟ์ร่มเย็นเป็นสุขมาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ย่อมมีเหตุผล เพราะเช่นนั้นข้าจะขวางเจ้าคนแรกเลยทีเดียว"


    สิ้นคำประกาศกร้าวทั้งคู่ก็ยืนเคียงกันโดยไม่พูดจากันอีกเลย จนกระทั่งแมลงอับแสงสามตน แบกอีกหนึ่งหน้าตาคุ้นเคยติดไม้ติดมือกลับมาด้วยในสภาพยับเยินเกินคาดการณ์


    วินาทีแรกนั้นชาน่อนเข้าใจชัดว่า "ลีนกับดรีมเป็นฝ่ายเหนือกว่าในยกนี้" แต่ไม่รู้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรสักนิด.... รู้เพียงว่าเขาคงต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้บ่อยขึ้นอีกมาก หากเขายังทำตัวเป็นเพียงผู้รอคอยอยู่ท่าเดียวก็ไม่มีทางที่ผลลัพธ์จะเป็นดั่งใจหวัง...


    เขาไม่อยากสูญเสียอะไรไปทั้งนั้น รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหนทางอันแสนยากลำบากจนมองไม่เห็นความเป็นไปได้แม้แต่น้อย แต่ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเป็นผู้ลงมือกระทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเองอย่างจริงจังเสียที!!

    .

    .

    .


    ทำอะไรดีล่ะ



    30%


    ผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาว(ที่คนอื่นเขาไปทำงานกันหลังขดหลังแข็ง) โรงเรียนกลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนใหญ่เพื่อนทั้งหลายจะ "ร่วมด้วยช่วยกันบ่น" เรื่องชาวบ้านคนนู้นเรื่องมาก คนนี้เอาแต่ใจ บางคนจู้จี้จุกจิกน่ารำคาญซ้ำไปซ้ำมาอย่างเมามัน ใบหน้าแต่ละคนปริ่มรอยยิ้มคลับคล้ายว่าได้หลุดออกมาจากนรกเสียที


    "จริงๆนะ ตาแก่ที่โบราณสถานนั่นบอกว่า 'นี่คือประวัติศาสตร์อันเรืองค่า เราไม่ควรทำลายมันและต้องทำนุบำรุงอยู่ตลอดเวลา ส่วนการศึกษาที่ดีที่สุดคือการปัดฝุ่นและเช็ดคราบสกปรกให้หมด เพราะเจ้าจะได้เห็นทุกซอกทุกมุม และจะซึมซับไปเอง จุดสำคัญคืออย่าหวังใช้เวทมนตร์ มิเช่นนั้นแล้วก็มิใช่การฝึก' คิดว่าไงบ้าง!!"


    "เอ่อะ"


    คนที่บ่นยาวยืดซ้ำยื่นหน้ามาจ้องเขาอย่างเคียดแค้นคนนี้คือ "แบคซิค" ท่าทางจะไปเจอปัญหาใหญ่ถึงขีดสุดของชีวิตมา...


    "ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าโบราณสถานจะไปทำให้มันกลายเป็น ปัจจุบันสถานสะอาดเอี่ยมอ่องทำไมก็ไม่รู้!!"


    แบคซิคโวยวายต่อ แทบจะทุกคนหัวเราะครืนออกมาจนห้องเล็กแทบจะระเบิด ยกเว้นก็เพียงไม่กี่คนซึ่งนั่งคร่ำเคร่งเนื่องจากเห็นอะไรบางอย่างในระยะสายตา สิ่งนั้นมืดทมึนมาตั้งแต่ยามเช้า ท่าทางกร้าวแข็งดั่งหินผา สายตาคมเข้มราวกับจะส่องแสงได้ เสียงขบกันของฟันครางครืนเหมือนฟ้าร้อง


    ...


    อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์


    ...


    "ชะอุ๋ย"


    ดูเหมือนคนข้างหน้าผมจะรู้สึกตัว เมื่อสายตาแทบทุกสายเหลือบมองไปทิศเดียวกัน สรรพเสียงก็ค่อยลงเรื่อยๆจนดับไปในไม่ช้า


    "อาจารย์มาตั้งแต่เมื่อไหร่... เหรอ?"


    ผมถอนหายใจช้าๆ


    "ก็นายเล่นพูดหน้าไม่มองหลังเลยนี่นา"


    "แล้วทำไมไม่บอกกันบ้างว้า!!!"


    "คุณแบคซิค!!"


    คุณอาจารย์ประวัติศาสตร์อันดำมืดตวาดลั่น และในไม่ช้า 'ประวัติศาสตร์' นั้นก็คงครอบงำใครบางคนแถวนี้ไปด้วยอย่างแน่นอน... คนที่นั่งคุกเข่า สั่นหงึกๆ เหงื่อตกเต็มตัว อยู่ด้านหน้าของผม...
    จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ก็ในเมื่ออาจารย์คนนี้นับเป็นนักอนุรักษ์นิยมตัวยง ซ้ำร้ายเป็นหัวหน้าทีมดวงตกของเจ้าแบคซิค และท้ายที่สุดตาแก่ที่ว่าก็คือพ่อของอาจารย์เขา!


    ด้วยเหตุดังว่า ผลตามมาคือการเทศนาโวหารขนานใหญ่ ในหัวข้อเรื่องว่า "สำนึกในประวัติศาสตร์" นักเรียนแทบทุกคนนั่งฟังจนขยาด มีพวกตาเป็นประกายอยู่ไม่กี่คน และหนึ่งในกลุ่มนั้นแทบไม่อยากเชื่อว่าคุณเอลฟ์ลูกมาเฟีย ขุนนางใหญ่โตจะมีสอดแทรกคุยอยากมีรสมีชาติ(ตระกูล) มารู้เอาที่หลังว่าสองคนนี่เป็นญาติกัน ซ้ำสนิทกันอย่างกับพี่น้องเพราะสนใจในเรื่องเดียวกันนี่เอง


    ดูเหมือนไม่ว่าใครก็ตามย่อมมีด้านที่ดูดีด้วยกันทั้งนั้นแฮะ...


    หลังจากประลองจบลง ในตอนแรกผมนึกว่าจะโดนก่อกวนหนักข้อ ที่ไหนได้กลับมีน้ำใจนักกีฬากว่าที่คิด หลังจากวันนั้นหมอนั่นก็รวบรวมความเสียหน้าเอาไว้กับอก แล้วมาขอโทษในเรื่องที่เคยทำไปหมอนั่นพูดเสียงแข็ง ใบหน้าแดงก่ำราวกับกำลังแค้นแล้วหันข้างให้ด้วยซ้ำ แต่คำพูดตะกุกตะกักนั้นกลับนุ่มนวลผิดคาดว่า "ขอโทษที่ลอบทำร้ายในการแข่งขัน แต่ที่เคยหาเรื่องเจ้ารายวันนั่นข้าไม่ขอโทษหรอกนะ ถ้ามีฝีมือจริงใครจะหาเรื่อง แต่เจ้าทำตัวอ่อนแอจนข้ารำคาญเองต่างหาก"


    ต่อจากนั้นพี่แกพูดอะไรไม่รู้ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง จับความได้แค่ว่า อยากขอแก้มือกับเวทมนตร์สาย "เงา" อีกสักครั้ง และผมก็ตอบตกลงไปโดยไม่คิดอะไรเลยสักนิด สมองตอนนี้กลวงโบ๋ไปหมดเพราะมัวแต่คิด "แผนการ" ซึ่งอาจทำให้ผมผิดต่อเพื่อนในห้องนี้ทั้งหมด... ไม่สิพูดว่าผิดต่อพวกเอลฟ์ทั้งหมดก็คงไม่ผิดนัก


    ในตอนแรกก็ยังน่าลังเลอยู่ แต่เมื่อเห็นสภาพของไอลาซึ่งนับวันก็ยิ่งแย่ลง...


    ทำใจไม่ได้


    วันนี้ไอลาเองยังนั่งก้มหน้านิ่ง เม้มปากทนความเจ็บปวดซึ่งแล่นพล่าน จนทนไม่ไหวต้องขอตัวไปพักด้วยตนเอง คนอย่างคุณเธอผู้ไม่ยอมปริปากบ่นถึงความเจ็บปวด ถึงกับพูดออกมาด้วยปากของตนเอง ไม่ว่าใครจะพูดว่าในที่สุดยัยนั่นก็เป็นผู้หญิงขึ้นมาจริงเสียที แต่กับผู้รู้ว่าเธอเป็นอะไรคงไม่มีวันพูดจาเช่นนั้นแน่ เพราะผมจะพูดว่า


    "เธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่เหนือความเป็นมนุษย์ไปแล้ว"


    ว่าแล้วอาการมารยาก็บังเกิด...


    "อะ อาจารย์ครับ"


    "ว่ายังไงคุณชาน่อน?"


    "คือ... คือผมปวดท้องครับ!!!"


    "เอ่อะ"


    ทั้งห้องที่นั่งนอนกันเอกเขรกหันขวับมาเป็นทางเดียวกัน อาจารย์ผู้กำลังชี้นู่นชี้นี่ในภาพมายาบนกำแพงก็ชะงักตามไปด้วย


    "ไปนะครับ!"


    โดยไม่รอให้คนในห้องหายงงและดึงตัวไว้ ผมรีบชิ่งออกจากห้องไปทันทีด้วยหัวใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ
    สองเท้าย่างก้าวไปตรงข้ามกับห้องน้ำซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดไปทุกขณะ ออกห่างจากตึกเรียนไปเรื่อย ตัดสวนหย่อมโดยไม่รอช้า เป้าหมายมีเพียงกระท่อมสีเงินของผู้เฒ่า เพราะมั่นใจว่าอย่างไอลาคงไม่มีทางไปยังห้องพยาบาลแน่ และความคิดนั้นถูกต้องเมื่อข้างหน้ามีเงาตะคุ่มๆ ด้วยความตกใจผมจึงขยับหลบเข้าหลังพุ่มไม้แล้วแอบดูทะลุร่องไม้เล็กไป


    หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อหญิงสาวผมเทาท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงเดินอยู่ตรงหน้า และข้างหลังมีชายชุดเทาท่าทางเรียบเชียบ เฉยชามองไปข้างหน้าด้วยสายตาเหมือนสัตว์ป่าจ้องจับเหยื่อยามสิ้นเรี่ยวแรงทั้งหมด ไม่ช้าไอลาก็ทานพิษซึ่งรุมเร้าเข้าร่างไม่ไหว ทรุดกายลงเกาะพุ่มไม้ริมทาง สองเอลฟ์ชุดเทาตั้งท่าเข้าตะครุบทันที ทว่าจู่ๆร่างกายก็หยุดชะงักเสียเองจนไม่สามารถสะกดความประหลาดใจไว้ได้อีกต่อไปหันมองไปทั่วแต่ก็ไม่พบอะไร ร่องรอยของใครทั้งนั้น


    แน่นอน...


    จะเจอได้ไงก็ในเมื่อใช้เวทดินเปิดโพรงแล้วใช้เงาเลื้อยตามไปด้วยความมืดสนิทใต้ดินนั้นจนถึงเท้าของสองเอลฟ์...


    "ถือเป็นก้าวแรก ขอโทษที่ต้องรุนแรง"


    เสียงพูดแว่วดั่งสายลมหวน สองเอลฟ์เป็นเหมือนหุ่นภายในกำมือยิ่งลนลานยิ่งตกเป็นเป้า เวทในมือซึ่งเตรียมจะขว้างออกไปทำลายสิ่งที่มองไม่เห็นกลับขยับปาใส่พวกของตนเอง เสียงระเบิดดังสนั่น เงาบนพื้นจางหายด้วยแสงสว่างวาบ ปลายเท้าของทั้งสองไร้พันธะผูกพันอีกต่อไปจึงกระเด็นตามแรงของเวทล้มทับต้นไม้น้อยใหญ่หัวทิ่มดินเท้าชี้ฟ้า หลังจากนั้นไม่ใช่เวลากลยุทธ แต่เป็นเวลาของวิญญาณตีนผีเหยียบเต็มพิกัดอุ้มไอลาโกยแน่บไป



    ตอนนี้ผมไม่รู้จะพาเธอหลบไปไหน เพราะหากพาไปในทิศเดิมคือบ้านผู้เฒ่าอาจารย์ของพี่น้องดับเบิลโอ หน่วยพิเศษเมื่อครู่ย่อมต้องตามรอยถึงตัวแน่ว่าใครลงมือกับพวกมัน... หากเป็นคนอื่นช่วยเพราะเห็นเพื่อนกำลังตกอยู่ในอันตรายอาจถูกทาบทามให้เข้าหน่อย แต่สำหรับผม... มนุษย์ผู้มาจากโลกอื่นมีศักดิ์เป็นเชลย ผลก็อาจจะกลายเป็น "กบฏ" ในพริบตา!


    หากไม่รู้จะหนีไปที่ไหนแล้ว


    ให้เลือกที่ที่ไม่น่าไปที่สุด....


    ไม่ใช่เพื่อไม่ให้พบ แต่ต้องให้พบ



    ความคิดยามนั่งคุยกับดรีมมันแล่นผ่านสมองไปอีกครั้ง ในตอนนั้นเพียงถามด้วยใจแป้วยามนึกถึงตัวเองตอนไม่มีใคร แต่คุณปีศาจดรีมดันตอบมาอย่างจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งความหมายมันคืออะไรก็ยังไม่รู้จวบจนตอนนี้...


    แล้วมันคือที่ไหนล่ะ!!


    "โธ่เอ้ย!"


    "ตอนที่ต้องทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ เนี่ยนะให้เปิดเผยตัว! ความคิดสุดโต่งพรรณนั้นยังไงผมก็ทำตามไม่ได้หรอก!!"


    ชาน่อนพ่นบ่นออกมาเสียงค่อย เหลียวมองไปรายรอบอย่างระแวง ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็อุ้มไอลาเผ่นแน่บจากจุดลอบทำร้ายมาไกลพอสมควรแล้ว ส่วนตรงที่เขาอยู่ในขณะนี้อยู่เกือบริมรั้วบริเวณไร้ซึ่งผู้คน โดยเฉพาะช่วงเวลามีการเรียนการสอนแม้แต่เหล่าอาจารย์ทั้งหลายก็ไม่ค่อยผ่านมา เพราะความจริงแล้วเป็นเขตวิจัยพืชพันธุ์ เต็มไปด้วยบรรดาหินน้อยใหญ่หลากชนิดซึ่งมีความชุ่มชื้นต่างกัน ไม้เลื้อยบางชนิดก็เติมโตท่ามกลางสภาวะปกติคือเลื้อยขึ้นไปตามหิน แต่บางชนิดกลับฝังรากลงหินจนแน่นขนัด ไม่รวมไม้น้อยใหญ่ซึ่งกระจายไปทั่วบริเวณจนทำให้แถบนี้ดูรกไม่ใช่เล่น และเนื่องด้วยเป็นเขตวิจัยที่ต้องใช้เวลานานจึงแทบไม่มีใครมาดูหากไม่ใช่ระยะเวลาวัดผล หากจะซ่อนก็คงต้องเป็นแถวนี้แน่!


    ผมไม่น่าจะทำอะไรผิดพลาดแน่ ในเขตโรงเรียนของตัวเองที่อยู่มาเป็นเดือนนี่!




    "อือ...."


    เสียงหญิงสาวครางขึ้นเบาๆ ขณะที่นอนหนุนต้นไม้ใบหญ้าเป็นดุจเตียงนุ่ม ดวงตาปรือลืมขึ้นช้าๆ และหยีลงยามต้องแสงน้อยซึ่งสาดกระทบผิวตาบาง แววตาสีดำนั้นเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่งจนน่าใจหาย ก่อนจะสังเกตเห็นว่าด้านข้างของเธอมีใครบางคนอยู่... เขาคนนั้นนั่งคุกเข่าจ้องมองเธอด้วยแววตาเศร้าหมอง และอบอุ่น ราวกับไม่เคยมีใครมอบให้เธอมานานแสนนาน


    แต่เขาคือ.... ใครฉันก็ไม่รู้จัก มันเหมือนกับความฝันหนึ่งซึ่งเคยผ่านมาและผ่านไป....


    ไม่


    ฉันไม่อยากให้มันต้องผ่านไปอีกแล้ว


    ส่วนตัวฉันเองคือ....


    ใครกัน?


    ทำไมจำไม่ได้....


    ทำไมล่ะ....



    เมื่อเธอพยายามจะขยับแต่ร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่ง ความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างนั้นทำให้วิญญาณแทบจะหลุดลอยออกจากร่าง เธอไม่รู้ว่าในขณะนี้ใบหน้าของเธอเป็นเช่นไร แต่ใบหน้าของชายด้านข้างดูราวกับจะเจ็บปวดไม่แพ้เธอ


    "เจ็บ..."


    เขาพยักหน้าให้แล้วกุมมือเธอไว้


    เสียดายฉันกลับไม่รู้สึกอะไรเลย...


    "ที่นี่ที่ไหน เธอเป็นใคร.... ฉัน.... กลัว"


    เสียงที่ส่งออกไปกระท่อนกระแท่นปนเสียงสะอื้น


    ฉันกำลังร้องไห้ และเขาก็เป็นดุจเดียวกัน น้ำตาอุ่นหยดลงบนใบหน้านวล ก่อนที่เขาจะดึงฉันเข้ากอดเสียแน่น แม้จะน่าตกใจที่ใครก็ไม่รู้ทำเช่นนี้ทว่ามันกลับอุ่นใจขึ้นมาก มือของฉันโอบเกาะเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แล้วร่วมกันร้องไห้ออกมาราวกับจะช่วยดึงความเจ็บปวดนั้นออกจากร่างของฉัน


    มันทั้งเศร้าสร้อย


    ทั้งน่าหวาดกลัว


    แต่เธอรู้เพียงแค่ว่า... เขาคนนี้เธอสามารถเชื่อได้...


    คำพูดตะกุกตะกักปนเสียงสะอื้นข้างหูว่า "ผมจะช่วยเธอให้ได้... ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม" คำพูดนั้น...


    ...ฉันเชื่อนะ...


    จากนั้นสรรพความคิดก็สลายไปในบันดล คงเหลือเพียงร่างไร้สติ....



    "ไอ... ไอลา!"


    "นี่!!"


    ชาน่อนพยายามเรียกหญิงสาวอีกกี่ครั้งก็ตามแต่คราวนี้ไม่มีวี่แววการตอบสนองเลยสักนิด สองแขนซึ่งเคยโอบกอดเขาทิ้งตัวลงพื้นหญ้าไม่ไหวติงอีกต่อไป เสียงหายใจซึ่งเป็นเครื่องหมายของชีวิตอ่อนจนแทบสัมผัสไม่ได้ แต่กลับมีพลังสองดวงซึ่งสามารถสัมผัสได้ชัดเจนอยู่ภายใน มันทั้งเย็นชาและเหี้ยมเกรียม



    นั่นคือมาน่าสโตน ขณะนี้ไม่ต้องให้ถึงขั้นมีร่าก็สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้แล้ว....



    70%



    "ว่าไงกลับมาแล้วหรือ"


    หนึ่งเสียงทักทาย ทั้งที่แง้มประตูบ้านด้วยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน


    "คุณเกียรานอสวันนี้ไม่ได้ไปโรงเรียนนะครับ"


    เด็กหนุ่มทักกลับเสียงเรียบ และไม่สาวความยืดย่างก้าวเข้าสู่ห้องรับแขกอันคุ้นเคยเช่นเดิม แต่มันกลับดูคึกคักขึ้นถนัดตาเมื่อมีเหล่าพวกพ้องหน้าคุ้นกลุ่มเก่านั่งกันหน้าสลอน โดยเจ้าภาพงานนอนเอกเขนกบนโซฟายาว ทั้งเนื้อทั้งตัวพันใบไม้สมุนไพรแทนผ้าพันแผล ขาซ้ายกับแขนขวาเจอเฝือกไม้ดามเข้าให้จนขยับตัวแทบไม่ได้


    ก็สมควรจะก่ายหน้าผากด้วยมือซ้ายที่เหลือ ตีหน้ายุ่งขมวดคิ้วจนม้วนแล้วล่ะ...


    "ถึงไม่ได้ไปแต่มีข่าวฝากจากทางโรงเรียนว่า คราวหลังถ้าห่วงใครไม่ต้องอ้างปวดท้องก็ได้ เขาจะได้ไม่ต้องส่งคนอื่นตามไปดูที่ห้องน้ำเพราะกลัวจะตกส้วมตาย"


    ชาน่อนพยักหน้าหงึกๆ แล้วยิ้มให้ไม่หลบสายตาอีกต่อไป


    "แต่ก็คงไม่มีข่าวแค่นั้นหรอกใช่ไหมครับ?"


    โอดราฟที่นอนอยู่หัวเราะพอเป็นพิธี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ส่วนพรรคพวกกลับถอนหายใจกันเป็นแถบ


    "ก็ใช่น่ะสิ ข่าวของหน่วยพิเศษคือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของหน่วยพิเศษที่สองโดนใครสักคนเล่นงานในรั้วโรงเรียน"


    "อ้าวนั่นหน่วยสองแล้วเหรอครับ?"


    ชาน่อนทำทีเป็นถามหน้าซื่อ มันยิ่งทำให้โอดราฟยันตัวลุกขึ้น จากทีท่าทรมานแทบตายกลายเป็นอารมณ์ดีขึ้นมาเสียแล้ว


    "มันไม่ใช่เรื่องน่าขำนะเนี่ย"


    ชายผมทองซึ่งนั่งไม่ห่างจากคนเจ็บนักพูดขัด


    "หนีได้แต่ไม่หนี นั่นต่างหากที่น่าขำ"


    "ไม่อยากเชื่อว่านั่นเป็นคำพูดของเจ้านะโอดราฟ!"


    โบรมีเนนแทรกเข้าขัดจังหวะอีกรอบ มันยิ่งทำให้โอดราฟหัวเราะหนักข้อ ผิดกับชาน่อนที่ใบหน้าบึ้งตึงลงฉับพลัน


    "เลิกลองเชิงกันสักทีโอดราฟ ถ้าผมหนีไปจริงผลที่ตามมาคงไม่พ้นโดนไล่จับตายในพริบตา สถานการณ์ในตอนนั้นใครบ้างจะหลบออกไปได้โดยไม่มีใครรับรู้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผมจริงไหม?"


    "เจ้าประกาศเจตนาชัดขนาดนี้ต่อหน้าพวกเรามันจะดีหรือ?"


    โอดราฟพูดยิ้มๆ


    ชาน่อนถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปรอบห้องตั้งแต่เกียรานอสซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง สองพี่น้องตระกูลเกียที่เขาไม่รู้จักชื่อ โบรมีเนนนั่งกอดอกนิ่ง จนกระทั่งสุดท้ายแม้แต่โอดราฟเองก็จ้องมองด้วยสายตาราวกับว่าเขาคือ "เหยื่อ" ไม่ผิดจากสองหน่วยลับนั่นจ้องไอลา...


    แต่มันก็น่าแปลกเมื่อจิตใจซึ่งเคยเต้นโครมครามยามอยู่ในสภาวะกดดันกลับสงบลงได้อย่างเหลือเชื่อ ชาน่อนไม่คิดจะพูดจาอะไรให้มากความ เพราะเขาเข้าใจดีแล้วว่าเป้าหมายที่แท้จริงนั้นคืออะไร จึงเดินหลบขึ้นชั้นสองไปอย่างเงียบเชียบ



    "ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้านั่น จากมนุษย์ธรรมดาใช้เวทมนตร์ไม่เป็นแต่กลับพัฒนาขึ้นมาถึงขั้นนี้โดยใช้เวลาสั้นเพียงนี้" เกียรานอสพูดเสียงค่อยเหมือนจะบ่นกับตัวเอง


    "รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่จะเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คิดนะโอดราฟ"


    "ครั้งนี้ข้าคิดคล้ายเจ้าฮาซได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ข้าก็คิดว่ามันชักไม่เป็นการดีแล้วหากจะปล่อยหมอนี่ไว้โดยไม่คอยตามดู จะแบ่งกำลังไปก็คงไม่ดี หรือจะใช้คนอื่นก็ไว้ใจไม่ได้อีกเช่นเจ้าหน่วยสองงี่เง่าในวันนี้เป็นต้น"


    สามพี่น้องออกความเห็นแล้วคราง อืม พร้อมเอามือลูบคางท่าทางกำลังครุ่นคิดหาข้อสรุปอย่างหนัก ก่อนจะเหลือบมองโอดราฟเพื่อขอความคิดเห็นบ้าง ซึ่งหมอนั่นก็รออยู่แล้วด้วยท่านอนแผ่มองเพดานห้อง...


    "พวกเจ้าน่ะเกรงกันมากเกินไป ฝีมือของชาน่อนยังไม่ถึงระดับจะจัดการกับสมาชิกหน่วยสามได้ด้วยซ้ำไป"


    "เจ้าพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะโอดราฟของมันเห็นกันอยู่ คงไม่ใช่โดนเล่นงานจนสมองเพี้ยนไปแล้ว"


    "วิชาเวทของชาน่อนน่ะมันจัดการศัตรูที่กำลังประมาทได้ดีทีเดียว ในเรื่องของพลังคงเทียบใครไม่ติด แต่ด้านเทคนิคนับว่าสูงมาก เรื่องในวันนี้อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าหมอนั่นไม่ใช่คนวู่วามทำอะไรไม่คิด และไม่มีทางหนีไปจนกว่าจะหาวิธีช่วยหญิงสาวผู้นั้นได้"


    "เดี๋ยว ข้ารู้สึกว่ามันจะมีแต่คำชมนะ"


    "เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นฮาซ สิ่งที่หมอนั่นทำวันนี้ก็เพียงแค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่ได้คิดก่อนทำ... การหลบออกไปจากห้องเรียนโดยมีคนจำนวนมากจับตามองไม่ใช่เรื่องน่าชมเชยหรอก หลังจากหน่วยสองโดนเล่นงานใช้ระยะเวลานานจนเกินไปกว่าไอลาจะถูกส่งตัวไปยังห้องพยาบาล นั่นก็หมายความว่าหมอนั่นลนลานทำอะไรไม่ถูกจนในที่สุดเห็นว่าไม่มีทางไปต่างหาก ไม่ใช่แผนซับซ้อนอะไรทั้งนั้น..."


    โอดราฟอธิบายเหมือนยังไม่จบดี แต่ก็เลือกจบแค่นี้ ทั้งหมดนิ่งเงียบงันกันอยู่ครู่หนึ่ง... บางทีอาจจะกำลังคิดว่าทำไมคนอย่างโอดราฟถึงเลือกปล่อยอุปสรรคเอาไว้ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยนหนามเล็กๆ และใช้เวลาทำลายเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำ


    "ข้าว่า..."


    ชายผมทองครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียวมาสักพักใหญ่ ก่อนจะออกปากขึ้นบ้างแล้วหันหาเจ้าภาพการประชุม ซึ่งมีท่าทีประหลาดใจฉายออกมาชัดจากแววตาคมกริบ


    "หากกังวลกันนักไว้ให้รุ่นน้องข้าคนนึงคอยดูให้จะดีกว่า"


    โบรมีเนนพูดต่อ คราวนี้เมื่อมองไปรอบห้องแต่ละคนตาโตส่อแววตกตะลึงกันไปหมด ยกเว้นก็แต่โอดราฟที่เริ่มจะหัวเราะเสียงทึบออกมาอีกครั้ง พรรคพวกทั้งหลายถึงได้เริ่มเข้าใจว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าก้อนน้ำแข็งนี่หัวเราะ แสดงว่ามันคาดไม่ถึง!


    "เจ้าอาสาช่วยด้วยตัวเองก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องขอให้เจ้าช่วย"


    โอดราฟว่า แต่คราวนี้โบรมีเนนเป็นฝ่ายยักคิ้วด้วยความประหลาดใจแทน


    "หมายความว่ายังไง?"


    "ข้าเคยสืบประวัติเจ้ามานิดหน่อย"


    โบรมีเนนทำหน้าตกใจประมาณกำลังอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่า


    'แกจะมาสืบเรื่องของข้าทำซากอะไรวะ'


    แต่โชคดีห้ามไว้ที่ปลายลิ้นได้ทันฉิวเฉียด....


    "เอาเถอะ จะยังไงก็ช่างถ้าเจ้ารู้อยู่แล้วมันก็ง่ายหน่อย..."


    โบรมีเนนถอนใจพ่นคำพูดออกมาดุจดั่งคำบ่นเปรย ในขณะที่พรรคพวกที่เหลือชักจะหงุดหงิดเนื่องจากไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย การตามความคิดโอดราฟไม่ทันมันเรื่องปกติ แต่ตามโบรมีเนนไม่ทันมัน... รับไม่ได้!!


    "ข้าแค่แปลกใจว่าทำไมเจ้าถึงได้เรียกหมอนั่นว่ารุ่นน้อง เพราะจากชื่อ รามิทิส วาลิดาอิสต์ มันก็บ่งบอกว่าเป็นญาติเจ้าแท้ๆจริงไหม บัล โล วาลิดาอิสต์"


    "เฮ้ย! ไอ้บ้าโอดราฟ เอาชื่อจริงมาแฉอย่างนี้ใครจะไปเรียกว่าหน่วยลับวะ!!"


    บรรยากาศตรึงเครียดแปรเป็นขำขันในทันใด เหล่าเอลฟ์ในโลกมืดพากันอุบหัวเราะเป็นการใหญ่ ยกเว้นก็แต่คนหน้าเสียซึ่งบ่นอุบอิบกับตัวเองอยู่ แต่จู่ๆเกียรานอสก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกโพล่งออกมาเสียงค่อยอย่างระมัดระวัง


    "รามิทิส ถ้าข้าจำไม่ผิดส่วนใหญ่จะเรียกว่า 'ราล' ใช่ไหม? นั่นมันหัวหน้าระดับชั้นเลยนี่"


    โอดราฟพยักหน้าตอบ


    คราวนี้โบรมีเนนเหมือนจะคิดอะไรออกบ้างจึงหันไปเขม่นโอดราฟ


    เพราะสิ่งที่นึกขึ้นมาได้มันทะแม่งๆ แถมไม่ใช่เรื่องน่าดีใจสักเท่าไหร่นัก....


    "เจ้า... ไปพูดกับพวกปีศาจให้ปล่อยข้า เพื่อลากให้ข้ามาคอยสอดส่องเจ้าเด็กนี่ให้หรือเปล่าว่ะ?"


    โอดราฟยอมเจ็บเอามือตบเฝือกให้เป็นรางวัลแก่คนรู้มาก


    "ถูกเผงเลย"


    "เฮ้ยแกนี่มัน!!!"


    แต่อย่าถามข้าว่าเจ้าดรีมคิดยังไงก็แล้วกัน เพราะจนบัดนี้ข้าเองก็ไม่เข้าใจ ข้าไม่เห็นว่าการปล่อยเจ้าให้กลับมามันมีประโยชน์ตรงไหนเลย หากยังไม่สามารถหาเหตุผลส่วนนี้ได้... มันรู้สึกเหมือนว่ากำลังตามฝ่ายนั้นอยู่หนึ่งก้าวใหญ่เลยทีเดียว...


    หรือบางทีมันอาจจะส่งกลับมาให้ข้าคิดมากไปเอง?


    เรื่องนั้นก็เป็นได้


    .



    .


    แน่นอนว่าเสียงกระซิบในใจนั้นคงไม่เผยให้ใครฟังโดยง่าย...






    ======================================================


    ละครสั้นหลังข่าว


    ......................................................................เขาไม่อยากสูญเสียอะไรไปทั้งนั้น
    รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหนทางอันแสนยากลำบากจนมองไม่เห็นความเป็นไปได้แม้แต่น้อย
    แต่ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเป็นผู้ลงมือกระทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเองอย่างจริงจังเสียที!!

    .

    .

    .

    ดรีมกับโอดราฟมองแล้วส่ายหน้า

    "อุตส่าห์รอฟัง ที่แท้ก็สมองกลวง"

    ชาน่อน : "!!!!!!!"


    ====================================


    ไอท้อง : มีคนถามมาว่า ดรีมคือโอเดียกลับชาติมาเกิดใช่ไหม?

    โอดรีม : ว่าไงนะ ใครมันถามฟระ?

    ไอท้อง : ความลับทางราชการ ตอบมาเหอะน่า!

    โอดราฟ : มันจะเป็นไปได้อย่างไร พี่ข้าไม่มีทางกลายเป็นปีศาจกะโปโลผลัดถิ่นอย่างนี้หรอก

    ดรีม : ไม่มีทาง ถ้าฉันเป็นพี่มันจะเลี้ยงดูให้นิสัยดีกว่านี้เยอะ

    โอดราฟ : อย่างกับเจ้าดีนักสิ!

    ดรีม : ดีกว่าแกแน่อยู่แล้ว

    โอดรีม : ตายยยยยยย!!!!

    ไอท้อง : "........"
    (สรุปพวกนี้มันบ้าหรืออัจฉริยะแน่หว่า ความจริงตอนที่โอเดียตายดรีมก็เกิดก่อน แล้วมันจะใช่ได้ยังไง...)

    ??? : เรื่องนี้อธิบายได้ด้วยเขตปกครองวิญญาณ โอเดียนั้นอยู่ในเขตปกครองวาเรรัน เพราะอย่างนั้น... จึงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดในเรื่องนี้ ฟันธงอีกคน!!

    ไอท้อง ดรีม โอดราฟ เหลือบมองพร้อมกัน

    โอดราฟ : ไอ้เปียม่วงหน้าคล้ายเจ้านั่นญาติเจ้าหรือ?

    ดรีม : ....คุ้นๆเหมือนเคยรู้จัก แต่ช่างเถอะ ก็แค่พวกตัวบทบาทสำรอง

    ไอท้องพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเดินจากไปทั้งสามคน

    ??? : "!!!!!"


    ===========================================


    ลีน : ดรีมๆ

    ดรีม: หาวววววว.....!

    ลีน : ตาบ้าหลับอยู่ได้ ฉันยิ่งกลุ้มๆอยู่นะ

    ดรีม : กลุ้ม?

    ลีน : อย่าบอกนะว่าเธอลืมไปแล้ว

    ดรีม : ลืมอะไรถ้าเรื่องเซรอสส่งเรามาน่ะไม่ลืมหรอกนะ (จำได้แล้วจากข้างบน)

    ลีน : ใครบอกว่าเรื่องนั้นล่ะ

    ดรีม : งั้นถ้าเรื่องแผนการรบ แผนการจัดการกับพวกโอดราฟ กับดักต่างๆนาๆ บลาๆๆๆๆ
    (จากนั้นดรีมร่ายยาวไปอีกครึ่ง ชม.)

    ลีน : ......ฉันดีใจนะที่เธอมีกะใจจะทำถึงขนาดนี้ แถมเล่าให้ฟังด้วยผิดคาดมาก แต่ไม่ใช่....

    ดรีม : งั้นเรื่องอะไรของเธออีก?

    ลีน : เวลาของโลกนี้เทียบกับโลกเก่าเราวันนึงเท่ากับ 40 ชม.

    ดรีม : พูดให้ถูกคือ 42 ชม. กับอีก 22 นาที

    ลีน : นั่นแหละ แล้วเดือนนึงของที่นี่ก็คือ 35 วัน

    ดรีม : ฮื่อ แล้วยังไงเวลาของโลกนู้นหากเทียบกับที่นี่ 3 เดือนกับ 14 วัน หรือรวมทั้งหมด 119 วัน คิดเป็นชั่วโมงคือประมาณ 5,041 ชั่วโมง หรือนับเป็นประมาณ 210 วัน พูดง่ายๆคือ 7 เดือนนั่นเอง ลืมอะไรตรงไหน?

    ลีนพยักหน้าหงึกๆ

    "ปิดเทอมฤดูของเรามันแค่สองเดือน หรือพูดให้ชัดคือ 64 วันค่ะ"

    "................................................"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×