ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Wing of Release

    ลำดับตอนที่ #27 : Release 25 [หลังฉากอันแสนมืดมน]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 437
      0
      25 ธ.ค. 50




    ฮ่า..... หายไปนานเลย~~~


    แต่ก็ยังมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาเหมือนเดิม เอาล่ะ! ต่อกันเลยแล้วกัน!!


    เซพ 50% เช่นเดิม


    ****เปลี่ยนชื่อตอนดีกว่า



    Release 25





    "นี่" ฉันเรียกชายที่เดินอยู่ข้างหน้า แหวกป่าละเมาะอย่างบันเทิงจิต


    "มีอะไรเหรอลีน?"


    "มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?"


    "อะไรแปลก?"


    ฉันแหงนมองฟ้าข้างบนแล้วก็หยีตาลงเพราะแสงแดดเปรี้ยงข้างบนแยงจนระคายตา ขณะนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน...


    "ประชุมกันจบแต่เช้าตรู่ และเป้าหมายของเราก็คือลอบเข้าไปแถบเขตปีศาจใช่ไหม? แล้วทำไมต้องจงใจมาเวลาแบบนี้ล่ะ แทนที่จะเลือกเวลาให้ไม่เป็นที่สังเกตสักหน่อย"


    "คำถามแรกขอตอบว่าไม่ใช่ และคำถามที่สองเพราะจงใจให้สังเกตง่ายๆไง"


    ตอบอะไรมั่วซั่วแบบนี้ไม่อธิบายมาสวยแน่!


    แต่ดูเหมือนว่าคุณพี่เขาจะรู้สึกได้ถึงจิตอาฆาตจึงอธิบายต่อทันที โชคยังดีนะเนี่ย!


    "เรามานี่เพื่อขัดขวางพวกเอลฟ์นั่นคือหน้าฉาก แต่หลังฉากคือเจรจามากกว่า แต่ก็อีกนั่นแหละไม่ได้หมายความว่าคนที่อยากพบจะพบได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็มีพรรคพวกมาอีกแน่นอน เราถึงต้องลัดเลาะมาตามป่าไม่ให้ผิดสังเกต และมาในเวลาที่จะมองหาพวกนั้นได้ง่ายหน่อยไงล่ะ"


    ฉันพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแล้วคิดตาม แต่ว่า... มันสังหรณ์ใจพิลึก...


    "แต่..." หมอนั่นเอ่ยคำที่ค้างอยู่ในใจฉันจนเผลอสะดุ้ง


    "ฉันเกรงอยู่อย่างนึงน่ะสิลีน..."


    "อะไรล่ะ?"


    "กลัวว่าโอดราฟมันจะคิดแบบเดียวกับฉัน แล้วก็...."


    "แล้วก็...?" ฉันกลืนน้ำลายหนึ่งอึก เรากังวลเหมือนกันถึงแม้ว่าสำหรับดรีมจะกังวลเพราะเหตุผล และฉันกังวลเพราะความรู้สึกก็ตาม... มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก และทุกครั้งต้องเกิดเรื่องทุกที!
    พริบตานั้นความรู้สึกไม่เป็นมิตรก็คุกคามมาจากด้านหลังเรารีบหันกลับไปทันที ต้นไม้ใหญ่อันเรียงรายบิดไปบิดมาดังเอี๊ยดอ๊าดราวกับกำลังคำราม มีกิ่งก้านสาขางอกเพิ่มขึ้นนับไม่ถ้วน คล้ายพลองใหญ่บ้างเล็กบ้างคละกันไป พุ่งเสียบตัดอากาศเข้าใส่อย่างไม่เกรงใจ


    "ดีเวนัส!"


    "เจ๋าค่า~~!!"



    แหวนประหลาดส่งเสียงพิลึกแล้วส่องแสงสีนวลอ่อนไหว นิ้วชี้ตวัดวาดวงกลมขึ้นกลางอากาศด้วยแสงนั้นแล้วแบมือ สัมผัสกับความนุ่มนวลของมนตรา...


    "ขอบเขตพลิกผัน พฤกษชาติ!!"


    วงกลมกระจ้อยเปลี่ยนเป็นสีฟ้าปนเหลืองอ่อน แล้วแตกตัวเป็นฝุ่นละอองแผ่กระจายออกไป พลองไม้ทั้งหมดที่สัมผัสโดนต่างเบนทิศหลบพวกเราไปเองทั้งหมด และไปกระแทกป่าไม้ด้านหลังส่งเสียงลั่น พร้อมแรงสั่นสะเทือนจากพื้นจนสัมผัสได้ชัดเจน


    ดวงตาหวานหลับลงพร้อมกับกางแขนแบมือออกจับสัมผัสมวลละอองเวทที่โปรยปรายออกไปเมื่อครู่ ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะเอื้อมไปสัมผัสกับกิ่งก้านสาขาอันงอกเงยออกมาข้างหน้า


    "เครือข่ายสายสัมพันธ์.... ติดตาม!!"


    สิ้นเสียงนั้นเถาวัลย์จำนวนมากก็งอกต่อออกมาจากกิ่งแล้วตวัดพันกันย้อนกลับไปในทิศทางที่มันมา


    เจอแล้ว....


    จัดการได้ดีเวนัส!


    เจ๋าค่า~~!!



    มือที่แบอยู่หงายขึ้นแล้วกำลงอย่างรวดเร็ว


    "พันธนาการ!!" วาจาที่ลั่นขึ้นฉับพลันนั้นส่งผลให้มีอีกเสียงหนึ่งดังตามทันที


    "เฮ้ย! อะไรเนี่ยรากพวกนี้มันมัน...!!"



    ดรีมกับลีนหันตามเสียงไปถึงจะมองไม่ชัดนักแต่พวกมันมีไม่น้อยกว่า 3 คนแน่ที่บินหนีขึ้นฟ้าไป แม้ว่าจะเป็นเพราะสายตาโดนสุมทุมพุ่มไม้ และเวทมนตร์เมื่อคู่บดบังไว้ก็ตามที แต่การเคลื่อนไหวขนาดนั้นต้องนับว่าฝีมือไม่เบา ผิดกับหน่วยพิเศษที่ดรีมเคยซัดกระจุยไปทั้งหน่วยด้วยตัวคนเดียวลิบลับ


    "ฮะๆๆ ไม่ทันขาดคำโดนลอบโจมตีซะแล้ว"


    "มันไม่ช้าไปหน่อยเหรอคะคุณดรีมขา"


    "นั่นสินะ ความจริงก็คิดแต่แรกแล้วล่ะว่าจะบุกตรงหรือค่อยๆเลาะไปเหมือนกันแหละ แต่ว่าแบบนี้มัน..."


    วูบ..........


    ตุ้ม!!


    "เฮ้ย..."


    "พอเถอะไม่ต้องอธิบายแล้ว!"


    ดวงแสงสีดำที่ร่วงหล่นจากบนฟ้าเมื่อกระทบพื้นแล้ว มันกลับแตกตัวออกนับไม่ถ้วนแล้ววิ่งเลี้ยวหลบสุมทุมพุ่มไม้โอบล้อมเข้าใส่จากทุกทิศทาง โดยมีเป้าหมายเพียงแค่ไครม์และปีศาจทั้งสองได้อย่างน่าประหลาดใจ การจะหลบให้ได้คงมีแต่มุดดินหรือไม่ก็ลอยขึ้นฟ้า แต่ปัญหามีอยู่ว่าถ้ามุดดินแรงกระแทกก็ยังคงมี และถ้าขึ้นไปข้างบนศัตรูก็รอท่าอยู่แล้วแหงๆ


    "ช่วยไม่ได้ต้องซัดตรงๆแล้ว! ไทม์!!"


    ดรีมเอามือสัมผัสที่ยอดอกของตน จี้ห้อยคอรูปดาบสีดำสนิทเกิดเป็นแสงสีเขียวไหววูบวาบ และในพริบตาที่ออกท่าตวัดดาบ ดวงแสงนั้นก็กลับกลายเป็นดาบทรงเรียวสีเขียวใส มีลวดลายคล้ายอักขระโบราณบนกั่นดาบซึ่งมีลักษณะคล้ายปีก


    เขากระโดดขึ้นแล้วตวัดดาบเป็นวงกลมโดยมีตนเองเป็นจุดกึ่งกลาง ส่วนมือซ้ายที่ว่างอยู่ชูขึ้นมีลูกบอลเวทอันมีสามสี แก่นกลางเป็นสีดำสนิทจนน่าหวาดหวั่น ชั้นกลางเป็นสีม่วงแก่แต่ยังมองทะลุได้ ช้อนนอกสุดนั้นกว้างสุดและเป็นสีม่วงจางจนแทบละลายหายไปต่อหน้า เส้นลำแสงสีดำของเหล่าศัตรูทั้งหลายถูกดูดเข้าไปวนเวียนอยู่รายรอบเหมือนกับดวงวิญญาณนับร้อยพันตามหลอกหลอกปีศาจร้าย...


    เมื่อดวงแสงลอยขึ้นดวงวิญญาณก็ลอยตามขึ้นไป ส่วนวงกลมที่วาดไว้ก็เริ่มส่งเสียงคำรามเตือน ก่อนที่สายลมคลั่งจะอาละวาดพัดเวททั้งหมดนั้นไปแตกกระจายข้างบนฟ้าราวกับดอกไม้ไฟในงานเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง และเจ้าตัวก่อเรื่องก็รีบฉวยจังหวะนั้นดีดตัวกระโดดไปตามต้นไม้น้อยใหญ่อย่างฉับไว จนกระทั่งหลุดออกจากเขตป่าเข้าสู่เขตที่ราบก่อนจะเข้าหุบเขาอันกว้างใหญ่


    พวกเขาหยุดฝีเท้าลงเพื่อสอดส่องหาศัตรูผู้โจมตีเข้ามาเมื่อครู่ ไม่นานนักเอลฟ์ห้าคนก็บินเอื่อยๆมาพบทั้งสองเข้าอีกครั้ง ทั้งหมดเป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดูสวยและสูงส่ง ยกเว้นเพียงหนึ่งรายที่หัวฟูหยอกเสื้อผ้ามีรอยไหม้ประปรายขาดวิ่นเป็นรอยยับยู่ยี่ ใบหน้าบูดบึ้งขึ้นสนิท...
    ท่าทางจะโดนพายุซัดมาแหงๆ


    "หึ พวกเจ้านี่เองหรือตัวปัญหาใหญ่ที่ท่านผู้นำว่า"


    ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนั้นจะพูดกันเองแต่คนไร้กาลเทศะก็เอ่ยแทรก


    "ผู้นำอะไร เล่ามาหน่อยสิพรรคพวก"


    พวกเอลฟ์ทำหน้าตาเหมือนจะพูดว่า 'ใครพูดกับแกฟะ' แล้วจึงโต้กลับ


    "พวกเจ้าคงรู้ว่าพวกข้ามีจุดมุ่งหมายอะไร..." เอลฟ์หัวกระเซิงพูด


    "ไม่รู้" ดรีมตอบทื่อสนิท


    "เจ้าแกล้งทำไก๋ไปก็เท่านั้น!"


    "มีปัญหาอะไร? พวกแกเองก็โจมตีคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนี้มันดีนักเหรอ? ถ้าไม่ใช่พวกเราคงตายไปแล้ว"


    "มีคนบอกมาว่าหากเป็นพวกเจ้าจริงคงไม่ตายง่ายๆ"


    พวกเอลฟ์แย้ง และ.... "คนที่บอก" นั่นคงเป็นโอดราฟ ไม่ผิดเป็นแน่....


    "ไร้สาระน่ะ เข้าใจผิดกันใหญ่แล้ว พวกเราแค่นักท่องเที่ยวเท่านั้นเอง ไปกันเถอะลีนอย่าสนใจพวกบ้าๆนี่เลย"


    ดรีมย้อนโมเมด้วยน้ำเสียงยียวนกวนโทโสสุดฤทธิ์ ชนิดที่ถ้าใครดูแล้วไม่รู้ว่าพูดจามั่วซั่วมันคงจะงี่เง่ากว่าออร์คกล้ามบึ้กสมองฝ่อแล้ว!! เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเอลฟ์หน้าสวยมาดเท่ถึงดูหมองลงด้วยเงาแค้นดำทมิฬ


    ดรีมทำเป็นไม่ใส่ใจแล้วจูงมือลีนเดินผ่าที่ราบตัดตรงเข้าสู่แนวเขาซึ่งเชื่อมกับเขตแดนปีศาจ พลางคุยกันเจื้อยแจ้วอย่างไม่ใยดีกับฝูงบินทั้งห้าแม้แต่น้อย พริบตานั้นบางสิ่งที่เรียกว่า "เส้นประสาทความอดทน" ของเอลฟ์หัวกระเซิงก็ขาดผึงลง รีบร่อนลงมาขวางหน้าทั้งคู่เอาไว้พร้อมใบหน้าย่นพอๆกับสุนัขพันธ์บลูด็อก ดรีมเห็นแล้วก็พยายามจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ แต่ไม่ไหวจึงพ่นออกมาเต็มแรง ส่วนสาวน้อยบอบบางด้านข้างก็ได้แต่เหนื่อยใจเดินหลบให้...


    รู้ทั้งรู้ว่าซัดกันแน่ยังมิวายก่อกวนสภาพจิตคนอื่นเขา ทำไมน้า.... คนเราไม่รู้จักพัฒนาเอาซะเลย!!


    "แล้วตกลงพวกนายมาวุ่นวายกับพวกเราทำไมเนี่ย?"


    นั่น มิวายจะปากเสีย คำพูดคำจาแบบนี้ต่อให้ไม่เกี่ยวจริงมันก็ต้องเกี่ยวเข้าจนได้ล่ะน่า!!


    คุณหัวฟูยื่นมือออกมาข้างหน้าสายฟ้าสีดำฟาดเปรี้ยงลงระหว่างกลาง และปรากฏร่างของดาบขนาดใหญ่สีดำมืดคมหยักคล้ายลักษณะของสายฟ้าฟาดน่าเกรงขาม


    "เพิ่งรู้ว่าเอลฟ์ก็นิยมของหนักแบบออร์ค..."


    โดยไม่รอให้คนปากมากพูดจบดาบยักษ์นั้นก็วาดวงฟาดลงพื้นอย่างแรง พสุธาครางครืนพร้อมแสงสว่างระเบิดขึ้นจากข้างใต้ทะลุขึ้นฟ้า เขาตวัดดาบนั้นขึ้นพาดบ่าราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนักแม้แต่น้อย พลางยิ้มให้ปีศาจผู้หลบหัวซุกหัวซุนเอาชีวิตแทบไม่รอดเมื่อครู่



    "เป็นไงล่ะครับสมหน้าประมาทดีนัก!"


    คราวนี้ฝ่ายพวกเอลฟ์ต่างก็ตกเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้างเมื่อดาบเหล็กเรียบๆนั้นส่งเสียงเยาะเย้ยผู้ถือของมัน ส่วนตัวปีศาจผู้ครองนั้นก็เหลือบมองด้วยหางตาราวกับกำลังมองศัตรูผู้ร้ายกาจที่สุดในชีวิต


    "ไทม์พูดถูกนะนั่น เลิกทำเป็นเล่นสักทีเหอะดรีม ฉันแค่มองยังรู้เลยว่าพวกนั้นน่ะระดับสูงกันทั้งทีม!"


    ลีนตะโกนโวยเข้ามาอีกคน ส่วนเอลฟ์อีกสี่รายเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เลิกลอยเก๊กท่าแล้วเอาเท้าสัมผัสพื้นกันบ้าง ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นบ้าง


    "ยอมรับว่าพวกเจ้าชื่อดรีมกับลีนก็ดีแล้วจะได้เจรจากันง่ายหน่อย...."


    "เฮ้ย เฮเลียส! จะให้ข้าเจรจากับไอ้ปีศาจกวนประสาทนี่ไม่ไหวนะ อย่างน้อยก็ต้องสั่งสอนมันก่อน!!"


    เอลฟ์หัวหยิกฉุนขาดฟาดดาบลงพื้นอย่างฉุนเฉียวเกิดเสียงฟ้าคำรามใต้ดินขึ้นอีกรอบ แต่ดรีมกลับถอนหายใจเหมือนเบื่อหน่าย


    "ฝีมือแค่นี้น่ะเหรอ สั่งสอนฉัน?"


    "ว่าไงนะ!!"


    ดรีมกวักมือเรียกช้าๆ แต่อีกฝ่ายคงรู้สึกเหมือนภูเขาไฟกำลังปะทุอยู่ในร่างกายจนเดือดดาลกระโดดพุ่งเข้าโจมตีแบบไม่ไว้หน้าพรรคพวกตัวเองซึ่งพยายามจะห้ามสุดชีวิต แต่จู่ๆเขาก็กลับทำหน้าตื่น เปลี่ยนจากพุ่งเข้าใส่ตรงเป็นเอาเท้าค้ำยันพื้นไว้ไม่ให้ไถลเข้าหาปีศาจผู้แสยะยิ้มอยู่ โดยมือทั้งคู่พยุงดาบชี้ตรงไปข้างหน้า... หรือจะเรียกว่ายึดเอาไว้ไม่ให้หลุดมือเสียมากกว่า...


    "น่ะ นี่มันอะไรกันเนี่ย!!"


    "สายไปแล้วว่ะ..."


    ดรีมเอ่ยเสียงเรียบในขณะฉวยโอกาสเข้าประชิดแล้วฟาดดาบเหล็กไร้คมเข้ากลางลำตัวอย่างจัง จนเกิดเสียงดังสนั่น ดาบที่ยึดไว้หลุดมืออย่างฉับพลันแล้วลอยไปปักอยู่กลางอากาศอย่างกับว่าพื้นอยู่ ณ ตรงนั้น ส่วนตัวเจ้าของกลับเข่าอ่อนทรุดลงไปนอนกองกับพื้นอย่างช้าๆ


    "ใครประมาทกัน? แล้วจะว่าไปพวกนายนี่ระดับไหนขององค์กรล่ะ ส่งฝีมือแค่นี้มาหาเรื่องเรามันออกจะดูถูกกันมากไปแล้วมั้ง!"
    ดรีมหย่อนวาจายั่วโมโหซ้ำ


    "แหวะ... ขี้โม้ชะมัดยังไงเมื่อครู่ก็วิ่งหางจุกตูดจริงนั่นแหละครับ"


    "เฮ้ย แกว่าไงนะไทม์!!"


    "กลายเป็นตาแก่หูตึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย ขี้เกียจพูดซ้ำ"



    "!!!!"



    หากใครได้มีโอกาสพบคู่หูทะเลาะกันในสภาพแบบนี้คงต้องแปลกใจกันไม่น้อย ขนาดว่าเอลฟ์อีกสี่คนยังยืนอึ้งทั้งที่เป็นโอกาสดีจะลอบเล่นงาน และเมื่อตั้งสติได้ก็ไม่กล้าจะประมาทอีกต่อไป ต่างก็เรียกอาวุธประจำกายเอามาถือไว้จนครบครันแล้วแบ่งเป็นทีมละสองคนเข้าโอบล้อม ดรีมกับลีนเอาไว้ห่างๆ


    "น่าสนุกดีนี่ ไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่ต้องเอาจริงมานานเท่าไหร่แล้วนะ" หนึ่งในสองผู้ถือดาบคู่ยืนคุมเชิงดรีมพูด


    "น่าเบื่อ... พูดจาไร้สาระอยากสนุกจริงก็ดวลกันสิ" และประโยคนี้... เป็นการขัดคออย่างฉับไวเหลือประมาณ ส่วนคนพูดมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น...


    "เจ้านี่เป็นปีศาจที่เจ้าเล่ห์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาทีเดียว แต่กลยุทธล่อให้ฉุนเฉียวขาดสติพิจารณาแบบนั้นมันใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" เอลฟ์อีกหนึ่งผู้มีลูกแก้วเสริมพลังเวทเป็นอาวุธ ยืนหลบอยู่ด้านหลังพลางพูดขึ้น แต่ดรีมกลับทำท่าไม่ยี่หระ



    "ถ้าอย่างนั้นฉันลุยเองก็ได้"



    สิ้นเสียงนั้นปีศาจผู้ลั่นวาจาก็เปิดฉากจู่โจมตรงเข้าใส่จอมเวทผู้ยืนข้างหลังราวกับไม่เห็นหัวผู้ยืนขวางอยู่ข้างหน้าแม้แต่น้อย เสียงเหล็กกระทบเหล็กบาดแก้วหูและดังระรัวอยู่ครู่หนึ่งด้วยการรุกรับอันคู่คี่ ในด้านความเร็วนั้นดรีมออกจะเหนือกว่าแต่เมื่ออีกฝ่ายใช้ดาบคู่ ช่องว่างให้จู่โจมได้ก็ถูกปิดเสียมิดชิด พอมีเวทเพลิงซึ่งลุกโชติช่วงตวัดเข้าโจมตี ซ้ำยังโยงใยกันคล้ายตาข่ายจึงต้องถอยออกมาเสียก่อน พลางเอื้อมไปหยิบดาบฟ้าผ่าเล่มโตมาถือเอาไว้คล้ายจะใช้ดาบคู่บ้าง ทั้งที่มันสุดแสนจะไร้ซึ่งสมดุลอย่างเห็นได้ชัด


    "คราวนี้แกเสร็จฉันแน่"


    ดรีมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจสุดขีดทั้งที่มือหนึ่งถือดาบเล่มกระจิ๋ว แต่อีกข้างใหญ่โตพอจะผ่าควายได้ทั้งตัว ดาบยักษ์หวดเสยขึ้นฟ้าอย่างแรง เอลฟ์ผู้ใช้ดาบคู่เห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากกลับไปข้างหลังนิดหนึ่ง และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อดาบเล่มยักษ์ดันหลุดจากมือปีศาจร้ายข้างหน้า และหมอนั่นอยู่ในสภาพเสียหลักหน้าคะมำลงพื้น ดาบคู่เล่มงามไม่รอช้าที่จะจู่โจมใส่ ใบหน้าของเอลฟ์เหล่านั้นเหมือนได้รับชัยชนะแล้ว ทว่าสองมืออันพร้อมฟาดฟันชูขึ้นเหนือศีรษะแต่กลับง้างไม่ลง พริบตานั้นก่อนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรตัวเขาก็ถูกกระชากลอยขึ้นฟ้าไปแล้วด้วยแรงมหาศาล สายตาของทุกผู้เอลฟ์หันตามไปเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาที


    แต่เป็นเสี้ยววินาทีที่ยาวนานขนาดเรียกว่าเป็นชั่วชีวิตหนึ่งได้ทีเดียว เมื่อดรีมฉวยโอกาสเข้าประชิดตัวจอมเวทผู้นั้นเรียบร้อย และประเคนปลายดาบซัดซี่โครงทั้งสองข้างแหลกละเอียด ตามมาด้วยเสียงโหยหวนหนึ่งวูบซึ่งดับไปพร้อมกับสายลมซึ่งพัดมา จังหวะที่สายตาหันมาจรดจ้องกับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายอีกหนึ่งนั้น ลีนก็ฉวยโอกาสซัดเวทเพลิงอัดเข้ากับศัตรูทั้งสองซึ่งยืนขาดความระมัดระวังอยู่ข้างหน้าเข้าอย่างจังราวกับเล็งเอาไว้แล้ว


    เอลฟ์ผู้เดียวที่ยังเหลืออยู่คือผู้โดนกระชากลอยขึ้นฟ้าไปเมื่อครู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากและจบในพริบตาเดียวกัน จนเขาที่เพิ่งจะปล่อยมือออกจากอาวุธของตน เพื่อหลุดออกจากอำนาจซึ่งฉุดเขาขึ้นฟ้าไปนั้น แทบไม่อยากเชื่อสายตาของตน ใบหน้านั้นซีดเผือดราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ และผีสองตนนั้นกำลังจับจ้องมายังเขา... เวลาเหมือนหยุดลงแค่นั้น


    เคร้งๆๆๆ!!!


    อาวุธที่ลอยขึ้นฟ้าร่วงหล่นกระทบพื้นด้วยแรงดึงดูดเรียกสติของเอลฟ์ผู้นั้นกลับมา แต่กะใจจะสู้ต่อนั้นมันเหือดแห้งหายไปสิ้น....


    "เมื่อกี้แก.... ทำอะไร.... ลูกเล่นนั่นมันเป็นไปไม่ได้....!!!" เขาตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ


    "เรื่องแบบนั้นจะต้องบอกศัตรูด้วยเหรอไง?" ดรีมบ่นเสียงดังชนิดที่ว่าอีกฝ่ายได้ยินแน่นอน จนหญิงสาวผู้มาด้วยทำได้แค่หนักใจ ปวดขมับขึ้นมาบ้าง


    "ตกลงเราจะมาทำอะไรกันแน่เนี่ย" เธอว่า



    "อ้าว? น่าแปลกใจจริงๆ นี่พวกเจ้าไม่ได้มาพบข้าหรอกหรือ?"



    หนึ่งเสียงอันคุ้นเคยส่งเรียกอย่างเรียบง่ายจากใต้ร่มเงาของร่องเขา ชายผู้งามสง่าตั้งแต่เส้นผมสีเขียวเงางามจรดปลายรองเท้าหนังสีน้ำตาลผละตัวออกจากหินก้อนใหญ่ซึ่งกอดอกยืนพิงอยู่เมื่อครู่ สาวเท้ายาวเดินเข้าหาปีศาจดรีมคู่แค้นแล้วหยุดอยู่ตรงหน้า พลางยิ้มให้กันดูน่าขนลุก ประสาทสัมผัสของหญิงสาวด้านข้างตึงเปรี๊ยะขึ้นมาในทันใด...


    "โอดราฟ... นายเดาทางฉันออกแล้วส่งพวกงี่เง่านี่มาวางกับดักไว้สำเร็จ โชคช่วยจริงนะ"


    "ผิดถนัดดรีม ข้าก็แค่คิดว่าดักเอาไว้บ้างก็ไม่เสียอะไร เหมือนเจ้าที่กะว่าลอบเข้ามาดูสักหน่อยก็ไม่เสียอะไรนั่นแหละ"



    ทั้งคู่จ้องหน้ากันเงียบกริบอีกครั้ง บรรยากาศวังเวงขอบหุบเขากลับหนาแน่นด้วยกลิ่นอายของความไม่น่าไว้วางใจ อันหยั่งรากเข้าสู่ภายใต้ก้นบึ้งของจิตใจของผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้น.... บางทีการพบหน้ากันของสองอสูรร้ายอาจจะน่ารักกว่านี้ก็เป็นได้....



    50%



    "...เป้าหมายของพวกผู้เฒ่าน่ะข้าไม่รู้หรอก แต่ว่าสิ่งที่ต้องการนั่นคือมาน่าสโตนแน่"


    เด็กหนุ่มผมสีดำนั่งฟังคำบรรยายพลางขยับแว่นเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัด


    คนอะไรตอบไม่ตรงคำถาม เรื่องมาน่าสโตนน่ะรู้มาเป็นชาติแล้ว!


    เขาแอบชำเลืองมองชายผมทองผู้นั่งอยู่ข้างหน้าเขา ทำหน้าที่พี่เลี้ยงและผู้คุมไปพร้อมกัน... และตอนนี้ท่าทางของหมอนี่กำลังเซ็งสุดชีวิต เพราะพรรคพวกปล่อยให้พี่แกอยู่คนเดียวเสียได้ ส่วนพวกนั้นคงกำลังสนุกกับการไล่ล่ามาน่าสโตนอยู่แน่ และพวกคุณลีนก็คงกำลังลำบาก!


    หลายวันมานี้พวกกลุ่มโอดราฟเหมือนจะมีเรื่องระหองระแหงกับพวกหน่วยพิเศษระดับสูงสุด จนไม่สามารถทำงานได้ มีก็ช่วงระยะหลังมานี้เริ่มมีการติดต่อกับหน่วยที่รองลงมา... แต่จะทำอะไรเจ้าโอดราฟมันก็ดันบอกว่า "กลับไปคิดเองข้าไม่มีหน้าที่ต้องบอก" ช่างน่าขอบคุณยิ่งนักที่ฝึกให้บริหารสมองกันแบบนี้ แต่ยิ่งเห็นการเซ็ง เหนื่อยใจผิดปกติของจอมทัพจอมโวยวายข้างหน้าแล้ว ก็คงเดาไปทางอื่นไม่ได้ว่ามันต้องเป็นภารกิจอันสำคัญยิ่ง!


    "เฮ้ออออ! น่าเบื่อชะมัด!!"


    ทั้งคู่พ่นบ่นออกมาพร้อมกันแล้วทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา เหยียดแข้งเหยียดขาบิดขี้เกียจ เหม่อมองเพดานสีขาว โคมไฟเวทมนตร์สะท้อนแสงระยับแต่มันก็ไม่สามารถทำให้สบายอารมณ์ขึ้นมาได้สักนิด...


    "นี่คุณโบรมีเนนครับ"


    "อะไร...."


    "จะไปด้วยก็ได้มั้ง มีหน้าที่จับตาดูผมแต่ถ้าผมไปด้วยก็ไม่น่าจะมีปัญหานี่นา"


    "เรื่องพรรณนั้นทำไม่ได้ ที่ข้าต้องอยู่ก็เพื่อตบตาพวกหน่วยเหนือไม่ให้มันรู้ว่าเราเคลื่อนไหวอะไรอยู่ด้วยซ้ำ...."


    ชาน่อนขมวดคิ้ว


    "นั่นมันคำพูดของคนทรยศนา"


    "จะฟังเป็นอะไรก็ช่างเจ้า พวกข้าเพียงแค่ไม่พอใจไอ้พวกดีแต่ตำแหน่งถึงต้องหักหน้ามันซะบ้างก็เท่านั้น"


    เสียงสนทนาเงียบลงสองคนว่างงานนอนเหม่อใจลอยไปแสนไกล เสียงนาฬิกาเดินแกร๊ก แกร๊ก มีประโยชน์ก็ช่วงเวลาไม่มีอะไรทำแบบนี้... อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เหงาเกินไป...


    วันนี้โรงเรียนหยุด นักเรียนส่วนใหญ่ไปเข้าค่ายกันในต่างเมือง ทั้งเป็นการทัศนะศึกษาชื่นชมบรรยากาศอันแตกต่าง แล้วยังถือเป็นการแสดงความสามารถของนักเรียน โดยการช่วยเหลืองานหลายๆด้านตามความถนัดของแต่ละคน อันที่จริงมันเป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่เลวแต่ตัวเขาก็ไปไม่ได้เพราะโดนโอดราฟอ้างไว้ว่า "ร่างกายอ่อนแอ พาไปก็มีแต่จะเป็นภาระ" ส่วนไอลาเองก็มีข่าวว่าป่วยหนักจนต้องหยุดไปเหมือนกัน มีร่าสภาพร่างกายอ่อนแอเรื้อรังจึงไม่ได้ไปด้วย ตัวราเฟรเซียไม่ได้มีปัญหาติดขัดอะไรสักอย่างแต่ตัวดันติดกับมีร่าถึงไม่ได้ไปตาม แล้วก็ยังมีพวกขี้เกียจบริการคนอื่นอีกนิดหน่อย เฉกเช่นคุณลูกขุนนางตัวกวนประสาทนั่น...


    "จริงสิแล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ในร่างของมนุษย์แสนอ่อนแออย่างนั้นล่ะ?"


    เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้... แล้วจะรู้อะไรบ้างนะเนี่ย!


    "หรือว่าผลข้างเคียงของมาน่าสโตนมันรุนแรงถึงขั้นนั้นจริงๆ?"


    "ขั้นนั้นที่ว่าคืออะไรเหรอครับ?" ชาน่อนรู้สึกสนใจขึ้นมาจึงค่อยๆกระเถิบขึ้นมานั่งท้าวแขนไปกับโซฟา ทำหน้าอยากรู้อยากเห็น โบรมีเนนรู้สึกแปลกใจตาม แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมากเปลี่ยนเป็นนอนหนุนแขนตัวเองเงยหน้าขึ้นมานิดหนึ่ง


    "อ้าวเจ้าไม่เคยได้ยินหรอกเหรอ ว่ามาน่าสโตนส่วนใหญ่จะกลืนกินชีวิตของผู้ใช้ เป็นการแลกเปลี่ยนกับพลังอันมหาศาล เนื่องจากการก่อกำเนิดมาน่าสโตนนั้นคือการกลืนกินพลังชีวิตของผู้สร้างเก็บเอาไว้มันถึงได้มีพลังแฝงอันร้ายกาจเช่นนั้น.... ข้าพูดน่ากลัวไปเหรอน่าซีดเชียว"


    โบรมีเนนหัวเราะร่าเมื่อเห็นชาน่อนแสดงอาการหวาดวิตกออกมาอย่างเห็นได้ชัด


    "นี่

    วางใจเถอะน่า เศษมาน่าสโตนเล็กขนาดนั้นข้ายังไม่เคยเจอ มันกลืนเจ้าไม่ได้หรอก"


    "เปล่าน่ะ แค่สงสัยว่าถ้าอย่างนั้นจะสร้างมันขึ้นมาทำไมกันล่ะครับ?"


    โบรมีเนนขยับหัวยุ่งของตนสายตาเหล่มองไปข้างๆแทน


    สงสัยว่าจะไม่เคยคิดมาก่อนเลยสินะ...


    "บางทีแล้ว... ข้าว่าคนสร้างคงไม่อยากให้ใครได้พลังนั้นไปนอกจากคนนั้นล่ะมั้ง!"


    "มันขัดกันสิ แล้วถ้าอย่างนั้นจะสร้างมาทำไม เก็บไว้กับตัวก็สิ้นเรื่อง"


    "บางทีอาจไม่อยากเก็บเอาไว้ก็ได้นี่นา คิดมากจริงๆเจ้านี่!"


    ว่าแล้วเอลฟ์ผมทรงหัวยุ่งเหยิงก็ดีดตัวลุกขึ้นด้วยใบหน้าร่าเริง เหมือนอยากจะล้อเล่นแกล้งเด็กไปวันๆ


    แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่พวกไม่คิดอะไรเลยแบบคุณนี่หว่า


    "แล้ว.... ถ้าโดนกลืนไปจะเป็นยังไงล่ะ?"


    คุณเอลฟ์ทำหน้าข้องใจประมาณว่าอยากรู้ไปทำไมกันเล่า กับแค่เรื่องที่คิดจริงจังยังไม่ได้พรรณนี้...


    "ตอนนี้น่ะเขามีวิธีขับดันพลังที่ซ่อนอยู่ในมาน่าสโตนเพื่อดึงพลังนั้นมาใช้โดยไม่ต้องมีภาวะทดแทนอะไรทั้งนั้น อย่าของเจ้าก็คงสกัดมาแล้วล่ะ"


    ไม่จริงน่ะ...


    ผมคนใช้ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว นี่คือประเภท 'กลืนกิน'


    แล้วการจะสกัดออกมาได้ก็จำเป็นต้องใช้พลังอันเหนือกว่า สำหรับมาน่าสโตนธรรมดาก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็น มาน่าสโตนในตำนานล่ะ... จะสกัดออกมาได้ยังไงกัน!


    "...."


    "เอ้ย ขอโทษข้าคงตอบไม่ตรงคำถาม เขาว่ากันว่า... การดูดกลืนนั่นจะเป็นการหลอมรวมกับมาน่าสโตนคล้ายกับการกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และห่อหุ้มผลึกนั้นเอาไว้นั่นแหละ มั้ง! ช่วงนี้ข้าก็จำไม่ค่อยได้"


    หลอมรวม...


    ห่อหุ้ม


    หรือสะกด... สกัดกั้นพลังในการดูดกลืน?


    มันจะเป็นไปได้เหรอ..... ปัญหาอีกอย่างคือ......


    "เขาที่ว่าอย่างนั้นคือใครครับ?"


    "ข้าว่าข้าไม่มีหน้าที่เล่าเรื่องราวให้เจ้าฟังหรอกนะ แต่ว่าคนนี้บางทีเจ้าควรจะรู้จักไว้... หมอนั่นคือพี่ของโอดราฟ"


    "อะไรนะคุณโอเดียน่ะหรือ?"


    "อ้าวนี่เจ้ารู้จักชื่อนั้นได้ยังไงกัน ชายคนนั้นคือนักวิจัยผู้มีชื่อเสียงว่าจอมลวงโลก สิ่งประดิษฐ์ของหมอนั่นฆ่าคนตายไปมากมาย ท้ายที่สุดก็โดนตั้งประกาศจับทั้งที่เป็นคนในหน่วยพิเศษ... ข้าถึงขี้เกียจจะเล่าไงเพราะมันอาจจะเป็นเรื่องกุขึ้นทั้งเพ มีที่ไหนหินกลืนมนุษย์ ปัจจุบันการรักษาด้วยมาน่าสโตนก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน ทั้งปีศาจ ไครม์ และเอลฟ์เลยทีเดียว ถึงจะน่าเจ็บใจแต่ยังไงนี่ก็ผลงานของเจ้าโอดราฟมัน...."


    ......


    มันมีอะไรผิดพลาดแล้ว... เรื่องแบบนี้มัน...


    จากบันทึกและท่าทีของโอดราฟเห็นชัดว่า โอเดีย คืออัจฉริยะอย่างแท้จริงในด้านการวิจัยค้นคว้า งานมาน่าสโตนช่วยรักษาผู้อื่นได้ก็เพราะโอเดียทั้งนั้น ทั้งที่มีประโยชน์ขนาดนั้นแต่กลับโดนประกาศจับ


    มันคือการปิดปาก...


    ปิดเพื่ออะไรล่ะ... นั่นแสดงว่าเขารู้มากเกินไป


    ก่อนมาน่าสโตนจะสามารถใช้ได้บางทีเขาอาจจะรับจากหน่วยงานมาวิจัย และคงค้นพบอะไรบางอย่างซึ่งน่าใจหายในเวลาต่อมา


    'นั่นคือขั้นตอนการกลั่นให้สามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียง หรือมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด!'



    "ชาน่อน... เจ้ากำลังคิดอะไรน่ากลัวๆ อยู่หรือเปล่า..."


    "ครับผมคิด สุดท้ายคุณโบรมีเนนพอจะรู้ไหมว่าเขาสกัดพลังของมาน่าสโตนออกมายังไงน่ะ"


    โบรมีเนนเงียบแล้วคิดตาม


    "ข้าไม่รู้ นั่นมันหน้าที่ของงานวิจัย"


    ทั้งคู่นิ่งเงียบกันฉับพลัน


    "ข้าขอถามบ้างเจ้าใช้มาน่าสโตนนั้นแล้วคิดว่ายังไง?"


    ชาน่อนส่ายหน้า


    "ผมต้องใช้พลังส่วนหนึ่งเพื่อสะกดมันไว้"


    โบรมีเนนเหมือนจะตะลึงบ้างแล้ว


    ถ้าเศษแค่นี้ยังไม่สามารถสกัดเอาไว้ แล้วก้อนโตๆที่นำมาใช้กันนั่นทำได้อย่างไรกัน


    สิ่งที่ไม่มีในศาสตราใด และจำต้องปกปิดแม้หน่วยพิเศษแสดงว่าต้องมีความลับอันน่ากลัวซ่อนอยู่
    บัดนี้ด้วยคำพูดจาหยอกล้อกันเล่นกลับทำให้มองเห็นความมืดอันดำทมิฬน่าหวาดหวั่นเสียได้...




    "ถ้าอย่างนั้น...."


    "ถ้าอย่างนั้นอะไรของเจ้า...?"


    "การรบกับออร์คนี่ บางทีอาจจะเพื่อจับออร์คไปสังเวยแก่มาน่าสโตนในตำนานนี้อย่างนั้นสินะ...."


    "เรื่องนั้นข้าไม่รู้ แต่เจ้าเดาได้ใกล้เคียงข้ามากทีเดียวดรีม"


    "เพราะอย่างนั้นถึงไม่ใช้กำลังที่มากกว่าโถมทำลายออร์ครวดเดียว... เพราะต้องการจับเป็นสินะ"


    "บังเอิญจริงๆ ข้าก็คิดคล้ายเจ้า"


    ดรีมเหลือบมองสามพี่น้องตระกูลเกียที่นั่งฟังไปตะลึงไป แสดงว่าพวกนั้นยังไม่เคยรู้เรื่องอะไรพวกนี้มาก่อน แต่ว่าโอดราฟมันไม่ใช่ ถึงขั้นนี้แล้วมันยังนั่งนิ่งอารมณ์เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง


    "คุณรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังยอมทำตามคำสั่งอย่างนั้นเหรอคะ..."


    ลีนก้มหน้าก้มตาพูดอะไรไม่ออกมาครู่ใหญ่ พยายามกัดฟันฝืนเอื้อนเอ่ยเสียสั่น แล้วเอามือปาดหยาดน้ำค้างบนใบหน้าเล็กน้อย


    "นั่นก็เพราะว่าข้าคือหนึ่งในหน่วยพิเศษไงเล่า"


    โอดราฟยังพูดเสียงเรียบไม่เปลี่ยน และมันกระตุกต่อมฉุนของสองหนุ่มสาวข้างหน้าอย่างจัง


    "แก..."


    "นี่ไม่ใช่เรื่องของโลกเจ้า เจ้าควรจะเลิกยุ่งได้แล้วมันไม่คุ้มค่าเลยที่จะเสี่ยงจริงไหม"


    "ใช่ฉันยอมรับว่ามันไม่คุ้ม"


    "หึถ้าอย่างนั้นก็ดี"


    "โอดราฟ..."


    ดรีมเรียกชื่อชายข้างหน้าอีกครั้งหนึ่งแล้วสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด สายตาสีน้ำตาลซึ่งมองตรงสู่ชายเอลฟ์ผู้แสนสง่างามไร้ใดเทียมแต่จิตใจต่ำช้าที่สุด


    "ฉันรู้แล้วว่าตัวเองผิดที่เคยมองว่าแกอาจจะเป็นคนดี

    ฉันคิดว่าอาจจะเจรจาอะไรกับแกได้ในวันนี้

    แต่ว่าในตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ไม่


    สิ่งแรกที่พวกฉันจะทำคือ....


    กำจัดแกซะ!!"



    "ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องใช้แผนที่เตรียมไว้เสียแล้ว น่าเสียดายจริงๆดรีม ข้านึกว่าเจ้าจะเข้าใจข้าเสียอีก..."


    โอดราฟพูดเสียงค่อยเหมือนกำลังเสียใจ แต่ใบหน้านั้นกลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอันแสนชั่วร้าย มือเรียวเอื้อมออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อสายตาทังมวลคือเส้นด้ายมนตราสีขาวบริสุทธิ์ เชื่อมต่อกับประตูมิติสีดำสนิท ทันทีที่กระตุกนิ้วเบาๆ อัญมณีสีดำขลับก็กระเด็นมาเข้ามือข้างนั้นท่ามกลางความตกตะลึงของทั้งสองฝ่าย


    "ไม่เป็นไรข้าไม่ถือ ขอแค่ค่าตอบแทนเป็นชีวิตเจ้าทั้งสองก็พอ"


    เสียงเรียบนั้นทำให้ทุกคนในที่นั้นตระหนักได้ทันทีเลยว่า


    นั่นไม่ใช่แค่คำขู่ไร้สาระ....




    ==============================================================

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×