ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Wing of Release

    ลำดับตอนที่ #26 : Release 24 [สิ่งที่เรียกว่าสงคราม]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 451
      0
      12 พ.ย. 50




    เซพ 40% (ที่เหมือน 50% ครับ) - -


    กว่าจะว่างมาอัพ แทบแย่


    อยากเขียนอ่าๆๆๆๆๆๆๆ (คนเขียนงอแงซะงั้น)



    Release 24




    หากแหงนมองขึ้นข้างบนก็จะพบท้องฟ้าสีครามสดใส ปุยเมฆน้อยใหญ่ก่อตัวเป็นกลุ่มก้อน บ้างก็คล้ายกระต่าย บ้างก็คล้ายปากเคลื่อนคล้อยไปตามกระแสลม ชวนให้เดาไปว่าปากนั้นกำลังพูดอะไรกับตนอยู่ หรือ... กำลังด่าชนเผ่าต่างๆเบื้องล่างผู้จ้องห้ำหั่นกัน ไฟสงครามคุกรุ่นขึ้นทุกวัน...ทุกวัน


    หลายวันมานี้ออร์คกับเอลฟ์เผชิญหน้ากันมาก็หลายครั้ง จวนเจียนจะมีการปะทะกันอยู่รอมร่อ แต่ยังโชคดีเมื่อยังไม่มีการก้าวข้ามเขตระหว่างป่า และ ที่ราบ ซึ่งมีการแบ่งแยกไว้ชัดเจน นั่นก็เพราะพวกเอลฟ์เองก็ไม่อาจเคลื่อนไหวมากได้ด้วยแรงยุของเอลฟ์ไม่กี่คน พวกประชาเอลฟ์ผู้รักสงบยืนกรานต่อต้านสงครามอยู่เต็มไปหมด แม้จะเป็นหน่วยหนึ่งของการปฏิบัติงานลับ ทว่าการเป็นหน่วยงานลับจะอ้างถึงตัวตนมากก็ไม่ได้จึงเป็นข้อจำกัด อีกทั้งฝ่ายผู้สั่งการเองก็คงไม่อยากลดความเชื่อมั่นของการปกครองตนเช่นกัน ส่วนในมุมมองของพวกออร์คนั้นพร้อมจะบุกเข้าไปแก้แค้นให้เผ่าพันธุ์ ผู้โดนพวกหน่วยพิเศษเอลฟ์ลอบเข้ามาเพื่อสังหารออร์คระดับสูงไปหลายรายแล้ว แต่ก็ต้องอดกลั้นเพราะดรีมขออำนาจในการสั่งการส่วนหนึ่งมาไว้กับตน และการรบในตอนนี้เป็นเรื่องที่ลำบากมากเกินไป จนจะกลายเป็นความสูญเสียอันยากแก้ไขได้


    แต่... จะรอไปถึงเมื่อไหร่กันนะและรอต่อไปมันจะได้อะไรด้วยเหรอ? แม้ฉันจะเป็นมนุษย์ผู้หลงมาจากต่างโลก แต่ทุกครั้งที่มีการสูญเสียอารมณ์มันกลับหวั่นไหวตาม... ตามพวกออร์คที่ฉันอ่านนิยายเมื่อไรก็รังเกียจนี้


    เฮ้อ...


    ว่าแล้วฉันก็ยืดแขนบิดขี้เกียจ แล้วนั่งลงพิงต้นไม้เปลือกแข็งชนิดหนึ่ง ใบคล้ายดอกจิกบนไพ่ ปล่อยให้กลิ่นดอกหอมหวนช่วยลดความตึงเครียดไปบ้าง จนกระทั่งมีชายร่างโตผิวสีเขียวสวมหมวกทองแดงปิดหน้าผากประดับด้วยขนนกใหญ่เท่ามือ สร้อยร้อยเขี้ยวสัตว์แกว่งไกวอยู่ในระดับสายตาของฉัน


    "ท่านลีนครับ มีผู้มาพบท่าน"


    "พบฉันเหรอ... เอใครกันพอจะรู้บ้างไหมคะ?"


    ชายหน้าหน้าส่ายศีรษะ


    "ข้าก็ไม่ทราบ รู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นพวกเผ่าปีศาจ"


    ปีศาจ?


    ปีศาจจะมาพบฉันทำไมกัน หรือว่าจะมาเอาเรื่องที่ตาดรีมไปก่อเรื่องยุ่งยากวันนั้น?


    ว่าแล้วฉันก็ต้องถอนหายใจ เมื่อฉันลุกขึ้นยืนบ้างออร์คข้างหน้าก็โค้งศีรษะให้เล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพ


    "ฉันบอกคุณกี่ทีแล้วคะ ว่าไม่ต้อง!"


    "ไม่ได้ครับ เมื่อท่านได้รับตำแหน่งมา ข้าก็ต้องให้การเคารพ กฎก็ย่อมต้องเป็นกฎ"


    หรือแปลอีกอย่างคือ 'ข้ามิได้เชื่อใจเจ้านักหนาหรอก แต่ต้องตามก็เพราะมีคำสั่งเท่านั้น คำพูดของเจ้าสั่งข้าได้ แต่คำพูดเจ้าเปลี่ยนกฎไม่ได้' อย่างนั้นสินะ


    อ้อ ลืมแนะนำตัวไป ชายผู้นี้ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้เขาก็ยังเย็นชาต่อพวกเราเช่นเดิม เดิมทีผู้นำค่ายเมืองหน้าด่านเอลฟ์นี้ก็คือเขา และเดิมทีเขาก็หมายจะรุกไปแก้แค้นแล้วแต่เราห้ามไว้ และเขาก็มีสติปัญญาพอสมควร พอจะรับรู้ได้ว่าพวกพ้องที่ตายไปนั้น ฉันกับดรีมก็มีส่วนเพราะเป็นเป้าหมายของพวกที่ลอบเข้ามานั้นเอง สุดท้ายพวกเราก็ยังเป็นคนนอกมิใช่ออร์คในสายตาสีเหลืองนั้น จึงทำให้เกิดความระแวงว่าพวกเราจะทรยศหรือเป็นไส้ศึกหรือไม่อีกด้วยสิ...


    ทั้งเขาและฉันเดินเลาะเข้าไปตามป่าอย่างคุ้นเคย สักพักก็พบพวกออร์คยืนตั้งแถวรอรับอยู่ และกระโจมมุงด้วยใบหญ้าแถบนั้นขนาดไม่กว้างใหญ่สักเท่าไหร่นัก แต่เรื่องความกลมกลืนกับธรรมชาตินี่อันดับหนึ่งทีเดียวเชียว



    "นั่นไงมาถึงพอดีเชียว" องค์ชายแห่งออร์คประธานของซุ้มจ้อยทัก "งานยุ่งมากล่ะสิท่า" เขาว่าต่อ


    "สงสัยจะแอบไปอู้มากกว่ามั้งครับ ดูหน้างัวเงียชอบกล"


    อีตาคนบ้าที่พูดจาเหน็บแนมคนอื่นอย่างเป็นธรรมชาติอย่างนี้คงไม่มีใครอีกแล้วนอกจาก 'ดรีม' เรื่องแบบนี้เข้าข้างกันบ้างไม่ได้เหรอไงยะ!


    นอกเหนือจากตาบ้านั่น กับท่านองค์ชายแล้วยังมีชายอีกสองคนนั่งอยู่บนรากไม้ใหญ่ สายตาจับจ้องมาน่าขนลุกราวกับเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติไหน... ใช่สิ โลกนี้ปีศาจจ้องเขม่นไครม์มาตั้งแต่ยุคโบราณแล้วนี่นา!


    "คุณฟิเลม กับคุณ...?"


    ใครหนอนึกไม่ออก


    "เราเคยเจอกันมาก่อนไหมคะ?"


    "เรื่องชื่อช่างเถอะ ไม่มีปีศาจตนใดต้องการรู้จักไครม์อยู่แล้ว" ปีศาจร่างท้วมใส่ชุดภูมิฐาน เอ่ยแล้วขยับหมวกทรงรีของตน ก่อนจะหันไปทางอื่นเหมือนเมิน แต่สายตาก็ต้องเบิกโตปากอู้อี้เมื่อ ผู้ติดตามของตนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามโค้งศีรษะให้ ชิงตอบ "ผมชื่ออาเลสครับคุณลีน"


    ไม่เห็นต้องหาที่ไหนไกล ตานี่ก็คนนึงแล้วนี่นา


    ฉันอุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ความจริงก็ไม่อยากจะทำให้คุณฟิเลมเขาเสียหน้าหรอกนะนี่ แต่ดรีมรู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แฮะ อิอิ


    "แล้วถึงขนาดที่พวกคุณต้องมาพร้อมกันนี่มีธุระอะไรหรือครับ?" ดรีมรีบตัดฉากเมื่อฉันแกล้งขยิบตาให้ ก่อนจะเปรยต่อไปอีกว่า "คุณอาเลสถ้าจำไม่ผิดเป็นถึงผู้มีอำนาจคนหนึ่งในวิหารอิลเลียม ส่วนคุณฟิเลมก็เป็นผู้ปกครองเมืองหน้าด่านซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกันถึงสามเผ่า ทั้งปีศาจ ออร์ค และ ไครม์ นี่นา"


    "หึ เจ้าไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเราสักหน่อยอย่าพูดจาเหมือนกับว่าสนิทกันนักเลย"


    ปีศาจหนุ่มร่างสูงขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง ท้าวคางมองหน้าดรีมด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร


    "ข้ายังไม่ลืมหรอกนะว่าเจ้าเคยหลอกใช้ข้า เหมือนข้าเป็นไอ้โง่ตัวหนึ่ง"


    "เอ่อ... ผมก็ไม่อยากทำหรอกนะ แต่มันจำเป็นนี่นา"


    ตาบ้านี่ ถ้าขอโทษบ้างมันจะตายไหมยะ นี่มีหนี้แค้นอะไรกันฉันไม่ยักรู้เรื่อง!


    "ข้าว่าเรื่องนี้หยุดเอาไว้ก่อนเถอะ อย่างไรพวกเราก็อยู่ที่นี่นานมากไม่ได้"


    โชคดีที่ชายผู้ชื่อฟิเลมเยือกเย็นกว่าที่คิด พูดขวางเอาไว้ก่อน แล้วมองไปทางท่านประธานซึ่งก็คือออร์คองค์ชายผู้นั่งฟังเงียบงันมาสักครู่หนึ่งแล้วนั้น ซึ่งเขาก็ยิ้มให้แล้วกล่าวทักทายกลับสบายๆ โดยเป็นกันเอง


    อันว่ารัศมีราชันย์มันย่อมโดดเด่นอยู่แล้วนิ


    "ฝ่าบาท ออร์คกับปีศาจมีสัมพันธ์กันก็นาน ถึงจะไม่ราบรื่นเท่าไหร่แต่เราก็ยังยอมรับว่าพวกท่านเป็นเพียงพวกเดียวที่ไม่คิดคดกับเรา"


    หรืออีกแง่หนึ่งก็คือ ไม่มีปัญญาคิดคดหรือเปล่านะ?


    "ยามนี้ในเมื่อพวกท่านมีปัญหาพวกเราก็ย่อมให้ความช่วยเหลือได้ เท่าที่ไม่ขัดกับแนวปฏิบัติของพวกเรา..."


    "เรื่องนั้นพวกข้ารู้อยู่แล้วท่านฟิเลม ข้าเข้าใจว่าการหลบสายตาพวกเอลฟ์และไครม์เพื่อเข้ามานี่ยากเย็นเพียงใด จึงจำเป็นต้องกระทำการโดยบุคคลระดับสูงเช่นพวกท่าน แต่หยุดอารัมภบทเสียทีจะดีกว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้"


    สองปีศาจสะดุ้งเฮือก เหลือบมองอนาคตราชันย์ออร์คอย่างประหลาดใจ พลางนึกไปว่าวันใดที่ชายผู้นี้ขึ้นครองบัลลังค์ออร์คคงก้าวหน้าขึ้นอีกเยอะ เพราะทั้งระดับสติปัญญา ความกล้า บารมี รวมทั้งพลังเวทนั้นนับได้ว่าเป็นยอดผู้นำทีเดียว ฉันสังเกตได้จากเหงื่อเม็ดน้อยที่เพิ่งผุดออกมาจากใบหน้าของทั้งคู่นั่นแหละ!


    "พวกเราต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งครับ ธุระจริงของพวกเราอย่างแรกสุด..." ทั้งชายร่างอุดมสมบูรณ์ และปีศาจร่างโย่งจ้องมองดรีมอย่างดุดัน "มีคำสั่งจากพวกผู้เฒ่าว่า ให้ตามเก็บแผนที่รุ้งฟ้าเพียงหนึ่งเดียวซึ่งอยู่ภายนอกเขตอำนาจของพวกเราเผ่าปีศาจ ส่วนเหตุผลเจ้าคงเข้าใจอยู่แล้วสินะดรีม"


    ปีศาจดรีมพยักหน้าช้าๆ แล้วมองมาทางฉัน โดยไม่ต้องรอให้คนปากหนักเอ่ยพูด ฉันเข้าใจทันทีว่าตานั่นต้องการอะไรจึงให้ดีเวนัสเรียกช่องว่างมิติออกมา ก่อนจะเอื้อมเข้าไปหยิบกล่องสีดำจากความมืดนั้น แล้วส่งต่อให้อย่างนุ่มนวลด้วยสายลมแผ่วเบา ดูเหมือนว่าเวทช่องว่างมิติจะเป็นสิ่งแปลกประหลาดเอาการ เพราะทั้งปีศาจทั้งออร์คต่างพากันฮือฮาเมื่อเห็นมายากลชั้นยอดนี้


    ดรีมโยนกล่องนั้นเล่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เรียกสายตาของสองปีศาจกลับมาที่ตนอีกครั้ง


    "ตอนนี้มันยังมีประโยชน์อยู่น่ะสิ ไหนๆผมก็เป็นตัวร้ายอยู่แล้วขอยึดไว้ก่อนได้ไหมล่ะ?"


    บรรยากาศคุกรุ่นขึ้นมาทันที แต่จู่ๆฟิเลมก็หัวเราะขึ้นมา


    "ข้าก็กะอยู่แล้วว่าเจ้าคงพูดเช่นนั้น จะให้ทวงคืนก็เหนื่อยเปล่า"


    "ที่สำคัญพวกคุณมาอย่างๆลับ ถ้าแสดงฝีมือที่นี่ก็คงลับไม่ออกแล้วใช่ไหมล่ะครับ" ดรีมต่อยอดให้ อาเลสรู้สึกเหมือนเสียหน้าอยากจะแย้งความเห็นของ คุณฟิเลมแต่ดูท่ายศจะบีบคออยู่จึงพูดไม่ออก ได้แค่จ้องมองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อก็เท่านั้น


    "ส่วนอีกเรื่องก็คือเอลฟ์ที่ถูกจับไว้นั่นพวกเราปล่อยไปแล้ว และทำตามที่เจ้าเสนอคือบอกหมอนั่นด้วยว่า เจ้า และ เอลฟ์ที่ชื่อโอดราฟเป็นผู้มาอธิบายเรื่องราวทั้งหมด"


    คุณฟิเลมเหลือบมองคู่สนทนาอีกครั้ง แต่ตาดรีมกลับนิ่งเฉยซ้ำใบหน้าแสดงความมั่นใจอย่างชัดเจน จนเขาได้แต่ถอนใจ


    "ข้าเดาใจเจ้าไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรต่อไป รู้อยู่อย่างเดียวก็คือมันไม่เกี่ยวกับพวกข้าสินะ"


    "ก็ไม่เชิงครับ"


    ฟิเลมถอนหายใจยาวๆหนึ่งครั้ง


    "สุดท้ายข้าว่าเจ้าคงรู้อยู่แล้ว... พวกเราชาวปีศาจจะให้ความร่วมมือ แต่จะด้วยทางใดพวกเราจะตัดสินใจเอง และเจ้าทั้งสองก็หาใช่มิตรกับพวกเรา แต่เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น หากมีความจำเป็นเราอาจจะขายเจ้าให้พวกเอลฟ์"


    "นั่นก็เรื่องของพวกคุณ แต่อย่าหวังว่าจะจับกันง่ายๆล่ะครับ"


    ทั้งคู่จ้องหน้ากันยิ้มให้ราวแยกเขี้ยวขบเคี้ยวฟัน ก่อนที่ชายท่าทางภูมิฐานจะหลับตาอันวาวโรจน์ลง และขยับตัวลุกขึ้นโค้งให้ท่านประธานออร์คอย่างนอบน้อม ยกมือขึ้นคล้ายจะเกาศีรษะแต่จู่ๆแสงสีม่วงอ่อนคมกริบก็พุ่งตรงดิ่งทะลุซุ้มออกไปข้างนอกอย่างฉับพลัน ต้นไม้ใหญ่ยังมิอาจต้านทาน โดยหลังต้นไม้นั้นมีเอลฟ์เคราะห์ร้ายสะดุ้งตัวขึ้นเพราะความเจ็บปวด พยายามจะดึงดาบเล่มยาวออกจากกายบางแต่ก็ทำไม่ได้ ไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะฟุบลงไปเมื่องแสงนั้นหดตัวกลับเข้าสู่มือหยาบกร้านอย่างช้าๆ


    แม้ว่าจะเป็นออร์คแม่ทัพร่างใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก เมื่อรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เพียงแต่ถอนหายใจให้กับความสามารถของตนและกองยามลาดตระเวนซึ่งไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของเอลฟ์คนนั้นได้เลยสักนิด และบางทีอาจจะไม่มีใครรับรู้อีกเลยก็ได้นอกจากปีศาจหน้าตาใจดีคนนี้...


    "ข้าเป็นผู้มอบแผนที่ให้เจ้า เพราะเช่นนั้นมันถือเป็นความรับผิดชอบของข้า เมื่อใดที่เจ้ากล้าทำให้ความลับของพวกเราแพร่ไปเมื่อนั้น... เจ้าคงรู้ว่าข้าจะทำเช่นใด"


    และแล้วสองปีศาจก็จากไปทิ้งไว้เพียงแค่บรรยากาศอันเงียบงันของป่าไม้ใหญ่...



    หลังจากมีการตรวจค้นร่างของเอลฟ์โชคร้าย ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันทึ่งในฝีมืออันร้ายกาจ ซึ่งสามารถจัดการกับผู้มีหลังเวทสูงถึงขั้นนี้ได้ในพริบตา อีกทั้งจากหลักฐานดวงตรา และสาสน์คำสั่งก็ยังแสดงให้เห็นว่า ชายผู้นี้มีศักดิ์เป็นถึงหนึ่งในหน่วยลับ ถึงจะไม่รู้ว่าขั้นใดก็ตามที ส่วนเป้าหมายแรกเริ่มก็เพื่อจะเข้ามาทำร้ายผู้คุมระดับสูงของค่ายออร์ค แต่บังเอิญ... พบเรื่องน่าตระหนกยิ่งกว่า เช่นการลอบพบกันระหว่างปีศาจ กับออร์ค...


    "พวกเอลฟ์ขี้ขลาด ทำได้แต่ลอบทำร้าย" องค์ชายออร์คผู้ปราดเปรียวเดินเร่งฝีเท้าเพื่อกลับไปยังกระโจมของตน โดยมีทหารองค์รักษ์ห้อมล้อมอยู่ด้านข้าง และดรีมกับลีนก็อยู่ไม่ห่างสักเท่าไหร่ มีก็เพียงท่านแม่ทัพตัวโตที่จัดแจงกับร่างไร้วิญญาณของอลฟ์อย่างเอาเป็นเอาตาย


    "แถมทำเหมือนเป็นฝ่ายธรรมะ พยายามจะหาเรื่องให้เราเป็นฝ่ายเริ่มสงครามก่อนอีกต่างหาก" ดรีมพูดเสริมเรื่อยเปื่อย แล้วก็ต้องสะดุ้งกับเสียงคำรามกึกก้องจนรู้สึกเหมือนพื้นสั่นสะเทือนตาม สัตว์ป่าน้อยใหญ่วิ่งหนีกันอย่างอลหม่าน นกทิ้งรังบินหนีขึ้นสู่ฟากฟ้าคราม ทุกคนในที่นั้นรีบหันตามเสียงไปทันที


    ออร์คร่างใหญ่ผู้นั้นจับคอผอมกร่องแกร่งของผู้ไร้ชีวิตเอาไว้แน่น ดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่ยอมอภัยให้แม้เจ้าของร่างจะชดใช้ด้วยชีวิต...


    "เฮ่... เดี๋ยว หมอนั่นคงไม่ทำอย่างที่ผมคิดนะ..." ดรีมพูดขึ้นเสียงสั่น


    "แล้วเจ้าคิดอะไร?" องค์ชายถาม


    "อย่างที่หมอนั่นกำลังทำ..."


    "ห๊ะ"


    ฉันเผลออุทานหลุดมาดนิ่งๆจนได้!


    คุณแม่ทัพแกจับศพแล้วออกตัววิ่งไปทั้งอย่างนั้น คราวนี้ฉันก็เพิ่งจะฉุกใจคิดขึ้นมาได้อีกอย่างหนึ่ง... นั่นคือทิศทางที่เขาวิ่งไป... นั่นมันสุดเขตแดนป่าฝั่งที่ติดกับพวกเอลฟ์!!


    "ประกาศสงครามไง" ดรีมแบไต๋ แม้แต่องค์ชายก็ยังเงียบตาม... จริงอยู่ที่มีศักดิ์เหนือกว่าแต่การจะห้ามจอมทัพออร์คที่กำลังคลั่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซ้ำว่ากันด้วยอำนาจทางการทหาร... ทหารที่ขึ้นตรงต่อตัวท่านก็มีเพียงหน่วยทหารอารักขาพิเศษรายรอบนี้เท่านั้น และที่สำคัญที่สุดการได้พบพวกพ้องล้มตายจากการลอบทำร้าย หลังจากได้มาเยี่ยมเยียนครานี้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่ารอให้ตาดรีมเสนอก่อน เพราะฉะนั้นลึกๆแล้วในใจของท่านก็คงร้อนรุ่มอยากจะเปิดฉากตีโต้กลับอยู่แล้ว...


    ไม่รู้ว่าทำไม...


    เพลานี้อากาศก็อบอ้าวน่าดู แต่ร่างกายกับสั่นไหวเพราะภายในเย็นเยียบราวกับเลือดแข็งตัว ป่าใหญ่ดังกึกก้องด้วยเสียงโห่ร้องของกองทัพออร์คจำนวนมากซึ่งแฝงเร้นอยู่ทั่วอาณาเขต ฉันเหลือบมองตาดรีมด้วยหางตา หมอนั่นกำลังทำหน้าปั้นยากเหมือนคิดจะห้าม ทว่า... มันคงจะเกินความสามารถไป...



    40% - 50%



    เช้าตรู่นี้เป็นวันแรกที่เกล็ดน้ำแข็งโปรยปรายลงจากฟากฟ้ากว้าง ลมหนาวที่มาเยือนตอนกลางของทวีปอย่างฉับพลันกลับมิอาจ ลดความระอุจากเพลิงแห่งสงครามอันคุกรุ่นได้...


    จากวันนั้นมาก็เป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว ศพเอลฟ์ผู้นั้นถูกฟาดฟันขาดครึ่งท่อนด้วยดาบขนาดมหึมาสีดำมะเมี่ยมของท่านแม่ทัพหน้า "ซุคุน" ท่ามกลางตะลึงของเหล่าเอลฟ์ทั้งหลายซึ่งออกมายืนออกันเต็มหน้าหมู่บ้าน โดยมีเพียงทุ่งหญ้ารกร้าง และบ่อโคลนกว้างขวางกั้น ซุคุนใช้แรงอันมหาศาลของตนเหวี่ยงซากในมือตนไปตกอยู่เกือบใจกลางของทุ่งร้างอันเป็นที่อยู่ของฝูงสัตว์เช่นฝูงหมาป่า และนกกินซากซึ่งกำลังหิวกระหาย ทุกคนนิ่งอึ้งไม่เว้นแต่ฉันกับดรีม พวกเอลฟ์บางคนถึงกับกรีดร้องออกมาเสียงดังกับภาพโหดร้ายเหลือทนเบื้องหน้า บทจะมีผู้กล้าตรงรี่ออกจากหมู่บ้านเพื่อขับไล่ฝูงสัตว์ร้ายนั้นก็สายไปเสียแล้ว เหยื่อผู้โชคร้ายสิ้นสภาพจนมิอาจบ่งบอกได้อีกเลยว่าเคยเป็นใครมาก่อน...


    แววตาสีฟ้าอ่อนของเอลฟ์ผู้นั้นมีน้ำใสหลั่งริน แต่ก็แฝงความดุดันเหลือประมาณตรงเข้าป่ามาจนฉันรู้สึกสะดุ้งเอือก พวกทหารของเอลฟ์รวมถึงจอมเวทจำนวนไม่น้อยต่างพากันวิ่งกรูแหวกวงชาวบ้านออกมาด้วยท่าทีแค้นเคือง ตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกลแม้ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าพูดอะไรบ้าง แต่พวกเราก็มั่นใจในวินาทีนั้นว่าทุกอย่าง...สายเกินแก้แล้ว


    การปะทะกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเวลาต่อมา


    ฉันได้รับหน้าที่ให้คุ้มครององค์ชาย ส่วนดรีมเองจะยอมให้เกิดความสูญเสียมากเกินไปไม่ได้จึงต้องเข้าร่วมในฐานะของกองทัพออร์ค ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนักเพราะต้องเผชิญหน้ากับพวกหน่วยพิเศษที่แฝงตัวมา ลำพังเอาตัวรอดก็ลำบากแล้ว แต่พวกมันกลับใช้วิธีดึงเวลาเพื่อจะเรียกให้ฉันออกไปอีกคน สุดท้ายก็ต้องทำตามแผนของมัน... ในเมื่อมีไครม์ และ ปีศาจ ร่วมอยู่ในฝูงออร์ค พวกเอลฟ์ทั้งหลายก็พากันตีความว่าทั้งไครม์และปีศาจ ร่วมกันต่อต้านตน ซึ่งมันคงจะส่งผลต่อไปในระยะยาวอย่างแน่นอน


    การต่อสู้นั้นเปลี่ยนทุ่งร้างให้ราบได้ในพริบตา ซ้ำยังเป็นหลุมเป็นบ่อเนื่องจากเวทมนตร์ที่ประดังใส่กันอย่างไม่ยั้ง พลังอันเกรี้ยวกราดปะทะแตกหักกับพลังเวท ผลลัพธ์คือความหายนะเอลฟ์จำนวนมากต้องสังเวยให้คมดาบบิ่น ร้องโอดครวญโหยหวน และฝ่ายจอมพลังออร์คก็ต้องพบกับการสูญเสียจำนวนมาก บ้างก็บาดเจ็บ บ้างก็พิการ ยากจะช่วยเหลือได้ทัน


    ในบางครั้งความรู้สึกนั้นไม่เพียงแค่สงสารเหล่าออร์ค แต่กลับเห็นใจพวกเอลฟ์ชั้นล่างซึ่งไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่ต้องมาเผชิญกับความบ้าคลั่งอันโหดร้ายนี้เช่นกัน... ก็ในเมื่อแผนการทั้งหมดถูกต่อเติมเสริมแต่งด้วยพวกฝ่ายไฮเอลฟ์ผู้มีอำนาจ สุดท้ายผู้รับเคราะห์ก็ไม่พ้นดั่งเช่นพวกที่ฉันต้องปะทะด้วยนี้ทั้งนั้น


    แล้วจะทำอะไรมากไปกว่าปล่อยให้เลยตามเลยอย่างนี้ไม่ได้เลยหรือไง!


    "จากทางที่ราบนี้ผมไม่คิดว่าพวกนั้นจะใช้เป็นเส้นทางโจมตีหลักแล้วล่ะครับ" เสียงดรีมออกความเห็นในค่ายอันเงียบเชียบ มีเพียงเสียงแมลงร้องหรีดหริ่งในยามฟ้ายังไม่สาง ส่วนผู้ฟังก็คิดตามแล้วส่งเสียงงึมงำกันยกใหญ่ แม่ทัพออร์คหลายคนถูกส่งตัวมาพร้อมกองทหารหาญจำนวนไม่น้อย เพื่อจะกุมอาณาเขตชายแดนระหว่างเอลฟ์นี้ไว้ให้ได้ เพราะถ้าให้พูดกันจริงๆ อาณาเขตที่ติดกับเอลฟ์คงมีแต่เขตที่ราบลุ่มทางตะวันออกนี้เท่านั้น ทางด้านตะวันตกจะติดกับทะเลเสียส่วนใหญ่ ด้านทิศใต้เป็นอาณาเขตติดต่อกับพวกปีศาจ และตะวันตกเฉียงเหนือก็เหลื่อมกับพวกไครม์เล็กน้อยโดยมีอาณาเขตกลางไม่ตกเป็นของใครกั้นเอาไว้ ส่วนฝากทิศเหนือถึงตะวันออกมีหุบเขาสูงชันขวางกั้น... หุบเขาของไดกรอส ดินแดนต้องห้าม...


    เพราะฉะนั้นอาณาเขตฝั่งตะวันออกเหลื่อมลงใต้นิดหน่อย ซึ่งมีป่าขวางกั้นหนึ่งชั้น ซ้ำยังมีที่ราบให้เห็นทัศนวิสัยชัดเจน การที่ออร์คเลือกยึดป่าเอาไว้เป็นเขตแดนธรรมชาติ โดยแทบไม่ต้องสร้างป้อมสังเกตการณ์มากมาย รั้วเขตแดนก็แทบไม่มีความจำเป็น ผิดกับพวกเอลฟ์ที่ต้องเกณฑ์คนจำนวนมากมาตั้งค่ายป้องกันอยู่ด้านนอกเมือง ทำให้ได้เปรียบพอสมควร นับเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาออร์คที่น่าทึ่งเอาเรื่องอยู่เช่นกัน


    หรือบางทีอาจจะเพราะฟลุค...


    เรื่องนั้นช่างมันเถอะ!


    "ข้าว่าพวกมันไม่น่าจะมีทางอื่นแล้ว การที่พวกเรามารวมกันก็เพื่อการนี้" ออร์คคนหนึ่งออกความเห็นและหลายคนก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นจึงพยักหน้าหงึกๆ เว้นก็แต่ท่านแม่ทัพซุคุนที่เหลือบมองมาทางปีศาจผู้ยังนั่งใช้ความคิดอย่างเอาเป็นเอาตายด้านข้าง


    หลายวันมานี่ท่าทีต่อพวกเราก็เปลี่ยนไปไม่น้อยนะ


    "ข้าขอฟังความเห็นของเจ้า ดรีม" ซุคุนว่า ทำให้ออร์คบางรายถึงกับครางด้วยความไม่พอใจ


    แต่การจะให้ยอมรับทั้งหมดนี่ เห็นทีจะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยเช่นกันล่ะ...


    "ผมว่า..."


    คนบ้าลากเสียงแล้วหยุดชะงักไป เมื่อมีเสียงเอะอะโวยวายมาจากด้านหลังซุ้ม และแล้วตัวปัญหาก็กระโจนเข้ามาท่ามกลางเสียงคัดค้านจำนวนมาก


    "องค์ชายท่านควรจะพักผ่อนบ้างนะครับ ท่านทำอย่างนี้ข้าก็ลำบากใจแย่สิ!" ออร์คร่างเพรียวแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยผ้าหนังสัตว์บ่นอย่างเอือมระอา ก่อนจะกุมขมับแน่นเมื่อคนที่ตนต้องดูแลอย่างสุดชีวิตกลับนั่งเกาะเก้าอี้แน่น ขนาดที่เรียกได้ว่าไม่อุ้มไปทั้งเก้าอีกอย่าหวัง


    "เจ้าจะให้ข้านอนอยู่ได้อย่างไรบุดันบัง ก็ในเมื่อสหายศึกทุกท่านประชุมกันอยู่เช่นนี้"


    "สหายศึกมีผลัดเวรกัน แต่ท่านนี่สิเล่นไม่หลับไม่นอนมากี่วันกันแล้วเล่า!!"


    บุดันบังโวยลั่น พร้อมเสียงสนับสนุนจำนวนมากไม่ขาดสาย... ทว่ามันคงไม่เข้าหูใดสักข้างแล้ว


    "ดรีมข้าขอร้อง... รีบๆสรุปเสียที ความจริงองค์ชายอยากฟังความเห็นเจ้านี่แหละ"


    บุดันบังหันไปหาดรีมแล้วบ่นโอดครวญแลดูน่าสงสารยิ่งนัก ความจริงแล้วหมอนี่ดูท่าจะเหนื่อยหนักกว่าออกไปรบเองเสียอีก... และเหนือสิ่งอื่นใดมันทำให้ฝ่ายที่ไม่พอใจในตัวพวกเรายิ่งตีหน้าเคียดแค้นหนักข้อเข้าไปใหญ่ แต่ตาบ้าดรีมกลับทำเหมือนไม่ใส่ใจยิ้มให้ออร์คทั้งหลายบางๆ


    "ถ้าอย่างนั้นขอเริ่มอธิบายเลยก็แล้วกันนะครับทุกท่าน"


    ดรีมเปิดประเด็นอีกครั้งโดยไม่มีใครกล้าแย้งอย่างโจ่งแจ้งสักคน ก่อนจะว่าไปต่อ


    "อย่างที่เราทราบกันทางตะวันตกของเขตแดนคือทะเล ทั้งบนน้ำหรือใต้สมุทรบริเวณนั้นนับเป็นเขตแดนหวงห้ามของพวกไครม์ และ ปีศาจ เพราะฉะนั้นพวกมันคงไม่พยายามทำให้เรื่องยุ่งยาก"


    "เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้ว!" ออร์คคนหนึ่งขึ้นเสียงเหมือนพยายามบอกว่าตูไม่โง่นะเฟ้ย ดรีมไม่ใส่ใจทำนิ่งแล้วอธิบายต่อไป


    "ถ้าอย่างนั้นทิศต่อไปทางเหนือแม้จะมีอาณาเขตที่เป็นกลางไม่มีผู้ใดครอบครอง แต่มันก็อยู่อีกฝากของหุบเขาวิญญาณ ซึ่งพวกไครม์เองก็นับถือ และคงไม่มีใครกล้าข้าม พวกมันคงไม่มีทางหาเรื่องมาทางนั้นแน่นอน"


    "เรื่องนั้นพวกเราก็รู้!!"


    คราวนี้มิได้โวยคนเดียว พวกออร์ครู้มากนี่มันเยอะจริงๆ!!


    "ต่อไปทางทิศที่เราอยู่นี่"


    "พวกมันต้องมาทางนี้แน่!"


    เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา โชคดีที่ท่านประธานยกมือขึ้นปรามมิเช่นนั้นกว่าจะพูดจบคงมีเรื่องกันอีกนาน...


    "ผมว่ามันไม่แน่เสมอไป ทางนี้เป็นทางที่ง่ายที่สุด พวกเอลฟ์ก็คงคิดว่าพวกท่านจะพยายามยึดเขตนี้ให้ได้ ถ้าเป็นผมคงจะเลือกทางอื่นและให้ทางนี้เป็นทางรองมากกว่า ส่วนการตั้งค่ายนั่นนับว่าเสียเวลาไปมาก แต่ก็สามารถป้องกันการโจมตีของพวกเราได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน"


    "แล้วเจ้าคิดว่ามันจะมากันทางใด?"


    ซุคุนถามเร่งจังหวะตามประสาออร์คเลือดเดือดใจร้อน


    "ทางทิศตะวันออกเหลื่อมลงมาใต้นิดหนึ่งจะมีช่องเขาส่วนหนึ่งของปีศาจที่ใช้ติดต่อกับเรา หากบุกจากจุดนั้นด้วยแล้วเราไม่มีอะไรขวางเลยกาจโดนยึดเขตแดนโดยง่าย พวกเราที่นี่ก็เสมือนโดนล้อม และที่สำคัญเส้นทางฝั่งนั้นสามารถตรงเข้าสู่เมืองหลวงได้ไม่ยากด้วยซ้ำ"


    สิ้นเงียบเรียบความเงียบเชียบก็ตามมา ก่อนจะเริ่มมีเสียงฮือฮาถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน องค์ชายประธานยกมือขึ้นปรามอีกครั้งก่อนจะขยับปากพูด


    "แต่พวกปีศาจบอกว่าจะช่วยเหลือพวกเรา เจ้าจะบอกว่าพวกนั้นคิดกลับคำหรือ?"


    "ไม่ครับ แต่พวกนั้นคงโดนพวกเอลฟ์บีบคั้นอยู่อย่างแน่นอน หากไม่ให้ความช่วยเหลือเอลฟ์ก็ควรจะเอื้อเฟื้อในเรื่องสถานที่บ้าง... ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะพวกเอลฟ์ใช้ผมกับลีนเป็นข้ออ้าง"


    "เพราะว่าพวกเราให้ความสนับสนุนที่นี่อย่างเต็มตัวสินะ ถ้าพวกนั้นยังไม่ยอมให้ความร่วมมืออีกพวกเอลฟ์คงว่าพวกปีศาจให้ความร่วมมือกันต่อต้านเอลฟ์จริง และขู่ว่าถือเป็นปรปักษ์ไปด้วยทันที" ฉันออกความเห็นบ้าง


    "อย่างที่เธอว่านั่นแหละแค่ไม่โจมตีเราก็นับว่าได้ช่วยแล้วในขณะนี้ พวกปีศาจเองแม้ไม่เชื่อใจในตัวเอลฟ์แต่การจะกระทำอะไรก็ยังติดขัดอยู่มากคงจะยังไม่พร้อมรับมือเป็นแน่ แถมพวกปีศาจซึ่งอาศัยอยู่ในอาณาจักรเอลฟ์ก็มีไม่ใช่น้อย หากตัดขาดกันทันทีผู้ที่รับเคราะห์เห็นทีจะไม่พ้นพวกที่ว่านั่น อีกอย่างการที่มีพวกปีศาจอยู่ในดงเอลฟ์ขณะนี้นับว่าเป็นการตรวจสอบและขัดพวกกลุ่มอำนาจเอลฟ์ได้ในระดับหนึ่งเหมือนกัน... เหมือนกับว่าพวกปีศาจเองก็กำลังรบอยู่อย่างเงียบเชียบประมาณนั้นล่ะ"


    ดรีมสรุปแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่


    "สองวันมานี่ไม่มีการปะทะกันเลยใช่ไหมครับ? ผมว่าพวกเอลฟ์อาจจะกำลังติดต่อกับพวกปีศาจอยู่แหงๆ หากเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ก็คงยังไม่น่าเคลื่อนตัวได้ทัน.... แต่ถ้ามันเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มเล็กๆพอมีทาง..."


    พูดแค่นั้นดรีมก็เงยหน้าขึ้นสบตาเหล่าอร์คทั้งหลาย


    "กลุ่มเล็กที่ว่านั่นคือ..." บุดันบังถามต่อ


    "กลุ่มพิเศษที่หมายหัวผมกับลีนแน่นอนว่ามีหมอนั่นด้วย..."


    "หมอนั่น...?"


    "โอดราฟ"



    ทั้งห้องเงียบกริบฉับพลัน เวลานั้นแสงแดดยามเช้าสาดผ่านร่องไม้ลงมาพอดิบพอดี


    "ในเวลานี้ข้าอยากรู้แผนของเจ้า" ซุคุนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย...


    "ผมกับลีนจะไปพบหมอนั่น"


    "ข้าไม่อนุญาตมันอันตรายเกินไป!"


    องค์ชายออร์คคนนี้ช่างห่วงใยพวกเราดีจังแต่ว่า... เจ้าพวกที่ปรึกษานี่สิเหมือนดีใจที่พวกเราจะไปตาย!!


    "ถ้าเราขวางพวกนั้นได้ก็แล้วไป แต่ต่อให้ขวางไม่ได้และโดนพวกมันจับไปพวกปีศาจก็คงจะเข้ามาช่วยได้ในระดับหนึ่งแล้วค่ะ"


    "อืม..."


    "มีอะไรยะตาดรีม"


    "เปล่า... ที่เธอพูดมันก็ถูก แต่การพบกันครั้งนี้อาจไม่มีการปะทะ และตัวฉันก็มีแผนแล้วด้วยสิ"


    "...."



    แหม... เตรียมพร้อมดีจังนะการรบเนี่ย ทีตอนชวนฉันไปเดทไหงสมองกลวงนักยะ!!





    ==================================================================



    -....-

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×