คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Release 16 [ปริศนาแห่งเงา]
จุดเซพ 50% พร้อมให้ ctrl + f !
คราวที่แล้วเบลอจัดอัพไปต้องขอบใจป๊อปที่ช่วยเตือนให้! เปลี่ยนชื่อ "โซเรส" เป็น "ชาเนส" นะครับ = =
Release 16
ตลาดท่ามกลางแมกไม้น้อยใหญ่ช่างแลดูคึกคักในยามวัน ร้านรวงปูเสื่อตั้งใต้ร่มเรียงราย กระต๊อบแบบคนป่าช่วยเสริมความโดดเด่นบนผืนหญ้าสั้น ผู้คนไครม์ ปีศาจเดินทัศนาเจรจากันขวักไขว่ บรรยากาศรอบๆดูเป็นกันเองยิ่ง แต่ถึงจะดูเหมือนเป็นโลกแบบย้อนยุคทว่าของที่ขายกลับทันสมัยและแปลกตาทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นการวิวัฒอันควบคู่กันไปของเวทมนตร์กับวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี... นี่คือเมืองหนึ่งซึ่งถูกจัดไว้ให้มีฐานะเป็นตลาดโดยแท้จริงของอาณาจักรวาเรรัน กินอาณาบริเวณกว้างขวางชนิดหากดูจากบนฟ้าก็คงอดตกใจมิได้
"อ้าว นี่พวกเจ้าเองหรือ? ชองกับเฟสสินะ"
เสียงหนึ่งทักคู่ชายหญิงที่เดินคู่กันไป คนผู้นั้นมีเรือนผมสีเงินเป็นประกายพร้อมด้วยนัยน์ตาเข้มสีมหาสมุทรอันยากหยั่งลึก หูแหลมเฉกเช่นเผ่าเอลฟ์ แต่ใบหน้านั้นดูซีดตัดกับเครื่องอาภรณ์ที่เป็นสีดำตั้งแต่เสื้อคลุมจนปลายรองเท้า ดูเหมือนคนผู้นั้นจะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปจึงถูกจับจ้องแถมด้วยเสียงกระซิบกระซาบไปทั่ว
"เซซิส? เจ้ามาเดินตลาดเนี่ยนะ มาดไม่ให้เลยว่ะ!" ชายผมสีชาทิ้งมาดเข้มๆของตนลงถังขยะ แล้วทักทายอย่างร่าเริงทันที
"ไม่หรอก ข้าเพิ่งกลับมาน่ะเลยอยากจะทักท่านพี่สักหน่อย แต่หาไม่เจอบังเอิญจับจิตคุ้นๆได้เลยมาพบพวกเจ้า"
"เอ๋? คุณเซรอสน่ะเหรอคะ ก็อาจจะดูแลการฝึกของดรีมกับลีนอยู่ก็ได้มั้งคะ" สาวเจ้าผู้เดินเคียงข้างตอบแทนขึ้นอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้ม แต่อีกฝ่ายกลับยังนิ่งเหมือนตายด้านแล้วทำเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
"ดรีมกับลีนมาด้วยเหรอ? ข้าไม่ยักเจอ" เซซิสตอบ
"ก็ถ้ำฝึกในเขตวังแกนั่นแหละเซซิส" ชองเซอาต่อยอด แต่เซซิสยังนิ่งหลับตาเหมือนนึกอะไรสักอย่าง
"แปลก..."
"แปลกอะไรของแก?"
"ก็ข้าเพิ่งจะแวะไปทักท่านพ่อที่ถ้ำนั่นมานี่นา เห็นว่ากำลังปรับปรุงให้ยากขึ้น"
"หา?"
สองหนุ่มสาวเปล่งเสียงอุทานขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วหันมองหน้ากันนิดหนึ่ง
"แล้ว... มันมีที่ฝึกอื่นหรือเปล่าน่ะ?"
"เท่าที่ข้ารู้ไม่มีหรอก แต่ไม่เจอก็ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าก็มีธุระที่ท่านพ่อเพิ่งสั่งมาอีกคงต้องไปเร็วนี้แหละ"
"เซซิส" ชองเซอาทำหน้าเคร่งขรึมแล้วตบบ่าชายหน้าดุเบาๆ
"อะไรของเจ้า?"
"ขอบใจมากที่ทำให้ข้ารู้ว่าตอนนี้มีงานด่วน" คุณชองท่านยังทำหน้าตายพูดต่อ ก่อนจะหันไปหาหญิงสาวข้างๆ "เฟสกลับกันก่อนเถอะ" และเหมือนคุณเธอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจึงจับมือชองเซอาเอาไว้แน่นก่อนจะออกตัวบินฉิวไปด้วยกัน ทิ้งให้ชายผมเงินทำทีท่าเหมือนงงแล้วยกมือเกาศีรษะผิดมาดจอมขรึม เบิกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย
"ไอ้เซรอส... ฉันสัญญาว่าจะไม่ยุ่งด้วยจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ส่งคนอื่นไปนี่หว่า!" เขาหัวเราะร่าขึ้นทำให้ผู้ชุมสะดุ้งโหยงขึ้นด้วยความผิดคาด และเจ้าตัวก็เพิ่งรู้สึกตัวจึงเดินเลี่ยงออกไปช้า แต่ก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงจากด้านหลังว่า
"คุณฟาร์"
เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินแสกกลางเอ่ยเรียกสั้นๆ แต่น้ำเสียงนั้นกลับมั่นใจเต็มเปี่ยม พร้อมยิ้มกว้างให้
"นาย... ชาเนสนี่นา ไหงมาอยู่นี่ได้?"
"โธ่ ลูกศิษย์อยากพบอาจารยืที่หายหน้าหายตาไปนานบ้างนี่แปลกเหรอครับ? แต่คลายมายานั่นซะทีเถอะคุณเซซิสเขาไม่ยิ้มน่าสยองอย่างนั้นแน่"
"นายรู้จักกับเซซิสด้วย?"
"ก็เขาไปธุระที่เวียราเซรันนี่นา"
ฟาร์ถอนหายใจนิดหนึ่งแล้วทันใดนั้นภาพชายผู้เคร่งขรึมก็สลายไป กลับกลายเป็นชายหน้าตาสวยผมสีน้ำตาลอ่อนยาว และร่างที่บางเล็กจนไม่มีใครคาดคิดได้ว่าหมอนี่คือ "หนึ่งในฟิราเรสวาสผู้โด่งดัง"
"มิน่าเล่า แล้วนายตามฉันเจอได้ไง"
"ก็คุณชาร์แวะมาทักให้เครื่องมือมาชิ้น แล้วก็บอกว่าคุณมาหาคุณเซรอสน่ะครับ"
"เครื่องมือ?"
"เครื่องมือแปลงจิตให้คละเคล้ากับคนรอบข้างน่ะสิ เห็นบอกว่าถ้ามาหาตรงๆคุณต้องชิ่งหลบไปแหง"
จะว่าไปมันก็ถูก.... แต่ไอ้การให้ตามหานี่มันเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกนี่หว่า ทำไมจุ้นงี้ไอ้น้องงี่เง่า!!
ฟาร์คิ้วกระตุกหัวเราะแหะๆนิดหนึ่ง
"ว่าแต่คุณฟาร์มาทำอะไรที่นี่ครับ? เห็นคุณชาล็อตบ่นใหญ่เลยว่าอู้งาน"
ฟาร์ทำท่าครุ่นคิดนิดหน่อย
นิสัยอย่างเขาน่ะหรือ... เจอกันทั้งทีก็ต้องยั่วสักหน่อยสิ!!
"ก็มาดูลูกศิษย์คนที่สองหน่อยน่ะ"
"อะไรนะลูกศิษย์!!"
ชาเนสทำหน้าตื่นทันที แต่ฟาร์ก็เหมือนจะคิดเอาไว้แล้วจึงยิ้มรับแล้วพยักหน้าตอบ
"แต่จะว่าศิษย์ก็ไม่ใช่หรอกมั้ง ฉันก็แค่แนะนำอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง"
"แล้ว... หมอนั่นเก่งแค่ไหนครับ?"
"ถ้านับที่ความเจ้าเล่ห์หมอนั่นเหนือกว่าฉันอีกมั้ง"
"พูดเป็นเล่นไปครับ! ความเจ้าเล่ห์เป็นข้อดีที่สุดของคุณเลยนะผมไม่เชื่อหรอก!!"
เฮ้ยๆๆ ใครสอนแกว่าความเจ้าเล่ห์เป็นคุณสมบัติของผู้ดีวะ ไอ้ชาเนส!!
ฟาร์ทำหน้าเบ้แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ส่วนเด็กหนุ่มกลับตัวสั่นหงึกๆก่อนจะหันขวับมาหาเจ้าตัวกวนด้วยใบหน้าขมึงทึง "คุณฟาร์ผมว่าผมมีเรื่องต้องทำแล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะครับ" เขาว่าแล้วทำท่าเหมือนจะกระโดดหายตัวไป แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้จึงหันกลับมาด้วยหน้ายุ่ง
"แล้วหมอนั่นชื่ออะไรครับ?"
ฟาร์ยิ้มกริ่มให้แล้วขยับปากเอ่ยตอบ....
"ชา....น่อน!!!"
"คร้าบ!!"
เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกสะดุ้งตัวลอยหันล่อกแล่กไปทั่วเพื่อดูเหล่าเพื่อนที่ร่วมกันหัวเราะเยาะ และยายแก่เอลฟ์ใบหน้าหย่อนผู้รับหน้าที่สอนวิชา "มนตรากับการดำรงชีวิต"
"เจ้าเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องของอัจฉริยะโอดราฟ แต่ทำไมถึงแตกต่างกันฟากฟ้าต่างนรกเยี่ยงนี้ แล้วเลิกมาเล่นอะไรไร้สาระแถวนี้นะ เจ้าต้องฝึกการใช้เวทมิใช่เล่นจำอวดด้วยเสื้อผ้าที่ซ่อนอุปกรณ์ต่างๆไว้เช่นนั้น!!"
ถะ... ถูกต้องนะคร้าบ!!
ช่วยไม่ได้แต่นี่ก็ เมจิคเหมือนกันนะ ก็มายากลไง ทั้งชีวิตผมเคยเรียนรู้มาแค่นี้แหละตอนไปตีซี้กับคณะละครสัตว์... มันก็เท่านั้น!! ผมเป็นมนุษย์นี่หว่า!!
เขาอยากจะโวยกลับไปตามที่คิดเสียจริง แต่หากเป็นเช่นนั้นมันคงไม่จบแค่โดนเทศนาโวหารยาวยืดยาด และกลายเป็นตัวตลกประจำชั้นเป็นแน่แท้
หลังจากเริ่มเข้าเรียนมากได้พักหนึ่ง เขาก็ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆมากมาย อย่างประวัติศาสตร์อันไม่ต่างกับนิยายเท่าไหร่นัก เช่นรูปแบบการปกครองเองก็แตกต่างจากโลกอย่างเห็นได้ชัด ด้วยระบบที่เรียกว่า "ระบบกองทุนอำนาจ" ซึ่งอำนาจการปกครองจะตกอยู่กับผู้ที่ได้รับเลือกมาในทั้งหมด 21 เขตของเอลฟ์ทั้งหมด มีการแบ่งอำนาจต่างๆไว้โดยละเอียดโดยมีคะแนนแตกต่างกันไปตามลำดับขั้นความสำคัญ เช่นการรบการสงครามจะอยู่ในระดับสูงสุด โดยใช้มติจากคณะประชุมไม่ต่ำกว่า 16 ใน 21 และ.... ประชาชนที่เลือกให้ผู้แทนที่ลงความเห็นชอบในเขตนั้นก็ต้องมีความเห็นชอบเกิน 2 ใน 3 ด้วย
พูดง่ายๆก็คือในการบริหารต่างๆได้กำหนดขอบเขตของอำนาจไว้ทั้งหมดถึง 2 ชั้น ทำให้การใช้อำนาจนั้นยากกว่าของโลกที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเยอะ แน่นอนว่าถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนการลงมติอาจจะไม่ต้องใช้ความเห็นชอบจากประชาชนในบางเรื่องก็ได้
อีกทั้งยังมีการแบ่งอำนาจแตกแขนงเป็นสาขาลงสู่เขตต่างๆเพื่อประสานงานให้ไวขึ้นด้วย อันที่จริงมันก็น่าศึกษาอยู่สำหรับหนอนหนังสือเช่นเขา.... ถ้าไม่ต้องเรียนไอ้พวก....
"ชา....น่อน!!!"
นั่นปะไร เอาอีกแล้ว!! เข้าเรียนมาแค่สามวันอาจารย์ที่ทำเป็นโอนอ่อนให้ลูกพี่ลูกน้องก็ยิ่งออกลาย ด่าเขาไม่หยุดทุกวันๆ
เด็กหนุ่มเอลฟ์เก๊พยายามแล้วแต่อดทำหน้าเหนื่อยหน่ายไม่ได้ ในโลกเมื่อก่อนเขาฝันอยากใช้เวทมนตร์ได้สักครั้ง แต่พอมีโอกาส... เขาดันนึกถึงวันเก่าๆที่ไม่มีเวทมนตร์เอาเสียได้ เขาเกลียดวิชาการสอนเวทมนตร์ที่สุดเล้ย!!
"เฮ้อ"
เด็กหนุ่มหูแหลมผมยาวสีทรายเดินคอตกไหล่เหี่ยวไปตามทางเล็กที่คุ้นเคยดี ถึงแม้จะบอกว่าเข้าเรียนแต่กลางวันกับกลางคืนของโลกนี้มันช่างยาวนานยิ่ง... เทียบกับโลกแล้วก็เกือบสองเท่า และสมาธิของเอลฟ์เองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตัวเขามากนัก การเรียนตามปกติจึงมีเพียงแค่ครึ่งวันเช้าเท่านั้น และเมื่อเรียนเสร็จก็เป็นช่วงว่างยาว และสามวันมานี้เป็นต้องเดินไปหาตาแก่ที่โอดราฟฝากไว้ทุกทีเพื่อรับฟังเรื่องราวต่างๆ หาวิธีใช้เครื่องมือที่โอดราฟให้มานั่นด้วย... แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าตำราเล่มใดก็ไม่มีบันทึกถึงสิ่งนี้เลยแม้สักเล่ม ความจริงเขาก็เคยถามท่านเอลฟ์จอมหาเหาใส่หัวคนอื่นตรงๆเหมือนกันว่า
"ไม่ว่าใครก็มองว่าของนี่เป็นแค่ของเล่นเท่านั้น" แต่หมอนั่นก็ดันตอบกลับมาแบบกำกวม
"มันอาจเป็นของเล่นที่เอาไว้แกล้งเจ้าก็ได้หากมองไม่เห็นบางสิ่งซึ่งซ่อนอยู่"
ผมไม่เข้าใจจริงๆว่ามันจะซ่อนไว้ทำไม แค่เวทมนตร์กิ๊กก๊อกเขาก็ใช้ไม่ได้แล้ว ยังจะเล่นทายปริศนากันอีก... ปริศนาที่ขนาดเกียรานอสเองก็ยังมองว่ามันเป็นแค่ของเล่น! แต่มันก็น่าแปลกที่ตาแก่ดันมองว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่จริง แถมกล่าวอย่างหนักแน่นว่า โอดราฟไม่ใช่เอลฟ์ที่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล จึงพยายามช่วยเขาทุกวิถีทาง
อาจารย์กับศิษย์ต่างกันฟ้ากับเหว... คิดไปคิดมาอยากจะโดนตาแก่นี่จับตัวไว้มากกว่าไอ้คุณโอดราฟเสียอีก
ยามคิดอะไรเพลินๆ โลกรายรอบกลับเสมือนว่างเปล่าความระมัดระวังทั้งหมดก็สลายไป เมื่อโดนผลักเบาๆจากด้านข้างชาน่อนกลับเซถลาล้มไปนอนกองที่สวนหญ้าข้างทางด้วยสีหน้าเหรอหรา ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะซึ่งดังกึกก้องโสตประสาทที่ค่อยๆฟื้นคืน
"อะไรกัน ทายาทอัจฉริยะหน้ามืดเสียแล้ว!!"
ใช่ นี่คืออีกสิ่งที่ผมต้องเผชิญในโรงเรียนนี้ "พวกเอลฟ์มาเฟีย" จะว่าไปแล้วหน้าตาท่าทางมันแต่ละคนก็ดูออกจะเป็นผู้ดีทั้งหน้าตาและจิตใจ ความมั่นใจสูง เหมือนจะฉลาดตามลักษณะทั่วไปของเอลฟ์ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นพวกป่าเถื่อนไร้ซึ่งเหตุผล และกลุ่มที่คอยตามจองเวรเขาก็มีแค่ไอ้พวกนี้
"คุณอัจฉริยะครับ ใช้เวทมนตร์เป็นหรือยัง?"
คนโย่งที่สุดพูดขึ้น เส้นผมสีทองกระเพื่อมไปเรื่อยตามแรงสั่นจากการหัวเราะ ดูแล้วก็น่าหมั่นไส้ แต่ตัวมันสูงกว่าผมร่วม 10 เซนฯ แต่... ถ้าจะให้นับกันจริงหมอนั่นก็คงเป็นแค่เอลฟ์เตี้ยๆคนหนึ่งเท่านั้นน่ะแหละ แต่กลับดูน่าเกรงขามมากสมแล้วที่เป็นหัวหน้าของพวกพรรณนี้ได้
ชาน่อนลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วทำเป็นปัดฝุ่นที่ติดก้น และเดินต่อไปโดยไม่ใส่ใจ
"เฮ้ยเดี๋ยว! ทำอย่างนี้หมายความว่ายังไงวะ"
พวกอันธพาลคนหนึ่งรีบเดินตรงรี่เข้าใส่แล้วคว้าแขนของเขาไว้ แต่ก็ต้องตกใจรีบปล่อยมือฉับพลันเพราะความที่สัมผัสนั้นไม่เหมือนกับแขนของสิ่งมีชีวิต ทันใดนั้นไม้ท่อนหนึ่งก็ร่วงลงพื้นกระทบหินดังแกร้กๆๆ พวกเหล่าอันธพาลทำหน้าตื่นกันนิดหน่อยก่อนจะรีบวางมาดกลับเข้าที่ บ้างก็เสยผม บ้างก็กระดิกเท้า แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ 'สายตาคมกริบจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง'
"แก! เล่นลูกไม้งี่เง่าแบบนี้อีกแล้ว!!"
พูดไม่คิดเลย... งั้นไอ้คนที่ติดกลโง่ๆพรรณนี้ไม่เรียกว่าโคตรงี่เง่าหรือไงกัน?
ชาน่อนคิดบ่นไปเรื่อยเปื่อยด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย พลางพยายามรีบเดินหลบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องด้วยเขาไม่มีพลังพอจะไปต่อกร แต่จะให้ยอมนิ่งทุกครั้งเรื่อยไปมันก็ผิดวิสัย ถ้าให้เทียบกับตอนเผชิญหน้ากับตาปีศาจโหดในเมืองออร์คแล้ว แค่นี้เรื่องจิ๊บๆ
"แก! ใครให้ผ่าน!!"
พวกเอลฟ์นักเลงโตไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆรีบวิ่งเข้าล้อมทันที ความจริงแล้วตัวเขาก็กลัวจนแทบอยากลงไปกองแล้วแต่ว่า หากทำอย่างนั้นพวกข้างหน้าก็ยิ่งได้ใจ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนแต่อย่างน้อยเขาก้ไม่เคยคิดจะยอมโอนอ่อนให้เสมอไปจึงเดินแหวกวงล้อมออกไปทื่อๆ ท่ามกลางฝูงเอลฟ์คลั่งที่ตัวสั่นหงึกๆ
"อย่านึกว่าเป็นญาติกับไอ้โอดราฟอะไรนั่นแล้วพวกข้าจะไม่กล้าลงมือนะ!!"
"นั่นมันเรื่องของพวกนาย แต่ตอนนี้ขอตัว"
ชาน่อนสวนกลับทันควันเป็นประโยคแรกทั้งที่ปากยังสั่นไม่หยุด พวกคนที่รุมล้อมกำหมัดแน่น
"ได้! แกตาย!!"
ท่ามกลางความบรรยากาศอันตรึงเครียดนั้นชายจอมอวดเบ่งที่ประกาศไปทั่วว่าเป็นลูกขุนนาง ก็กระโดดประเคนหมัดเข้าใส่ใบหน้าของชาน่อนแบบไม่ยั้งมือ จนเขาล้มกลิ้งลงไปกับพื้นหินแข็ง แต่ก็ยังรีบเช็ดเลือดจากปากที่แตกแล้วลุกขึ้นมาเผชิญหน้าอีกครั้ง เอลฟ์จอมโวยังได้ใจจึงหมายประเคนใส่อีกหมัดหนึ่งคราวนี้กลับโดนจับข้อมือได้แล้วใช้แรงของคนที่พุ่งเข้าใส่จับทุ่มลงกับพื้นอย่างจังท่ามกลางความตกตะลึง คงไม่มีใครคิดว่าตัวขี้โรคจอมอ่อนแอจะพอมีพิษสงพอสมควรอยู่เหมือนกัน!
แต่เรื่องมันก็ไม่จบแค่นั้นทั้งสี่เองก็เริ่มเกรงขึ้นมาบ้าง ส่วนคนที่โดนจับทุ่มลงไปกองรีบลุกขึ้นมาบ้างแล้วชักไม้กระบองซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวออกมาทันที ชาน่อนเห็นแล้วก็เหงื่อตกรู้สึกเรื่องมันจะชักบานปลายกันใหญ่ เมื่อครู่เขานึกถึงตอนที่เผชิญหน้ากับดรีม และในครานั้นเขานั่นแหละที่โดนเล่นงานไปเต็มๆ
"ไรเจีย!"
เอลฟ์เก๊ทำเป็นเรียกอาวุธประจำตัวออกมาบ้างให้น่าเกรงขามจากความว่างเปล่า หากแต่ความจริงแล้วแขนเสื้อของเขานั้นได้เอามาแก้ไขเพิ่มเติมพิเศษจนคล้ายของพวกนักมายากลที่ตนเคยรู้จัก แล้วดึงปืนไม่สมประกอบออกมาก็เท่านั้น แต่จะอย่างไรมันก็พอจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดได้นิดหน่อย
"พฤกษารัดพัน!"
หัวหน้าผมทองชี้มือตรงไปทางเขาทันใดนั้นต้นไม้สองข้างทางก็งอกยาวออกมาอย่างรวดเร็ว ชาน่อนพยายามจะหนีให้พ้นแต่ก็ไม่ทันถูกไม้นั่นตวัดพันแข้งขาจนล้มลงไปนอนกับพื้น ลูกขุนนางที่โดนทุ่มเหมือนจะแค้นจัดรีบแหวกทางเพื่อนตนเข้ามาทันที
"พวกแกขี้โกงนี่หว่า!"
"ใครว่าขี้โกง พวกข้าก็แค่ใช้เวทมนตร์ตัวเจ้าที่ใช้ไม่ได้ต่างหากที่ผิด!"
เอลฟ์ผู้กำลังเดือดดาลตะโกนลั่นแล้วเตะเข้าใส่ชายโครงของชาน่อนที่ถูกพันธนาการอย่างจัง ความเจ็บปวดอันคุ้นเคยแล่นพล่านทั่วประสาทสัมผัสจนอยากร้องไห้ แต่ก็ต้องกล้ำกลืนเอาไว้เสียก่อน มือที่ยังว่างอยู่ชี้ 'ไรเจีย' ใส่พวกเอลฟ์หมู่ แสงสีเหลืองสว่างวาบจากปากกระบอกปืน พริบตาหนึ่งนั้นพวกที่รุมล้อมก็เพผลอตัวกระโดดถอยหลังไป แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรคนที่ฉุนอยู่แล้วก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ไม่ไหว เหวี่ยงกระบองฟาดใส่ข้อมือเล็กข้างที่ถือปืนอย่างจังจนเขาระงับความเจ็บไม่ไหวร้องออกมาเสียงดัง
และเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทางตอบโต้ได้อีกแล้ว แต่ละคนก็เข้ามารุมสกรัมกันยกใหญ่ ความรู้สึกมันอื้ออึงไปหมดจากเจ็บก็กลายเป็นชาจนนึกว่าตนจะต้องตายอยู่ตรงนั้นแล้ว ทว่าจู่ๆสายลมอ่อนก็พัดผ่านมา พวกที่รุมอัดเขากลับหยุดลงมือกระโดดถอยหลังไปกันทั้งทีม สายตาสีดำซึ่งกำลังเลือนเงยขึ้นมอง... หญิงสาวผมสีเทาอันสะดุดตายืนอยู่ข้างเขาพร้อมชี้มีดซึ่งส่องแสงสีฟ้าจางมีกลิ่นอายเย็นยะเยือกออกไปข้างหน้า...
"ไอลา? อ๋อนี่เธอสนิทกับมันจนต้องเข้ามาช่วยมันแล้วเหรอ!!" เสียงหนึ่งดังประท้วงแต่ไม่อาจจับได้ว่าเสียงใคร หรือบางทีมันอาจจะพูดร่วมกัน... ก็อย่างว่ามารวมกลุ่มกันเหนียวแน่นขนาดนี้สมองก็คงพัฒนามาใกล้เคียงกันนั่นแหละ!
"ช่วยอะไร? พวกนายมันก็แค่เกะกะลูกตาฉัน ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายห่วยแตกแค่ไหนกลับมาช่วยกันรุม แค่นี้ก็เห็นชัดแล้วว่าพวกนายห่วยกว่าตางั่งนี่อีก!" สาวดุสวนกลับไปตรงๆจนแต่ละคนหน้าเสียไปตามๆกัน ไม่เว้นแม้แต่คนบาดเจ็บที่ไม่วายจะโดนด่าตอดให้เจ็บใจเล่นอีกต่างหาก
"ถ้าไม่เลิกสักทีมาเจอกันหน่อยเป็นไงห้าต่อหนึ่งก็ยังได้นะ" สาวเจ้าท้าซึ่งหน้า แต่พวกอันธพาลกลับเหงื่อตกและเก็บอาวุธกันไปหมด แล้วหันหลังให้ก่อจะเดินจากไปทิ้งท้ายไว้เพียงคำข่มขู่ว่า "เห็นแก่หน้าสาวไอ แต่กับชาน่อนฝากไว้ก่อน"
ความจริงแล้วคำว่าฝากไว้ก่อนมันน่าจะเป็นคำพูดของเขามากกว่านะ...
"โหยโดนซะหน้าบวมตุ่ยเชียว! เจ็บมากไหมจ๊ะ!"
หญิงสาวเรือนผมสีเขียวงามเดินอ้อยอิ่งตามมา แล้วถามอย่างสบายอารมณ์ อยากจะตอบกลับไปซะจริงว่าลองโดนดูมั่งก็รู้เองแหละ
"ราเฟรเซียไปเถอะน่าปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ มีร่าเธอก็ตามมาสักทีสิอย่ามัวไปหลบอยู่ตามมุมเสาอย่างนั้นได้ไม๊!" ไอลาเอ่ยอย่างหัวเสีย สงสัยจะเขานี่แหละทำให้หงุดหงิดขอโทษด้วย!
"ขะ ขอบคุณนะที่ช่วย" ชาน่อนเปิดปากพูดอย่างยากลำบากขณะแก้เชือกไม้ซึ่งพันกันเสียแน่น
"เชอะ ฉันแค่ไม่อยากให้ชื่อคุณโอดราฟต้องมัวหมอง และอีกอย่างฉันไม่ได้ช่วยนายจำไว้ซะด้วย!!"
ชาน่อนหน้าบูดทันใด เขาชักจะสงสัยเหมือนกันว่าทำไมยัยนี่ไม่เคยพูดดีๆกับเขาสักรอบ เจหน้าทีไรเป็นตะคอกใส่ อยากจะเถียงโต้กลับไปเหมือนกัน ติดก็แค่เจ๊แกดันกลายเป็นผู้มีพระคุณไปเสียแล้วนี่สิปัญหาใหญ่
"น่ะนี่จ้ะ" สาวผมสั้นอีกคนหนึ่งที่มาด้วยกันไปเก็บ ไรเจีย มาให้ด้วยท่าทางขวยเขิน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ เขาไม่เข้าใจเลยว่าหญิงที่ชื่อมีร่าผู้แสนจะขี้อายคนนี้ เข้ามาสนิทกับกลุ่มสาวห้าว และสาวเริงร่าไร้ขีดจำกัดอย่างราเฟรเซียได้อย่างไร....
"ไปกันเถอะน่า" ไอลารีบเร่งประมาณไม่อยากจะสูดลมหายใจเดียวกับคนอ่อนแอติดดิน... อันนี้ต้องขอโทษด้วยครับที่ผมเป็นอย่างนั้นน่ะ
"จ้ะๆ" มีร่าขานตอบแล้ววิ่งตามไปทันทัน ผิดกับราเฟรเซียที่ก้มลงแล้วกระซิบว่า "ยัยนี่ดุกับเธอเป็นพิเศษเลย ดีใจด้วยนะยะ" และรีบวิ่งตามไปอีกคนทั้งใส่กระโปรงพุ่ม ส่วนตัวเขาก็ยังนอนแผ่ในเขตไร้ผู้คนนั้นต่ออีกครู่ใหญ่ เนื่องด้วยคิดไม่ตก... โดนเขม่นใส่ทำไมจะต้องดีใจด้วยฟระ....
50%
ท่ามกลางถนนหินอ่อนซึ่งหลากหลายชนเผ่าเดินผ่านกันไปมาพลุกพล่าน เด็กหนุ่มเอลฟ์สามคนเดินคุยกันมาเรื่อยเปื่อย
"นี่นายไม่เป็นอะไรจริงน่ะ?" ขายมาดมั่นเจ้าของฉายาท่านหัวหน้า พูดเสียงค่อยด้วยใบหน้าลำบากใจ "ไอ้พวกนั้นมันเป็นตัวปัญหามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เราเองก็คุมไม่อยู่"
"จะให้หมอนี่ตอบว่าไม่เป็นไรได้ยังไงราล? ก็ขนาดต้องให้พยุงมาแบบนี้!"
"อะ ขะขอโทษทีซิค"
ชาน่อนรีบผงกหัวให้เมื่อสังเกตเห็นเพื่อนผู้แสนอารมณ์ดีเหงื่อแตกพลั่ก อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่หนักเท่าไหร่หรอกนะแต่ว่าทางไปคฤหาสน์ท่านโอดราฟมันชันขึ้นแถมยังไกลไม่ใช่เล่น... มันก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า พี่แกดันบอกเองว่าเดินคุยไปเรื่อยๆก็ได้ บ้านไม่หนีไปไหนหรอกซะอย่างนั้น คาดว่างานนี้คงเข็ดไปนานคราหลังคงต้องสืบเสาะเส้นทางคมนาคมให้เรียบร้อยเสียก่อนเป็นแน่
"แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายัยไอลาจะมาช่วยนาย"
"นั่นสิ! เราเองก็ไม่อยากเชื่อคุณไอลาน่ะ ปกติจะเป็นพวกฝีมือดีเอามากๆ แต่กลับไม่ชอบไปยุ่งกับคนอื่นเท่าไหร่ยกเว้นก็แต่พวกราฟเฟรเซีย มีร่า ก็เท่านั้น"
"ยัยนั่นน่ะเหรอ... บางทีอาจจะช่วยเพราะผมเกี่ยวเนื่องกับโอดราฟเท่านั้นแหละ ในสายตาคุณเธอเล่นมองแต่เจ้าโอดราฟ"
ชาน่อนพูดจบก็พบว่าฝีเท้าเพื่อนทั้งสองชะงักลง สายตาฉายแววงงงวยกันเป็นแถบจนเขาชักสงสัย... ว่าตัวเขาเองจะทำอะไรผิดพลาดลงไปสียแล้ว...
แบคซิคเริ่มยิ้มออกแล้วหัวเราะพรืดจนตั้งตัวไม่ติด
"โอโหข่าวใหญ่เลยนะเนี่ย! มีน่าไอ้พวกบ้าห้าตัวไปตามจีบแม่นั่นถึงได้โดนปฏิเสธไร้เยื่อใย!!"
ว่าแล้วคุณพี่เขาก็หัวเราะลั่นไม่อายฟ้าดิน ไม่อายไครม์ ปีศาจ เอลฟ์ ที่เดินอยู่รอบๆ คราวนี้แม้แต่คุณคุณหน้าเองก็ยังอุบหัวเราะไม่ไหว ตบบ่าชาน่อนเบาๆ
"สงสัยนี่เป็นเหตุผลแท้ที่พวกนั้นเขม่นคุณชาน่อนมากกว่านะครับ"
"ไม่ใช่แค่นั้น อาจารย์ใหม่ก็มาทางสายนายนี่ชาน่อน"
แม้คำพูดนั้นจะยิ่งแสดงให้เห็นความเฮงซวยอันเหนือล้ำของเขา แต่รอยยิ้มเล็กๆมันก็ยังผุดขึ้นที่ริมฝีปากได้ร่วมหัวเราะเบาๆออกมาบ้าง และมันก็พอดีว่าใกล้ถึงเป้าหมาย ประตูบานใหญ่สลักเป็นร่องให้มองทะลุเข้าไปได้เห็นบ้านที่ควรจะเรียกว่าวัง เพื่อนทั้งสองคนถึงกับทำหน้าเหรอหรา
"เคย... ผ่านมาแต่จ้องตรงๆมันขนาดนี้เลยหรือเนี่ย" แบคซิคพึมพำกับตัวเอง
"นี่คุณอยู่กันกี่คนครับเนี่ย?" ราลถามขึ้นบ้าง
"ก็... แค่สองคนเท่านั้นแหละ"
ใช่แค่สอง ถ้าไม่รวมคนสวมชุดดำยืนกอดอกพิงเสาประตูอยู่ตรงนั้น สายตาซึ่งจ้องมาช่างวาววาบน่าหวาดหวั่นและดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย และแน่นอนว่าหมอนั่นไม่ใช่ยามอย่างที่สองเพื่อนเข้าใจและกระซิบถามเขา
"เจ้าคือชาน่อนสินะ" ชายคนนั้นเดินเข้าหา ถึงแม้ว่าจะปิดบังใบหน้าไว้เกือบหมดด้วยผ้าคลุม แต่ว่าความรู้สึกผิดหวังมันฉายออกมาชัดจากสายตาคู่นั้น เรียกให้เขาจ้องโต้กลับอย่างไม่พอใจคืนกลับไปบ้าง "เจ้าเข้าไปได้คนเดียวที่เหลือห้าม" ชายผู้นั้นพูดห้วนๆ แล้วเข้าขวางทางแบคซิคกับราลเอาไว้ทันที ความจริงแล้วในฐานะเจ้าบ้านก็อยากจะไล่ใครก็ไม่รู้ผู้นี้ไปไกลๆ ติดก็แค่เขาไม่มีอำนาจ และที่สำคัญที่สุด.... หมอนี่คงมาเรื่องธุระกับโอดราฟแหง! เพราะงั้นจึงจำใจบอกให้เพื่อนผู้พามาส่งกลับไปก่อนให้มาใหม่วันหน้าแทน ซึ่งทั้งคู่เองก็เออออโดยง่ายแล้วรีบลาจากไปทันที
ท่าทางจะกลัวเอามาก... หรือไม่ตัวเขาเองก็ชักจะด้านชาไปแล้ว
เขาคิดเรื่อยเปื่อยพลางเดินเข้าประตูด้วยช่องทางลับซึ่งลงผลึกเวทไว้ราวกับไม่ใส่ใจคนที่ยืนอยู่เลยแม้แต่น้อย
"ทางท่านผู้เฒ่าบอกให้พวกเราร่วมมือกับเจ้า" เสียงเข้มเฉียบขาดดังแว่วเข้าหูก่อนที่เขาจะเดินเลี้ยวไปทางสวนดอกไม้ริมคฤหาสน์ เสียงนั้นบอกให้เขาซึ่งอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต้องระแวงระวังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อแอบชะเง้อมองไปทางซุ้มไม้งามตามเสียงก็พบ กลุ่มชายผู้สวมชุดเช่นเดียวกับคนหน้าประตูร่วมสิบกว่าคนยืนล้อมโอดราฟ ซึ่งยังไม่เลิกทำหน้าตายสักที และความรู้สึกเย็นยะเยือกถึงไขสันหลังจนต้องรีบหลบกลับไปนั้นบ่งบอกชัดว่า คนพวกนั้นทั้งกลุ่มรู้แล้วว่าเขานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงนั้น หากแต่ไม่สนใจกลับสนทนากันต่อ
"ข้าก็ได้รับคำสั่งเช่นนั้นมา" โอดราฟว่าแล้วก็เว้นช่วงคำพูดนิดหนึ่ง "แต่ท่าทางของพวกเจ้าไม่เห็นเหมือนจะมาขอความร่วมมือเลยนี่"
คนรอบข้างทำท่าจะโวยแต่ผู้ยืนเผชิญหน้าอยู่นั้นยกมือห้าม แล้วจ้องหน้าโอดราฟโดยตรงด้วยแววตาขุ่นเคืองไม่แพ้พวกที่เหลือ "ธุระวันนี้ของพวกข้าก็คือ ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะเป็นเหมือนดั่งพี่ของเจ้าหรือไม่"
"แล้วไง?" โอดราฟสอดทันควันท่าทางเหมือนจะฉุนขึ้นมาบ้าง แต่เก็บอารมณ์ไว้ได้มิดชิดเหลือเชื่อ
"กับผู้ที่ไม่อาจไว้ใจได้ยังจะทำงานร่วมกันได้อีกหรือไง!?"
"มันก็เรื่องของพวกเจ้า แต่คำสั่งซึ่งได้รับมาเล่า พวกเจ้าจะทำอย่างไร?"
"หึ" พวกเอลฟ์หมู่มากสบถเหมือนเย้ยหยัน "พวกเราหน่วยพิเศษหนึ่งได้รับอำนาจแม้แต่วิจารณญาณเพื่อความสำเร็จของเป้าหมายเป็นสำคัญ"
"ถ้าเช่นนั้นทางข้าก็ไม่มีปัญหา"
โอดราฟพูดตัดบทและหันหลังให้ทำทีเป็นจะเดินเข้าตัวเรือนอย่างไม่ใส่ใจ แต่ก็โดนรั้งเอาไว้ด้วยคำพูด
"เพียงแค่เจ้าจับเจ้าเด็กไร้ค่านั่นมาแทนการจับตัวเป้าหมายแท้ให้ได้นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้านั้นอ่อนเชิงแค่ไหน... นั่นรวมถึงทีมของเจ้าทั้งหมดด้วย"
โอดราฟหัวเราะในลำคอนิดหนึ่งแล้วมองย้อนกลับมาตอบพร้อมรอยยิ้ม "พวกเจ้ารู้จักประโยคว่า 'สายตาคนเราไม่เท่ากัน' บ้างไหม?" เขายิ้มเย้ยให้อีกหนึ่งดอก "สายตาพวกเจ้ามองไม่เห็น แต่ข้าเห็น"
"นี่เจ้า!!" เอลฟ์เกือบทั้งฝูงลุกฮือขึ้นทันใด พร้อมทั้งตีหน้าท่าทางพร้อมจะหาเรื่องได้ทุกเมื่อ ซึ่งคนที่ยืนเผชิญหน้ากับโอดราฟก็ยกแขนขึ้นห้ามอีกรอบ "อย่าหลงคำยั่วยุของมัน ไม่เช่นนั้นอาจจะมีปัญหากับพวกผู้เฒ่าที่หนุนมันอยู่"
....ทำเป็นพูดดีแต่ใครกันวะที่ยั่วยุก่อนน่ะ....
ชาน่อนที่แอบอยู่แอบนินทาในใจ และชายหัวหน้าทีมหน่วยหนึ่งก็กล่าวต่อหลังจากทิ้งระยะนิดหนึ่ง
"แต่อย่าลืมว่าพวกข้าอาจไม่เห็นสิ่งที่เจ้าเห็นจริง แต่เจ้าก็คงไม่เห็นสิ่งที่สะท้อนในสายตาของข้าแน่"
"ถ้าเช่นนั้นต่างฝ่ายต่างทำตามที่ตนเห็นก็น่าจะพอแล้ว ข้าขอตัว"
"ถูกต้อง! พวกข้าขอแค่เจ้าอย่ามาทำเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วมาขัดแข้งขัดขาพวกข้าอย่างเจ้าสวะโอเดียก็พอ"
โอดราฟตัดบทหมายตัดให้ขาดในฉับเดียว แต่ว่าก็ยังมีเอลฟ์ปากบอนต่อยอด แต่คราวนี้โอดราฟชักจะคุมอารมณ์ไม่อยู่ แววตานั้นกร้านขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากต้องมีเรื่องเขาก็สามารถฆ่าคนข้างหน้าได้อย่างไม่ลังเลเป็นแน่ กระนั้นพวกหน่วยหนึ่งก็ไม่มีท่าทีว่าจะกลัว ซ้ำยังเบิกรอยยิ้มเย้ยหยันให้อีก ผิดกับชาน่อนซึ่งลงไปคุกเข่ากองกับพื้นเสียแล้ว
"ขอให้จำไว้ ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะมาจากไหน แต่หน่วยหนึ่งไม่ใช่สนามเด็กเล่น พวกข้าขอลา"
พวกนั้นพูดทิ้งท้ายแล้วหันหลังเดินจากไปอย่างไม่ใยดี ระหว่างที่เดินผ่านชาน่อน สายตาของพวกนั้นทุกคนราวกับมองมดตัวหนึ่งซึ่งจะเหยียบย่ำเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ แต่ก็ยังเมตตาเพียงแค่เขี่ยด้วยปลายเท้าจนกระเด็นเข้าพุ่มไม้ไป
แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ก็คงต้องยอมรับ... สำหรับพวกนั้นแล้วตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากเศษฝุ่นจะให้ไปเทียบเทียมหาเรื่องก็ไม่พ้นต้องตายโดยไม่เหลือเส้นทางรอดเป็นแน่แท้...
ชาน่อนพยายามทำใจแข็งยันตัวยืนขึ้นทั้งที่ยังชาไปทั้งตัว แข้งขาก็สั่นไม่หยุด และก็พบว่าโอดราฟยังคงยืนอยู่ที่เดิมคนเดียว ฟันกัดกันดังกรอด ส่วนมือนั้นกำแน่นจนเลือดสีแดงไหลซิบหยดลงสู่พื้นหินสีขาวสะอาด... ความจริงแล้วตัวเขาเองเคยสาบานกับตัวเองว่าถ้าได้เห็นสภาพประมาณนี้ของโอดราฟ เขาจะหัวเราะให้เสียงดังลั่นบ้าน แต่เอาเข้าจริงคราวนี้กลับหัวเราะไม่ออก... และต่อให้หัวเราะออกอาจมีตายจริงแน่
เหนือสิ่งอื่นใดความเห็นใจกลับเข้ามาแทนที่
"คุณโอดราฟ....?"
สิ้นเสียงนั้นเอลฟ์ผมสีเขียวข้างหน้าก็สะดุ้งแล้วหันมามองด้วยแววตาสีทองเหมือนกับแปลกใจว่าเขาอยู่ตรงนี้ด้วย ก่อนจะพยายามระงับอารมณ์ของตนตีหน้าเหนื่อยหน่ายตามปกติออกมาได้
"แย่จริงให้คนอื่นต้องมาเห็นสภาพเช่นนี้ของข้า" โอดราฟเงียบลงแล้วจึงเอ่ยถามต่อ "แล้วทำไมเจ้าต้องทำหน้าหมองเช่นนั้นด้วยเล่า? ข้าคือคนที่ลากคอเจ้ามาเจ็บตัวอย่างนั้นมิใช่หรือ?"
"ช่วยไม่ได้ก็ผมเป็นมนุษย์นี่นา" ชาน่อนตอบซื่อๆจนโอดราฟต้องเพ่งมองตาโต แล้วเอาหลังมือเกยหน้าผาก หัวเราะขึ้นฟ้าโดยไม่มองลงมาอีก ความจริงแล้วคงเป็นอาการของคนที่ไม่กล้าสู้หน้าใครนั่นเอง
"คุณโอดราฟคุณไม่มีญาติอื่นบ้างเลยหรือ?"
คำถามนั้นทำให้บรรยากาศกลับมาอึดอัดอีกรอบ แม้แต่คนถามก็ยังต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึก
"นี่เจ้านึกอะไรถึงมาถามข้าเช่นนี้?" ชาน่อนไม่ตอบและสายตานั้นกลับเหม่อลอยไปไกล ความจริงแล้วคำถามนั้นเป็นสิ่งที่เขาถามตัวเองออกบ่อยจนเผลอพลั้งปากออกมา สำหรับตัวเขานั้นยังจำภาพคลื่นยักษ์ซึ่งกลืนกินเขาลงสู่ความมืดนั้นได้ชัดเจน... ชัดจนไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมิใช่ความจริง เขาอาจจะรอดมาได้แต่... แล้วคนอื่นเล่า? ทั้งเพื่อนของเขา และพ่อแม่พี่น้อง...
เขามาอยู่ที่นี่ไม่สามารถทราบข่าวอะไรได้เลยว่าใครเป็นอะไรไปบ้าง รวมทั้งมีใครตามหาตัวเขาบ้างหรือไม่ ซึ่งทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้มันเหมือนจมลงสู่หลุมลึกอันไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาหาแสงสว่างได้เลย...
"ข้าน่ะถ้าจะให้นับญาติก็คงเหลือเพียงท่านพ่อเท่านั้น"
โอดราฟเปิดปากพูดเรื่องของตนออกมาครั้งแรก เรียกให้ชาน่อนหันขวับทันทีด้วยความแปลกใจ
"แต่ว่าท่านไม่นับข้าเป็นลูกด้วยซ้ำ ถึงไปแต่งงานใหม่และใช้ชีวิตอยู่ในวังนั่น"
เสียงเรียบเล่าอย่างไม่ใส่ใจนั้นแฝงความเศร้าสร้อยเอาไว้แน่นขนัด ซึ่งสิ่งนั้นมันบีบหัวใจของเขาเสียแน่น ซ้ำยังง้างปากให้ถามออกมาอีกครั้ง
"แล้วพี่ชายของคุณล่ะครับ?"
ชาน่อนเผลอตัวถามออกมาชัดถ้อยชัดคำก่อนจะนึกได้ว่า นั่นมันคือคำถามที่หมายถึงชีวิตของเขาจึงรีบปิดปากแน่น โอดราฟเห็นอย่างนั้นก็อุบหัวเราะไม่ไหวเป็นที่แปลกใจยิ่ง นับเป็นครั้งแรกทีเดียวที่ตัวเขาได้เห็นเอลฟ์ข้างหน้าแสดงอารมณ์ออกมาต่อเนื่องกันโดยไม่ได้ปิดบังเอาไว้
"เจ้านี่ก็แปลก ทำไมถึงต้องอยากรู้เรื่องของคนอื่นขนาดนี้?"
"ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ผมเกรงใจ"
ชาน่อนเหงื่อแตกและทำทีเป็นจะเดินไม่ทางอื่น แต่เมื่อได้ยินเสียงดัง "ตุบ" ก็ต้องหันกลับไปด้วยความสงสัย โอดราฟหย่อนตัวลงนั่งยังเก้าอี้ซึ่งเป็นรากไม้ม้วนพันกันขึ้นมาจากผืนดิน แล้วเหม่อมองเหนือนกำลังรำลึกถึงอดีตบางอย่างซึ่งมันประทับใจยิ่ง ก่อนจะเริ่มเล่า...
"เจ้าคงจะรู้แล้วสินะว่าพี่ของข้าชื่อโอเดีย ความจริงเขามีฝีมือเหนือกว่าข้าซึ่งถูกขนานนามว่าอัจฉริยะเสียอีก แต่กลับเป็นพวกชอบทำตัวนอกกรอบตรงข้ามกับข้าสมัยนั้นโดยสิ้นเชิงทีเดียว..." โอดราฟกล่าวไปนิดหนึ่งแล้วหยุดไปเหมือนรอให้ได้คิดต่อเอาเองบ้าง หรือไม่ก็พยายามเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆอยู่
"ข้าไม่มีอะไรจะเล่า"
"อ้าวเฮ้ย!"
รอตั้งนาน เล่าแค่เนี่ยอ่ะนะ มันล่อให้อยากฟังแล้วสลัดทิ้งกันง่ายๆเลยเรอะ!!
"อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมไปแล้ว? ข้าเคยบอกเจ้าว่าค่าของคำบอกเล่านี้แลกกับชีวิตของเจ้า"
"ยังไม่ลืม แต่เมื่อครู่คุณทำท่าจะเล่านี่ผมก็รอฟังสิ!"
โอดราฟหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ผิดกับสภาพอันหดหู่ก่อนนี้ลิบลับ
"ข้ามีอะไรจะบอกเจ้าอีกนิดหนึ่ง ไรเจียน่ะคือสิ่งที่พี่ของข้าสร้างขึ้นมากับเพื่อนของเขา... อย่างพิเศษที่สุด"
"พูดเป็นเล่นไปคุณโอดราฟ ถ้าของนี่สำคัญอย่างนั้นจริงทำไมถึงเอามาให้ผมทั้งที่ใช้ไม่เป็นเล่า?"
ชาน่อนสวนกลับไปตรงๆ แต่โอดราฟก็ไม่ตอบเปิดประตูเดินเข้าคฤหาสน์หลังงามไปย่างรวดเร็ว
"เดี๋ยวสิคุณโอดราฟ! แล้วทำไมคุณต้องให้ผมฝึกด้วยร่างของมนุษย์อยู่ได้ทุกวันเล่า แทนที่จะให้ชินกับร่างของเอลฟ์เพื่อจะได้เรียนรู้เวทมนตร์กับเขาสักที!!"
เขาตะโกนไล่หลังไปอีกระลอก แต่ก็ได้รับคืนมาแค่เสียงปิดประตู พร้อมคำตอบว่า "หัดคิดเอาเองเสียบ้าง" กับ "อย่ายึดติดกับทฤษฎีงี่เง่าที่ตัวเองสร้างเอาเองให้มากนัก"
"....."
ไอ้แบบนี้มันตัดหางปล่อยวัดกันชัดๆ!!!
ชาน่อนโวยกลับในใจพร้อมใบหน้าเซ็งเหลือประดา แต่ก็ยังทำตามแต่โดยดีโดยการคลายสะกดผลึกมาน่าที่ข้อมือออก แล้วเก็บมันไว้ในกล่องโลหะซึ่งสร้างมาพิเศษใช้เก็บเศษกรวดก้อนนี้โดยเฉพาะ ปากบ่นไปเรื่อยและสองเท้าก็ก้าวเดินหามุมสวยๆ สงบๆ นั่งฝึกสมาธิประจำวัน.... ทั้งที่ในหัวด่าคุณผู้แนะนำรายวันไม่มีหยุด บทจะเลียนแบบสิ่งที่ทางโรงเรียนสอนมาก็ตามไม่ทัน เนื่องจากบทเรียนเริ่มเข้าสู่ระดับกลาง ส่วนตัวเขาน่ะเรียกได้เลยว่า 'ยิ่งกว่าเริ่มต้น' เสียอีกด้วยซ้ำ!!
===========================================
ตอนนี้อัพไวแล้วนะ ไม่ได้ดองเป็นเดือนๆแล้ว หุ หุ
แต่ 50% หลังนี่มันจะดูสั้นๆเปล่าหว่า...
ป๊อปไม่ผิดหรอก ถูกแล้วล่ะที่เตือน
คราวนี้พี่เบลอเองนั่นแหละ จะว่าไปความคลาดเคลื่อนมันก็เริ่มตั้งแต่ภาคที่แล้วล่ะครับ เนื่องด้วย.... เริ่มแรกเดิมทีเนื้อเรื่องในหัวมันจะเป็นภาคฟาร์ด้วย ซึ่งคิดมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่ามันขาดองค์ประกอบขอบนิยายไปมาก เพราะงั้น Wing 1 จึงมีการสร้างโครงใหม่ถือกำเนิดมีดรีมขึ้นมาเป็นตัวเอก และมีเซซิสเพิ่มขึ้นมาให้เข้าบรรยากาศ
อันที่จริงตัวละครหลักภาคฟาร์ในหัวจะมี
ฟาร์
รีส
ชาร็อต
เซรอส
โซเรส- ในฐานะศิษย์ของ 3คนแรก
ชาเนส- น้องของเซรอส
ทีนี้ตอนเขียนวิงภาคแรกมันก็มีทั้ง เซซิส เซรอส ไอ้คนเขียนก็เลยทำให้กลายเป็นครอบครัวตระกูล ซ. ไปเลย คือสลับให้ โซเรส มาเป็นน้อง 2 ปีศาจไปซะ
= =
แน่นอนตอนนั้นไม่คิดว่า ลูกศิษย์พวกเจ้าฟาร์จะได้มีการปรากฏตัวในเรื่อง เพราะไม่คิดว่าจะมีภาค 2 ขึ้นมา...
พอมาตอนนี้ปรากฏว่าลูกศิษย์เจ้าฟาร์ ในหัวผมมันยังชื่อโซเรสอยู่เลย....
(เกือบจะเขียนไปแล้วว่า เซซิส ไปดูงานกับ ชาเนส) ไม่งั้นจะยิ่งกว่านี้อีก สรุปคือไปๆมาๆ 2 ตัวนี่สลับชื่อกันซะงั้น 555+
เพราะงั้นใครเห็นอะไรแปลกๆเตือนด้วยนะครับ มันอาจจะมีอะไรคลาดเคลื่อนอีกก็ได้น่ะ
ป.ล. ป๊อปอ่านละเอียดจริงๆ จำได้ถึงน้องเจ้าตระกูล ซ. นี่เลย
ความคิดเห็น