คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Release 06 [สิ่งที่เก็บงำในความมืดมิด]
เอาล่ะ.....
ตอนนี้มีชื่อเล่นว่า "จอมแถเซรอส"
มีเซพ 50% นะ
70 ไม่มีขอรับ (ติดนิสัยเจ้าผีน่อย - -)
Release 06
ภายในห้องสีเทาหม่นปิดไฟเสียมืด มีเพียงแสงสว่างจากแผ่นผ้าบางๆใช้เหล็กยึดขอบ ณ ใจกลางฉายภาพเด็กหนุ่มผมน้ำตาล นอนเกาะมือของสาวน้อยผมสีเดียวกัน หลับไปอย่างสงบภายในห้องหินสลัก และทั้งสองห้องนี้เหมือนกันเพียงแค่ "ความเงียบ"
ชายผมสีม่วงที่นั่งเก้าอี้หมุนตาค้างเติ่ง เมื่อพบแขกไม่ได้รับเชิญ เขารู้สึกเหมือนบรรยากาศในห้องมันอับลงฉับพลัน เหงื่อเริ่มเล็ดลอดออกจากไรผม เสียงกลืนน้ำลายของเขาดังทั่วบริเวณห้องไม่ใหญ่ไม่เล็กนั้น และเสียงหัวใจเองก็เต้นโครมครามราวกับมีใครมาตีกลองอยู่ข้างใน
ขณะนี้เขาซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงองค์ชายแห่งวาเรรัน กำลังเผชิญวิกฤตชีวิตเพราะเพื่อนสนิทของตัวเองซะแล้ว งานนี้มีทางรอดทางเดียวคือ... แถให้เรียบเนียนที่สุด!
"อธิบายมาให้ชัดเซรอส" ฟาร์เริ่มคาดคั้น
อธิบายยังไงดีล่ะ.... ซวยล่ะสิ กับเจ้าฟาร์.... รู้ตับไตไส้พุงกันดีอยู่แล้วนี่หว่า!!
"คือ... สองคนนั่นมาขอฝึกที่วาเรรัน..."
"เลยฉวยโอกาสใช้งานไปด้วยเลยใช่ไหม?"
นั่นปะไร ยังไม่ทันบอกอะไรเลยไหงมันหัวไวนักวะ!
"อ้อลืมไป เรื่องงานน่ะแกไม่ค่อยสนใจหรอก แสดงว่ามันคงน่าสนุกน่าดูเลยสิ"
อะไร! ยังไม่ได้พูดอะไรสักนิดแต่เอ็งจะอ่านให้ออกให้หมดเลยสินะ!!
เซรอสถอนใจอย่างปลงตก... เขามั่นใจแล้วว่าหลอกคนข้างหน้านี้ไม่ได้แน่
"แล้วงานคราวนี้มันงานอะไรของแก?" ฟาร์ทำหน้าเมื่อย เพราะแน่ใจว่างานที่เจ้าเพื่อนซี้ของเขาหาให้ไม่เคยมีงานหมูๆ ธรรมดาๆกับเขาสักงาน และทุกงานจะต้องมีความเกี่ยวพันกับโลกเบื้องสูงทั้งนั้น
เมื่อเห็นชายผมเปียหยุดอึ้งไป นั่งก้มหน้าก้มตาเขาก็ถือวิสาสะเดินเข้าเช็คกองหนังสือบางส่วน ที่ตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าบนโต๊ะกลมเล็กๆ ข้างเก้าอี้ที่หมอนั่นนั่งอยู่
"ฟาร์..." เซรอสเรียกชื่ออีกฝ่ายทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้า
"แกรู้ก็ดีแล้ว ถ้าเป็นแกค่อยพูดกันง่ายหน่อย"
ชายผมน้ำตาลเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย เขากำลังสงสัยว่าเข้าเพื่อนตัวดีนี่จะเล่นตลกอะไรกับเขาอีก...
"งานนี้เกี่ยวกับมาน่าสโตน มันเป็นของเพื่อนเตี่ยฉันเอง"
"เฮ้ย! แล้วทำไมใช้พวกนั้นเล่า!!" ฟาร์หน้าตื่นขึ้นฉับพลันแล้วรีบหันไปทางจอผ้าที่ฉายภาพ "แบบนี้มันควรจะเป็นฉัน ไม่ก็เซซิส หรือไม่ก็... แกเองนั่นแหละ!!" คำพูดของชายผมเปียทำให้อีกฝ่ายเดือดขึ้นฉับพลัน นับว่าเป็นการเจรจาที่ห่วยแตกมาก เขาไม่นึกเลยว่ามันจะเถียงข้างๆคูๆแบบนี้
"เบาๆซี่เดี๋ยวคนอื่นรู้เรื่องกันหมด เรื่องนี้มันมีเหตุผลน่า"
เซรอสพยายามทำตัวนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใบหน้าดูขึงขังขึ้นมาฉับพลัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายช้าๆ เมื่อใบหน้าสวยซึ่งจ้องเข้าใส่นั้นเตรียมจับผิดชนิดทุกพยางค์คำพูด
"นายคงเข้าใจดีอยู่แล้วว่าเทพไม่ควรไปยุ่งกับเรื่องของระดับล่าง ถึงงานมาน่าสโตนจะเป็นเรื่องใหญ่สุดๆ ก็ตามแต่ที่ดาวดวงนั้น มีบางสิ่งที่เทพไม่ควรไปก้าวก่าย...."
"หน่วยพิเศษกะ..." ฟาร์พยายามแย้งแต่ทว่ากลับโดนเสียงอธิบายกลบทับทันที
"และ สองคนนั้นมาพอดี ถ้าดูจากระดับแล้วทั้งคู่อยู่ในระดับสูงอยู่ แต่ก็ยังไม่เท่าไหร่ดาวดวงนั้นท่าจะช่วยขัดเกลาได้ดีกว่า.... โดยเฉพาะถ้ำนั่น แถมฉันเองก็มีบริการคอยช่วยลับหลังด้วยนา อย่างเช่น.... ช่วย.... ช่วย...."
"ล้อเล่นน่า อย่างแกไม่คิดจะช่วยเรื่องความปลอดภัยแหงอยู่แล้ว" ฟาร์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาจนเส้นผมด้านหลังโบกสะบัด "ขนาดตัวแกเองยังคิดคำอ้างไม่ออกเลยนี่!"
"ถ้าไม่คิดจะช่วยแล้วทำไมจะต้องมานั่งดูอย่างนี้เล่า นายนี่คิดมาก!"
อย่ามาตลก.... แถข้างๆคูๆ แกตอนนี้น่ะอย่างกับนั่งกินขนมดูหนังเลยว่ะ....
"พาพวกนั้นกลับมา" ชายผมน้ำตาลพูดเสียงเย็น
"ไม่ได้" คนตาปิดที่นั่งอยู่ตอบกลับเสียงแข็ง
"ฟาร์นายนี่ไม่เชื่อใจคนที่ตัวเองฝึกมาเลยนะ แย่จริงๆเชียว"
แต่นั่นกับนี่มันคนละเรื่องกันนะเฟ้ย!!
ผู้โดนหมิ่นโต้กลับในใจ ซึ่งแค่นั้นก็พอแล้วที่จะให้อีกฝ่ายเดาเอาเอง
"ฉันคำนวณไว้ดีแล้วว่าพวกนั้นทำได้"
โอโห! มันแถอ้างอนาคตเลยคราวนี้ แล้วจะเอายังไงกัน?
"พนันกันดีกว่า ถ้าพวกนั้นได้มาน่าสโตนออกมาจริงๆ ต้องปล่อยให้ทำงานนี้ต่อตามสไตล์ของฉัน"
"เฮ้ย! แกนี่!!" ฟาร์โวยลั่นห้องซึ่งเก็บเสียงเอาไว้อย่างดี
ไม่อยากจะเชื่อ! มันอ้างอนาคตเพื่อการนี้นี่เอง!!
"แต่ถ้าเจ้าพวกนั้นไม่ไหวจริงๆฉันจะลากกลับมาทันที.... แล้วก็.... แถมอีกนิดหลังจากพวกนั้นออกจากถ้ำได้ ฉันจะเล่าเนื้อหาของงานให้ฟังโดยละเอียด ประกอบกับเหตุผลชัดๆให้ฟังอีกทีด้วย" เซรอสหันไปยิ้มให้คู่สนทนา ถ้ามันลืมตาอยู่ก็คงแถมการขยิบตาส่งสัญญาณให้อีกแน่นอน
"เห็นไหม? ฝ่ายนายไม่เห็นเสียอะไรสักนิด"
"....." มันร้ายใช่เล่น.... แถมถ้าปล่อยเวลาให้มันในคราวนี้แล้วล่ะก็ มันจะต้องหาเหตุผลมารองรับตามสไตล์การแถของมันจนแย้งไม่ได้แน่....
"นายยังไม่ต้องรีบตอบนะฟาร์ สองคนนั่นตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ค่อยตอบก็ได้" ชายผมม่วงหันหลังให้แล้วพูดเสียงใส
"....."
ฟาร์ยิ้มเนือยๆให้อย่างเซ็งจิต
ทั้งความตื้อ ความด้าน ความทน ความดันทุรัง ที่ว่ามานี้สำหรับหมอนี่คงจัดได้ว่าเป็นระดับสูงสุดหาใดเทียมแหง นิสัยอย่างนี้มันควรไปเป็นนักเจรจามากกว่าราชาว่ะ....
เวลาในห้องสีน้ำตาลแดงผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกสิ่งหยุดนิ่งไม่ขยับราวกับแม้แต่เวลาก็หยุดไปด้วย จนในที่สุดก็ผ่านไปประมาณห้าชั่วโมงเศษ เปลือกตาของเด็กหนุ่มก็เริ่มขยับ หัวผงกกุกกักเล็กน้อยก่อนจะต้องหน้าแดงเพราะใบหน้าของหญิงสาวที่เห็นเต็มสอง ไปๆมาๆก็ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้อีกแล้ว! หน้าแทบจะเบียดกันแน่ะ! ซึ่งคนขี้อายก็รีบกลิ้งฉากแล้วลุกขึ้นนั่งฉับพลัน เมื่อสำรวจตัวเองก็พบว่ามอมแมมเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด แถมแขนขวาข้างถนัดก็ยังบาดเจ็บ พยายามรักษาก็ไม่ได้ เวทรักษาถูกปิดผนึกโดยสิ้นเชิงจริงๆ
เขายกมือกดขมับที่ปวดตึ้บๆเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดศีรษะขับไล่ความมึนงงซึ่งถาโถมเข้าหา และเมื่อสังเกตห้องที่ตนอยู่แล้ว เขาไม่เข้าใจเลยว่าเขาเข้ามาทางไหน รู้แค่ว่ามีประตูให้ออกได้อยู่ประตูเดียว ซึ่งจากรูปลักษณ์แล้วไม่น่าจะย้อนไปยังมิตินรกเมื่อครู่
รูปสลักรายรอบอยู่ในระดับสายตาของเขาพอดี ซึ่งดูแล้วคล้ายจะเป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ เริ่มจากรูปสัตว์ประหลาดไล่งาบคน และคนก็หมาหมู่จับมันไปกิน จากนั้นก็มีที่คล้ายๆคนออกมาทีละเผ่าสองเผ่า ทุกอย่างดูมีเอกลักษณ์ดี... แต่แล้วก็เกิดการแย่งชิงบางสิ่งบางอย่างจนกระทั่งเผ่าที่อ่อนแอต้องสูญสลายไป สุดท้ายเจ้าสิ่งที่ว่านั่นก็ถูกเก็บงำอยู่ในสถานที่อันเงียบสงบ ไร้ผู้ใดย่างกราย... หลังประตูใหญ่ๆ มีอัญมณีประดับประดาเต็มไปหมด
ดรีมพยุงตัวจะลุกขึ้นแต่สาวสวยด้านข้างกลับครางขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่แผงขนตาจะกระพริบปริบๆ
"โอ้ย!" เธอร้องเสียงหลงเมื่อกลิ้งตัวทับแขนซ้ายของตัวเอง และมันทำให้เธอตื่นเต็มตัวแทบจะกระโดดขึ้นนั่ง น้ำใสๆเล็ดออกจากมุมขอบตา คนที่แอบดูอยู่ตั้งแต่ต้นชักจะทนไม่ไหว เผลอพ่นหัวเราะออกมานิดหนึ่ง แล้วรีบหันหลบไปทางอื่นทันที เมื่อสายตาดุๆของเธอจ้องเขม็งเข้าหา ทำแก้มพองให้น้ำตาค้างอยู่แถวนั้น
"ตาบ้า หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นงอนด้วย!"
"คะ ใครหัวเราะกัน... หุ..."
โอยไม่ไหวแล้ว อยากลงไปนอนกลิ้งจัง
"หันหน้ามาทางนี้เลยน้า!!"
หันได้ไงล่ะ! ฉันได้โดนเธอเล่นงานจนเจ็บตัวเพิ่มแหง
=คุณดรีมเป็นบ้าอะไรหรือเปล่าครับ ทำหน้ายิ้มตลกจัง
เฮ้ย! ใครให้ปูดวะไอ้ดาบบ้า!! แบบนี้เขาเรียกว่าพยายามกลั้นหัวเราะว้อย!!!
เมื่อตัวกวนประสาทพอจะควบคุมตัวเองไม่ให้หัวเราะได้ก็รีบหันกลับไปหาลีนทันที และก็ต้องพบว่าคุณเธอท่าจะกำลังโกรธจนตัวสั่น ดูท่าว่าขนาดจะตะโกนด่ายังขยับปากไม่ไหวเลย! สักพักความวุ่นวายอย่างไร้กาลเทศะก็บังเกิดขึ้นในห้องหินไม่ใหญ่ไม่เล็กนั้น และจบลงอย่างโชคดีที่ไม่มีคนเจ็บที่รักษาไม่ได้เพิ่มในที่นี้ ณ บัดนี้
หน้าประตูบานเดียวซึ่งเชื่อมระหว่างห้องนี้กับโลกภายนอกเอาไว้ ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหากันอย่างลังเล ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่... ก็กำแพงข้างประตูบานที่ว่าเล่นมีตัวอักษรเขียนกำกับเอาไว้เลยว่า มากันกี่คน เริ่มตั้งแต่ 2 3 4 5 6 หรือมากกว่านั้น โดยให้เอามือของทุกคนประคบในแท่นของตัวเลือก ซึ่งมันดูแล้วยิ่งสงสัยว่าถ้ำบ้านี่จะเอาอะไรกับพวกเขาอีก!
"เอาไงดี ขอบอกตรงๆฉันเดามุขของถ้ำนี่ไม่ออกสักนิด" ดรีมพูดออกมาตรงๆ แต่ลีนกลับทำเป็นไม่สนใจ หันหน้าหลบไปเสียอีก แสดงให้เห็นว่าเธอยังโกรธอยู่นิดๆ
"ก็มันมีทางอื่นให้ไปอีกหรือเปล่าล่ะคะ?" เธอตอบแกมประชดนิดหนึ่งแล้วเอามือทั้งสองข้างประคบเข้าไปทันที ซึ่งดรีมก็เลื่อนมือของตนประคบตามเข้าไปอย่างเหนื่อยใจ ทันใดนั้นประตูบานหนักหนากว่าห้าเมตรก็เลื่อนเปิดดังครืน เศษฝุ่น เศษหินร่วงกราวจากข้างบนตกลงสู่พื้นดังป๊อกแป๊ก แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของสถานที่เป็นอย่างดี และที่สำคัญ ดูท่าว่าประตูนี้แทบจะไม่เคยมีใครได้เปิดมาก่อนเลย...
"อ้าวมันเปิดจริงๆแฮะ" ดรีมถอนมือออกมาพร้อมลีนก่อนจะต้องตกใจกับเสียงดัง 'ตึง!!!' ขนาดที่ทำให้ถ้ำไหวเล็กๆทีเดียว
"เฮ้ย!!!" เขาร้องลั่นเมื่อเห็นเจ้าประตูบ้านั่นปิดสนิทไปอีกครั้ง แล้วเงียบไปกับหญฺงสาวที่พูดอะไรไม่ออกยืนมองตาโต
เมื่อกี้เขาถอนมือออกก่อนมันไม่ปิด แต่พอลีน... พอลีนเอามือออกบ้าง มันปิดตูมเล้ย!!
นั่นหมายความว่า...
"มันสร้างให้ต้องมีใครสักคนอยู่ที่นี่สินะ...." ดรีมพูดเสียงค่อยก่อนจะหันหน้ามุ่ยๆไปจ้องตากับลีนอีกครั้ง
ด้วยความเร็วการปิดขนาดนั้น กับใครสักคนที่จะต้องอยู่เปิด เพียงพริบตาเดียวจะต้องกลับตัวจากกำแพงแล้วพุ่งออกไปให้ทัน... มันตลกไปหน่อยให้ใครก็ทำไม่ได้แน่!
แล้วถ้ามาหลายคนก็น่าเสียวไส้ ลองคิดกันเล่นๆว่าถ้าผู้ที่ต้องเสียสละเกิดชักมือออกกลางครัน เป็นการแก้แค้นที่ตนต้องตายอยู่อย่างโดดเดี่ยว.... ไม่สิ ต้องรอคอยผู้มาเยือนคนใหม่เพื่อหาผู้เสียสละคนต่อไป ถ้าไม่ตายไปเสียก่อน....
ถ้าจะเอาแค่ชีวิตรอดออกไปทั้งคู่ก็อาจมีอีกวิธี นั่นคือตัดมือแล้วแปะมันเอาไว้อย่างนั้น... ในสถานที่ซึ่งเวทรักษาใช้การไม่ได้
"เปรี้ยง!!" ดรีมลองใช้หมัดพลังจิตของตนซัดประตูเต็มแรง แต่มันก็ไม่ระคายผิวสักนิด คาดได้เลยว่าหินรายรอบนี่จะต้องสร้างจากวัตถุที่ทนทานยิ่งกว่าหินธรรมดามากนัก และถ้าใช้แรงมากๆห้องอาจจะถล่มมาทับตายอีกก็เป็นได้
"นี่ดรีมเดี๋ยวเธอออกไปก่อนแล้วค่อยหาวิธีเปิดจากด้านนอกดูสิ ฉันว่ามันต้องมีทางนะ และถ้าให้ฉันไปเองดูท่าว่าจะหาทางไม่เจอแหงๆเลยล่ะ" สาวสวยผมน้ำตาลพูดเสียงค่อยแล้วยิ้มให้สบายๆ ทั้งที่เมื่อครู่ยังทะเลาะกันอยู่แท้ๆ ดรีมยิ้มแห้งๆตอบ
"ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก มันง่ายไป ประตูนี้ต้องเปิดจากในห้องนี้ทางเดียวชัวร์"
"ไม่ลองไม่รู้หรอกน่า!" ลีนโต้กลับ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าช้าๆ
"รู้สิถ้าเป็นฉันก็คงทำอย่างนั้นแหละ นี่ไม่น่าจะใช่คำถามที่มีคำตอบว่า 'เชื่อหรือไม่' แค่นั้นแน่ๆ"
"เชอะ ทำเป็นพูดไป แล้วจะออกไปยังไงเล่าแบบนี้น่ะพ่อคนฉลาด" ลีนกอดอกตีลูกประชดอีกครั้ง แต่ดรีมกลับหัวเราะร่าออกมา
"อย่างที่ว่าที่เธอบอกมามันง่ายไป.... แต่ฉันมีวิธีที่ง่ายกว่า ทั้งดื้อทั้งด้านเลยเชียว สำหรับวิธีนี้"
เธอเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แล้วเขาก็อธิบายต่อ
"ถ้าประตูปิดเราก็ไปไม่ได้จริงไหม?"
คำถามอะไรปัญญาอ่อน
แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังพยักหน้าเออออตาม
"งั้นก็ทำให้มันปิดไม่ได้สิ ง่ายเปล่า?"
เอ้อ! แล้วนั่นไม่ใช่ปัญหาเหรอไงยะ!!
ดรีมเห็นใบหน้าอีกฝ่ายขมวดมุ่นลงก็ต้องหัวเราะคิกคักอย่างอั้นไม่อยู่ออกมาอีกครั้ง
"ขอใบ้ให้นิดเดียวเธอจะร้องอ๋อเลยล่ะ 'อะไรเอ่ยแข็งที่สุด'"
สิ้นเสียงนั้นคิ้วที่ขมวดลงก็คลาย ปากมู่ทู่กลายเป็นขยับยิ้ม แล้วเหล่ไปยังจี้ห้อยคอรูปดาบสีดำ... ที่กำลังคิดว่า
"ซวยล่ะตู...."
50%
หลังจากตกลงใจกันได้โดยไม่ต้องอาศัยคำพูดเพิ่มอีกสักคำ ทั้งสองคนก็เริ่มเปิดประตูอีกครั้งแล้วให้ลีนอยู่โยง ส่วนตัวดรีมนั้นรีบแจ้นเข้าประตูไปทันที แต่แทนที่จะข้ามพ้นไปเขากลับหยุดฝีเท้าลงเมื่อเลยจุดกึ่งกลางของประตูไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาเบิกยิ้มน้อยๆก่อนจะแปลงสภาพจี้ห้อยคอให้กลับเป็นดาบปากจัดอีกรอบ
=มั่นใจแล้วเหรอครับที่จะทำอย่างนี้น่ะ...
ไทม์พูดเสียงอ่อย แต่ถ้าดูจากหน้าผู้ถือก็ต้องพบว่า พูดไปก็ไร้ประโยชน์!
"นี่ตรงส่วนปลายอย่าแหลมนักซี่ เดี๋ยวกำแพงทะลุ" ดรีมพูดทีจริงทีเล่นก่อนจะขยับตัวยกดาบสีดำสนิท ยาวเกือบสองเมตรขึ้นขวางถ้ำเอาไว้ แล้วพยุงให้มันลอยตัวไว้ด้วยเวท
"ดรีม! เอาจริงเหรอ กำแพงคงไม่ทับแบนนะ" เสียงหวานของหญิงสาวตะโกนเรียก แต่เขาก็พยักหน้าหงึกๆฃ
"ชัวร์! ลองใช้กำแพงโง่ๆที่ไทม์ทู่ๆยังแทงทะลุแล้วล่ะก็ มันไม่ยากที่ฉันจะทำลายให้ราบ ปลอดภัยแน่!!"
ดรีมตะโกนตอบอย่างมั่นใจ แต่มันก็ยังยากที่ลีนจะทำใจเชื่อได้ง่ายๆอยู่ดี เพราะเช่นนั้นจึงเงียบไปพักหนึ่งเพื่อที่จะตัดสินใจถอนมือออกจากที่ประทับ กำแพงสุดหนาประกบเข้าหากันโครมใหญ่ พร้อมเสียงร้อง "อ๊ากกก!" ของผู้ที่อยู่ข้างใน ประตูด้านลีนนั้นปิดเกยทับกันนิดหน่อยแสดงให้เห็นว่าทับอะไรบางอย่างเอาไว้ จึงไม่สามารถปิดให้สนิทได้ สรรพเสียงเงียบกริบฉับพลัน
"ดรีม... เป็นอะไรหรือเปล่า..."
คงไม่ใช่ว่าโดนทับตายไปแล้วนะ... คิดแผลงๆอะไรแบบนี้...
"ดรีม!!"
เธอตะโกนเรียกเสียงดังแต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ
ไม่นะ! มันเป็นไปไม่ได้!!
"ฮ้า! ตกใจหมดเลย...." สาวสวยผมน้ำตาลทำท่าจะเศร้าได้ไม่ทันไรเสียงกวนๆก็เล็ดลอดออกมาจากร่องประตู แค่นี้ก็พอจะให้สมองเธอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว... หมอนี่จงใจแกล้งเธอ!
"สถานการณ์แบบนี้..." ลีนเอ่ยออกมาเสียงเย็น เล่นเอาตัวกวนเริ่มจะเสียวสันหลังวูบวาบชอบกล ขอโทษขอโพยลอดผ่านร่องประตูที่เกยกันออกมาไม่ยอมหยุด จนกระทั่งดาบสีดำสนิทอารมณ์บูดสุดขีด โวยวายออกมาอีกหนึ่งเสียง แต่จะไม่ให้หงุดหงิดยังไงไหว... ก็มันเล่นโดนเอาแทนคานงัดใช้คั่นกำแพงสุดแกร่งแสนหนักนี่มาครู่หนึ่งแล้วนี่นา!
"ก๊อกๆๆ" ลีนลองเคาะเจ้ากำแพงที่ขวางกั้นเขากับเธอเอาไว้ ดูเหมือนว่าแผนไม้ค้ำจะเป็นไปได้ด้วยดีพอประมาณ แต่มันก็ไม่พอที่จะเปิดให้เธอเดินผ่านไปได้...
"วางใจเหอะน่านี่ฉันกะให้มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว" ดรีมเดินเข้าหาส่วนที่แคบที่สุดที่เขาสามารถจะเดินเข้าไปได้ในร่องเล็กๆนั้น แล้วพูดออกมาอย่างร่าเริง "ฉันไม่มีแรงพอที่จะเปิดมันค้างก็จริง แต่ถ้าแค่กระแทกตูมเดียวให้ง้างออกล่ะก็สบาย เดี๋ยวเธอก็กะจังหวะนั้นตามเข้ามาก็แล้วกัน!"
"เอ๋?" สาวผมน้ำตาลอุทานอย่างประหลาดใจ แต่ก็ยังฟังคำเตือนของเขาที่ออกให้ถอยไปนิดหนึ่ง แล้วก็เตรียมพุ่งเข้าไปอย่างเร็วที่สุด ทางด้านดรีมเองกลับตีหน้าเคร่งเครียดเพราะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เคยทำได้... นั่นคือวิชาของท่านอาจารย์บราชอง ซึ่งแสดงให้เห็นตอนต่อยเสาโมโนซากาหน้าประตูบ้านของเซรอส...
เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แล้วชูมือทั้งสองข้างไปข้างหน้า หลับตาลงช้าๆแล้วรวบรวมสิ่งที่เรียกว่า 'จิต' ของตัวเองเอาไว้ที่มือ และย่อมันลงเพื่อรวมศูนย์ให้ได้พลังมากที่สุด ตอนที่ดูมันเหมือนง่ายแต่พอลองเองจริงๆ ยิ่งเล็กลงยิ่งต้องใช้สมาธิมากขึ้น จากมือที่สั่นไหวขยายอาณาเขตไปแขน สุดท้ายทั้งร่างเขาก็สั่นอย่างกับคนเข้าทรง หยาดเหงื่อไหลย้อยลงสู่คาง แล้วหยดลงสู่พื้น... สำหรับประสาทสัมผัสของเขาตอนนี้รู้สึกมันจะเร็วกว่าปกตินัก ทุกอย่างดูจะเชื่องช้าไปหมด...
"เงียบเชียว เป็นอะไรหรือเปล่า?"
"ยะ ยังไม่เป็น แต่เตรียมตัวให้ดีก็แล้วกันทางนี้พร้อมแล้ว" ดรีมเอ่ยเสียงสั่น ไม่แปลกเลยที่หญิงสาวที่อยู่อีกด้านของประตูจะเป็นห่วง แต่ว่า... มีอีกหนึ่งที่หงุดหงิดจนต้องสอดขึ้น
=จะทำอะไรก็รีบทำเหอะอย่าพูดมาก ผมไม่อยากเปลี่ยนชื่อเป็น 'ดาบคั่นเวลา' นะครับ
นับว่าเป็นการขัดจังหวะที่ถูกต้องที่สุด คนที่กำลังเครียดกันอยู่พ่นหัวเราะพรืด ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นขึงขัง ดรีมส่งสัญญาณให้เตรียมตัวเป็นครั้งสุดท้าย ลมหายใจของทั้งสองที่แม้จะไม่ได้เห็นแม้เพียงหน้าหยุดชะงักลงพร้อมๆกันอย่างน่าประหลาด หมัดเล็กๆของเด็กหนุ่มกระแทกเข้าใส่กำแพงทั้งสองข้างเต็มแรง และแม้มันจะแง้มเปิดได้เพียงไม่ถึงเมตร แต่ในพริบตานั้นเองร่างบางกลับตอบสนองได้ในพริบตา กระโดดวูบเดียวผ่านชาร์จใส่คนที่รออยู่กลิ้งไปตามๆกัน
และถ้าใครอยากเห็นดาบงอนก็คงมีแต่ครั้งนี้ ที่หลังจากหลุดจากสภาพที่ค้ำทางก็ไม่ยอมกลับสภาพเป็นจี้ จำศีลอย่างสบายอารมณ์ และถ้าใครอยากเห็นแหวนกัดกับดาบแล้วครั้งนี้ก็เป็นเพียงครั้งเดียวครั้งแรก ซึ่งเจ้าแหวนเจ้าแหวนน้อยหันมาช่วยฝ่ายมนุษย์เต็มอัตราศึก...
แต่แม้จะผ่านประตูกำแพงมาได้แล้ว ทางเดินต่อก็ใช่ว่าจะกว้างขึ้นสักเท่าไหร่ ถึงกระนั้นกลุ่มอารมณ์ดีก็ยังเดินคุยกันเล่นเรื่อยเปื่อยราวกับกำลังไปปิกนิกกันก็ไม่ปาน จนกระทั่งพบแสงออกสีส้มจากข้างหน้า พร้อมทางเดินที่กายเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ตกแต่งหรูหราตามสไตล์โบราณ มีการปูพรมสักหลาดสีแดงเข้มทั่วพื้นที่ กำแพงปูนเป็นสีขาว ลงวอลเปเปอร์ลายดอกสีน้ำตาลขับสีขาวให้เด่นยิ่งขึ้น ส่วนไฟกลับเป็นโคมระย้าที่ไม่ทราบว่าหาไฟฟ้าที่ไหนมาใช้
"สวัสดีขอรับ.... โอ๊ะ! ตกจายหมด...." อยู่ดีๆเสียงทักสำเนียงพิลึกพูดเป็นจังหวะก็ดังแทรก เรียกสติของพวกเขาที่กำลังจะหลุดลอยไปให้กลับมายังข้างหน้า สิ่งที่เขาและเธอเห็นคือ.... ผีไร้ขาตัวกลมๆ ตาบ๊องแบ๊ว ปากยิ้มหน้าบานอย่างน่ารัก แต่ดันใส่สูทสีดำเสื้อในผูกไทสีดำ ลอยอยู่ตรงหน้าของดรีม
เขาก็อยากร้องว้ากอยู่หรอก.... ถ้ามันน่ากลัวกว่านี้สักสิบเท่านะ
"ไหนพวกคุณกดออดบอกว่ามากันสองคนไงครับ?"
ดรีมหันไปมองหน้าลีนนิดหนึ่งแล้วยิ้มให้
รู้สึกว่า.... ไอ้ที่เอามือประคบนั่นคือออดของมันนะ ร้ายจริงๆ
"ก็มากันสองคนนี่ไงมีอะไรแปลก?" เขาแกล้งถามหย่อนเสียงกวนเล็กน้อย เจ้าผีทำหน้ายุ่งได้ชั่วแว่บก่อนจะกลับมาบานใหม่
"เปล่าขอรับ ผมแค่สงสัยนิดหน่อย มีพวกคุณนี่แหละที่มาสองคนแล้วทั้งหมดมาถึงนี่ได้" มันอธิบายเสียงเรียบจนแทบจะเรียกได้ว่าไร้อารมณ์ทีเดียว
"ขนาดนั้นเชียว?" ดรีมแกล้งหย่อนด้วยน้ำเสียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หมายจะกวนประสาทต่อ
"ใช่ขอรับ แล้วก็มีแค่พวกคุณนี่แหละที่ได้กดออด"
ได้ยินแค่นั้นลีนถึงกับต้องชะงักเท้าทันที
"ไม่เคยมีใครมาถึงที่นี่เลยอย่างนั้นเหรอ...."
"ไม่แปลกนี่ลีน ถ้าเคยมีแล้วก็ควรจะมีโครงกระดูกเหลืออยู่ในห้องนั้นบ้างสิ" คนที่เดินข้างๆเธอพูดเสียงเรียบ สายตาเนือยจ้องตรงไปยังผีน้อยใส่สูทซึ่งนำไปยังโต๊ะอาหาร ซึ่งจัดแต่งอย่างวิจิตร ดอกไม้ในแจกันยังดูสดใหม่เรืองแสงปิ๊งๆ ส่วนผ้าปูโต๊ะสีขาวก็ปักลวดลายได้น่าชื่นชม แม้แต่อาหารก็อย่างกับเอามาจากห้องครัวชั้นหรู จากพ่อครัวระดับเลิศ
แล้ว.... คราวนี้จะมามุขไหนอีกล่ะ?
ดรีมถามในใจอย่างเงียบงัน ซึ่งเมื่อมองเจ้าผีนั่นดีๆ เขากลับเห็นว่ารอยยิ้มมันดูเจ้าเล่ห์ชอบกล....
"พวกคุณรู้ไหมขอรับ ที่นี่ตั้งชื่อว่าเส้นทางแห่งมิตรภาพ"
"...." ทั้งคู่ร่วมด้วยช่วยกันเงียบ แถมยังสามัคคีกันตอบในใจไปอีกว่า
ไม่รู้ แต่คาดว่าจะเขียนไว้ในห้องงี่เง่านั่นแหละ แต่พวกเราหาไม่เจอไม่ก็อ่านไม่ออก
"ท่าทางคงจะเหนื่อยนะขอรับ เชิญรับประทานอาหารก่อนดีกว่า"
"...." และสองหน่อก็ยังคงเงียบกันต่อไป
ไอ้หิวมันก็หิวอยู่หรอกนะ แต่จัดเลี้ยงแบบนี้มันก็ตะหงิดๆ
"แต่แย่จังเลยขอรับ กระผมจัดเตรียมอาหารไว้ให้ชุดเดียวเท่านั้น"
นั่น... มันเริ่มแล้ว...
"มันคือความภูมิใจของเชฟนะขอรับ ใครจะกินอีกคนกรุณาไปนั่งที่เก้าอี้ทางขวานั้นด้วย"
วิญญาณในชุดสูทเผยมือกลมๆตามใบหน้าของตน และทั้งคู่ก็หันตามไป สิ่งที่เห็นคือเก้าอี้หินอ่อน มีเหล็กล็อคแขน ขา เอว และคอ ของคนนั่งชนิดไม่ยอมให้ขยับได้เป็นแน่
สรุปด่านนี้จะให้กินยั่วอีกคน? ปัญญาอ่อนจริงๆ
"ว่ายังไงขอระ"
"ไม่กิน" ดรีมตอบเสียงแข็งแล้วเดินสำรวจห้องกันต่อ ก่อนจะนึกได้ว่ามีไกด์นำทางจึงหันกลับมาถาม
"แล้วห้องต่อไป ไปยังไงล่ะ?"
มันอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำเป็นเช็ดเหงื่อ แล้วยิ้มแฉ่งให้ ลอยดุ่ยๆมาขวางหน้าเอาไว้
"คือพวกคุณไม่เหนื่อยกันเหรอขอรับ ไม่หิวกันเลยเหรอขอรับ"
"ไม่ใช่ไม่หิว แต่อาหารมาวางตั้งอย่างนี้.... กับดักชัดๆ จะใส่ยาอะไรเปล่าก็ไม่รู้" ดรีมยักไหล่แล้วแสยะยิ้มคืนจนผีหน้าซีด.... สมกับเป็นปีศาจจริงๆข่มขู่ผีได้ด้วย! ลีนที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นอย่างนั้นก็เผลอหัวเราะคิกคักออกมา
"ไม่ใส่หรอกขอรับ! กระผมทำเอง! อีกอย่างถ้าผ่านห้องนี้ไปจะไม่มีอาหารหรือเครื่องดื่มให้แล้วนะขอรับ!"
คนกวนประสาทส่ายหน้าแล้วทำทีเป็นยิ้มแบบหนักใจ
"ก็แกทำเองสิถึงน่ากลัว อยากได้เพื่อนไปเมืองผีหรือเปล่าก็ไม่รู้ อ้อจริงสิแนะนำให้เปลี่ยนชื่อที่นี่เป็น 'เส้นทางแตกหัก' ดูจะเข้าท่ากว่าเยอะเลย"
"ดรีม เจอประตูแล้ว!"
เสียงใสเรียกหาแต่ไกล ก่อนที่จะหันกลับไปเพ่งตัวอักษรเล็กๆที่ประตู
"มันบอกว่าตอบคำถามเลือกทางแน่ะ แต่ฉันหาคำถามไม่เจออ่ะ!"
"ดะ เดี๋ยวขอรับ! พวกคุณคิดดีแล้วเหรอ?" เจ้าผีน้อยน่ารักก็ช่างตื้อไม่หยอก ถึงกับรีบบินมาดักหน้าทันใด ดรีมทำหน้าเมื่อยก่อนจะส่งสัญญาณให้ลีนเปิดช่องว่างมิติมาโชว์มัน... ว่าไปช่องก็ใช่จะใหญ่แต่พวกเขาก็ยัดเสบียงมาชนิดที่พอใช้สำหรับสามสี่วันได้สบายๆ ซึ่งมันทำให้ผีน้อยชะงักกึกหุบรอยยิ้มลงเป็นครั้งแรก ดูจะห่อเหี่ยวลงฉับพลัน
นี่พวกเขาแกล้งผีอยู่หรือเปล่าเนี่ย?
"เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ จากนี้ไปกระผมจะทำหน้าที่นำทางเองขอรับ"
ผีน้อยท่าทางเหี่ยวแห้งลอยคอตกไปยังประตู แล้วขยับสลักเล็กๆที่ซ่อนอยู่ก่อนจะดึงมันออกมา แล้วสลับด้านเสียบมันลงไปที่เดิม คราวนี้ที่กำแพงมีตัวอักษรขึ้นมามีความว่า...
"ถ้าท่านได้สิ่งของที่ซ่อนอยู่ข้างในนี้ ท่านจะนำไปใช้เพื่อ...
1. เพื่อทุกๆคน
2. ประโยชน์ของตัวเอง"
โอ้โหมันช่างยอดเยี่ยมมาก!! มีตอบคำถามอย่างนี้ด้วย!!!
"พวกคุณดูท่าแล้วก็เข้ากันดี ด่านนี้ก็คงไม่ยากกระมัง"
แน่นอนมันจะยากอะไรก็แค่... เอามือทาบไปยังกำแพงรับคำตอบพร้อมๆกัน!!
ดรีมนึกยิ้มในใจแต่ทว่าอะไรมันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อทำทีเป็นจะเอามือประกบเข้าที่คำตอบข้อหนึ่ง หน้ายักษ์บนประตูก็ฉายแสง และมีตัวอักษรเล็ดลอดออกมาว่า "จงตอบตามความจริง" ทันใดนั้นมือของตัวหลอกลวงระดับโลกก็ย้ายวืดไปแตะยังข้อสองแทน ทิ้งให้สาวเจ้าข้างๆมองตาค้างไปชั่วขณะพร้อมๆกับเจ้าผีที่อ้าปากหวอ
"ดรีมทำอะไรของเธอเนี่ย!!"
ลีนโวยลั่นห้อง แต่ทว่าแม้แต่เจ้าตัวเองยังงงอยู่เลย ตีหน้าว่าตูไม่รู้เรื่องจริงๆนะสาบานได้...
เมื่อคิดจะลองใหม่อีกครั้งมันก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาลองเปลี่ยนเป็นกระโดดพุ่งเข้าใส่แต่อยู่ดีๆก็กลับหลังหันกลางอากาศ เอาหลังจนกำแพงอย่างจังหัวโขกดังโป๊กลงไปนอนกลิ้งขลุกๆคลุกฝุ่นกับพื้นอย่างงดงาม ทิ้งให้ทั้งห้องเงียบกริบไปชั่วครู่ ผีนรกแทนที่จะห่วงกันสักนิดก็ไม่มี ใบหน้ากลับยิ้มแฉ่งประมาณว่าเสร็จตูแน่งานนี้
"อาหารยังมีนะขอรับ ถ้าหิวเชิญได้ทุกเมื่อ... แต่ก็ต้องเป็นไปตามกฎ"
ผีน้อยแสยะยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
"แก!! แสดงธาตุแท้แล้วใช่ไหม!!" ดรีมตวาดใส่แต่ผีใส่สูทเผยมือออกทำทีเป็นไม่รู้เรื่อง เขาเองก็เดือดปุดๆลุกขึ้น ซึ่งก็ต้องชะงักไปด้วยท่าทีของหญิงสาวที่ท้าวเอวแล้วยิ้มเย็นๆให้ ดวงตาหรี่เล็กลงเหมือนจ้องจะเอาเรื่องให้ได้
"คนที่แสดงธาตุแท้น่ะมันเธอต่างหากล่ะยะ!!" สาวเจ้าว่าทำให้เขาก็สะอึกไปนิดหนึ่ง เอานิ้วเกาคางช้าๆเหม่อมองขึ้นข้างบน แล้วพยักหน้าหงึกๆอย่างเห็นด้วย จะว่าไปมันก็จริงอยู่แฮะ...
"แต่ฉันนึกว่าเธอเห็นธาตุแท้ของฉันมานานแล้วซะอีก"
คราวนี้เป็นทีให้หญิงสาวสะดุ้งบ้าง แต่ไม่ทราบว่าเธอตกใจที่หมอนี่ยอมรับมาหน้าด้านๆ หรือว่าเพิ่งจะรู้กันแน่ ปากสีชมพูสดใสเผยอแย้มยิ้มหวานให้ช้าๆ อันที่จริงประกอบกับรูปหน้าแล้วมันก็ทั้งสวยทั้งน่ารัก แต่ดรีมกลับรู้สึกแปลกๆ ขนแขนลุกชันเหมือนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง
"ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวนี้เห็นทีจะได้เวลา..."
"เวลา?" ลีนพูดเนิบๆ ด้วยน้ำเสียงหวานแล้วหยุดไปนิดหนึ่งเหมือนรอจังหวะ ดรีมที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เองก็เผลอตัวพูดสอดไปโดยลืมคิด ว่ามันคือหลุมพรางเล็กๆที่คุณเธอจ้องไว้อยู่แล้ว พูดโต้กลับฉับพลันว่า
"เวลาดัดนิสัยเธอน่ะสิ ตาบ้า!!"
ผีแสนน่ารักเปลี่ยนเป็นน่าชังในสายตาของดรีมทันทีเมื่อมันดันหัวเราะเยาะเสียเสียงดัง แต่คิ้วของเขาก็ต้องกระตุกยิ่งขึ้นเมื่อเสียงหัวเราะมันเพิ่มขึ้น... เพิ่มขึ้น... ดูท่าว่าในหมู่พวกเขาจะมีไส้ศึก....
ใช่ ไส้ศึกตัวน้อยๆที่มีนามว่า "ไทม์" และ "ดีเวนัส" ถ้าฟันเขาแข็งกว่าโมโนซากาก็คงจะงับมันทิ้งไปแล้ว!!
และแล้วไปๆมาๆ อุปสรรคอันยากลำบากที่สุดกลับกลายเป็น การเอามือแตะกำแพง ดรีมต้องเสียเวลาฝึกไปก็นานกว่าจะบรรลุวิชาใหม่ขึ้นชื่อว่า "การโกหกตัวเอง" มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะหลอกให้ตัวเองเชื่อได้ว่า เรื่องที่กำลังคิดอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง ทั้งที่ไม่ใช่!
อันที่จริงเรียกว่าสะกดจิตตัวเองก็พอถูไถกระมัง
ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ลีนเองยังต้องทึ่ง ตานี่แทนที่จะขับกล่อมให้ตัวเองคิดในด้านดี กลับทำให้ร้ายยิ่งกว่าไปเสียได้ แม้จะอยากวีนให้ยับแต่เวลาที่รอคอยมันก็เนิ่นนานจนคุณเธอหมดแรงจะโวย ไม่เว้นแม้แต่ฟาร์กับเซรอสผู้แอบดูอยู่ห่างๆ ที่ถึงกับนิ่งเงียบไปพร้อมๆกัน
"เฮ่เซรอส แกทำอย่างนั้นได้เปล่าวะ" คนผมน้ำตาลยาวถามห้วนๆ และชายผมม่วงก็ส่ายหน้าควับๆ
"ไม่ไหวว่ะ ถ้าเจอประตูแบบนั้นฉันคงคลายสะกด ไม่ก็ลงเวทป้องกันเฉพาะทางเอา" คนผมม่วงตอบ แถมยังรู้สึกว่าเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
"แล้วนี่เหลืออีกกี่ด่านกัน" ฟาร์หันไปจ้องหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายอย่างเพ่งเล็ง แล้วถามออกมาชัดๆไม่กะให้บิดพลิ้ว ขยับกระดิกหนีได้แม้แต่น้อย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วมันคงตอบมากำกวมประมาณว่า อีกไม่เยอะ เป็นแน่
เซรอสเอามือก่ายหน้าผากทำทีเป็นครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตอบว่า "อีกสองด่านใหญ่ๆ แต่... อีกด่านเดียวรู้ผล"
ชายในชุดเสื้อผ้าแขนขาสั้นเลิกคิ้วกับคำตอบเล็กน้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปทางประตูหนึ่งเดียวซึ่งเขาเข้ามา ยกมือขวาโบกให้เล็กน้อย
"เท่าที่ดูพวกนั้นก็น่าจะพอไหว และฉันเองก็มีงานด่วนต้องทำจะอยู่นานก็ไม่ได้...."
"แล้ว?"
ฟาร์ชายตาแสนดุกลับมาชำเลืองมองอีกฝ่ายจน เซรอสเงียบกริบลงชั่วขณะทันที
"ถ้ากลับมาแล้วพวกนั้นเป็นอะไรไป งานนี้มีได้ซัดกันอีกรอบแน่...." พูดแค่นั้นเขาก็แง้มประตูออก แต่ทันทีที่ก้าวขาออกไปข้างเดียวคนที่นั่งดูรายการโชว์อย่างสนุกสนานก็หมุนเก้าอี้หันไปทางคนดุบ้าง
"โธ่... จะเป็นอะไรไปตามที่ฟังจากเซซิส ตอนนั้นนายก็แกล้งพวกนี้ไว้เยอะนี่นา"
รู้สึกว่าเจ้าบ้านี่จะให้ไปดีๆไม่ได้ มีกระตุกต่อมฉุนแถมอีกเล็กๆ
"แล้วก็ฉันขี้เกียจลืมตามาซัดกับนายซะด้วยแฮะ..."
ปัง!
ประตูถูกปิดลงโครมใหญ่แต่คนที่ควรจะไปกลับยังอยู่
"อ้าวมีอะไรเหรอฟาร์"
ยังมีหน้ามาถาม....
"พูดอย่างนี้ซัดกันตอนนี้เลยดีกว่าว่ะ!!"
"เฮ้ย ไม่นะ!!!"
"!!!!!!!!"
ในระหว่างที่ผู้ชมทั้งสองกำลังก่อสงครามกัน ทางฝ่ายดรีมกับลีนเองก็รุดหน้าได้ไวเกินคาดหมาย ถึงจะมีขัดใจกันบ้างนิดหน่อยเนื่องจากคำตอบไม่ตรงใจ แต่จะให้ลีนย้ายไปตอบแบบลีนก็ทำไม่ได้เพราะเจ้ายักษ์จับโกหก เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่คุณปีศาจจะเดินคิ้วขมวดเพราะความหงุดหงิดตลอดทาง ห้องที่ผ่านๆมานั้นมีก็เป็นสิบห้องอยู่ คำถามส่วนใหญ่จะมีก็สองช้อยให้เลือก อันความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่ยากอะไรเลย เช่น...
"คุณเชื่อไหมว่าพระเจ้ามีจริง" "ถ้าคุณพบของที่อยากได้แต่ไม่มีปัญญาซื้อจะทำอย่างไร" "เจอขอทานจะทำอย่างไร" "หนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวด้วยความเป็นมาของโลกคุณจะทำอะไรกับมัน" "คุณสนใจความเป็นไปของโลกหรือไม่" "คุณชอบกินอะไรมากกว่ากันระหว่างหมูกับไก่" บลาๆๆ
ใครต้องผ่านด่านพวกนี้แล้วคงคิดว่าตัวเอง ปัญญาอ่อนเต็มทน และพวกที่ผ่านได้ก็คงเป็นพวกไม่เต็มเต็งแหงๆ ซึ่งในที่สุด ผีน้อยแก่แดดใส่สูทก็ทำหน้าละห้อยเอ่ยคำอำลา ราวกับว่าจะส่งพวกเขาไปตาย ต่อหน้าประตูสีเงินกับสีทองอันตั้งตระหง่านอยู่ในห้องโล่งขนาดใหญ่ ทั้งกำแพงและพื้นสลักลายลักษณ์อักษรเอาไว้จนไม่มีที่ว่าง แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่ว่างพอที่จะอ่านมันเหมือนกัน
"นี่เป็นคำถามสุดท้ายแล้วขอรับ ประตูซ้ายคือทางออก และประตูขวาคือทางเข้าไปต่อเชิญเลือกตามสบายขอรับ"
เข้าใจง่ายดีนี่นา ไม่มีคำถามแต่มีทางให้เลือก... ประตูเงินก็ออกจากนี่ และประตูทองก็มุ่งหน้าต่อเพื่อของที่อยู่ภายใน เข้ามาถึงนี่จะเฉดหัวออกไป หรือจะลุยให้ถึงที่สุดกันดีน่ะหรือ...
"ออกดีกว่า"
"อื๋อ"
คนทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกันจนอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามาจ้องกันแล้วหัวเราะแหะๆ
มาสามัคคีกันประตูสุดท้ายก็ยังดีล่ะนะ!
"ไม่เปลี่ยนใจแน่เหรอขอรับ อีกนิดเดียวเองนะขอรับ"
ทั้งคู่ส่ายหน้าพร้อมๆกันแล้วเดินไปยังประตูสีเงิน เอามือสองคู่ประคบเข้าไป และมันก็ค่อยๆแง้มเปิดออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นความมืดนิรันดร์อีกครั้ง ถึงจะไม่ค่อยมั่นใจแต่ความรู้สึกมันบอกว่าปลอดภัย ดรีมหันกลับไปหาเจ้าผีน้อยแล้วโบกมือให้
"อาหารที่แกทำก็อร่อยดีนี่นา น่าเสียดายได้กินไปนิดเดียว"
"!!!!"
"นี่คุณแอบขโมยกินไปเหรอขอรับ!!!"
ดรีมไม่ตอบหากแต่รีบลากลีนที่ทำท่าจะโวยวายออกวิ่งไปพร้อมๆกันอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผียอดกุ๊กเอ๋อไปตามลำพังครู่หนึ่งแล้วเบิกรอยยิ้มขึ้นช้าๆ
"พวกคุณนี่ดวงดีจริงๆ ประตูเข้าน่ะไม่มีทางออกหรอกนะขอรับแม้จะมีทรัพย์สมบัติให้ก็ตาม ซึ่งปลายทางคือยมโลกเท่านั้น... แล้วก็อักษรบนห้องนี้บอกใบ้ให้ว่า ทางออกต่างหากคือทางเดินที่เชื่อมต่อ....กับมรดกแห่งอดีต"
ทันใดนั้นประตูบานใหญ่ปิดลงเสียงดัง และความเงียบก็กลับมาเยือนสถานที่อันศักดิ์สิทธิไร้ผู้ใดย่างกรายนั้นอีกครั้ง โดยไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีกตลอดกาล....
=============================
ชื่อตอนสร้างสรรค์มาก 555
ยังคิดไม่ออกจั่วไว้แบบนี้ก่อนก็แล้วกัน
ป.ล. ถ้ำมันจะยาวไปเปล่านะ.... หุหุ
ความคิดเห็น