คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Release 05 [ร่องรอยแห่งอดีต] (เสริมภาคผนวกนิดหน่อย)
(เซพ 50% นะ)
80 ไม่มีเซพครับ (หาคำว่า รัตติกาล เอาก็แล้วกัน - -)
20% ที่เหลือยาวนะ ตอนแรกไฟดับ เขียนใหม่ยาวกว่าเดิมอีก
Release 05
"มืดอ่ะ" เสียงหญิงสาวบ่นออกมาอย่างหวาดระแวง
"เอาน่าเดี๋ยวก็พ้นเขตแล้ว ว่าแต่เธอจะดึงเสื้อฉันอีกนานไหมเนี่ย? ยืดหมดก็งานนี้"
"อะไรนะ? ใครดึงเสื้อเธอ ฉันยังหาเธอไม่เจอเลยนะ"
อ้าวเวรกรรมแล้วไง ไม่ใช่ลีน... แล้วใครล่ะเนี่ย...
คนใจแข็งรู้สึกวูบลงไปชั่วขณะ เลิกคิดจะหันกลับไปดูข้างหลังเพราะมันคงไม่เห็นอะไร ก่อนจะรีบวิ่งลากสาวเจ้าเข้าหาแสงสว่างลิบๆข้างหน้าทันที และแน่นอนคนขวัญผวาทั้งคู่ไม่ลืมที่จะหันกลับไปดูว่ามีอะไรพ่วงท้ายมาหรือไม่ ซึ่งก็ต้องตกตะลึงกับเส้นสายแห่งความมืดจำนวนมาก พุ่งตวัดเข้ารัดพัน ทั้งสองรีบกระโดดหลบสุดชีวิตจนกระทั่งพ้นระยะ ทำให้ความมืดเหล่านั้นเลิกคิดจะตามแล้วหวนกลับสู้ถิ่นฐานเดิมของมัน
หัวใจที่พองโตพร้อมจะตะลุย แฟบลงในพริบตาเดียวกันนั้นเอง
"เธอไม่เคยบอกเลยว่ามีแบบนี้ด้วย!" สาวผมน้ำตาลโวยเสียงดัง แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นหินที่เย็นยะเยียบ
"ถ้ารู้ก็คงจะบอก คราวที่แล้วมาไม่มีแบบนี้นี่นา!!" เขาหย่อนตัวลงนั่งบ้างแล้วหันมองไปรอบๆ ห้องนี้มันคุ้นตานัก ... ก็แหงสิ สมรภูมิรบเมื่อตอนกลางวันนี่เอง! นั่นหมายความว่าเจ้าปีศาจหินถึกต้องอยู่แถวๆนี้ด้วยแน่
แล้ว... มันหายไปไหนซะแล้วล่ะ?
"กี๊ซ?"
แน่ะ รู้ว่าคิดถึงส่งเสียงน่ารักทักอีก
"เฮ้ย! ลีนเธอทำอะไรเนี่ย!!" เมื่อหันตามเสียงไปสิ่งที่เขาพบก็คือ สาวงามกับอสูร... เอ้ย! เจ้าปีศาจนั่นโค้งตัวลงแล้วเอียงคอเล็กน้อย ปากสีแดงนั่นไม่แสยะยิ้มแบบปกติ แล้วก็ทำทีเป็นน่ารักเฉยเลย...
"ไม่เห็นจะดุอะไรอย่างที่เธอว่าเลยอ่ะ น่าสงสารอีกต่างหากมีรอยร้าวด้วย"
ตอนแรกดรีมนึกว่ามันจะเป็นคนละตัว แต่ไม่ใช่ หน้าอกมีรอยกะเทาะ คอมีรอยปริ และแขนเองก็ร้าวเล็กๆ ฝีมือเขาลงรอยสักให้ทั้งนั้น! มันโดนแรงไปความจำเสื่อมหรือเปล่าวะ!!
"กี๊ซ...."
"เอ๋?" ลีนทำหน้าตกใจแล้วเหล่มาเขม่นอีกคนที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขา "เขาบอกว่าเธอรังแกเขาแน่ะ"
"ว่าไงนะ! ไอ้หินนรก!!"
ยังจะทำพูดดี ไม่ใช่มันเหรอที่ไล่ตื้บเขาซะแทบแย่!!
แน่นอนว่าประโยคข้างหลังเขาไม่ได้ตะโกนด่าออกไป เนื่องจากคุณไครม์สาวกำลังจ้ออะไรกับมนุษย์ยุคหินแกร่งนั่นอยู่ แล้วก็หันมานินทาเขาที่ฟังไม่รู้เรื่อง... ใช่สิ! เวทสื่อคลื่นสมองของเขายังใช้กับต่างสปีชีย์ไม่ได้นี่หว่า!!
สรุปไปๆมาๆกลายเป็นว่า เจ้านี่เป็นผู้เฝ้าประตูเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่เก็บกวาดแต่อย่างใด แต่หากใครบังอาจหาเรื่อง มันก็ไม่เว้น... พวกชุดดำกลุ่มแรกดันมาก่อกวนมัน แถมยังโจมตีใส่อีกต่างหากมันก็เลยฉุนขาด พอพวกดรีมตามเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน มันก็เลยเข้าใจผิด...
ดรีมกอดอกพยักหน้าคิดตาม มันก็มีเหตุผล แล้วล่ามลีนก็แปลต่อทำให้เขาหน้ามุ่ยว่า
แต่หลังจากดูดีๆแล้วว่า "ไม่ใช่" มันก็พยายามยิ้มเพื่อจะเจรจา แต่เด็กหนุ่มผมน้ำตาลยาวนี่ไม่ยอมหยุด...
สรุปตูผิดสินะที่มองยิ้มหวังดีของมันเป็นแสยะยิ้มเย้ย เสียงร้องคล้ายหัวเราะของมันคือการเจรจาสงบศึก
ย้ากกกก!! ข้องใจจริงว้อยยย!!!
หลังจากนั้นเจ้าปีศาจหินก็เดินนำดุ่ยๆ ไปยังแท่นหินทรงสี่เหลี่ยมซึ่งมันใช้ไล่ดรีมออกไปคราวที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากไปกว่าชำเลืองมองนิดหนึ่งแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น คนอยากรู้อยากเห็นพยามดูสัญลักษณ์ที่ประทับอยู่... มันเป็นรูปดาวหกแฉกซ้อนกัน ใจกลางมีแท่งผลึกสีใสหน้าตัดเรียบ รอบนั้นตกแต่งเป็นลวดลายคล้ายใบไม้เรียว ฝังอยู่ในหิน
มุมกำแพงหินด้านขวามือมีซอกหลีบเล็กๆพอจะให้เดินผ่านไปได้ ขนาดที่ว่าหากมองจากมุมอื่นนอกจากหลังเจ้าแท่นพิลึกนั่น คงยากที่จะเห็นได้ ซึ่งมันนำพวกเขาไปทางนั้นสายลมพัดฟู่ๆลอดร่องหินทำให้สงสัยยิ่งว่าอะไรกำลังรออยู่เบื้องหน้า และไม่ทันไรคำตอบก็เปิดเผยประจักษ์ชัดต่อสายตาสีน้ำตาลสองคู่ที่เบิกโตขึ้น
ประตูบานใหญ่ สีเงินสลักลวดลายสีทองสูงกว่าตึกสามชั้นถูกฝังเอาไว้ในหินผา สูงกว่าระดับที่พวกเขาอยู่ประมาณสิบเมตร และด้านหน้านั้นคือหุบเหวกว้าง ไร้ก้นบึ้งหาที่สุดมิได้ซึ่งลมทั้งหลายก็ประดังขึ้นมาจากข้างใต้นี่แหละ ด้านข้างทั้งสองเองก็ห่างจากโพรงที่พวกเขาโผล่มาประมาณด้านละเกือบห้าร้อยเมตรงพอดิบพอดี พื้นที่ให้ยืนเองก็ไม่ใช่น้อย... มันอลังการมาก...
"กี๊ซ....กิ๊ซ.."
ดรีมขยับหันไปถามหญิงสาวข้างๆและเธอก็ช่วยแปลให้ มันบอกว่า...
"ที่ไม่จำเป็นต้องกำจัดผู้บุกรุก ก็เพราะว่ามันไม่จำเป็นต่างหาก ยังไม่เคยมีใครผ่านเข้าไปในนั้นได้สักคน เกือบทั้งหมดล้วนตายที่นี่"
ทั้งสองถึงกับเหงื่อตก คำพูดนั้นบอกอะไรได้หลายอย่างนัก เริ่มที่หน้าที่แท้ของเจ้าหินนี่คือ "นำทาง" อีกทั้งมันไม่ใช่ "พรรคพวก" ของพวกเขา และ.... ข้างหน้านี้จะต้องมีบางสิ่งซึ่ง "อันตราย" ยิ่งกว่าตัวนำทางอย่างแน่นอน
เมื่อรู้ว่าอันตรายจะบุ่มบ่ามกระโดดเข้าใส่ก็คงไม่ได้ เพราะเช่นนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบสถานที่ให้ดีเสียก่อน เขาจึงเดินดุ่ยๆสังเกตอะไรไปเรื่อยๆ แต่ทว่า
ครึ่ก...
"เอ๋?" นักสำรวจก้าวไปได้ไม่เท่าไหร่เสียงพิลึกก็บังเกิดขึ้นที่เท้าของเขา เมื่อก้มลงไปมองดูเหมือนว่าพื้นจะยุบลงไปนิดหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็ก ดูยังไงมันก็คือกับดัก เขาพยายามหันไปมองรอบๆกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อถอนเท้าออกสายลมที่พัดขึ้นจากหลุมใหญ่ก็ร้องโหยหวนแรงขึ้นในบันดล หินด้านล่างประตูขนาดยักษ์ก็กะเทาะออกเป็นตัวอักขระโบราณตัวหนึ่ง อ่านได้ว่า "ลม"
และหากสังเกตให้ดี ใกล้ๆกันนั้นก็มีตัวอักษรอีกสองตัว เขียนว่า "มรดก" กับ "สูญ"
นั่นหมายความว่าก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนมาที่นี่เช่นกัน ซึ่งก็คงไม่พ้นพวกองค์ชายออร์คเพื่อนของบุดันบังแน่ แล้ว... พวกเขาเหล่านั้นไปไหนล่ะ? ดรีมพยายามมองไปรอบๆ โดยหวังว่าอาจได้พบกับผู้ที่เป็นจุดหมายของเขา ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม...
"สงสัยว่านี่ต้องเป็นข้อความบอกใบ้อะไรให้เราแหง" คนเสื้อดำก้มลงหยิบก้อนหินขึ้นโยนเล่นแล้วเหล่ไปยังประตูเบื้องบน เขาง้างแขนแล้วลองปามันใส่ประตูเพื่อเช็คอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็ไม่ผิดจากที่คาดนัก หินก้อนนั้นไม่มีโอกาสแม้จะสัมผัสประตู สายลมอันรุนแรงพัดวูบขึ้นป่นก้อนหินนั้นจนแตก ร่วงหล่นลงสู่หลุมมืดซึ่งราวกับว่าจะไม่มีก้นเหว
"ดูเหมือนลมแถวนี้ไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไหร่แฮะ" ดรีมพูดขึ้นแล้วหันไปหาหญิงสาวผู้มากับตนแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง ตะโกนลั่น
"ลีนเธอทำอะไรเนี่ย!!"
สาวเจ้าที่กำลังเดินเล่นชะงักเท้าแล้วหันมายิ้มหวานให้
"อ้าว ก็เปิดตัวอักษรให้ครบไง น่าจะได้ความอะไรมากขึ้นก็ได้นะ"
"พูดเป็นเล่น! ถ้ามีกับดักแฝงอยู่ล่ะ!!" ดรีมแย้งกลับฉับพลัน แต่คุณเธอเอานิ้วชี้จิ้มคางเหลือบตามองประตูนิดหนึ่ง แล้วตอบกลับว่า
"ช่างมันสิ"
ช่าง... ช่างมันอย่างนั้นหรือ???
"กับดักก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ หรือเธอไม่อยากรู้ว่ากับดักของที่นี่เป็นยังไง? เพิ่งจะปากทางเองนะถ้ากับดักพวกนี้เราฝ่าไม่ได้ก็ไม่มีทางเข้าไปได้ลึกหรอกน่า" สาวผมสีอ่อนว่าแล้วก็เดินต่อไปเรื่อยอย่างอารมณ์ดี
อะ อะ อะ.....
แต่คำพูดทีจริงทีเล่นนั่นเล่นเอาซะอีกฝ่ายใบ้รับประทาน ยืนตาค้างไปชั่วขณะ มันจะบ้าบิ่นไปแล้ว!!
"ลีน เธอนี่ทำอะไรไม่คิดเลยจริงๆ!" คำบ่นนั้นทำให้เธอหันกลับมาแลบลิ้นให้
"เธอเองก็คิดมากเกินไปนะ ดรีม"
ว่าเข้านั่น ช่างเป็นทีมที่ขัดแย้งกันสุดขั้วจริงๆ ไม่ทราบว่ามาด้วยกันได้อย่างไร ดรีมได้ยินเสียงแปลกๆข้างหลัง เมื่อหันไปไอ้ปีศาจหินนั่น กำลังทำท่าคล้ายกลั้นหัวเราะ มีเสียง คุๆๆ เล็ดลอดออกจากไรฟัน ซึ่งมันทำให้คิ้วของเขากระตุกเล็กๆ
หึหึ
ท้ากันเองนะ...
จะเปิดกับดักให้หมดถ้ำเลยคอยดู!!!
คนสติแตกบ่นในใจก่อนจะออกตัววิ่ง เหยียบย่ำทุกพื้นที่ซึ่งเท้าสัมผัสได้ มิหนำซ้ำยังมีคลำกำแพงหาอีก อีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่ยอมแพ้ ฉุนขึ้นมาทันใดเร่งสปีดพรวดๆ... และปรากฏการณ์นี้ก็คงทำให้เจ้าหินที่ยืนดูแปลกใจจนเหลือรับ ถึงกับลงไปนั่งเกาหัวจ้องคนบ้าไล่ล่าหากับดักด้วยดวงตาที่กระพริบปริบๆ
ไม่นานนักคนพิลึกทั้งสองก็กลับมาบรรจบกันที่ด้านหน้าของตรอกเล็ก นั่งพิงหลังกันหอบตัวโยน ทั้งที่ไม่เจอกับดักสักกะอัน ซึ่งทั้งคู่ก็ดูจะผิดหวังชอบกล...
หลังจากพักเหนื่อยกันสักพักลีนก็พยายามแปลอักขระบนกำแพงสุดชีวิต แต่มันก็ไม่ใช่ง่ายๆ ขนาดเวทของเธอยังแปลได้กำกวม ต้องมาเดากันต่อกับดรีม
ความเหล่านั้นมีด้วยกันสิบบรรทัด และเกือบทั้งหมดจะมีบรรทัดละสามคำความว่า
มรดก แห่ง อดีต
กาล จาก จากลา*
บางสิ่ง สมควร เก็บงำ*
หวนคืน คู่ พสุธา
ประตู สู่ สูญ*
เก็บกัก*
เพื่อ ผู้มาเยือน สลาย
เดินหน้า เส้นทาง* มรณะ
ไร้ หนทาง* ผู้ไขว่คว้า*
ต่อหน้า ลิขิต สายลม
"คิดว่าไงลีน?" ชายหน้าเมื่อยถามเสียงค่อย และเธอก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับว่า
"น่าจะเป็นสารเตือนจากอดีตนะ"
"ไม่รู้เซรอสคิดอะไรของมัน นี่มันเป็นเรื่องที่เราควรจะก้าวก่ายแน่เหรอ?" เขาก็พยักหน้ารับพูดปนบ่นออกมา พลันหันไปมองยังทางซ้ายของตัวอักษรข้างต้น ซึ่งมีสลักไว้อีกสองบรรทัด แต่มันซับซ้อนขยุกขยุยเส้นพันกันไปมา ถึงขนาดที่ลีนเองก็ยังแปลไม่ค่อยออก
เส้นทาง* คนตาย*
สายลม* ประตู*
ที่แปลกคือสี่คำนี้ได้จากกำแพง...
ถ้าที่พื้นคือคำเตือนข้างฉลากยาแล้วล่ะก็ เป็นไปได้ไหมหากเจ้าที่เหลือนี่จะเป็นวิธีการใช้ยา หรือก็คือคำใบ้นั่นเอง แล้วถ้าใช่มันอยากบอกอะไรพวกเขากันนะ? เข้าไปจะตาย เข้าไปเปรียบเสมือนนรก ทางนรก หลุมนรก หรือ....
"ดรีมดูนั่นสิ" สาวชุดขาวเลื่อนมือชี้เข้าหาประตูบานโต หากมองดีๆแล้วตามรอยสลักชี้ให้เห็นอะไรบางอย่างแปลกๆ เหมือนกับว่าบนนั้นมีประตูบานขนาดพอดีตัวอยู่เต็มไปหมด และบนบานประตูมักจะมีอะไรบางอย่างยื่นออกมาคล้ายกับกุญแจ
ซึ่งจากสลักอันหนึ่งก็จะมีเส้นสีเขียวขนาดเล็ก บิดพลิ้วเชื่อมกันไปเชื่อมกันมา จนไปบรรจบกันอยู่ที่หนึ่งเป็นร่องสีดำสนิท...
"ฉันจะลองเข้าไปดูหน่อยนะ"
"เดี๋ยว" ดรีมคว้าข้อมือลีนที่ลุกขึ้นไว้ฉับพลัน แววตาของเขาดูจริงจังขึ้นทันใด จนแม้แต่ลีนเองยังแปลกใจ เขายันตัวลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นที่ก้นนิดหน่อย ตามด้วยการยืดเส้นยืดสายเล็กๆ
"ฉันไปด้วย งานนี้คนเดียวอันตรายเกินไป" เมื่อเสียงนั้นหนักแน่นอย่างคาดไม่ถึงเธอก็ทำได้แต่ยิ้มรับ แล้วก็ตบหน้าตัวเองหนึ่งฉาดเป็นการตั้งสติตัวเอง บรรยากาศทีจริงทีเล่นหายไปในพริบตา เล่นเอาเจ้าปีศาจหินที่อยู่ใกล้ๆตะลึงไปชั่วขณะ
"ขอวัดความพยศของลมก่อน เดี๋ยวเธอค่อยตามมาก็แล้วกัน" ไม่ว่าเปล่าชายผมน้ำตาลก็กระโดดลอยคว้าง กลางเหวลึกไร้ก้นบึ้งนั้นทันที เสียงลมจากเบื้องใต้ร้องครืนราวกับหิวกระหาย พริบตาเดียวกันนั้นดรีมก็ไหวตัวหลบไปง่ายๆ แต่ลมมิยอมหยุดแค่นั้นกระหน่ำซัดเข้าใส่จากทุกทิศทุกทาง ซึ่งหมอนั่นกลับเหมือนเดินบนอากาศปลิวไปมาตามแรงของสายลมด้วยท่าทีสนุกสนาน
ในไม่ช้าลมอันบ้าคลั่งก็สงบลง พร้อมด้วยคนหน้ายุ่งพอๆกับผม เป็นที่น่าหัวร่อของสาวเจ้าที่รอดูท่าทีอยู่ขอบเหว
"ทักทายกันน่าสนุกดีนี่คะ" เธอว่าแกมประชดแล้วทำเป็นเมิน ลอยตัวไปหยุดหน้าประตูบานน้อย สิ่งที่ยื่นออกมาเป็นกุญแจขนาดยาวกว่าตะเกียบนิดหนึ่ง แต่รูกุญแจมันดูแปลกๆเหมือนกับเกียร์รถที่ให้ขยับเข้าล็อคขึ้นลงได้ บางอันมีให้โยกซ้ายขวา บางอันก็ไม่มีให้โยก และบางแท่งก็ไมมีให้ขยับสักนิด
"อะ..." ลีนพูดออกมาไม่เป็นภาษาเมื่อเป่าฝุ่นที่เกาะกุญแจออก มันมีอะไรบางอย่างสลักเอาไว้ และสิ่งนั้นมันทำให้เธอรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ราวกับถูกสายตานับร้อยพันจ้องเข้าใส่...
มันคือชื่อคน...
"เธอคิดอย่างฉันหรือเปล่าดรีม?"
คนผมยุ่งคิ้วขมวดลงยิ่งกว่าเดิมนักเมื่อได้รับคำถามนั้น และเมื่อพิจารณาอะไรบางอย่างที่หญิงสาวข้างๆชี้ให้ดู ซึ่งจากสภาพและขนาดของประตูพอจะให้เข้าไปได้เพียงประตูละหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้ามันไม่ใช่ประตูล่ะ มันจะเป็นอะไร?
สภาพแบบนี้มัน...
"โลงศพ"
ลีนหน้าซีด เมื่อคำตอบมันตรงกับที่เธอคิดพอดีเป๊ะ บรรยากาศมันแปลบปลาบชอบกล เหมือนมันกำลังดูดกลืนเขาและเธอเอาไว้ ถ้าเป็นอย่างที่คิดจริง ที่นี่คือที่เก็บศพของผู้คนไว้จำนวนมาก... แล้วเจ้าประตูโตๆนี่ล่ะ มันคืออะไรกันแน่? หรือว่ามันคือสุสานของผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งอดีตกัน...
50%
"อ๊ะ!!" อยู่ดีๆชายที่กำลังคิดก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก รอยยิ้มบางขยับเบิกออก
"มีอะไรเหรอดรีม?" ลีนถามด้วยท่าทีสงสัยเหลือประมาณ เพราะคนข้างๆเธอตาส่อแววอย่างนี้มีได้เรื่องทุกทีสิน่า!
"ฉันว่าเข้าเค้าแล้วล่ะ คาดว่าจะเปิดประตูนี่ได้แน่" คำตอบนั้นดูสนุกๆชอบกล ดูท่าว่าเจ้าตัวดีจะเจอเป้าหมายซะแล้ว... แบบนี้ไม่ทู่ซี้จนจบก็คงวอดวายกันไปข้างแหงๆ
"แต่ถ้านี่เป็นโลงศพจริงฉันก็ไม่อยากยุ่งด้วยหรอกนะ มันเหมือนเป็นการไม่เคารพผู้ล่วงลับ..."
คำพูดนั้นเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา คนหน้าระรื่นส่ายหน้าเบาๆ
"การสร้างบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันก็เพื่อที่จะเชื้อเชิญให้เข้าไปอยู่แล้วล่ะน่า! แล้วอยากดูคำเชิญไหม? ถ้าฉันจำไม่ผิด... มันควรจะใช่!"
ลีนเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อใจลอยดุ่ยๆกลับไปยังพื้นด้านหลัง
ตานี่... ประวัติศาสตร์ไม่สน แต่คำว่า "มรดก" น่ะสนใจแหง... สนใจมากด้วย
แต่ก่อนจะได้พูดอะไรคนงกก็ลอยตามลงมา แล้วลากเธอผ่านตรอกเล็กกลับไปยังแท่นพิลึกนั่นอีกครั้ง นิ้วมือสีซีดขยับชี้ที่ด้านหลังมีสัญลักษณ์ตัววี แล้วก็ขีดทแยงขวาสองเส้นด้านล่าง
[ V ]
[ ]
[ ]
"นี่มัน... สัญลักษณ์พวกนี้ฉันแปลไม่ออกนะ" ลีนทำหน้ามุ่ย
"ใครบอกให้แปล งั้นกลับไปที่ประตูใหม่สิ" ว่าแล้วเจ้าตัวก็จับขอมือสาวเจ้าวิ่งรี่กลับที่เดิม เป็นที่ประหลาดใจแก่ทั้งคุณเธอ และเจ้าปีศาจที่นั่งมองอยู่ห่างๆ ลงไปนอนกลิ้งดูท่าที
"มรดก จาก อดีต" "บางสิ่ง คู่ สูญ" "เก็บกัก" "เพื่อ เส้นทาง ผู้ไขว่คว้า" "ต่อหน้าลิขิตแห่งสายลม"
ดรีมร่ายออกมาทีละส่วนซึ่งก็พอจะตีความหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่มีอะไรแปลกๆ.... บางประโยคมันขัดๆกัน บางสิ่งเหมือนไม่สมควรให้ออกสู่โลกภายนอก แต่อีกประโยคกลับเหมือนชี้ช่องให้เข้าไป โดยใบ้ให้ว่าสายลมจะเป็นตัวกำหนด...
"สัญลักษณ์นั่นต้องเอามาใช้อ่านแบบนี้นี่เอง..." เธอโพล่งขึ้นมาเบาๆ แล้วเขาก็พยักหน้าให้
"แต่ก็อย่างว่าบางคำอาจแปลผิดเลยทำให้อ่านไม่คล่องเท่าไหร่ เพราะงั้นช่างมันเถอะ!"
อุ้ย! อยู่ดีๆตัดบทซะงั้น แบบนี้คงจะฉุดไม่อยู่แล้วกระมัง
"ยังไงก็รู้สึกผิดอยู่ดีนั่นแหละ... แล้วอีกสี่คำที่เหลือล่ะ?"
"อันนั้นฉันเองก็ไม่รู้แฮะ น่าจะหมายความว่าประตูนั้นต้องอาศัย "ลม" ในการเปิด ส่วนวิธีเปิดฉันก็รู้แล้วล่ะ แค่ต้องคิดคำนวณอะไรนิดหน่อย..."
"คำนวณ?" ลีนทำหน้ามุ่ย แต่อีกฝ่ายก็เผยมือไปยังแท่งสลักจำนวนร่วมร้อยที่อยู่บนประตูนั้น พร้อมทั้งอธิบายเสริมต่อไปทันที
"สายลมเปรียบดั่งเลือด เพราะงั้นเส้นสีเขียวพวกนั้นก็เป็นเส้นเลือดของประตูนี้ การจะทำให้เปิดได้ก็ต้องทำให้เลือดไหลเวียนให้ทั่วถึง บรรจบสุดท้ายที่หัวใจคือช่องสีดำนั่น สลักแต่ละอันดูเหมือนจะสร้างมามั่วๆ แต่แท้จริงแล้วคำนวณมาอย่างดี มี "ทาง" เพียงเส้นเดียวซึ่งจะนำพาไปยังจุดหมายได้"
คำพูดนั้นทำให้เธอที่ยืนฟังเงียบๆถึงกับทึ่งในความสามารถ และความรู้ อย่างเหลือประมาณของคนรุ่นเก่านี้เสียแล้ว ความจริงเธอเองก็อยากจะเข้าไปในนั้นเหมือนกัน ถ้ามันไม่ใช่หลุมศพของใครบางคน... หรือใครหลายๆคน
ลีนถอนหายใจช้าๆ แต่ก็ยิ้มรับสบายๆ
มันก็ต้องลองดูกันว่า คนเข้ารหัสกับคนถอดรหัส ใครจะเหนือกว่ากันในคราวนี้ ฉันเองก็ตัดสินใจไม่ถูกหรอก มันสับสนไปหมด ความคิดของตัวเองตีกันจนวุ่น
ไม่ทันไรดรีมที่กระโดดลอยตัวไประหว่างที่เธอคิดนั้น ก็โยกคันโยกเล่นอย่างคล่องแคล่วสนุกสนานโดยเริ่มจากอันล่างสุด ที่นับเป็นรากของทุกสิ่งที่กำลังแตกกิ่งก้านสาขาสีเขียวสว่าง ตามทางที่คันโยกชี้นำไป... ไม่ทราบว่าหัวสมองมันทำด้วยอะไรเหมือนกันถึงได้คิดไวขนาดนี้ และในไม่ช้าประตูนั้นก็แทบจะเรียกได้ว่างดงามยิ่งขึ้น ด้วยแสงสีเขียวสว่างเรืองรองนั้นเอง
ชายผมน้ำตาลยกแขนขึ้นปาดเหงื่อนิดหน่อย ลอยจังก้าอยู่ด้านข้างคันโยกตัวสุดท้ายซึ่งเพียงแค่โยกลง เส้นทั้งหมดก็จะเชื่อมโยงสู่ช่องสีดำน้ำได้โดยสมบูรณ์ เจ้าปีศาจหินกระพริบตาปริบๆอย่างมิอยากจะเชื่อ ปากสีแดงฉานอ้าค้าง ดูท่าจะไม่เคยมีใครทำอย่างนี้ได้สักคนแหงๆ
"อ่ะ สุดท้ายนี้ให้เธอตัดสินใจลีน... ไม่อยากเข้าก็ปล่อยมันเอาไว้อย่างนี้แหละ" เขาพูดขึ้นแล้วเลื่อนตัวหลบให้หญิงสาวด้านข้าง เธอส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วสบตากับเขาตรงๆคล้ายว่าอยากจะด่ามันซะเดี๋ยวนั้น
"เชอะ รู้อยู่แล้วแท้ๆ ถ้ามาถึงนี่แล้วถอยก็ไม่ใช่ฉันแล้วล่ะ!"
กริ๊ก!
ทันทีที่สลักถูกเลื่อนลง เส้นแสงสีเขียวก็เลี้ยวหักฉากสร้างรูปดาวห้าแฉกล้อมรอบร่องสีดำนั้นอย่างรวดเร็ว
ครืน... ครืน...
แต่ก็น่าแปลกที่แสงกลับไม่ลอดผ่านร่อง ประตูก็ไม่มีวี่แววว่าจะแง้มเปิดสักนิด มิหนำซ้ำกลับมีเสียงพิลึกดังระงมจากภายในนั้น... หวังว่าคงไม่ใช่วันปล่อยผีนะ!!
วูบ....
ลมหอบใหญ่พัดตรงออกจากร่องเล็กซัดใส่หน้าของทั้งสองจนผมยาวๆพลิ้วไสว พร้อมด้วยใบหน้าที่ฉายแววตกใจ จนดวงตาเบิกกว้าง ไม่วาอะไรจะตามมาพวกเขาไม่รู้ และคงทำได้แค่เตรียมพร้อมจะรับมือ ตัวสั่นระริกกับแรงกดดันที่อยู่ภายใน เหงื่อแตกพลั่กชุ่มหลัง ซึ่งทั้งคู่ก็จับมือกันเอาไว้เสียแน่นราวกับจะไม่ให้หลุดไปจากกันได้
ฮูมมมมมมม!!!!
ครืนนนนนนนนน!!!!!
อึดใจต่อมาลมที่สงบไปจากข้างล่างก็โหมกระหน่ำขึ้นมาจากข้างล่าง และยังมีลมอันรุนแรงอีกสายหนึ่งซัดมาชนพวกเขาจากร่องสีดำสนิท ดรีมพยายามพาลีนล่องลอยไปตามลมอย่างที่เคย แต่ทว่ารอบนี้ลมไม่ใช่ลม ลมนี้ไม่ใช่ลมธรรมชาติ มันคือลมอันเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะคาดคิด แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถที่จะคุมเอาไว้ได้อีกต่อไป มือที่จับกันแน่นค่อยๆเลื่อนหลุดทีละน้อย
ปะ เป็นไปไม่ได้ งานนี้เขาพลาดเหรอ? พลาดตรงไหน? ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้!!
หรือว่าสัญลักษณ์นั่นจะเป็นของปลอม เพื่อหลอกคนที่คิดจะเข้าไปอย่างเขา กับดักซ้อนกับดัก!
"ปล่อยฉันเถอะดรีม" ลีนพูดเสียงค่อยท่ามกลางสายลมที่โหมกระหน่ำ ถึงกระนั้นเพียงแค่เห็นการเคลื่อนไหวของปากสีชมพูอ่อนนั้นเขาก็พอจะอ่านออกแล้วว่าเธอพูดอะไร
"พูดอะไรบ้าๆ!!"
เธอส่ายหน้า
"ไม่คิดจะเชื่อกันเหรอไง ฉันโดนแค่นี้ไม่เป็นอะไรแน่ แต่ถ้ายังจับกันอยู่อาจจะ..."
ดรีมเลื่อนสายตาไปหยุดที่แหวนทั้งห้าของลีน แล้วมองสร้อยที่ห้อยดาบสีดำของตนที่กำลังสั่นไหว แต่... แต่... จะให้เขาปล่อยได้ไงกัน มันเหมือนกับเป็นความหมายนัยๆว่า "ทิ้งเธอไป" เขาทำอย่างนั้นไม่ได้!
คิดไม่ทันจบลมคลั่งก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก หมุนวนจนทั้งคู่ไม่สามารถแม้แต่กระดิกร่างกายสักนิด และแล้วมือทั้งสองก็หลุดออกจากกัน เขาพยายามจะเอื้อมไปคว้าแต่ก็ทำไม่ได้ เขาไม่มีพลังอำนาจเพียงพอจะต้านทานสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น สุดท้ายพวกเขาก็ถูกลากดิ่งลงเหวลึกไร้ซึ่งก้นบึ้ง... มีเพียงความมืดมิดดำสนิทยิ่งกว่ารัตติกาล...
"จะ เจ็บจัง...." เสียงใสดังขึ้นท่ามกลางความมืด เธอมองอะไรไม่เห็นสักนิด แต่ก็พอจะรู้สึกได้ว่าลมเมื่อครู่มันพยายามจะบดขยี้ร่างของเธอให้แหลกให้จงได้ ยังดีที่เป็นแค่แขนซ้ายเคล็ดนิดหน่อย ซึ่งตอนนี้เธอกำลังพยุงตัวลุกขึ้นยืนในน้ำหนืดๆ สูงเหนือเข่า มีกลิ่นคาวอันเป็นเอกลักษณ์ และกลิ่นเหล็ก...
"คุณลีนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?" เสียงหวานดังขึ้นใกล้ๆ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเสียงใคร แหวนของเธอนั่นเอง
"ไม่เป็นไร แค่นิดหน่อย" เสียงใสตอบกลับอย่างร่าเริง เพื่อจะทำให้อีกฝ่ายใจชื้น แล้วขยับตัวบิดไปมาครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆลอยตัวขึ้นยืนบนผิวน้ำเลือดน่าสะอิดสะเอียนนั้น ใบหน้าของเธอแม้ไม่ต้องมองก็เดาออกว่ามันขมวดมุ่นอยู่ เธอเอามือทั้งสองไขว้กันที่หน้าอกหลับตาลง แสงสีฟ้าเรืองรองโปรยประกายไปทั่วร่างที่เปียกชุ่มด้วยสิ่งไม่พึงประสงค์ และเพียงวูบเดียวเลือดที่เกาะตามตัวก็กระจายกันออกไปรวมกันในทะเลสีแดงข้นเช่นเดิม แต่เมื่อเธอแง้มเปลือกตาขึ้น แสงเรืองรองของเวทนั้นกลับทำให้เธอเห็นกลุ่มก้อนความมืดที่ก่อตัวกันเป็นรูปร่าง ตัวสูงใหญ่จันไม่เห็นหัวที่มืดสนิท และเท้าของมันกำลังจะเหยียบใส่เธอ
"กรี๊ด...!!"
ใบหน้าซึ่งกำลังซึมๆของเด็กหนุ่มหันขวับตามเสียงร้อง หน้าตาตื่นขึ้นทันใด เพราะเสียงนั้นมันแสนจะคุ้นเคย... ก็สาวผมน้ำตาลคนที่เพิ่งจะคลาดกับเขาเมื่อครู่สินะ เสียงนั้นอยู่ไกลพอดู แต่ก็ดังใช้ได้แสดงว่ายังปลอดภัย... ถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...
แต่ที่แน่ๆตอนนี้เธอคงเผชิญกับสิ่งเดียวกับที่เขาเจอเมื่อสักประเดี๋ยวนี้แน่ๆ ไอ้ยักษ์กินแสง! เพราะงั้นเขาถึงต้องเดินดุ่ยๆบนทะเลเลือดมืดสนิทเช่นนี้นั่นเอง... ความมืดที่นี่ไม่ใช่เพียงความมืดตามธรรมชาติ มันคือความมืดกึ่งมีชีวิตที่จะทำลายทุกอณูของแสงให้มอดสิ้นไป
=รีบไปเถอะครับ มันอันตรายน่าดูเลยนะถ้าไม่ใช่คนแสนรู้อย่างคุณ
ดาบที่ยังอยู่ในสภาพจี้ห้อยคอแอบกัดคนที่ยังยืนนิ่งอยู่เหนือน้ำ ด้วยเวทแรงดึงดูดแสนถนัดของตน และมันทำให้คนหน้ายุ่งออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็วในทันที... ก็จะไม่ให้กังวลยังไงไหว มันนี่แหละที่ทำให้แขนขวาเขาขยับไม่ได้อย่างใจอยาก ปวดไปหมด!
วูบ....
หญิงสาวผมน้ำตาลอ่อนกระโดดหลบการจู่โจมจากยักษ์สีดำทมิฬได้ทันท่วงที ก่อนจะซัดลูกบอลแสงใส่มันโดนจังๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าโดนมันดูดกลืน มิหนำซ้ำมันมิได้มีเพียงหนึ่งเดียว และก็ไม่ได้มีหลาย... ทั้งหมดเชื่อมกันแต่เคลื่อนไหวเป็นเอกเทศราวกับแต่ละส่วนมีจิตใจ หลบด้านหน้าได้ แต่ความมืดทั้งหลายก็พุ่งจู่โจมจากทุกทิศและไม่อาจทำลายได้
"ดีเวนัส!" สิ้นเสียงตะโกน แหวนทั้งห้าก็หลอมรวมกันกลายเป็นดอกไม้ผลึกอยู่ในมือของเธอ แววตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นวาวโรจน์ขึ้นฉับพลัน "ไรเซราจิล!" ดอกไม้สีใสตอบรับคำเรียกร้อง แสงสว่างสุกสกาวขึ้นท่ามกลางความมืดนั้นวูบหนึ่ง ก่อนที่มือของเธอจะสั่นระริกแล้วปล่อยมันพุ่งขึ้นไปด้านบนสว่างเจิดจ้า... แต่แล้วมันก็เริ่มจางลง ตามด้วยกระพริบปริบๆ แล้วก็ดับสลายไปโดยสิ้นเชิง
"อะไรกันล่ะเนี่ย!"
"รู้สึกว่ามันจะเป็นความมืดระดับสูงมากเลยค่ะ ไม่สิผู้ใช้... ผู้สร้างจะต้องเป็นเทพระดับสูงแน่นอน แบบนี้เวทของเราก็แค่เศษไม้จิ้มฟันเท่านั้นแหละ"
ลีนชะงักไปเพราะคำอธิบายนั้นชั่วครู่หนึ่ง ซึ่งในสถานการณ์นั้นแค่พริบตาก็แย่แล้ว ความมืดดำสนิทถาโถมมาจากด้านหลังโดยไม่ทันระวังตัว แม้ว่าจะได้รับคำเตือนจากดีเวนัส แต่จะให้หลบตอนนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว และในเวลานั้นเองเธอได้ยินเสียงอันคุ้นเคยแว่วมาแต่ไกลว่า
"ดับแสงซะ" ก่อนที่สมองจะทันได้คิดร่างกายของเธอก็ทำตามเสียงนั้นไปเสียแล้ว ความมืดที่ตามไล่ล่าเข้าครอบงำร่างของเธออีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ทำอันตรายอะไรมากไปกว่าดันร่างบางตกไปในทะเลเลือดอีกครั้ง
"ลีน! เป็นอะไรเปล่า!! แล้วอยู่ไหนเนี่ยมองไม่เห็นตะโกนตอบด้วย!!"
เสียงนั้นใกล้เข้าหาเธอเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวเธอเองกำลังรู้สึกอุ่นๆที่ขอบตาชอบกล น้ำอะไรก็ไม่รู้ไหลออกจากตาอีกแล้ว...
"ทางนี้จ้ะ! ชุ่มเลือดอีกแล้วฉันนี่"
แต่ก็ดีนะมืดแบบนี้ ใครจะไปเห็นหยดน้ำเล็กๆใสๆที่ดวงตาฉันได้กัน!
"ทางไหนของเธอ?"
โดยเฉพาะคนเซ่อคนนี้ ดูท่าจะเดินเลยเธอไปซะแล้ว....
"ทางนี้จ้ะ! ชุ่มเลือดเลยอ่ะ"
เสียงฝีเท้าแสนเบาบนทะเลเลือดหยุดกึก คาดว่าจะพอจับทิศได้แล้ว ลีนลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำแดงข้น แล้วก็ใช้เวทรีดเลือดที่โชกไปทั้งตัวออกอีกครั้ง คนที่มองไม่เห็นคว้าทางไปทั่วอย่างกับคนตาบอดก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสกับอะไรบางอย่างนูนๆนุ่มๆ สาวเจ้าหน้าแดงฉ่า กรีดร้องออกมาเสียงดัง คนมือบอนเองก็ตกใจจนกระโดดถอยหลังพรวดในพริบตาเดียวกันนั้นเอง
"ขะ ขอโทษ! มองไม่เห็นน่ะ!!"
"...."
ก็รู้อยู่ว่าไม่เห็น...
"เฮ่ อย่าเงียบสิมองไม่เห็น แล้วไม่มีเสียงฉันก็โหวงๆชอบกลเหมือนกันนะ" เสียงของคุณปีศาจดรีมขุ่นลงฉับพลัน
"...."
ก็อยากตอบอยู่หรอกนะ แต่สงสัยว่าเสียงจะสั่นแหงๆ
"คงไม่จมน้ำไปแล้วนะ"
"บ้าสิ ตื้นแค่เข่าเองเนี่ย!"
เธอว่าแล้วก็เดินเข้าจับมือขวาของเขาเอาไว้
"เมื่อกี้ขอโทษนะ" เขาเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงซึมกระทือ
"ช่างเถอะมันเป็นอุบัติเหตุที่ฉันลืมไปแล้ว แต่เธอมีอะไรจะอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์นี้บ้างไหม?" ลีนรีบตัดบทเสียงเรียบ ก่อนที่จะโดนสาวความยืด และเธอก็คงจะต้องรู้สึกเหมือนหัวใจจะระเบิด หัวสมองเต้นตุบๆ แล้วก็หน้าร้อนฉ่าอีกแน่
"เท่าที่ฉันคิดนะ... เอาเป็นว่าตกมาแบบนี้เธอยังเชื่อฉันอยู่หรือเปล่าดีกว่า" ดรีมพูดเสียงอ่อย และลีนก็พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็น จึงรีบตอบกลับเป็นคำพูดแทน ส่วนดรีมเองยิ้มอย่างพอใจอยู่ในมุมมืดไม่มีใครเห็นเช่นกัน แต่... สำหรับหมอนี่ไม่พูดอะไรออกมาชัวร์
"ฉันว่าที่ตีความมาตอนต้นถูกแล้วล่ะ 'สายลมจะนำทาง' และที่นี่เองก็เช่นกัน ถ้าจับความรู้สึกแล้วล่องลอยไปกับกระแสลมนี้..." เขาเผยมือซ้ายขึ้นรับกระแสลมอ่อนๆ ชะเง้อหน้าไปตามทิศทางนั้น ก่อนจะนึกออกเช่นกันว่าตูยังไม่เห็นมือตัวเองเลยแล้วใครจะเห็น
"คิดว่าเธอคงรู้แล้วล่ะ ว่านี่เป็นโลกอีกมิติกับเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง แค่บินขึ้นน่ะออกไปไม่ได้แน่"
"อือ ดีเวนัสบอกฉันมาสักพักแล้วล่ะ ส่วนลมนี่มันก็แปลกจริงๆแหละ ต้นกำเนิดนี่เบาบางจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลมกรรโชกที่พัดเรามาถึงนี่ได้" ลีนส่ายหน้าแล้วถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน "แล้วนี่เราแค่เดินตามลมไปแค่นั้น?"
"...."
ครานี้ถึงทีดรีมเงียบบ้าง...
"นี่เธอจะเงียบแกล้งฉันเหรอยะ"
มือขวาของเขากำแน่นขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้สัมผัสอันฉับไวของสาวเจ้ารับรู้ได้ในทันที จึงพยายามมองไปข้างๆอย่างสงสัย
"สัญญาไว้เลยว่าฉันจะไม่ปล่อยเธอเด็ดขาด แล้วเดินไปด้วยกันตามสายลมที่นำทาง... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้เชื่อฉัน แล้วก็สายลม..."
"นี่เธอเป็นอะไรไปหรือเปล่า จริงจังผิดปกตินะ"
ใช่... จริงจังเกินไปจริงๆ หน้าเธอชักจะร้อนอีกแล้ว ความรู้สึกไวไปก็ไม่ดีแบบนี้แหละ! กลัวก็แต่เสียหัวใจมันจะทะลุออกมาข้างนอกนี่แหละ
"ไม่รู้สิแค่สังหรณ์ว่ามันไม่น่าจะง่ายแบบนั้น เพราะทุกอย่างมันเกินคาดมาหมด แล้วสถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนฉันตีความผิดด้วยซ้ำถึงต้องร่วงลงมา... เพราะงั้นถึงต้องขอย้ำเอาไว้อีกทีไง มันก็แค่นี้แหละ!" ดรีมเบือนหน้าหลบไปทางอื่น คล้ายจะสำนึกผิดทั้งที่ขณะนั้นมืดสนิท ส่วนลีนก็ยิ้มหวานออกมาแต่หันฉีกหลบไปอีกทางเช่นกัน ตอบรับสั้นๆว่า
"จ้ะ!"
และแล้วทั้งคู่ก็เดินจูงมือกันไปบนถนนเลือดที่กลิ่นตลบอบอวนไปหมด ทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วแต่พวกเขาก็ยังหลับตาเดินกันต่อไป ท่ามกลางการชักจูงของลมโชย จนกระทั่งกลิ่นของเลือดเจือจางและหายไปทั้งหมด...
"พ้นทะเลเลือดแล้วเหรอ?" ลีนถามเสียงค่อย ปนหอบเล็กน้อย
"อืม... ไม่รู้สิแต่ไม่ได้กลิ่น" ดรีมก้มตัวลงเอานิ้วจุ่มดู มันยังหนืดๆเช่นเดิม แต่กลับไม่มีกลิ่น
=ยังคงเป็นเลือดนี่ครับ
"ฉันก็เห็นด้วยค่ะคุณลีน"
ทั้งแหวนทั้งดาบต่างสนับสนุนเป็นเสียงเดียวกัน และนั่นมันทำให้ทั้งสองรู้สึกวูบวาบชอบกล...
ประสาทสัมผัสกำลังสลายไป...
"ไปกันต่อเถอะ" ดรีมกำชับมือของตนแน่นยิ่งขึ้น แล้วก้าวเท้าเดินกันต่อ
มาถึงนี่แล้ว...
มาถึงนี่แล้วจะยังไงก็ต้องเชื่อมั่นและก้าวต่อไปเท่านั้น...
"อื้ม" ลีนส่งเสียงค่อยๆออกมาเป็นการตอบรับ แล้วก็ก้าวเดินต่อไป เวลาผ่านไปก็นานสองนาน เส้นทางที่เดินก็ใช่ว่าจะตรง เอนไปมาจนจับทิศไม่ถูก ตาก็มองไม่เห็น และไม่รู้ว่าจุดหมายอยู่ที่ไหน ทุกสิ่งมันบีบคั้นจิตใจจนแน่น มันทั้งเจ็บและกระอักกระอ่วน... ทรมานกว่าที่คิดนัก...
"ดรีม..." เธอร้องเรียกเสียงค่อยแต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับ เธอลองหยุดเดินเขาก็หยุดตาม แต่ให้พยายามเงี่ยหูฟังเท่าไรก็ไร้ซึ่งเสียงใด
"ดรีม!" เธอตะโกนเรียกเขาอีกครั้งแต่ก็ไร้วี่แวว แม้แต่เสียงฝีเท้าและเสียงหัวใจของเธอก็ขาดหายไปด้วยเช่นกัน สรรพเสียงเหมือนดับสูญไปกับความมืดนิรันดร์ มีเพียงสิ่งหนึ่งที่ยังบ่งบอกได้ว่าเขายังคงอยู่ มือของเขาที่ยังกำมือขวาของเธอเอาไว้แน่น...
และสุดท้ายแล้วแม้แต่สัมผัสนั้นก็ดับลง เธอไม่รู้สึกแม้การเคลื่อนไหวร่างกายของตนเอง เธอว่าเธอสั่งให้ขาเดินไปเรื่อยๆ แต่ความเหนื่อยล้าทั้งหมดกลับหายไป สภาพมันเหมือนกับหลุดลอยไปตามกระแสของลมอ่อนๆนั้น เหมือนไม่มีร่างกาย... หรือตอนนี้เธอจะตายไปแล้วเธอก็ไม่แน่ใจ
และมันก็อาจเป็นไปได้เสียด้วย
ถึงกระนั้นจิตใจกลับยิ่งสับสนวุ่นวาย ทุกอย่างอื้ออึงไปหมด เธออยู่ในสภาพนั้นกว่า 10 ชั่วโมง หรือ 20 ชั่วโมง หรือกว่านั้นเธอเองก็ไมอาจรับรู้ได้แม้แต่น้อย จนในที่สุดแสงหนึ่งก็บังเกิดขึ้นทั้งที่ไม่รู้ว่าลืมตาอยู่หรือไม่
ทางนั้นเหรอ.....
แสงสว่างที่ไม่ได้พบมานาน.....
"ไม่ใช่"
จิตสำนึกเธอบอกอย่างนั้น และสายลมเองก็บอกอย่างนั้น ฉันเชื่อว่าดรีมตีความถูก ถ้ามาล้มเลิกเอาตอนนี้ทุกอย่างก็สูญไปหมด.... แม้แต่ตอนนี้ฉันจะเป็นเพียงวิญญาณฉันก็เชื่อว่าวิญญาณของเขายังกำมือฉันแน่นอยู่ดี และเราคงกำลังเดินไปด้วยกันอย่างแน่นอน
ฉันเชื่อ
เชื่อ....
เชื่อ....... นะ........
ตุบ!
เสียงพิลึกดังกระทบโสตประสาทอีกครั้ง ความรู้สึกเองก็กลับคืน หัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ หายใจหอบอย่างเหนื่อยอ่อนสุดขีด เสียงทั้งหลายอื้ออึงดังวี้ๆเข้ามาในหู และสายตาก็ค่อยๆกลับคืนสู่สภาพเดิม เธอหันหน้าไปทางขวาก็พบใบหน้าที่คุ้นเคยยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ที่สำคัญมือของเขาและเธอยังจับกันไว้เช่นเดิม
"สำเร็จแล้วนะ ดูท่าเราจะรอดแล้ว... อย่างน้อยก็เปลาะนึง"
"ก็คงอย่างนั้นล่ะจ้ะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าดีใจจังเลย..."
ดรีมทำหน้ามุ่ย
"ให้ตายสิ ฉันว่า 48 ชั่วโมงน้อยไปแล้วล่ะลีน" พูดแค่นั้นเขาก็ฟุบคว่ำหน้าไปเสียเฉยๆ
"อ้าว! หลับง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ!!"
"เดี๋ยวสิตื่นมาก่อนสิ! ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลย จะมีอะไรอีกเปล่าก็ไม่รู้!!"
เมื่อเห็นว่าโวยวายไปคนขี้เซาก็ไม่ฟื้น เธอจึงพยายามชะโงกหน้าดูไปรอบๆ แต่ตาลางๆของเธอก็เห็นแค่ห้องแคบๆ สลักลายที่หินสีน้ำตาลแดง แล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีกนอกจากประตูบานเดียวที่ปิดสนิท เปลือกตาหนักๆของเธอพยายามจะเลื่อนปิดลงให้ได้ และสุดเท้าเธอก็สู้ความง่วง เหนื่อย ล้า ไม่ไหวหน้าทิ่มไปอีกคน
ระหว่างนั้นเองที่คนคนหนึ่ง ยืนดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อผ่านจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ แต่จะว่าดูก็แปลกๆเพราะหมอนั่นไม่ยอมลืมตา ปากบางๆฉีกยิ้มอย่างขี้เล่น
"ตอนนี้ก็กินไป 26 ชั่วโมงแล้ว 48 ไม่มีทางทันหรอกน่า.... นั่นมันเวลาถ้าฉันกับเจ้าฟาร์มันจับคู่กันลุยสุดชีวิต โดยไม่ใช้กำลังทำลายให้ราบแล้วมั้ง...."
ชายผมเปียม่วงนั่งกระดิกเท้าอย่างสบายใจ
"แต่การตีความของเจ้าเด็กนี่ร้ายจริงๆ แถมการถอดรหัสก็ทำได้ไม่เลว ตรงช่วงนั้นถ้าเพียงแค่โยกผิดไปตัวประตูบ้านั่นก็เปิดแล้ว แล้วก็สูบเข้าโลกวิญญาณของวาเรรันไปเลย มันก็เปรียบเสมือนตายไปแล้วนั่นแหละ แต่ถ้าตอบเชื่อมถูกลมก็จะนำทางไปจนถึงชั้นต่อไปให้เอง แต่มันก็.... ลมไม่ใช่เบาๆ จะตายเพราะลมแล้วโดนประตูบ้านั่นสูบเข้าไปอีกก็ไม่แปลก
สรุปเจ้า 4 คำที่ว่าน่ะอ่านว่า 'เส้นทาง สายลม แล้วก็ ประตู คนตาย' นี่แหละเป็นคำตอบที่ถูกที่สุด"
เซรอสนั่งพิงเก้าอี้แล้วพยักหน้าหงึกๆ
"แล้วสุดท้ายด่านแรกก็ผ่านกันไปจนได้ ท่ามกลางความมืด และไร้ซึ่งประสาทสัมผัสใดๆ ไม่ว่าใครก็ต้องฟุ้งซ่าน ดีไม่ดีจะบ้าตายมันอยู่ในนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แล้วถ้าผ่านมาได้ก็จะ..."
"ได้รับสิ่งสำคัญอย่างน้อยก็สามอย่าง หนึ่งความมุ่งมั่น สองความเชื่อใจ และสุดท้ายสติรอบคอบในทุกสถานการณ์ ซึ่งทั้งพลังวิญญาณและจิตก็จะพรั่งพรู" เสียงกร้าวดังแทรก ขัดจังหวะความสำราญ ชายผมม่วงสะดุ้งเฮือก แล้วค่อยๆหันกลับไปข้างหลัง
ณ ที่ประตูนั้นมีชายหน้าสวยผมสีน้ำตาลยาว มัดปลายหลวมๆ ยืนกอดอกจ้องเขม็งด้วยสายตาสีฟ้า แต่กลับดูเดือดพล่านชอบกล
"ฟาร์! เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลย ตกใจหมด!!"
"ไอ้บ้าเซรอส! มิน่าสังหรณ์แปลกๆ แกทำอะไรกับอดีตลูกศิษย์ของฉันวะ!!"
=============================
หุหุ ช่วงนี้บอกตามตรงเขียนไปแล้วเสียวสันหลัง
เขียนแล้วชะเง้อดู มีอะไรอยู่ข้างๆเปล่า = ="
ป.ล. ถ้างงก็บอกมานะ ระบบปริศนานี่.....
(รวมทั้งการตีความ)
ถ้ามีคนบอกว่างงสักคน จะรีบทำภาคผนวกให้ทันที ^ ^
**** และแล้วก็มีคนบอกว่างง คนแรก
มาเลยตามสัญญา! (หุหุ)
[ V ]
[ ]
[ ]
เจ้าพวกนี้คือวิธีอ่านพวกข้างล่างนี้น่ะนะ (มันจะมีบรรทัดละ 3 คำ ก็ใช้หลักนั้นแล)
V1. มรดก แห่ง V3. อดีต (นี่แหละ V.)
กาล V2. จาก จากลา
บางสิ่ง สมควร เก็บงำ
หวนคืน คู่ พสุธา
ประตู สู่ สูญ (อันนี้ทแยงแรก)
เก็บกัก (บรรทัดนี้ไม่เกี่ยว ไม่ต้องทำไรมันครับ คือ... ถ้าไม่มีในสัญลักษณ์ก็อ่านทั้งหมด)
เพื่อ ผู้มาเยือน สลาย
เดินหน้า เส้นทาง มรณะ
ไร้ หนทาง ผู้ไขว่คว้า (ส่วนนี้มุขเดียวกับข้างบนนั่นแล)
ต่อหน้า ลิขิต สายลม (อันนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรเช่นกัน)
มาตีความกันสักหน่อยดีกว่า ไม่งั้นก็อาจจะงงๆอะไรนิดหน่อย
"มรดก จาก อดีต" "บางสิ่ง คู่ สูญ" "เก็บกัก" "เพื่อ เส้นทาง ผู้ไขว่คว้า" "ต่อหน้าลิขิตแห่งสายลม"
มรดก จาก อดีต (ช่างมัน ข้ามๆๆ)
บางสิ่ง คู่ สูญ* (* = ที่ลีนไม่แน่ใจ)
ความหมายของคำว่า "สูญ" ที่ใกล้เคียงก็มีอีก เช่น "ผู้ล่วงลับ" "ผู้ตาย" ฯลฯ
แต่อีกนัยหนึ่ง สูญ ก็แปลได้อีกว่า "สูญสลาย" "หายไป"
สรุปประโยคนี้หมายความได้ว่า... ของในนี้น่ะไม่สมควรจะนำมันออกมาภายนอก
หรือไม่ก็... มันคือสิ่งสำคัญที่แม้ตายแล้วยังมิยอมให้จากตัวนั่นเอง!
เก็บกัก
อันนี้ต่อจากข้างบน หรือเป็นการยืนยันว่าของนั่นอยู่ในนี้ (จริงๆบรรทัดนี้ไม่มีก็ได้)
แต่จงใจมีไว้เว้นให้อ่านสัญลักษณ์ง่ายๆ
เพื่อ เส้นทาง* ผู้ไขว่คว้า*
"เส้นทาง" คือสิ่งที่จะนำไปสู่จุดหมาย หรือก็คืออนาคต... เพราะงั้นจะจำกัดความให้มันแคบก็คงไม่ได้
คำว่า "เพื่ออนาคต" ในตามปกติแล้วหมายความว่า เพื่ออนาคตที่ดี (ไม่มีใครทำเพื่ออนาคตห่วยๆแหง)
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ไขว่คว้าหาบางสิ่งที่ว่านั่น... ผู้ไขว่คว้าสิ่งของอันยิ่งใหญ่ก็เพื่อพลังอำนาจไร้ผู้ต้าน...
สำหรับประโยคนี้ตีได้หลายแง่คือ
- ผู้ได้รับไปจะได้ทุกสิ่งที่ตนปรารถนา หรือ
- เส้นทางจะเปิดให้ถ้ายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจจะเข้า
ฯลฯ
ซึ่งมันก็ต้องต่อกับ...
"ต่อหน้า ลิขิต สายลม"
เป็นคำใบ้ต่อเนื่อง ถ้าอยากจะเข้าไปสายลมจะเป็น key ประมาณนั้นแล
คือ.... แบบว่า ถ้าแปลหมดนี่มันก็ยาวเลยไม่ได้ใส่เข้าไปในเนื้อเรื่องอ่ะนะ ให้ลองเดากันเล่นก่อน ^^
***ป.ล. ยังแปลไม่ครบ เพราะที่เหลือเดี๋ยวมีคนมาอธิบายเพิ่มเติมต่อครับทั่น
ความคิดเห็น