ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Wing of Release

    ลำดับตอนที่ #4 : Release 02 [ออร์คดันเจี้ยน]

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 51





    การอัพจะให้เร็วแบบ Melodies คงไม่ได้ เพราะผมใกล้จะสอบอีกแล้วล่ะ (แต่ไม่ถึงกับอัพไม่ได้นะ)

    tongfar Mode เขียนโครง วาดพล็อต มั่วออกทะเล อ่านสือสอบ และ... ช็อต =  ="


    จุดเซพ 50% (ที่ 50 หลังดูจะน้อยๆ)


         Release 02



         เขาเงยหน้าขึ้น แสงแดดสว่างส่องกระทบตา ท้องฟ้าใสแจ๋วไร้เมฆดูดึงดูดเขาให้บินหนีขึ้นข้างบนไปเดี๋ยวนั้น เมื่อสลับสายตาลงมาข้างล่างเขาก็ต้องเหนื่อยใจกับสภาพที่เป็นอยู่ พวกคนเขียวร่างกำยำสูงกว่าสองเมตรล้อมเขาและเธอไว้หมดแล้ว รวมทั้งขยับวงเข้าใกล้จนเกือบจะชิด พวกนั้นพูดกันด้วยภาษาพิลึกฟังไม่รู้เรื่อง ลีนทำท่าจะร่ายเวทแปลแต่ดรีมกลับยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน

         "อย่าเพิ่งรีบแปล มาตกลงกันก่อนดีกว่าว่าจะเอาไงดี"

         อ่อ... ฟังพวกนั้นไม่รู้เรื่องส่วนพวกคนเขียวก็ฟังพวกเธอไม่รู้เรื่องเหมือนกันสินะ มันก็เข้าท่าดีไม่ต้องแอบคุย

         "แล้วไม่คิดจะหนีเรอะ?"

         ชายผมน้ำตาลเลื่อนมือไปคลำที่ปลายเปียของตน ดึงหนังยางออกแล้วสางจนผมยาวสยายออก หันมองไปรอบๆแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ สาวผมสีอ่อนชำเลืองมองแล้วก็เอามือประคบหน้าผาก ดูท่างานนี้มีแผนร้ายอะไรสักอย่างแน่...

         "ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหนีนี่นา" เขาว่า

         "อ๋อเหรอ?" ลีนทำประชดก่อนจะหันไปดูรายรอบ คนพวกนี้ถึงจะดูน่ากลัวแต่ดูจากอาวุธที่ดูโบราณๆ บางรายก็ใช้พวกจอบเสียม พลังเวทเองก็ไม่ค่อยมี แถมยังถือขู่เอาไว้อย่างนั้น ส่วนใหญ่จะหันไปคุยกันเองเหมือนปรึกษาอะไรกันสักอย่างมากกว่า "มันก็จริงของเธอนะ" เธอสนับสนุนยิ้มๆ

         "ที่สำคัญคือต้องรู้จักโลกนี้เอาไว้ก่อน และพวกออร์คนี่ก็ดูหัวเล็กน่าดู ฉันว่านะคงหลอกไม่ยาก ลองตามๆไปก่อนก็น่าจะดี" ดรีมพูดเสียงเรียบ หางตาเห็นคุณพี่ข้างหน้าเตรียมเชือกเหมือนจะมัด ก็รีบยื่นมือให้มัดทันที พลางขยิบตาให้สาวสวยด้านข้างซึ่งกำลังยิ้มแหยๆ หัวเราะแหะๆ

         อะโหคนเรา... นี่กะจะทำอะไรกันยะ!

         เขาหันกลับมาหาเธออีกรอบ ใบหน้าดูร่าเริงนิดๆ ไม่ทราบว่าโดนจับนี่มันน่าสนุกขนาดนั้นเลยรึ?

         "ถ้าจะพูดให้คุยด้วยภาษาของโลกนะ ทำเป็นเราไม่รู้เรื่องไว้ก่อนแอบฟังพวกนี้ไปเรื่อยๆ" เขากำชับ แล้วหลับตาลงพยายามตั้งสมาธิสุดฤทธิ์... เพื่อคาถาสุดยากที่กว่าจะฝึกได้ก็เล่นเข้าไปครึ่งปี...

         จากนั้นเสียงที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจก็ค่อยๆแจ่มชัดขึ้นในประสาทสัมผัส และประโยคแรกที่ได้ยินคือ

         "เฮ้ย ไอ้สองตัวนี่มันเชื่องว่ะ ว่าแต่จะจับพวกมันไปทำไมวะ?"

         "จะไปรู้เรอะ จับๆไปก่อน!"

         "ข้าเห็นด้วย พวกมันอาจจะโง่หลงทางมาก็ได้!"

         ดรีมเกือบจะสะดุดขาตัวเองระหว่างที่เดินเข้าป่า และเกือบจะเผลอตัวหัวเราะออกมาเสียเอง พวกออร์คหันมาเขม่นให้เชลยผู้ซุ่มซ่าม แล้วแถมหน้าม่วนให้กันเป็นแถบ


         สมองเล็กแต่เดาร้ายกาจ จะว่าไปพวกเขาก็หลงทางมาจริงๆนั่นแหละ แต่... จะจับกันทั้งทีช่วยหาเหตุผลหน่อยได้ไหม? แบบนี้การจะตุ๋นเจ้าพวกนี้อาจยากเล็กน้อย เพราะเขาไม่รู้ว่าจะใช้มุขขนาดไหนในการกล่อม ให้ตายสิซับซ้อนเกินเดี๋ยวมันไม่รับมุขขึ้นมาแล้วจะยุ่ง!


         ระหว่างทางดรีมสังเกตสภาพแวดล้อมต่างๆไปเรื่อย เริ่มจากถนนคันดินเมื่อครู่ดูมันขรุขระชอบกล ต้นหญ้าก็ขึ้นประปราย ชี้ให้เห็นว่าไม่ค่อยมีผู้สัญจรเนื่องจากไม่ได้มีการปรับปรุงเอาซะเลย พวกคนใช้นี่มักง่ายจริงๆ... และคนใช้ที่ว่าจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่พวกมนุษย์หน้าเขียว ต้นข้าวรวงทองในนาออร์คพวกนี้อาจจะเป็นคนปลูกก็เป็นได้ ดูจากความมีระเบียบในความมั่วซั่ว ซึ่งมันบ่งบอกถึงสติปัญญาได้พอประมาณ

         เรื่องต่อไป... เจ้าพวกนี้อยู่ดีๆก็ผุดออกมาจากในป่าในไม่ช้าหลังจากที่เสียงเขาส่งไปถึง แสดงว่ามันซุ่มกันไม่ไกลนัก และเหตุที่ต้องซุ่มอาจเป็นเพราะว่ามีศัตรู... ใช่ที่ดาวดวงนี้คงจะมีเผ่าพันธุ์อื่นอยู่ด้วยเป็นแน่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับมนุษย์ หรือไครม์ หรือปีศาจ แล้วมันจะพวกไหนกันหนอ... อันนี้โชคร้ายหน่อยที่พวกมันไม่ได้พูดถึงกันสักนิด ตลอดทางมีแต่เรื่องงี่เง่า เช่นเถียงกันว่าเขากับลีนใครเป็นไครม์ ใครเป็นปีศาจ ใครสวยกว่ากัน อันว่าหัวข้อนี้มันบอกหน้าตาขี้เหร่ทั้งคู่

         อืม... ถึงมันจะไร้สาระแต่เจ้าตัวดีก็ชักอยากเห็นสุดยอดนางแบบออร์คขึ้นมาลางๆ อยากรู้นักว่าจะเป็นอย่างไร!


         เดินเข้ารกเข้าพงกันได้สักพักก็พบลานว่างขนาดใหญ่ มีแท่นบูชาทำจากไม้ และมีรั้วล้อมอยู่สามชั้น ด้านข้างนั้นเป็นรูปปั้นหินสลักตัวโตกว่าสี่เมตร ชายในรูปปั้นนั้นไม่ใช่พวกกล้ามบึ้กเฉกเช่นพวกที่ล้อมเขา แต่ดูแล้วทั้งแกร่งและกร้าวใช่เล่น โดยเฉพาะดาบอันบักควายที่ยกพาดบ่าด้วยแขนข้างเดียว ส่วนแขนอีกข้างชี้ตรงไปข้างหน้า... ออร์คมันก็เท่ใช่เล่นเลยนะนี่!


         เขาหันไปซุบซิบกับหญิงสาวที่เดินเอื่อยๆราวทัศนาจร ทั้งคู่หันไปมองพร้อมๆกัน แล้วก็หัวเราะคิกคัก มันช่างสบายอารมณ์กันเหลือเกิน... แบบนี้จะโดนคนกล้ามโตตบหัวทิ่มก็คงไม่แปลก

         ด้านเดียวของลานนั้นที่ไม่ใช่ป่า เป็นรั้วทำจากไม้ปลายแหลมสูงกว่าสองเมตร ประตูบานโตอ้าเปิดเหมือนคอยท่าอยู่แล้ว ด้านในนั้นคงเป็นเขตที่อยู่อาศัย ผู้อยากรู้อยากเห็นทั้งสองยังไม่เลิกร่าเริง ยิ่งใกล้เมืองเท่าไหร่ใจยิ่งเต้นโครมคราม บทจะกลัวมันก็กลัวนิดๆ แต่ว่าถ้าคิดให้ดีแล้วมันก็สนุกดีเหมือนกันกับการได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้สัมผัสกับสิ่งที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดนี่


         จะกลับได้ไม่ได้งานนี้ช่างมันก่อน ใจคอคนที่พามาอย่างชองหรือเฟส คงไม่ลืมพวกเขาแล้วทิ้งเอาไว้หรอก พอครบกำหนดเวลาก็คงเริ่มตามหากันเองกระมัง เจ้าบ้าเซรอสมันจะปิดได้แค่ไหนกันเชียว เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือ หาทางรอดในสังคมของโลกนี้ให้ได้เสียก่อน จะทำอะไรค่อยว่ากันต่ออีกทีก็ยังไม่สาย


         ต่อคิวจากพวกเขาเป็นกลุ่มรถลาก ทำจากไม้บรรทุกสัตว์หน้าตาแปลกๆ จะว่าหมีก็ไม่ใช่ จะว่าเสือก็กึ่งๆ จะว่าหมูก็ไม่เชิง แต่ที่สำคัญมันตัวโตเหลือเชื่อน้ำหนักคงประมาณสักออร์คบึ้กสิบคนได้ พวกนั้นฮือฮากันใหญ่ท่าจะเป็นของหายาก... จะว่าไปพวกเขาเองก็คงพิลึกน่าดูเหมือนกันมั้ง...

         "ตายแล้วมีตรวจร่างกายด้วย! โดนลูบคลำแบบนี้ฉันไม่เอานะ!!" ลีนหันไปกระซิบกับดรีม พร้อมทั้งทำหน้าขุ่น

         "ไม่อย่างนั้นก็เข้าไม่ได้สิ... ใช้มายาก็ได้มั้ง"

         "มายาแล้วเจ้าพวกนั้นจะจับโดนอะไรยะ?" เธอโต้

         ดรีมคิ้วม้วน จะไม่เข้าได้ไงมาถึงนี่แล้ว ถึงต้องลำบากสักหน่อยแต่ก็ต้องยอมล่ะ

         "ร่างจิตเป็นไง เดี๋ยวสร้างให้แต่เธอลงมายาเองนะ"

         ลีนชูนิ้วรูปโอเค ว่าแล้วก็แกล้งหกล้มชนออร์คข้างหน้าจนเกิดความวุ่นวาย และทั้งคู่ก็ฉวยจังหวะนั้นเองทำตามแผน ซึ่งสำเร็จไปด้วยดี

        
    ถ้าไม่นับรวมตอนที่ลีนเกือบจะทุบกะโหลกออร์คยุบ หลังจากที่คนตรวจร่างกายทำหน้ายี้ตอนจะเช็คร่างจิตนั่น


         ถัดจากรั้วไปพวกเขาก็ได้พบกับตัวเมืองที่คึกคักพอสมควร และกว้างเป็นบ้า
    พื้นทั้งหมดเป็นดินกับหญ้า ถนนไม่มี บ้านหรือที่ควรเรียกว่ากระท่อม กระต๊อบ ตั้งอยู่ประปรายไม่เป็นระเบียบสักนิด แต่มันก็ดูดี เด็กออร์คตัวน้อยก็วิ่งไปมาและเมื่อเห็นพวกเขาก็วิ่งร่ามาเชยชม เมื่อมองให้ดีในนั้นมีวัวเดินร้องมอๆ โดยมีคนเลี้ยงนั่งอยู่ใกล้ๆ แพะแกะเองก็พอกัน ส่วนที่สะดุดตาพวกเขาที่สุดกลับเป็นสัตว์ปีกตัวเล็กดูอ้วน แต่บินไม่ได้เช่นไก่ที่เดินทัวร์เมือง กับ เป็ดที่ว่ายน้ำเล่นอยู่ในบ่อ

         ผู้ออร์คดูครื้นเครงเป็นกันเองดี อ่อจริงสิออร์คแม่บ้านหน้ามู่ทู่ อกราวกับกล้ามมีเพียงหนังสัตว์ปกปิด ยืนตากผ้าอยู่กับกิ่งไม้นั่นเรียกสายตาดรีมไปไม่ใช่น้อย

         "มองอะไรของเธอน่ะ" ลีนทำหน้ามุ่ยถามขึ้นระหว่างที่เดินๆพักๆอยู่ในเมืองนั้นเอง ออร์คมันทักทายพรรคพวกกันใหญ่...

         "เปล่ามันแปลกดี" ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็ขยิบตาให้แล้วยักไหล่ "แม่ยักษ์นั่นสวยกว่าเธองั้นเหรอ?" พูดจบเขาก็แกล้งหัวเราะเยาะ

         "ชิ ก็เหมือนเธอแหละ พวกนั้นมองเธอเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ!" ลีนทำงอนเมินหน้าไปทางอื่น

         ดรีมทำเป็นคิดอะไรนิดหน่อยก่อนจะถามอะไรบางอย่างที่เขาสงสัย... พวกเด็กๆเหมือนอยากรู้อยากเห็นแต่ไม่กล้าเข้าใกล้... เพราะอะไรหนอ?

         "ลีนเธอใส่น้ำหอมมาหรือเปล่า?"

         "จะเอาเวลาที่ไหนใส่ล่ะยะ"

         "แต่ฉันว่าฉันได้กลิ่น..."


         ปีศาจดรีมทำหน้าเรียบพลางทำจมูกฟุดฟิด ลีนยกผ้าคลุมไหล่ของตนขึ้นดมแล้วก็ต้องร้องอ๋อ อันที่จริงแล้วเวทที่ลงไว้ในผ้านี่มีผลคล้ายน้ำหอมเจือจาง แต่สำหรับพวกออร์คบางที่จมูกมันอาจจะดีเกินไป กลิ่นพวกนี้เลยกลายเป็นว่าเหม็น

         "ก็ว่าทำไมพวกนั้นเหมือนอยากดูแต่ไม่เข้าใกล้..." ดรีมสรุป

         "สรุปว่าฉันไม่ได้ขี้เหร่สำหรับพวกนั้นใช่ไหม? แหมขอบใจที่ช่วยหาข้อสรุปให้"

         "จริงๆคงไม่เรียกว่าขี้เหร่ แต่น่าจะเรียกว่าไม่สวยมากกว่าล่ะมั้ง" เจ้าตัวดีสรุปเพิ่มแล้วหัวเราะ แบบนี้มันหลอกด่ากันนี่นา! ลีนเกิดยั้วะเกี่ยวขาคนอารมณ์ดีที่เดินข้างหน้าจนล้มหน้าทิ่ม ก่อนที่จะทำไม่รู้ไม่ชี้หันมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

         ออร์คทั้งหลายหัวเราะกันครืน ส่วนเจ้าพวกไม่กี่ตัวที่พามาถึงที่นี่ชักเริ่มสงสัยอีกระลอก

         สรุปเจ้าพวกนี้มันเชลยหรือว่าตัวตลกกันแน่?

         กลุ่มตัวประหลาดเดินกันต่อไปท่ามกลางสายตาของออร์คหมู่มาก สักพักก็ไปหยุดหน้ากระโจมขนาดยักษ์ คาดว่าเป็นของท่านหัวหน้า...

         "สงสัยหน้าพวกเราจะไม่เป็นพิษเป็นภัยแฮะ" ดรีมพูดเสียงใสขณะเดินเข้าข้างใน

         "ฉันว่าการกระทำมากกว่ามั้ง" ลีนหรี่ตามองเจ้าตัวดี แค่เข้ามาในนี้ก็เด่นเท่าไหร่แล้วยังทำตัวให้เป็นจุดสนใจอีก!

         รู้สึกว่านิสัยดรีมหลังฟื้นขึ้นมาอีกทีมันจะเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะพอประมาณ สิ่งหนึ่งที่ทำให้โดดเด่นคือ... ความบ้า หมอนี่มันไปทำอะไรมาจากนรกกันนะ เธอชักอยากรู้เสียแล้วสิ!

         "มองแบบนี้หมายความว่าไงน่ะลีน?" เขาม่วนคิ้ว

        
    อ่อ... นิสัยเดิมๆก็ไม่หายนะ มันจะดูร่าเริงขึ้นก็ตอนกวนประสาทคนอื่นนี่แหละ

         "เปล่านี่ พวกนั้นเรียกแล้วแน่ะ" เธอยกมือทั้งสองข้างที่ถูกมัดชี้ไปข้างหน้า และเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

         "เอาล่ะถ้าอย่างนั้นไปทัศนากัน บอสออร์คจะหน้าตาน่ากลัวแค่ไหน" ชายผมน้ำตาลแซมม่วงส่ายหัวผมสะบัดไหวๆ แล้วผ่อนลมหายใจ ดูเหมือนจะเซ็ง แต่ความจริงในใจคงกำลังระริกระรี้เลยสินะ...


         แต่ฉันเองก็เหมือนกัน


         หัวใจสาวน้อยเต้นระรัว ถึงกระนั้นกลับยิ้มกริ่มออกมา เหงื่อเม็ดน้อยใหญ่ผุดออกจากไรผม


         ภายในนั้นดูเหมือนจะทึบแต่ความจริงด้านหลังกลับเปิดโล่ง มีโต๊ะขนาดใหญ่ทำจากไม้ มีสำรับวางเรียงราย และที่พื้นเองก็มีหนังสัตว์วางเป็นพรม และเขาผู้นั้นก็นั่งรออยู่ที่เก้าอี้บนแท่น

         "ท่านครับ ข้าพาตัวเชลยมาให้ท่าน มันคงไม่มีพิษมีภัยต่อท่านผู้เกรียงไกร" ยักษ์หน้าเขียวตัวโตข้างๆเขาพูดขึ้นและเสริมว่า "ข้าไปล่ะ"

         เฮ้ย! ใจคอจะปล่อยให้อยู่กันตามลำพังเลยเนี่ยนะ แกมั่นใจดีแล้ว?
         ดรีมทำตาโตมองตามหลังเจ้าเขียวไม่ลดละ ซึ่งมันก็ออกไปจริงๆด้วยสิ

         เมื่อหันกลับมาทางท่านหัวหน้าเขาก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง... ชายคนนี้ผิวสีเขียวก็จริง แต่ไม่ได้ล่ำบึ้กอะไรขนาดพวกลูกน้อง ถึงแม้ถ้าเทียบกับพวกมนุษย์แบบนี้จะเรียกว่าสมาร์ทสมส่วนก็เถอะ ส่วนชุดที่ใส่ดูจะมีระดับกว่าพวกที่ผ่านมามาก เพียงแค่เสื้อคลุมหนังเสือลายนั่นก็หรูแล้ว ยังไม่รวมเกราะอกที่ทำจากเหล็กดูกร้าวแข็ง กางเกงหนังสัตว์สีน้ำตาล และกำไลข้อมือที่น่าจะเรียกได้ว่า "ทอง"

         เขาเห็นหน้าของสองแขกแล้วก็ต้องหัวเราะ


         "เจ้าฟังเราออกสินะ เจ้าพวกนี้ทำงานประสาอะไรกัน ปล่อยให้ตัวอันตรายแบบพวกเจ้าเข้ามาที่นี่ได้"

         ลีนได้ยินแค่นั้นก็ตาโตฉายแววตระหนก ผิดกับดรีมที่สายตาสีน้ำตาลเข้มกลับดูเอาจริงเอาจังขึ้นมาทันควัน

         "ว่าไงผู้มาเยือน ข้าว่าเชือกพวกนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ด้ายบางๆมิใช่หรือ?"

         ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ชายผู้นี้เป็นออร์คแต่ฉลาดเกินคาด!!

         ดรีมถอนหายใจหันไปหาลีนแล้วใช้เวทตัดเชือกทิ้ง พลางขยับตัวถอยออกไปเล็กน้อย เพื่อดูท่าที

         "เราหลอกพวกนั้นเข้ามาจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาร้ายนา คุณเดาผิดไปนิด" ดรีมพูดเสียงเรียบ

         "นี่เธอ! พูดอย่างนี้ใครจะเชื่อกันยะ!!" ลีนหันไปค้อนคนมีสัมมาคารวะสูงส่ง และเขาก็ทำหน้ามุ่ย

         ใจคอจะกัดกันเองแล้วหรือนี่...

         คนเขียวหัวเราะซ้ำ เอามือลูบคางอย่างพอใจ เส้นผมสั้นปล้องขยับไหวตามใบหน้า


         "ข้าแค่พูดเล่น หูเจ้าไม่ยาวสักหน่อยนี่"

         คำตอบเรียกความฉงนให้ทั้งคู่อีกครั้ง หูยาวคืออะไร? แล้วทำไมหูยาวถึงอันตราย??

         "ก่อนอื่นตอบคำถามข้ามาก่อน พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ทำไม และพวกเจ้าน่ะไครม์กับปีศาจสินะ ทำไมถึงมาด้วยกันได้?"

         ดูท่าแล้วบนดาวดวงนี้จะมีความซับซ้อนไม่ใช่น้อย กับแค่เรื่องเผ่าพันธุ์ก็วุ่นวายเต็มทนแล้ว... แต่มันก็ทำให้ดรีมพอจับเค้าได้ลางๆ หูยาวก็คงเป็นเอลฟ์ ไม่ก็ปีศาจอย่างเซซิส ส่วนความสัมพันธ์ของปีศาจกับไครม์ที่นี่ก็ดูจะไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่นัก...

         "ฉันครึ่งมนุษย์กับไครม์ ส่วนเจ้าหมอนี่กึ่งมนุษย์กับปีศาจค่ะ" ลีนตอบในขณะที่ดรีมกำลังทำท่าครุ่นคิด


         "ลูกครึ่ง?" ชายเขียวว่าและเอ่ยเสริมไปอย่างประหลาดใจว่า "มนุษย์งั้นรึ? เป็นไปไม่ได้เผ่าพันธุ์แสนอ่อนแอนั้นสูญพันธุ์ไปแต่ไหนแต่ไรแล้ว"

         "อะ" สายตาที่มองไปคนละทิศหันรวมไปยังคู่สนทนาที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความแปลกใจ

         "พวกเจ้ากำลังหลอกข้ารึ?" น้ำเสียงนั้นฟังดูแข็งกร้าวและขุ่นมัวลงฉับพลัน จนดรีมกับลีนต้องรีบช่วยกันปราม

         "เจ้ามาจากที่ไหนกันแน่?"

         ทั้งคู่มองหน้ากันสักครู่... ใจจริงก็อยากตอบความจริง แต่ฐานะตอนนี้อย่างไรเขาก็อยากจะปิดบังเอาไว้ก่อน

         "ถ้าไม่โกหกก็... ไม่รู้เหมือนกันแฮะ..." ดรีมตอบกลับเรื่อยๆแต่เส้นเลือดที่สมองของออร์คสมาร์ทกลับโปนขึ้น

         "แล้วพวกเจ้ามาด้วยกันได้อย่างไร ถ้าคำตอบไม่ถูกใจข้า เห็นทีคงต้องจับกุมตัวพวกเจ้าเอาไว้เสียแล้ว..." ดูท่าลิมิตคงมาได้นี้ ไม่ตอแหลคงมีเรื่อง


         ...ถ้าอย่างนั้น...

         ...ตามคำขอ...


         "ความจริงก็ไม่อยากบอกเท่าไหร่ เพราะอดีตของพวกเรามันมืดมัวเสียเหลือเกิน... ข้ากับนางไม่มีที่อยู่หรอกครับ ท่านพ่อเฮงซวยข้าขับไล่ไสส่งออกมาจากบ้านพร้อมกับนาง ที่ระเห็จออกจากสังคมไครม์เพื่อมาอยู่กับข้า เพราะเช่นนั้นจะเรียกว่าคนไร้รากก็คงไม่ผิด ท่านก็รู้ว่าปีศาจกับไครม์ไม่ค่อยถูกกันเท่าไรนัก"

         คนปลิ้นปล้อนพูดด้วยเสียงเนือยๆ แล้วหยุดชะงักไปไม่ว่าต่อราวกับกำลังเศร้า ก้มหน้าก้มตาลงพื้นทั้งคู่เพื่อไม่ให้เห็นพิรุธ และตอนนี้ก็คงได้แต่ลุ้นว่าเรื่องที่แต่งมันเป็นไปได้กับดาวดวงนี้ รวมทั้งคนตัวสั่นทั้งสองต้องไม่เผยใบหน้าหัวเราะที่ก้มอยู่นั่นตอนนี้!

         ใช่แล้วดรีมแอบล้อเลียนปีศาจเฮงซวยเล็กน้อย...
    ท่านพ่อ เซรอส...


         ทั้งกระโจมเงียบกริบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่คุณชายออร์คจะเดินกลับที่นั่งของตนแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

         "ข้าเข้าใจดี..." พูดได้นิดหนึ่งเขาก็ต้องถอนหายใจอีกรอบ "พวกไครม์กับปีศาจก็เช่นนี้ มัวแต่ห่วงศักดิ์ศรีและเผ่าพันธุ์บริสุทธิ์ จนตัดขาดกับโลก สร้างสังคมของตัวเองและอยู่แต่ในนั้นดุเป็นหมาบ้าทีเดียว"

         หืม... ข้อมูลใหม่แฮะ ไครม์กับปีศาจดุเป็นหมาบ้า!

         "แล้วเลือดมนุษย์เจ้ามาจากไหนกัน?" คนขี้สงสัยถามอีกหนึ่ง


         แต่งานนี้อึ้งสิครับ... บรรลัยแล้วลืมเรื่องที่ลีนพูดไปตอนแรกเสียสนิท... เหงื่อเริ่มผุดออกมาอีกครั้ง หัวหาทางแก้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่... คิดไม่ออก!

         "คือ... เมื่อครู่ฉันไม่รู้ว่าจะตอบอะไรเลยโกหกไปค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ" ลีนตอบเสียงค่อย ดรีมรีบหันไปค้อนฉับพลัน ใครจะไปเชื่อเล่า!!

         แต่มันผิดคาดอีกตลบ ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดัง "ข้าเองก็ไม่ได้เชื่อแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็น่าโมโห ข้าอุตส่าห์ถามจริงจังพวกเจ้ากลับตอบเล่น"

         เง้อ... อะไรฟระ! ออร์คก็ยังเป็นออร์ค เหมือนจะฉลาดแต่อยู่ดีๆหลอกตัวเองซะงั้น!


         งานนี้ความจะแตกมีอีกสถานเดียว

         อย่าหัวเราะ... อย่าหัวเราะ... คาถาบทสุดท้ายเพื่อปิดบังความจริงของทั้งคู่...


    50%


         "แล้วพวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน?" คำถามจากคุณออร์คสร้างความฉงนเล็กน้อย แต่หากฉุกใจคิดดูแล้วเขตแถวนี้คงไม่ธรรมดา... มีความเป็นไปได้สูงว่าไม่ใช่เขตชายแดน

         "ก็เดินตามทางเข้ามาเรื่อย เพราะความสงบสุขของแผ่นดินนี้นั่นแหละครับ" ดรีมว่าพลางโค้งตัวให้

         "พวกเจ้าเองก็ท่าทางไม่ธรรมดาจริงๆ เข้ามาเสียเกือบถึงเมืองหลวง..."

         นัยน์ตาของทั้งคู่ลุกโพลงฉายแววตื่นตระหนก หันไปซุบซิบกันเอง

         "อะไรกัน ทำอย่างกับไม่รู้อะไรเลยสักนิด พวกเจ้านี่แปลก"

        
    ก็ไม่รู้น่ะสิท่าน... ความจริงก็อยากตอบแบบนั้นอยู่หรอกนะแต่เรื่องมันคงจะยืดยาวน่าดู

         "มันเป็นเรื่องของโชคดวงน่ะครับ จะบอกตรงๆก็ขายขี้หน้า แต่พวกเราก็แค่หลงทางเข้ามาในนี้ก็เท่านั้นเอง..."


         ดรีมเอ่ยแก้ตัวพลางทำหน้าแหยๆ แบบเหนื่อยใจ ยังลังเลอยู่ว่ามุขนี้มันจะตื้นไปหรือเปล่า ความจริงแล้วให้ดวงดีขนาดไหนก็ไม่ควรจะเล็ดลอดเข้ามาถึงเขตสำคัญขนาดนี้ได้หรอก อีกอย่างการหลงทางมันเป็นไปได้ล่ะหรือ แค่บินดุ่ยๆก็พอจะมองออกแล้ว... 

         เอ่อ... ถ้ามองทิศเป็นน่ะนะ

         แต่อย่างพวกเขาดูยังไงก็ไม่รู้เรื่องหรอก เริ่มที่ดวงจันทร์บนฟากฟ้ามีตั้งสองดวงเวลากลางวัน ไม่รู้ว่ายังมีซ่อนอยู่อีกฝั่งของโลกนี้หรือไม่ ดวงอาทิตย์เองก็ขึ้นทแยงชอบกล แล้วก็... แผนที่...

         โอกาสไม่หลงทางเรียกว่าเป็นศูนย์สนิทก็ว่าได้

         ชายร่างเขียวหัวเราะลั่น แล้วเหล่มองดรีมกับลีนที่ยังทำหน้าเหรอหราราวกับถูกใจอะไรบางอย่าง สงสัยว่าหมอนั่นจะมองว่าพวกเขาเป็นจอมเซ่อซ่าไปเสียแล้วสิ แต่มันก็ไม่เลวหลอกง่ายดี ถ้าอย่างนั้นลองแหย่สักนิด...

         "เอ่อคือ..."

         พูดไม่ออก...

         "คืออะไรก็ว่ามา แบบนี้เสียชื่อชายชาตินักรบหมด" เมื่อโดนกระทุ้งทำให้ดรีมตัดสินใจเด็ดขาดก่อนจะโดนเคือง


         "จากที่ผ่านๆมา มันทำให้พวกเราชักอยากรู้วิถีชีวิต ภูมิปัญญาออร์ค แล้วก็ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์เอาไว้บ้างจะได้ไหมครับ?" เขาเอ่ยเสียงเรียบทั้งที่ใจเต้นโครมคราม มันเป็นไปได้ที่จะโดนมองเป็นสปายมาขโมยข้อมูล

         ชายเขียวทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แววตาสีดำเหมือนจะขึ้งโกรธ ทำให้สองผู้หลงโลกสะอึก ก่อนที่แววตาคู่เดิมจะอ่อนลงและยิ้มให้

         "ดีมากๆ พวกเจ้านี่ตาถึงจริงๆ แล้วสนใจอะไรเป็นพิเศษบ้างล่ะ"

         ดรีมชักเริ่มเบาใจ พยักหน้าหงึกๆ "ความห้าวหาญของพวกท่าน" เขาตอบสั้นๆ ชายตัวเขียวตรงรี่มาตบไหล่เขาอย่างแรงจนแทบทรุด แล้วก็จับตัวเขาเขย่าด้วยแรงอันมหาศาล ก็รู้อยู่หรอกนะว่าถูกใจ แต่รู้แบบนี้ไม่พูดดีกว่า... มันเจ็บตัว!!

         ลีนที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นใบหน้าเอือมระอาโลกของหนุ่มผมยาว แล้วก็ต้องเอามือป้องปากหัวเราะคิกๆ ตอนแรกเธอเองก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าอนาคตบนดาวดวงนี้จะเป็นอย่างไร แต่เมื่อดูจากเผ่าที่นิยายใส่ชื่อว่าบ้าพลัง บ้าสงครามแล้วใจก็ชื้นขึ้นฉับพลัน กลับไปที่โลกคงต้องให้ข้อมูลคุณบูเขียนนิยายหักล้างเสียแล้ว แบบนี้ออร์คที่ถูกเข้าใจผิดก็น่าสงสารแย่สิ


         หลังจากนั้นพี่ออร์คท่านก็พาไปเรือนรังรองที่เรียกว่า "หอพระคลังหนังสือ" ท่าทางชายคนนั้นจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้สถานที่นี้ เนื่องจากออร์คล่ำที่เฝ้าอยู่ข้างนอก นั่งหาวหวอดๆว่างงานเหลือประมาณ แต่พอเห็นชายคนนี้ก็ตาลีตาเหลือกผุดลุกขึ้นทำความเคารพแต่ไกล

         มองจากข้างนอกมันคือบ้านไม้ธรรมดาหลังโตๆ แต่ข้างในเป็นที่จัดเก็บหนังสัตว์จำนวนมาก แขวนไว้ระเกะระกะไปหมด บางม้วนเป็นผ้าผืนใหญ่แล้วยาว เมื่อมองชัดๆบางเล่มเขียนด้วยเลือดเสียด้วยซ้ำ... ชายคนนั้นมอบจี้ห้อยคอเป็นเหรียญทองเหลืองแกะสลักให้แก่ทั้งคู่ แล้วขอตัวไปสะสางเรื่องงานต่อ โดยกำชับไว้ว่านอนได้ตามสบาย

         ความอับของห้องทำให้กลิ่นทั้งหลายอบอวลคลุกเคล้ากันอย่างน่าสะอิดสะเอียน ดรีมกับลีนรีบวิ่งโร่เข้าหาหน้าต่างแล้วเปิดมันออกอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็ทำให้ดูโล่งขึ้นพอสมควร จากนั้นด้วยเวทระบายลมอ่อนๆที่พัดโชยก็ช่วยเสริม ให้บรรยากาศชั้นนี้ดูปลอดโปร่ง ถึงกระนั้น... ไหนๆก็ใช้ของเขา ทั้งคู่จึงช่วยกันลงเวทผนึกใส่ผ้าหนังทุกผืนเพื่อการเก็บรักษาที่คงทนยิ่งขึ้น

         อันที่จริงแล้ว ปีศาจดรีมตัวขี้เกียจก็แค่ขัดสาวลีนไม่ได้ต้องจำใจทำทั้งมุ่ยหน้านั่นแล...


         "ฉันนึกว่าเธอเกลียดประวัติศาสตร์เข้าไส้ซะอีกดรีม" ลีนที่นั่งพิงผนังนั่งท้าวคางจ้องชายผู้กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับผ้าผืนหนังโทรมๆ เวลาก็ล่วงเลยมาครู่ใหญ่ ข้อความเกือบครึ่งห้องถูกบรรจุเข้าไปโดยไม่มีทีท่าจะหยุด เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและทำหน้าเมื่อย

         "ถ้ามันจำเป็นก็ช่วยไม่ได้นี่นา" เขาตอบ

         "จำเป็น? ประวัติศาสตร์ของโลกตัวเองไม่สำคัญ แต่ของที่ไหนก็ไม่รู้ศึกษาเอาเป็นเอาตายมันแปลกๆนะ"

         คำถามนั้นกึ่งประชดเล็กน้อยแต่อีกฝ่ายยังทำหน้าเรียบเฉย สายตาไล่ไปตามตัวอักษรเรื่อยๆ เสียงผ้าหนังเปิดสลับพลิกไปมาเหมือนจะเป็นเพียงเสียงเดียวในห้อง

         "เราต้องอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่ รู้เอาไว้มันก็ช่วยได้เยอะ แถมประกอบการเดาได้ดีขึ้น" เขาตอบเรียบๆ

         ความจริงเธอก็เข้าใจอยู่หรอกในเหตุผลข้อนั้น แต่ถ้าจะแค่มีชีวิตอยู่เอาแค่วิถีชีวิต สภาพความเป็นอยู่แล้วถิ่นฐานก็น่าจะเพียงพอ... มันราวกับปาฏิหาริย์ที่จอมขี้เกียจพยายามได้ขนาดนี้


         มันน่าจะมีอะไรจูงใจสักอย่าง


         ไม่สิ... เรียกว่าแผนร้ายก็น่าจะได้!


         "ไหงทำหน้ามู่ทู่อย่างนั้นล่ะลีน?" คนที่นั่งอ่านละสายตาไปหาเธอเป็นระยะ และคราวนี้ก็เจอใบหน้าเอือมระอาจ้องตอบ

         "เปล๊า!" เธอตอบเสียงสูงแล้วหยิบคัมภีร์ม้วนใหญ่ขึ้นอ่านต่อบ้าง

         "โกหกเห็นๆ เธอนี่หลอกใครไม่ค่อยจะเป็นเลย สงสัยจะหลอกได้แต่พวกออร์คนี่แหละ" ชายผมน้ำตาลเอ่ยสำทับก่อนจะหัวเราะเบาๆ

         "เชอะ ฉันไม่ใช่พวกร้อยแปดมงกุฎแบบเธอนี่" ลีนทำหน้างอ

         ก่อนที่ดรีมจะอ้าปากแก้ตัว เจ้าดาบเล่มเล็กที่ห้อยคอก็หัวเราะลั่น และสนับสนุนลีนเต็มที่จนเขาต้องอ้าปากค้างไว้อย่างนั้น... เจ้าดาบนี่เห็นเงียบๆเหมือนสงบเสงี่ยม ความจริงแล้วพร้อมแว้งกัดได้ทุกเมื่อ มันน่านัก!


         "ฉันสงสัยมานานแล้ว ความจริงวิชาประวัติศาสตร์เธอก็ไม่ได้ห่วยอะไรนี่ เรียนก็ไม่เรียนทำได้ยังไงน่ะ?"

         เธอถามเสียงใสกึ่งประชดเล็กๆ แต่คำตอบของคนที่กำลังเขม่นเจ้าดาบตัวแสบกลับทำให้เธอต้องแปลกใจ

         เขาว่า "เดา"

         "เดาอะไรของเธอ! ประวัติศาสตร์เนี่ยนะ!!"

         "ไม่เห็นจะยากจับแค่จุดหลักที่ได้รับการยืนยันว่าจริงมาวิเคราะห์ คิดประเมินความเป็นไปได้ แล้วก็เลือกเดาที่เข้าท่า ประวัติศาสตร์มันก็แค่นั้น ฉันเลยขี้เกียจเรียนไง แต่ที่นี่คนละเรื่อง ตั้งแต่แนวคิดเอย วัฒนธรรมเอย ความเป็นอยู่ และอะไรอีกหลายอย่างมันผิดคาดไปหมด ต้องมีการเตรียมการเอาไว้ก่อน"

         ไอ้ที่พูดมาก็มีเหตุผลหรอกนะแต่ฉันชักข้องใจอะไรนิดๆ


        
    เธอเตรียมการจะทำอะไรกัน?


         คำถามนี้ลีนไม่ต้องถามเองเพราะเจ้าดาบเองก็ท่าจะสงสัยขึ้นบ้างจึงถามแทนให้ และคำตอบจากใบหน้ายิ้มๆ แสนเจ้าเล่ห์ก็คือ

         "สร้างประวัติศาสตร์ใหม่"

         "หา!" ลีนตวาดใส่เสียงดัง เห็นท่าทีแบบนี้ชักท่าไม่ค่อยดี ใบหน้าแบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น อย่างเช่นที่มหาวิทยาลัยช่วงที่มีการวิจัยสภาพสังคมยุคปัจจุบัน หมอนี่ไม่ใส่ใจเลยโดนอาจารย์เล่นซะ แต่ผลหลังจากนั้นคือ... การค้านข้อมูลของท่านอาจารย์และข้อมูลของทุกคนที่พรีเซนต์งาน โดยสิ่งที่หมอนั่นเรียกว่าหลักตรรกะ และการมองในมุมกลับ

         แต่ละคนทำหน้าเหวอเหงื่อตกกันเป็นแถบ ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์... ก็เล่นเถียงมันตั้งแต่เรื่องอย่าง "การกินที่แตกต่างกันไปของแต่ละคนบ่งบอกนิสัย..." ไปจนถึง "ขนบธรรมเนียมตามท้องถิ่น และเงื่อนไขทางธรรมชาติ" โดยไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย ทั้งที่ไม่มีหลักฐานสักชิ้น

         พอถึงคราวตัวเองพรีเซนต์ก็เลือกหัวข้อ
         "การวิจัยไร้สาระหาความจริงไม่ได้ จุดเริ่มต้นของปัญหาสังคม" กระแทกใส่หัวชาวบ้านเต็มๆ

         ที่สำคัญ... หมอนั่นพูดสด!

         ใช่แล้ว สรุปเรื่องที่ตัวเองแย้งตั้งแต่ต้นคาบนั่นเอง

         จากครั้งนั้น ชื่อดรีม เมลเลอร์ ก็ติดแบล็คลิสต์ของสถานศึกษาเช่นเคย


         แล้วคราวนี้คิดจะทำอะไรอีก!


         ระหว่างที่ลีนคิดเรื่อยเปื่อยปรากฏว่าหมอนั่นตั้งหน้าตั้งตาอ่านต่ออย่างเฉยเมย... แบบนี้เอาจริงชัดๆ

         "ไหนเธอบอกว่า ขอแค่ได้เที่ยวเล่นถ่วงเวลา ใช้ชีวิตที่นี่ไปพลางๆเท่านั้นไง?"

         ดรีมหันกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยแล้วตอบว่า "แบบนี้มันน่าจะสะดวกกว่า"


         จากนั้นลีนก็ได้แต่ถอนหายใจนั่งอ่าน นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งความมืดเริ่มปกคลุม จึงลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เหม่อมองออกไปข้างนอก พวกออร์คยังใช้แสงไฟจากคบเพลิงกันอยู่เลย... โดยเฉพาะที่แท่นใหญ่กลางหมู่บ้าน ราวกับจะจัดงานปาร์ตี้อะไรสักอย่าง ครึกครื้นร่าเริงกันดีจริงๆ


         ดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเป็นสง่า มากันเป็นคู่เฉกเช่นตอนกลางวัน ตั้งแต่มานี่... เห็นดวงจันทร์ไปสี่ดวงแล้ว บ่งบอกถึงขนาดและแรงดึงดูดของดาวดวงนี้ได้เป็นอย่างดี และด้วยเหตุนั้นเวลา ถ้าให้นับกันจริงๆ วันหนึ่งคงยาวนานกว่าที่โลก... คงไม่ใช่แค่ 24 ชั่วโมงเป็นแน่ เนื่องด้วยการหมุนรอบตัวเองที่เชื่องช้ากว่า

         ฟ้านั้นใสแจ๋วสามารถมองเห็นหมู่ดาวน้อยใหญ่ได้อย่างชัดเจนอย่างที่ไม่เคยพบ แต่ทว่าสิ่งที่เห็นกลับไม่เหมือนบนโลกสักนิด กลุ่มจักราศี กลุ่มดาวต่างๆเป็นคนละเรื่องทีเดียว ดูแล้วมันก็ทั้งดึงดูดจนไม่กล้าละสายตา และดึงดูดใจกว่ามองจากมุมเดิมๆลิบลับ

         "ไม่นอนเหรอ" ดรีมถามเสียงค่อย

         เธอค่อยๆเลื่อนใบหน้าที่ยิ้มหวานกลับไปทางเขา แล้วนั่งที่ขอบหน้าต่าง สายลมที่พัดไหวไปมาทำให้ผมสีน้ำตาลอ่อนไหวเล็กๆ ดวงตาคู่สวยบ่งบอกชัดเจนว่าคำถามนั้นไม่เข้าหูสักนิด ปากสีชมพูเรื่อเอ่ยเนิบๆ เข้ากับจังหวะยามคำคืน ดูมีเสน่ห์จนหัวใจเขาชักเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีสาเหตุ

         "ฉันเคยอิจฉาคุณเฟสมากๆเลยรู้ไหม?"

        
    ไม่รู้ ถ้าเธอไม่บอก...
         เขาตอบกลับในใจ

         "ก็เธอเคยเดินทางไปกับคุณเฟสสองต่อสองด้วยนี่นา" เธอเอ่ยต่อยิ้มๆ

         "อ๋อ ตอนนั้นน่ะเหรอ... คิดมากน่า..." เขาละล่ำละลักตอบ

         "ก็คงอย่างนั้นมั้ง แต่ตอนนี้ฉันกลับได้เที่ยวกับเธอสองต่อสองแบบนี้ ชักจะโกรธคุณเซรอสไม่ลงซะแล้วสิ" ลีนหันหน้าหลบออกไปข้างนอก แสงสีเหลืองส้มจากคบไฟ ส่องให้เห็นแก้มที่เป็นดวงขึ้นสีชมพูจาง ละเขาเองใบหน้าก็ชักขึ้นสีเลือดบ้างแล้วเหมือนกัน

         "นี่ลีน ไอ้หมอนั่นส่งเรามาทำงานให้นะ ไม่ต้องไปนึกถึงบุญคุณมันหรอก ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงได้เที่ยวกันจริงๆไปแล้ว!" ดรีมท้วงเสียงแข็ง ความจริงแล้วก็แค่พยายามกลบเกลื่อนปากสั่นๆก็เท่านั้น

         "ฉันชักสงสัยแล้วสิคุณเซรอสให้พวกเราทำอะไรให้นะ" ลีนเอานิ้วเขี่ยๆเส้นผมที่หน้าผากราวกับใช้ความคิด

         "งานอะไรนั่นฉันไม่สนใจหรอก! วันนี้ง่วงแล้วนอนก่อนล่ะ!!"

         ลีนหัวเราะคิกคักกับท่าทางของดรีม และไทม์เองก็ออกจากรูปลักษณ์จี้ห้อยคอ กลับกลายเป็นดาบไม้สีขาวมาร่วมนินทาคู่หูตัวเอง ที่ฟุบลงไปบนกองผ้าประวัติศาสตร์ สาวเจ้าหย่อนตัวลงที่ริมห้องดับดวงไฟเวทของตัวเอง แล้วใช้ม้วนคัมภีร์เล็กๆต่างหมอน นอนลงไปอีกคน


         "แบบนี้เขาเรียกกินนอนด้วยกันหรือเปล่าน้า..." เจ้าแหวนที่มือแทนที่จะร้องเพลงกล่อมดันเอ่ยกัด

         =เห็นด้วยเลดีเวนัส สองคนนี่ไม่ทันไรก็...

         ไทม์ทำเป็นพูดสนับสนุนแต่ไม่จบ ปล่อยให้คนฟังเข้าใจผิดเล่น โชคยังดีมีแต่คนกันเอง

         "บ้า!" ทั้งคู่โวยใส่สองตัวป่วนพร้อมๆกัน แล้วสายตาก็ต้องสบประสาน ความจริงห้องมันก็ใหญ่อยู่หรอก แต่ของกองระเกะระกะมั่วซั่ว พื้นที่ว่างให้ใช้สอยจริงมีก็ใช่ว่ามาก จะว่าไปขณะนี้ทั้งคู่ก็นอนอยู่แทบจะชิดกันอยู่แล้ว อ้ำอึ้งอยู่ได้พัก คู่ปีศาจไครม์ก็รีบนอนตะแคงหันหลบไปคนละทางทันที


         ถึงแม้จะไม่ได้เห็นใบหน้าชัดๆเพราะความมืด แต่ก็เดาไปได้เลยว่าหน้าแดงแจ๋ทั้งคู่เป็นแน่


        
    ขณะนั้นเองในห้องมืดทึบของชายผมม่วง ดวงตาปิดสนิท...

         เขานั่งเอียงคอท้าวคางดู สลับกับหัวเราะให้ทั้งสองในลูกแก้วสื่อสารเป็นระยะ ภาพที่ฉายมาราวกับหนังแนวโรแมนติก คอมเมดี้ คนกับดาบแล้วก็แหวนเถียงกันกลางค่ำคืนพักหนึ่งก่อนจะสงบไป ด้วยความปราชัยของสองหนุ่มสาว

         สนุกจริงๆด้วยสิ...
         เขาคิดไปเรื่อยระหว่างทัศนาละลาบละล้วงชาวบ้าน ไม่ทราบว่าแบบนี้เรียกถ้ำมองหรือไม่

         ...เจ้าพวกนี้ถึงกับกล้าเป็นปรปักษ์กับฉันทั้งที่รู้ว่า เป็นเทพปีศาจที่ปกครองวาเรรันเสียด้วย!

         แต่เสียใจด้วยนะ งานนั่นถึงไม่อยากแต่ก็คงได้ยุ่งเกี่ยวด้วยอยู่ดี เพราะอย่างนั้นฉันถึงส่งไปกลางดงออร์คไง

         "ฝากจัดการ 'มาน่าสโตน' ด้วยก็แล้วกันนะ คึคึ" เสียงเจ้าเล่ห์ ไร้ซึ่งมาดจริงจังเอามือปิดปาก พยายามกลั้นหัวเราะของชายคนนี้ เห็นแล้วเหมือนนักแสดงตลกมากกว่าจะเป็นผู้ปกครองชัดๆ

         ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เขารีบตัดการสื่อสารทางลูกแก้ว แล้วรีบยัดใส่ช่องว่างมิติทันที ใบหน้าบ้าๆบอๆเมื่อครู่ปั้นเรียบเฉย และรอต้อนรับแขกสองคนที่เขาก็รู้ว่าเป็นใคร


         "ไงชอง แล้วก็คุณเฟส! พร้อมแล้วหรือยังกับการทัวร์วาเรรันยามดึก!"

         ชายขี้เล่นตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามปกติ แต่หากสังเกตดีๆ มันแย้มยิ้มเกินกว่าที่เคย...

         "เซรอส แล้วสองคนนั่นล่ะ?" ชองเซอาถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย

         ชายผมเปียทำครุ่นคิดไปพริบตาหนึ่งแล้วตอบกลับ "เห็นว่าอยากเที่ยวกันสองคนน่ะ ไม่อยากกวนพวกนาย"

         ชายผมสีชากับ สาวผมน้ำตาลแดงหัวเราะเบาๆพอเป็นพิธี และคุณเซรอสก็เอามือป้องปาก โน้มหน้าเข้าใกล้พูดด้วยน้ำเสียงกระซิบว่า

         "ความจริงฉันว่าพวกนั้น ไม่อยากให้เราไปกวนมากกว่า"

         คำพูดนั้นทั้งดูจริงจัง และขำๆ จนไม่มีใครจับเท็จได้ว่าความจริงของความจริงแล้ว...

        
    เขาต่างหากที่ไม่อยากให้ชองกับเฟสมากวน


         "ไปกันเถอะ เห็นอย่างนี้วาเรรันเองก็ขึ้นชื่อว่าเมืองไม่มีวันหลับเชียวนา!!"


         จบคำโฆษณานั้นเจ้าตัวก็กอดคอเพื่อนแล้วลากออกไปทันที



    ===========================


    ออร์ค... เขียนยากนะเนี่ย... เขียนไงให้มันดูโง่อ่ะ =  ="


    ป.ล. ติดไปคิดมาตัดตอนเจ้าเซรอสนี่ดีกว่า หุหุ

    19.12 แก้คำผิดอีกรอบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×