คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Release 10 [บางสิ่งซึ่งซุกซ่อนในความสงบ]
หุ หุ
ความจริงเขียนเสร็จตั้งแต่ 2 ทุ่มแล้วแต่.... แต่.... เน็ตผมมันเน่าอ่ะเลยอัพไม่ได้
(และก็เล่นเกม + ดูงานให้น้อง ยาวยืดเลย ครบ 100% กันซะทีตอนนี้)
^ ^
ป.ล. มีจุดเซพ 75% ครับ
Release 10
"ให้พวกเราไปส่งถึงแนวหุบเขาจะดีกว่านะ พวกท่าน..."
"ไม่ต้องหรอก แค่นี้เรื่องเล็กพวกเจ้ากลับไปทำงานต่อเถอะ"
ออร์คกลุ่มหนึ่งเอ่อคำลาแล้วจึงเดินแหวกสุมทุมพุ่มไม้เข้าป่าไป ส่วนพวกออร์คอีกกลุ่มผู้มาส่งก็เดินแยกย้ายกันเข้าประตูค่ายกลางป่าทึบตามคำของผู้มีศักดิ์เหนือกว่าทันที ยกเว้นก็เพียงสายตาคู่เดียวซึ่งยังคงจับจ้องต่อไปอย่างแน่นิ่งและเงียบสงบ...
แซ่ก
"รกเป็นบ้า"
พริบตาที่คำสบถหลุดลอดออกจากปาก ชายร่างกายกำยำก็แปรเปลี่ยนเป็นตัวเพรียว พลางเอามือลูบคลำหูยาวสวยของตนไปกับเส้นผมสีทองเงางาม
"เจ้าควรจะมีความอดทนมากกว่านี้ โบรมีเนน พวกเรายังออกมาไม่พ้นเขตค่ายสักเท่าไหร่เลย"
"โอดราฟ เจ้านี่คิดมากชะมัด พวกออร์คงี่เง่าไม่มีทางจับมายาพวกเราได้แน่!"
"พวกเจ้าทั้งสองนี่เมื่อไรจะคุยกันดีๆได้เสียที? ไม่รู้หรือว่างานคราวนี้สำคัญเพียงใด"
สิ้นเสียงตำหนินั้นสองผู้จ้องหน้ากันก็สงบลง แล้วคณะออร์คเมื่อก็แปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มชายหนุ่มใบหน้ายาวหล่อเหลาเอาการ เสื้อผ้าซึ่งสวมใส่ยังคงสีขาวสะอาดได้ทั้งที่เดินป่ากันอยู่บ่งบอกได้ถึงพลังฝีมือของพวกเขาได้เป็นอย่างดี และด้วยความเห็นของเสียงข้างมากพวกเขาตกลงใจกันใช้ผ้าคลุมหัวไว้เสียก่อน พร้อมทั้งเดินแหวกป่ากันไปอย่างไม่เร่งรีบอะไร
"พวกเจ้าคิดว่าไง? ข่าวสารจากพวกออร์คจะเชื่อได้แค่ไหน"
ชายคนหนึ่งเปิดประเด็นสนทนาขึ้นแล้วก็โดนสวนแย้งความคิดขึ้นทันควันว่า
"พวกโง่เง่าพรรณนั้นจะไปหลอกใครเป็นกัน!"
ชายอีกคนหนึ่งส่ายศีรษะเผยให้เห็นเส้นผมสีเขียวใต้ผ้าคลุมประปราย แล้วชายตาสีทองมองเหยียดไปทางผู้แย้งคนนั้น เรือนปากเรียบเชียบขยับขึ้นบ้าง
"ออร์คไม่โง่เสมอไป อย่างน้อยพวกสายพันธุ์ผสมก็ใช้ความคิดมากกว่าเจ้า"
"ว่าไงนะ!? โอดราฟนี่เจ้าหาเรื่องข้าอีกแล้ว!!"
"พอกันทีข้าขี้เกียจห้ามพวกเจ้าทุกคราที่เอ่ยปาก! โอดราฟข้าขอความเห็นเจ้า"
ชายผมทองเอามือจับศีรษะอย่างรำคาญแล้วหันไปทางชายผู้มีทาทีเรียบเฉยที่สุดในกลุ่มหกคนนั้น โบรมีเนนพยายามจะแย้งแต่ก็โดนชายผู้นี้มองเขม่นจนต้องเงียบไป ส่วนอีกสามคนนั้นเดินไปยิ้มไปเมื่อเห็นทีท่าของทีมตน แม้จะพูดกันเอาไว้ว่างานนี้สำคัญนัก แต่ไม่ว่าใครก็ดูจะไม่กดดันสักนิด...
"ทั้งหน่วยสำรวจและหน่วยพิเศษระดับสูงของเราถึงกับหายสาบสูญเพราะถ้ำนั้น แต่คู่ปีศาจไครม์นั่นกลับออกมาได้โดยปลอดภัย ข้าว่าพวกนั้นจะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ถึงแม้ว่าอาจไม่ได้นำอะไรออกมาเลยก็ตามจริงตามพวกออร์คเล่า เพราะเช่นนี้ข้าว่าเราควรตามหาสองคนนั้นก่อน แทนการเสี่ยงเข้าไปในถ้ำซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรจะดีกว่า"
เขาพูดแล้วหันมองไปทางหมู่คณะ ซึ่งแต่ละคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ยกเว้นก็เพียงนายหน้างอเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น...
"เฮอะ ถ้ำปัญญาอ่อน ผู้เฝ้าถ้ำปัญญานิ่ม ไหนเลยพวกเราจะเข้าไปไม่ได้ พวกเจ้านี่คิดมากกันจริง"
ผู้ไม่พอใจบ่นออดแอดไปตามทางดูแล้วก็น่าขัน แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ตัดสินใจกลับเข้าไปลองเชิงในถ้ำอีกรอบ เดินลัดเลาะตามลำธารได้ครู่หนึ่งก็พบบ่อน้ำใหญ่ ใจกลางมีภูเขาหินตั้งตระหง่าน และมีร่องสีดำสนิทเรียกร้องให้เข้าไป ทันใดนั้นทุกฝีเท้าหยุดย่างก้าวฉับพลัน เบื้องหลังมีเสียงเหยียบใบไม้แห้งดังตัดบรรยากาศเงียบเฉียบยามเย็น ทุกสายตาจับจ้องกลับไปยังต้นเสียงนั้นแล้วยิ้มให้ ผ้าคลุมหัวทั้งหมดถูกรวบออกราวกับอยากจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป
"เอลฟ์..." เสียงนั้นเล็ดลอดออกจากในป่า ก่อนจะเผยร่างเรียวผิดจากออร์คธรรมดา ใบหน้าแข็งกร้าวราวกับจะฆ่ากลุ่มคนข้างหน้าทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวให้จงได้
"คุณบุดันบังสินะ? ถ้าข้าจำไม่ผิด"
ชายผมเขียวเอ่ยถามเสียงค่อย อีกฝ่ายไม่ยอมตอบหากแต่ใบหน้าดูกริ้วโกรธหนักยิ่งขึ้น
"ข้าคิดผิด นึกไม่ถึงว่าลูกผสมเองก็โง่ทำอะไรไม่คิดแบบ โบรมีเนน ได้ด้วย"
"ไอ้บัดซบโอดราฟ! ข้าจะฆ่าแก!!"
ชายผมเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่กระตุกต่อมฉุนผู้ชื่อโบรมีเนนน่าดู ถึงขนาดต้องให้พรรคพวกมาฉุดกระชากลากถูไว้ไม่ให้อาละวาด โอดราฟหันกลับไปมองเล็กน้อยแล้วถอนหายใจก่อนจะตวัดข้อมือหนึ่งวูบ ไอเวทอันรุนแรงก็ถาโถมเข้าทับออร์คผู้โชคร้ายอย่างแรง กระเด็นไปพร้อมต้นไม้ซึ่งหักล้มระเนระนาด
"ดูเหมือนหมอนี่จะเก็บงำอะไรบางอย่างเอาไว้ ข้าจะเค้นคอและกำจัดมันเอง พวกเจ้าเข้าไปในถ้ำกันก่อนเถอะ"
สิ้นเสียงเย็นเยียบนั้นชายผมเขียวก็ลอยตัวตามเป้าหมายเข้าไปในทิศทางซึ่งเวทของตนซัดไป ดูน่าขนลุกขนาดพรรคพวกของตัวเองยังอดกลืนน้ำลายไม่ได้ และชายคนหนึ่งก็พูดเสริมขึ้นมาว่า
"โบรมีเนน ข้าว่ามันจะเป็นการฉลาดกว่าหากเจ้าจะเลิกตั้งตัวเป็นศัตรูกับโอดราฟ"
พูดจบเสียงเออออสนับสนุนก็อื้ออึงขึ้นก่อนจะพากันเข้าไปยังหลุมมืดอันไร้ก้นบึ้งอย่างไม่ยี่หระอะไรแม้แต่น้อย
ในขณะนั้นเองบุดันบังก็เพิ่งจะรับรู้ถึงความน่ากลัวท่ามกลางความสวยงามเป็นครั้งแรก...
ชายด้านหน้าเขาไม่ว่ามองมุมไหนก็ราวกับเทพบุตร แต่หากมองลึกเข้าไปในดวงตาสีทองนั้น มันเหมือนกำลังบีบคั้นและกลืนกินเขาลงไปทั้งร่าง เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่เริ่มจะมืดประกอบกับบรรยากาศร่มรื่นของป่าไม้งาม
"คุณบุดันบังข้ามีเรื่องจะถาม โปรดตอบมาตามตรง"
แม้คำเอื้อนเอ่ยจะเพราะพริ้งเพียงใดแต่ออร์คร่างเล็กรับรู้ได้ทันทีว่างานนี้เขาไม่รอดแน่...
ห่างออกมาไกลพอประมาณ บรรยากาศนั้นร่มรื่นเย็นสบาย....
หากจะมีเมืองใดเรียกว่าเมืองใหญ่ในชนบทก็คงต้องเป็นเมืองนี้...
แม้คำว่าปีศาจจะดูซับซ้อนน่าเกรงขาม แต่ความจริงแล้วกลับเรียบง่าย
บ้านไม้เวทมนตร์หลากชั้นหลายสไตล์จัดแต่งกันแบบสบายตา พาหนะสำหรับเดินทางในเมืองเป็นดั่งเครื่องพักผ่อนหย่อนใจ และดูเหมือนจะเชื่องและสนิทสนมกันดีกับคนแปลกหน้า... ถึงแม้ว่าหน้าตามันจะดุร้ายคล้ายมังกรในเทพนิยายก็เถอะ ส่วนงานของมันน่ะหรือ ว่างจนไม่รู้จะว่าอย่างไรดี ถ้าไม่มีพวกอารมณ์สุนทรีย์ต้องการนั่งเล่นฆ่าเวลาก็ไม่มีใครคิดใช้งานมัน เนื่องจากทุกคนในเมืองเล่นใช้เวทมนตร์ได้ราวกับเป็นเรื่องปกติ
ท่ามกลางถนนใหญ่กว้างขวาง ผู้คนเดินสวนทางกันไปมา ดรีมเองอดใจไม่ได้ที่จะประหม่าเล็กน้อย เดินโซเซเหล่ตาลอกแล่กไปทั่วตามท้องถนนเมืองพิกลด้วยตัวคนเดียว มิหนำซ้ำยังมิใช่เผ่าพันธุ์ซึ่งคุ้นเคยกันดีทั้งที่ตัวเขาเองก็เป็นเผ่าพันธุ์นั้นอีกต่างหาก จึงไม่แปลกเลยหากปีศาจทั้งหลายผู้ความรู้สึกดีจะรู้สึกเป็นห่วง นึกว่าเขาจะเป็นลม พยายามจะลากคอเขาเข้าตรวจรักษาด้วยเวทเป็นการใหญ่ และนั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ชัดทีเดียวว่า ปีศาจนั้นรักพวกพ้องเพียงใด
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะทำความรู้จักกับปีศาจแถบนี้อยู่สักพักหรอก ติดก็แค่เพื่อนร่วมทางอีกสองดันเข้ามาไม่ได้นี่สิ และความจริงของความจริงคือหากพวกปีศาจทั้งหลายยอมรับไครม์สักหน่อย เขาคงจะทิ้งมนุษย์เพียงผู้เดียวในกลุ่มไว้ข้างนอกเป็นแน่
"เฮ้อ..."
แล้วก็ต้องถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย เสียดายมันเป็นได้แค่ฝัน ว่าแต่เขาซื้อแผนที่กันจากไหนหว่า? เรื่องแบบนี้ถ้าถามใครสักคนดูมันก็ออกจะน่าสงสัยพอประมาณ เอาไงดีวุ้ย!!
คิดไม่ทันจบสายตามันก็พาไปเที่ยวยังร้านอาหารท่าทางพิลึก ดูจากป้ายแปะหัวร้านแล้วคงจะเป็นร้านขึ้นชื่อของเมือง มีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนกันเข้าไปเรื่อยไม่หยุด
"สวัสดีค่ะ น้องเป็นนักท่องเที่ยวหรือคะ?"
อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน... คงจะใช่มั้ง
เขาตอบกลับในใจ เมื่อหันตามเสียงไปก็พบสาวผมทองกำลังยิ้มหวานให้ ดูจากเสื้อผ้ากับชุดกันเปื้อนสีขาวแล้วคาดว่าจะเป็นพนักงานต้อนรับของร้าน แต่จะว่าไงก็ว่าตามกันพยักหน้าดีกว่าส่ายหัว...
"ว่าแล้วเชียว! เห็นเดินเอ๋อวนไปวนมาอยู่นั่น"
โหแม่คุณ ใจคอจะพูดตรงอะไรปานนั้นครับ!!
"มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าจ๊ะ? หรือถ้าหิวก็เข้าร้านเลย ได้เวลาอาหารกลางวันพอดีเชียว!"
ตบท้ายด้วยการชักชวนพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง ดูแล้วอย่างกับขบวนการหลอกลวงอะไรสักอย่าง แต่ก็หลายรายตามคำเชิญชวนนั่นเดินเข้าร้านไปง่ายๆ ชวนให้คิดว่านี่อาจะเป็นเรื่องปกติของสังคมแถบนี้ก็เป็นได้.... หรือไม่ก็เวทแปลภาษาของเขามันเฮงซวยเอง....
"คือ ผมกำลังหาแผนที่สักอันน่ะครับ"
สิ้นเสียงถามสาวเจ้าก็ทำหน้าตื่น แล้วม่วนคิ้วโวยวายออกมา
"แหมทำอย่างกับเป็นพวกหลุดโลกเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้!"
ผมก็ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าพี่เดาถูกเผง...
"ละ ล้อเล่นจ้า เดินตรงไปตามทางนี้แล้วเลี้ยวซ้ายแยกที่สอง คฤหาสน์โตแสนสะดุดตานั่นแหละกรมเมืองของเมืองนี้"
สาวผมทองเห็นดรีมทำหน้าบูดก็รีบอธิบายต่อโดยเร็ว แต่มันกลับทำให้อีกฝ่ายชักจะมึนขึ้นมาตะหงิดๆ ความจริงอาคารสีขาวหลังโต รั้วซึ่งล้อมรอบดูแข็งแกร่ง มียามเฝ้ารายรอบนั่น เขาก็เดินผ่านมาเรียบร้อยแต่ไม่ได้สนใจอะไรมากกว่าคำว่า "สถานที่สำคัญ" และเดินวนไปวนมาหาร้านเครื่องเขียนแทน แผนที่จะเอาต้องเข้าไปในนั้นเชียวรึ? งานนี้เขารู้สึกว่ามันชักไม่ธรรมดาเสียแล้ว
แต่จะคิดให้มากความก็ไม่ได้อะไรคนที่รออยู่นอกเขตแดนปีศาจบ่นกันตายพอดี เขาจึงรีบเอ่ยคำขอบคุณและล่ำลาสาวปีศาจ ก่อนจะรีบเดินตรงรี่ไปตามทางอย่างรวดเร็วโดยไม่แสดงทีท่าให้ผิดสังเกตสักนิด เพียงชั่วครู่ร่างเขาก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเหล่าทหารยามเฝ้ารั้ว ผู้ทำหน้าบึ้งตึงดุร้ายสมเป็นปีศาจได้ทั้งชาติ ยิ่งเมื่อยืนจ้องหน้ากันมันยิ่งทำให้เหงื่อตก และยิ่งดูให้ดีไอ้สถานที่สำคัญข้างหน้ามันใหญ่กว่าตอนมองผ่านเป็นไหนๆ
"ไอ้หนูมายืนเก้ๆกังๆอะไรแถวนี้?"
ยามคนหนึ่งในหลายสิบถามขึ้น ดรีมเองก็ได้แต่หวังว่าเจ๊สาวเมื่อครู่คงไม่หลอกเขานะ ทำใจได้ชั่วพริบตากลืนน้ำลายอีกหนึ่งอึก เขาก็ใช้ท่าไม้ตายหลอกลวงตัวเองให้เชื่อว่ามันเป็นความจริงเต็มประตู ตอบออกมาด้วยสีหน้ามั่นคงพร้อมเสียงหนักแน่นว่า
"ผมมาขอรับแผนที่ครับ ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้าง?"
ยามทั้งหลายในเหตุการณ์ยักคิ้วแล้วก็ม่วนคิ้วลง บ้างก็เอามือเกาหัว จนดรีมถึงกับคิดจะกลับไปล้างแค้นคนที่ชักนำเขามาทางนี้เสียแล้ว แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อยามคนหนึ่งโพล่งออกมา
"ไอ้หนูนี่ ทำอย่างกับมาจากโลกอื่น!"
ว่าแล้วคุณท่านก็เรียกเสียงหัวเราะร่วนจากยามทุกรายแถวนั้น ไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นมุขที่ทำให้ขำได้ขนาดนี้ หัวสมองของพวกปีศาจมันคิดได้แค่นี้ใช่ไหมวะ เขาจำได้ว่าเขาเพิ่งจะโดนกระแทกหูด้วยประโยคคล้ายกันมาเมื่อกี้นี้เอง...
แต่ถ้าอย่างนั้น...
"มีอะไรน่าขำเหรอครับ?"
คำขัดนั้นทำให้ปีศาจหน้าดุชะงักไป
"ไอ้หนู ต้องการแผนที่น่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ อย่างแกเร็วไปหลายร้อยปี! พ่อแม่แกไม่เคยบอกไว้หรือไง!!"
คือว่า... คงจะบอกได้หรอก พ่อแม่ผมเป็นมนุษย์นี่หว่า
"งี่เง่า...."
ดรีมเผลอสบถออกไปก่อนจะรีบอุดปากสนิท เมื่อหันกลับไปทางยามทั้งหลายพี่แกมองกันตาขวาง
"โอ๊ะ เปล่านะผมเปล่าว่าพวกพี่สักหน่อยเล่นร้อนตัวกันเองแบบนี้ก็แย่สิ สรุปผมจะหาแผนที่ได้จากไหนบอกได้ยัง? งานนี้ผมรีบนะ"
"นี่แก!!!"
ทหารทั้งหมดตรงหน้าหาเรื่อง คงไม่มีใครนึกว่าปีศาจทั้งหน่วยจะต้องมาถูกเด็กบ้าหยามต่อหน้า ให้รู้ถึงไหนคงอับอายขายขี้หน้าถึงนั่น มิหนำซ้ำเจ้าตัวกวนยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้งานนี้มีได้กระทืบให้ดับคาพื้นรองเท้าแน่ แต่ละคนพยายามเดินล้อมกรอบดรีมเอาไว้ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของเหล่าปีศาจซึ่งอยู่แถวนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ก่อนจะเกิดความไม่สงบขึ้นก็มีเสียงหัวเราะร่าขึ้นมาขัดจังหวะแทน ทำให้ทุกคนต้องหยุดกึกเหงื่อแตกพลั่กกันเป็นทาง ยกเว้นก็เพียงหนึ่งเดียวผู้หันมองไปรอบๆอย่างใจเย็น
"เจ้านี่น่าทึ่ง ดีอย่างนี้คงได้สนุกกันเสียหน่อย เข้ามาสิผู้ท้ารับแผนที่ต่างก็รอเวลากันอยู่ข้างในแล้ว..."
เวลา? ผู้ท้ารับ? เฮ้ยๆๆๆ มันชักไปกันใหญ่แล้ว อย่าบอกว่าฉันใช้เวทแปลคำว่าแผนที่ผิดไปนะ !!
ดรีมโวยลั่นในใจ ท่ามกลางหน้าบึ้งตึงของเหล่ายามจำนวนนับสิบ และเสียงเชียร์จากเหล่าปีศาจชาวบ้าน แต่โวยได้ไม่นานประตูเหล็กดำดัดก็แง้มเปิดออกด้วยพลังลึกลับ เสียงอันทรงอำนาจยังคงกึกก้องไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งร่ายเวทแหวกลมแออัดทั่วบริเวณ ชักจูงให้เขาเดินตามทางเข้าไปอย่างง่ายดายจนแม้แต่เขาต้องรู้สึกทึ่ง นับว่าเป็นอีกหนึ่งซึ่งทำให้เขารู้สึกกดดันได้แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นชองเซอาเวลาเอาจริง หรือเซซิสผู้แผ่รังสีอำมหิตได้ตลอดเวลาก็ตาม...
เมื่อย่างก้าวแรกผ่านเขตประตูก็เหมือนก้าวเข้าสู่ข่ายเวทซึ่งทำหน้าที่คล้ายแสกน และเมื่อหยุดรออยู่หน้าประตูไม้ของคฤหาสน์สีขาวโปร่ง ครานี้มีผู้มาเป็นประตูให้มิใช่เพียงแค่เวท ชายใบหน้าซูบซีดเรียวยาว กำลังส่งสายตาคมกริบไม่รับกับรูปยิ้มบนดวงหน้าสักนิด เขาเอามือจับผ้าคลุมสีดำสะบัดแล้วเผยมือให้เข้าไปด้านในอย่างสุภาพ
จากนั้นชายคล้ายท่านเคาท์ก็เดินนำไปจนถึงห้องโถงกลาง หลังคากระจกใสโค้งมนโอบอุ้มผู้คนมากหน้าหลายตาเอาไว้ และผู้โดดเด่นที่สุดคือชายร่างท้วมใบหน้ายิ้มแย้ม แต่รัศมีกดดันนั้นทำให้ดรีมถึงกับเหงื่อตกอีกรอบ นี่คือผู้กล่าวทักทายระยะไกลเมื่อครู่อย่างไม่ต้องสงสัย
"เฮ้ยๆ ไอ้เด็กนี่นะ? ท่านฟีเลมจะเอาจริงเหรอ!!"
ชายร่างโตใบหน้าหยาบกร้านเอ่ยประชดอย่างแรง เรียกสายตาคมกริบของดรีมไปคาดโทษทันควัน
"จะใครก็ช่างข้าขี้เกียจรอแล้ว"
ครานี้เป็นทีชายผมดำปิดดวงตาทั้งสองเอ่ยขึ้นบ้าง และดูเหมือนว่าสมาชิกที่เหลือจะยิ้มกริ่มและพยักหน้าให้ตามๆกัน จากนั้นชายร่างท้วมเจ้าของบ้านก็เดินอืดตืดไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเด่น หันหน้าให้ทุกคนบ้าง
"ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนักที่วันนี้มีแขกมาเยี่ยมเยียนเยอะผิดปกติ" เขาว่า
"สำหรับการท้ารับ "แผนที่" นั้นมีอุปสรรคและอันตรายยิ่งจนมิอาจรับประกันความปลอดภัย..."
เฮ้ย... แผนที่เนี่ยนะ! อย่ามาตลกได้โปรด !!
ดรีมทำหน้านิ่งพร้อมมาดสงบทั้งที่ในใจนั้นกำลังเต้นกระโดดไปกระโดดมา ส่วนคำอธิบายนั้นก็แว่วเข้าโสตประสาทเรื่อยๆ
"อย่างที่ทุกท่านรับรู้ แผนที่รุ้งฟ้านี้เป็นเครื่องหมายสำคัญแห่งพวกเหล่าหมู่มวลปีศาจ..."
คือ... ผมไม่รู้จะเป็นอะไรไหมเนี่ย....
"ผู้ได้ครองครองจะรับรู้ศาสตร์แห่งอดีต รวมทั้งศาสตร์แห่งปัจจุบันทั้งหมดของชนเผ่าเรา รวมทั้งความลับทั้งหมดของหมู่มวลปีศาจ ดังนั้นผู้จะได้ครอบครองมันจะต้องได้รับคัดเลือกเป็นอย่างดี... แน่นอนแม้แต่ข้ายังไม่สามารถ"
จะบ้าเหรอไงวะ! ผมขอแผนที่แบบแผ่นกระดาษน่ะมีไหม? มีไม๊ ไม่มีผมไม่เอาก็ได้!!!
"เอาล่ะ เพราะฉะนั้นข้าจะเริ่มการทดสอบ ณ บัดนี้!"
จบการพูดเปิดงานเหล่าปีศาจกว่าสิบในห้องก็ร้องฮือฮากันขึ้น ราวกับกำลังปีติยินดีอย่างสุดซึ้ง ผิดกับหนึ่งเดียวซึ่งกำลังกุมขมับยินดีจนน้ำตาเล็ด ดูเหมือนว่าจะถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ต้องพัวพันกับเรื่องใหญ่โตเหลือหลาย หากรู้ตั้งแต่แรกว่าปีศาจไม่มีแผนที่อื่นนอกจากไอ้ รุ้งๆ อะไรสักอย่างนี่ เขาคงเลือกวิ่งเข้านครสายหมอกอะไรนั่นของพวกออร์คไปแล้ว!!
รอบนอกของหมู่บ้านใหญ่มีลานว่างขนาดใหญ่ น่าแปลกว่าทำไมถึงแทบไม่มีใครย่างกรายเข้าเขตนั้นเลย สาวผมน้ำตาลอ่อนนั่งหลบมุมถัดจากแถวนั้นไปเล็กน้อย ใช้เพียงพุ่มไม้จากป่าละเมาะบดบัง โดยมีเพื่อนคุยเป็นเด็กหนุ่มผมดำขลับ ซึ่งตอนนี้ชักจะเข้าใกล้การเข้าฌานเต็มทน หาวหมวดจนแมลงบินผ่านไปผ่านมาได้หลายรอบ อีกทั้งท้องก็ชักร้องโครกคราก
"นานจัง นี่เขาไปหาแผนที่หรือเดินเที่ยวเนี่ย"
"มะ ไม่หรอกมั้ง อาจจะมีเรื่องกันนิดหน่อยก็ได้นะ... ยิ่งนิสัยแบบตานั่น"
ลีนเปิดฉากนินทาระยะไกล แต่กลับทำท่ากระวนกระวายยื่นหัวออกไปดู ประกอบกับมีคนหน้าสลดเดินเข้าลานว่างมาพอดี โดยมีปีศาจเดินรายล้อมมามากมาย และหนึ่งในนั้นถือดาบเล่มใหญ่ลากครูดพื้นดินมาตลอดทาง
"หรือจะเป็นลานประหารนะ พวกนี้ทำอะไรโจ่งแจ้งจริงๆ"
ชานนท์โผล่หัวขึ้นไปดูได้นิดหนึ่งก็ต้องหดหน้าสีซีดกลับ
"เขาทำอะไรผิดล่ะนั่น มีเด็กร้องไห้ให้ด้วยน่าสงสารจัง..."
"คุณลีน! นั่นมันเรื่องของพวกปีศาจอย่าไปยุ่งด้วยเชียวนะคะ!!"
แหวนในมือร้องเตือน คราวนี้แม้แต่ชานนท์เองยังพยักหน้ายอมรับความคิดเห็นนั้น นับเป็นครั้งแรกที่เขาไม่เออออห่อหมกให้สาวสวยคนนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่านิสัยรั้นของคุณเธอมันไม่ธรรมดาเอาเสียเลย!
"แต่เขาคนนั้นแค่ขโมยของเล็กน้อยเองนะ..."
"คุณลีน!! เวทดวงตาจิตรับรู้ของคุณยังไม่สมบูรณ์นะ แบบนี้เดี๋ยวพวกนั้นก็รู้ตัวหรอก ปีศาจไม่ได้หลอกง่ายแบบออร์คนะคะ!!"
"ถ้างั้นก็ช่วยให้สมบูรณ์ทีสิดีเวนัส"
ว่าเข้านั่น... ที่แย้งความจริงมันกลัวผลที่จะตามมาต่างหาก ถ้าช่วยไปแล้วจะมีอะไรต่างกันด้วยเหรอ!!
ในระหว่างสาวเจ้ากำลังเดือดปุดๆ ชายเพียงหนึ่งเดียวดันขวัญหนีดีฝ่อ ก้มหัวงุดๆไม่อยากเห็นสิ่งที่จะตามมา เมื่อดาบเล่มโตง้างขึ้นเหนือศีรษะ แล้วร่ายรำไปมาพอจะเป็นพิธีก่อนลงดาบ....
"เคร้ง!"
พริบตาสุดท้ายก่อนดาบจะตวัดลงเป้าหมาย บางสิ่งบางอย่างก็กระแทกเสียจนดาบยักษ์นั้นกระเด็นหลุดมือเพชฌฆาตไปท่ามกลางความแตกตื่นของผู้ชมเหตุการณ์ โดยไม่ต้องเสนอตัวเหล่าจอมเวทแถบนั้นใช้พลังอันมหาศาลแหวกป่าละเมาะจนเปิดโล่งเผยตัวตัวปัญหาในพริบตา คนหนึ่งนั้นเป็นชายหัวหดก้มลงตัวสั่นแนบกับพื้น แต่อีกหนึ่งนั้นเป็นไครม์สาวหน้าบึ้งตึงกำลังจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง ชนิดต่อให้ไม่เรียกร้องคุณเธอก็คงกระโดดออกมาเองแน่
"ไครม์..."
เสียงเพชฌฆาตเอ่ยเรียก แต่สาวเจ้าเล่นทำหน้าแบบประมาณว่า "ไม่ตาบอดก็ควรจะรู้"
"เจ้าเข้ามาที่นี่ทำไม? อย่าบอกนะว่าลืมสัญญาที่ฝ่ายตนว่าเอาไว้น่ะ"
ลีนฟังแล้วได้แต่ทำหน้าเหยเก สัญญาอะไรเธอจะไปรู้เรื่องได้ยังไงกัน แต่ที่สำคัญกว่าน่ะ...
"พวกนายมันโหดร้ายป่าเถื่อน!"
มาถึงก็ด่าซะงั้น ไม่ให้งงก็คงจะแปลกอยู่ ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะทำหน้าตาเหรอหรากันเป็นแถบไม่เว้นแม้แต่ผู้จะโดนประหาร จู่ๆจอมเวทผู้ลากคุณเธอออกมาก็เบิกรอยยิ้มพร้อมพ่นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะอุบมันไว้แล้วเอ่ยต่อไปว่า "กฎย่อมต้องเป็นกฎ" ซึ่งมันทำให้ลีนถึงกับฉุนกึกเถียงออกมาบ้าง
"เชอะ! กฎบ้าบออะไรกัน กะอีแค่ขโมยผลไม้ของก็ได้คืนยังจะต้องฆ่าแกงกันด้วย!!"
ฝ่ายปีศาจหัวเราะ หึ หึ เย้ย
"อ้อ แอบดูพิธีกรรมของเราตั้งแต่ต้นเลยสินะช่างเป็นเกียรติ์จริงๆ ว่าแต่ใครจะฆ่าใคร?"
"ยังจะเถียงอีกก็เห็นกันอยู่ต่อหน้าต่อตา!!"
"คุณลีนครับ! พอเถอะเผ่นดีกว่าน่า!!"
ชานนท์ที่เพิ่งเริ่มตั้งสติได้โวยวายลั่น ส่วนพวกปีศาจกลับมีคนหัวเราะนำแล้วหัวเราะตามกันเป็นแถบ
"ขำอะไรยะ !!" ลีนโวยตอบบ้าง แต่ก็ต้องชะงักไปกับคำตอบจากท่านเพชฌฆาตที่ว่า
"แค่พิธีตัดผมต่างหากเล่ายายเซ่อ"
ไม่เพียงแต่ลีนแม้แต่ชานนท์เองยังถึงกับอึ้งตัวแข็งทื่อไปง่ายๆ สรุปงานนี้มีเรื่องเพราะการตัดผม !?
"ตัดผมอะไรกันใช้ดาบ... ดาบ... ใหญ่ขนาดนั้นอ่ะ!!"
"สำหรับพวกเราชนเผ่าปีศาจรักเส้นผมเท่าชีวิต และพวกเราเองก็นับถือกันเองเสมือนพี่น้อง หากมีคดีความเกิดขึ้น การง่ายที่สุดที่จะบันทึกเรื่องราวก็คือเส้นผมของคนนั้นเอาไปสลักเวท ซึ่งมันก็ต้องตัดผมของเขาไปนิดหน่อย เพื่อเป็นทำความเคารพต่อเส้นผมเหล่านั้น พวกเราจึงต้องทำพิธีนี้ขึ้น มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าเข้าใจแม้แต่น้อย แม่หนูไครม์"
ลีนโต้กลับไปทื่อๆ แต่แล้วจอมเวทผู้เปรียบเสมือนผู้คุมพิธีก็ร่ายยาวออกมาบ้าง คราวนี้แม้แต่เธอเองยังนิ่งสนิท เพราะคำตอบมันผิดคาดอย่างรุนแรง ได้แต่อึกอักพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่เด็กหนุ่มอีกคนทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากุมขมับน้ำตาเล็ด
"แต่เจ้านี่น่าสนใจเป็นบ้าถึงกับเสี่ยงเข้ามาช่วยปีศาจเชียว อย่างไรเสียกฎก็ย่อมเป็นกฎ ในฐานะผู้คุมกฎข้าคงปล่อยไปไม่ได้ พวกเราจับไครม์นั่นซะ!!"
ชั่วพริบตาทั้งนักสู้ทั้งจอมเวทก็พุ่งเข้าล้อมรอบชานนท์กับลีนเอาไว้สนิท ลีนเองก็ทำจะแข็งขืนในตอนแรกแต่จู่ๆก็นิ่งลงจนเด็กหนุ่มผู้มาด้วยโวยวายลั่น
"ก็อยากจะหนีหรอกนะ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรจะแก้ตัวล่ะ เข้าไปเที่ยวในเมืองปีศาจบ้างก็ดีนะ"
ลีนว่าพลางก็ยื่นมือให้ตาเฒ่าโดยง่าย และก็โดนเชือกมนตรามัดเสียแน่นตามระเบียบพร้อมคำพูดทิ้งท้ายว่า
"เจ้าจะได้เที่ยวในสถานที่ซึ่งไม่เคยมีใครได้ไปแน่อย่าเป็นห่วง"
แม้คำพูดจะเหมือนพูดเล่น แต่น้ำเสียงเย็นนั่นช่างเสียดแทงจิตใจคนธรรมดายิ่งนัก โดยเฉพาะมนุษย์ธรรมดาซึ่งไม่มีความสามารถอะไรกับเขาเลย จึงไม่แปลกหากเขาจะนั่งนิ่งสนิท ขยับพอโดนจับก็พยายามดิ้นรน สุดท้ายก็โดนหิ้วแขนทั้งสองข้างลากตามไปอย่างทุลักทุเล แต่จู่ๆกลับมีเสียงจากผู้รายล้อมแว่วออกมาว่า "เจ้าหมอนี่มันมนุษย์นี่นา"
ซึ่งมันเรียกสายตาของทุกมวลปีศาจให้ย้อนกลับมาเพ่งเล็ง เอ่ยคำสิ้นคิดพร้อมกันว่า...
"อะไรนะ!"
ขณะนั้นเองชายผมน้ำตาลยาวผู้เผลอทำถุงใส่ขนมร้านดังของเมืองร่วงหล่นลงพื้น และสบถกับตัวเองทันทีที่เห็นเหตุการณ์
"ยัยลีน... เธอทำอะไรของเธอ!!"
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เอามือกุมศีรษะก่อนจะหันมองไปรายรอบ และหลบไปตั้งตัวแทบไม่ทัน เขาเองก็เพิ่งจะสำนึกได้บัดเดี๋ยวนี้เองว่า ไม่ควรจะคิดอยากเดินเที่ยวในเมืองนี้อีกสักพัก มันศักดิ์สิทธิ์เกินคาดเสียแล้ว!
75%
ภายใต้ร่มไม้กลางสวนย่านชุมชน ปีศาจเด็กผู้ใหญ่เดินเริงร่าผ่านไปมา แต่ชายผมสีน้ำตาลยาวกลับนั่งสงบนิ่งอยู่นานสองนาน บ้างก็หยิบขนมทำจากแป้งสอดไส้สารพัดขึ้นเคี้ยวทีละคำสองคำ ใบหน้ามุ่ยสนิทจนผู้สัญจรผ่านไปมานึกว่าอาหารไม่ถูกปาก ไม่ช้าเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วยกกล่องสีเงินเงางามขึ้นจ้อง
"ดูเหมือนยัยนั่นไม่ขัดขืนเลยแฮะ แต่ก็อย่างว่าจะทำอะไรให้เอิกเกริกก็คงไม่ดี"
ดรีมทำทีเหมือนคนบ้าพูดกับตัวเอง แต่จู่ๆเสียงก็เล็ดลอดตอบออกมาจากสร้อยห้อยคอรูปดาบบ้าง
"ก็ยังดีนะครับคุณได้ไอ้นั่นมา ได้ใช้งานกันก็คราวนี้"
"เฮอะ ฉันขอยืนยันคำเดิมไทม์ ตอนแรกฉันขอแค่แผนที่แผ่นกระดาษ...."
พูดจบเขาก็หัวเราะแก้เซ็งเล็กน้อย แล้วนึกไปถึงแบบทดสอบเมื่อสักครู่ใหญ่นี้ มันกินพลังวิญญาณเขาไปไม่น้อยเลย เริ่มด้วยบททดสอบกิ๊กก๊อกจับไก่ในป่า และไก่บ้านั่นเป็นจิตเวทที่ท่านผู้ตรวจการสร้างขึ้น ไวเป็นจรวดทีเดียว บทต่อมาให้ขุดดินลงไปตักลาวา ขั้นสามทดสอบไหวพริบกันเล็กน้อย เรื่องกล้วยๆ แต่ไอ้อันสุดท้ายสิ พรรคพวกผู้ร่วมกันทดสอบส่ายหน้าแหยเป็นแถบ มันคือการต่อสู้กันด้วยความสามารถพิเศษของปีศาจนั่นคือ "พลังจิต"
ส่วนคู่ต่อสู้ไม่ใช่ใครอื่น ผู้ตรวจการจอมหลอกลวง บอกว่าไม่มีแผนที่กับใครเขา... ความจริงคือไม่มีแผนที่สามัญชนแต่มีเป็นแบบพิเศษของพวกระดับปกครอง และความจริงของความจริงคือไอ้หมอนั่นมันซัดซะเต็มแรงจนคนร่วมทดสอบร่างโตกระดูกหักทั่วร่าง จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าแหยมอีกเลย ยกเว้นก็แต่เขา...
ใจจริงดรีมเองก็ไม่ได้อยากยุ่งด้วยเล้ย แผนที่อะไรนั่นไม่เอาก็ได้วะเสียแรงเปล่า แต่เจ้าดาบตัวแสบดันแกล้งตอบตกลงให้... จะปฏิเสธก็ช้าไป จะให้เผยความลับเรื่องไทม์ก็ไม่เข้าท่า สุดท้ายก็ต้องเลยตามเลยหันหน้าเข้าชนกันตรงๆ และทั้งที่กฎมีเพียงแค่ "หากยืนอยู่ได้จนครบเวลา 10 นาทีถึงจะสอบผ่าน" พอเริ่มการต่อสู้ไอ้คุณผู้คุมก็ดันปะทะเข้าเต็มแรง เขาเองจะออมมือก็ไม่ได้ จบท้ายตาลุงอ้วนดันเพลินซัดกันไปกว่ายี่สิบนาที คฤหาสน์หลังโตถล่มทลายแทบราบ ผู้ปีศาจหนีตายกันยกใหญ่
โอ้แม่เจ้า เขาเลยกลายเป็นคนดังในพริบตานั้นเอง เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ยกันทั้งคู่ ยังดีท่านผู้คุมที่เคารพมีให้เปลี่ยน
ดรีมชำเลืองเสื้อผ้าทอคอกว้างซึ่งสวมใส่อยู่ แล้วลองดึงเสื้อคลุมแขนยาวสีดำของตนอีกครั้ง จะว่าใส่สบายก็ใช่ แต่ให้เทียบกับของวาเรรันแล้วสู้ไม่ได้เอาเสียเลย เวทคุ้มครองก็เบาบางเหลือหลาย แต่ได้กล่องบ้าบอนี่มา มันคุ้มกันไหมเนี่ย?
ไม่สิ ไม่คุ้ม!!
เพราะมัวเสียเวลาเรื่องราวถึงได้วุ่นขนาดนี้ไม่ใช่เหรอไงวะ ป่านนี้ไอ้เซรอสนั่งหัวเราะเยาะอยู่แน่ๆ
"เฮ่ รู้ข่าวกันหรือยัง? ข่าวใหญ่ในรอบหลายสิบปี นานแค่ไหนแล้วนะที่ไอ้พวกไครม์ไม่เคยเหยียบย่ำมาที่นี่ !!"
ชายผมน้ำตาลต้องเหงื่อตกกับคำโวยวายซางตามมาไม่หยุดอีกระลอก
"โฮ่ยรู้แล้ว! เมื่อกี้ก็ตามไปดูอยู่ รู้สึกว่าไครม์สองตนนั่นจะถูกจับลงสู่ "วิหารอิลเลียม" เพื่อตัดสินโทษด้วยนี่"
"เอ้ย..." ดรีมเผลออุทานออกมาเล็กๆ ดวงตาเบิกโพลง ปากอ้ากว้างขึ้นฉับพลัน
"มันไร้สาระจริงๆ ออกมาห้ามคนจะตัดผมเลยโดนโทษประหารแบบนี้ ก็วิหารอิลเลียมเคยตัดสินโทษอื่นเสียเมื่อไหร่กัน"
ว่าแล้วเจ้าตัวคนพูดก็หัวเราะลั่น
"บ้าเรอะ ใครบอกว่าสองไครม์ มีหนึ่งมนุษย์ด้วยต่างหาก!"
"มนุษย์?"
"อะไรนะมนุษย์???"
"เออ อย่างว่านั่นแหละมนุษย์ตัวเป็นๆ"
"เฮ้ย!!"
"!!!!"
เสียงคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นเหมือนสายลมแว่วพัดผ่าน
ทุกอย่างหวีดไปแล้วก็หวิวมาจนตาลายคล้ายจะเป็นลม
ในใจของเขาตอนนี้มีเพียงคำว่า.... "บัดซบที่สุดเลย"
ไม่สิหนึ่งเดียวที่ไม่แว่วผ่านไปแล้วไปลับคือ เสียงหัวเราะประสานเสียงกับผู้อื่นของไอ้ดาบมารห้อยคอนี่... ไม่รู้มันจะขำหาพระแสงอะไร สุขนักนะเห็นคนอื่นลำบาก!!
เขาลุกขึ้นเตรียมจะไปหาข่าวสารอะไรสักหน่อย แต่จู่ๆก็เกิดมึนหัวแข้งขาอ่อนกะทันหันล้มลงก้นจ้ำเบ้าอย่างจัง ฝืนจะลุกขึ้นอีกครั้งก็ไม่กระดิก การต่อสู้กันเมื่อครู่ส่งผลมากกว่าที่คิดมากนัก เจ้าตัวเลยได้แต่ยิ้มแหยแล้วหาต้นไม้พิง เวลานั้นเองเสียงอันแสนคุ้นเคยก็หัวเราะคิกคักแล้วทักมาจากเบื้องหลัง
"ไงจ๊ะพ่อคนเก่ง"
สาวผมทองที่บอกทางให้เขาเข้าทำเนียบนั่นเอง...
"ไม่อยากจะเชื่อเลย เธอนี่ยอดเป็นบ้า"
มาถึงก็ชมเอาๆ ขอบคุณครับแต่ผมไม่ต้องการ
"แต่ท่านฟีเลมก็ไม่ใช่เล่นเลยใช่ไหมล่ะ ดูจากท่าทางเธอแล้ว สมกับที่เป็นแนวหน้าของอิลเลียมจริงๆ"
"อิลเลียม?"
ดรีมทำหน้าตื่นขึ้นทันควัน เขาจำคำนี้ได้ถนัดหูทีเดียว
"ใช่ก็อิลเลียมนั่นแหละ ว่าแต่เธอเป็นนักท่องเที่ยวสินะ ไม่มีที่ไปใช่เปล่า? มาพักที่ร้านฉันก่อนไหม จะได้เป็นนางกวักให้การค้าเจริญขึ้นสักหน่อย คนอยากเห็นหน้าเธอกันเต็มไปหมด ผู้ได้รับแผนที่จากท่านฟีเลมสงสัยว่าเธอจะเป็นคนแรก!"
โอโห! เจ๊พูดมาได้ตรงแน่วไม่มีปิดบังสักนิด ให้ไปเป็นนางกวักเรอะ
ว่าแต่มาดไม่ให้ว่าจะเป้นเจ้าของร้านเลยแฮะ
เหอะ เหอะ
"แถมอาหารเย็นฟรีมื้อ โอเคมะ?"
แน่ะมีต่อรองอีก... เจ๊!!
"สาวสวยคนนี้ช่วยพยุงไปด้วยนะ โอเค๊?"
หึ หึ ขึ้นเสียงสูงเหรอ การต่อรองขั้นสุดท้ายสินะ ใครมันจะ...... ปะ-ติ-เสด
"ไปก็ได้คร้าบ~~~" จนด้วยเกล้าแล้ว ตอนนี้แม้แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ ขยับตัวยังไม่ไหวนี่นา!
"ดีมากจ้ะ!! งั้นไปกันเลย!!"
ว่าแล้วคุณเธอก็ตบมือแปะใหญ่ ทำหน้าเริงร่าเหลือหลาย ก่อนจะโน้มตัวลงพยุงดรีมลุกขึ้นอย่างนุ่มนวล เดินกันไปทั้งอย่างนั้น
"ฉันชื่อ เปียราเน่ นะเธอชื่ออะไรเหรอ?"
เธอถามทั้งรอยยิ้มขนาดที่ดรีมยังอดประหม่าเล็กน้อย หาชื่อเหมาะๆไม่ได้ต้องตอบชื่อจริงไปโดยตรง ซึ่งหากเธอจะแปลกใจมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่คุณเธอดันชมกลับว่าเพราะดีเสียอีก ระหว่างทางนั้นเธอจ้อไม่หยุดฉุดไม่อยู่สาธยายถึงเมืองชายแดนอันแสนสงบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะบารมีของท่านจ้าว บลาๆ
"พี่... แล้วอิลเลียมนี่จะไปยังไงล่ะ?"
เธอทำตาโตแล้วมองหน้าคนที่ตนพยุงในระยะประชิดจนเจ้าตัวแสบถึงกับหน้าแดง
"ต๊าย! หลุดมาจากนรกขุมไหนยะ!!"
สาวเจ้าอุทานลั่นทำให้ดรีมต้องหน้างอ
คราวนี้ไม่บอกว่าหลุดโลกแล้วเหรอครับ ส่งผมไปนรกเลยเหรอครับ !!
"คือผม..."
จะแก้ตัวก็ไม่รู้จะว่าไงอีก ให้ตายเถอะความรู้ของชนเผ่าออร์คมันช่วยอะไรเขาไม่ได้จริงๆ
ดรีมนึกว่าจะเผยพิรุธเสียแล้ว แต่ผิดคาดเมื่อเธอหัวเราะคิกคักอย่างไร้เดียงสาและก็ตอบกลับชนิดน่ารักน่าชังว่า
"ได้แผนที่มาทั้งทีหัดใช้มั่งนะยะ เดี๋ยวจะโง่ทั้งชาติ"
ขอบคุณครับเจ๊ ขอบคุณจริงๆสำหรับข้อมูลอันเลอค่าหาใดเทียมมิได้นี้....
====================================
คิดไปคิดมา มีคอมเมนต์ก็แก้เลยดีกว่า
แต่ก็ไม่ได้แก้เยอะอะไรหรอกครับ....
ไว้รีไรท์รวดเดียวเลยท่าจะดีกว่าแฮะ
ป.ล.ล. รู้สึกมันจะฝืดๆแฮะ สงสัยยังดึงอารมณ์กลับมาภาค 2 ไม่หมด = ="
ความคิดเห็น