คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Release 08 [มิติซ้อนทับ]
100%ล่ะ
และตอนนี้เองที่ท่านจะได้เห็นความเพี้ยนตามคำเตือนที่จั่วไว้บนคำอธิบายเรื่อง!!
(บ้าไปหรือเปล่าหนอ แต่เอาเถอะคนเขียนมันบ้านี่นา!! 555)
ป.ล. ประกาศซ้ำ to ป๊อป และทุกคน ถ้าใครจะร่วมส่งชื่อไทย วิง 1 เชิญตามสบายเลย รับอีกนานมากๆ
(หุหุ)
*****เซพ 50%
Release 08
หากจะมีสิ่งใดยิ่งกว่ารัตติกาล สิ่งนั้นคงไม่พ้นความมืดอันครอบงำจิตใจผู้คนผู้หลงมัวเมาในด้านมืด...
คืนจันทร์บนฟากฟ้าส่องสว่างถึงสองดวงด้วนกัน พร้อมด้วยเปลวเวทสีนวลเปล่งประกาย ฉายภาพเมืองใหญ่สีขาวโพลน ดวงแสงแห่งภูตตัวเล็กตัวน้อย บินวนเวียนกันว่อนพลางหัวเราะคิกคัก รายรอบต้นไม้ใหญ่ใจกลางเมือง รากนั้นหยั่งลงลึกพื้นและผุดขึ้นรอบนอก ราวกับเป็นกำแพงเมืองธรรมชาติ ทั้งบ้านและสิ่งก่อสร้างดูเป็นได้ทั้งสถาปัตยกรรมสมัยเก่าและทันสมัยไปพร้อมกัน
ซึ่งภายในหอสูงข้างพฤกษาแห่งชีวิต สาวผมดำนั่งเหม่อมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนอยู่ริมหน้าต่าง ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะไม่อยู่ในสายตากลมโตสีดำขลับนั้นเลย แม้กระทั่งลมเย็นเยียบซึ่งกัดกร่อนผิวกายนวลก็หาทำให้เธอสะทกสะท้านได้ไม่ ริมสีปากนุ่มขยับคล้ายจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าเสียงนั้นกลับไม่เล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
ภายในห้องโปร่งนั้นชายหน้าตาดีผิวขาวผ่องกำลังปรึกษาอะไรบางอย่างกันที่โต๊ะ แล้วหันมองทางเธอเป็นระยะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หูยาวแหลมของบางคนห่อลงยามคิ้วขมวด เมื่อได้รับข่าวจากสองผู้น้อยซึ่งนั่งคอตกอยู่กับพื้น
"พวกเจ้าบอกว่า พวกที่เหลือไม่มีใครรอดกลับมาได้สักคน... ทั้งที่คู่ต่อสู้เป็นเพียงปีศาจตนเดียวกระนั้นหรือ"
"แต่มันไม่ใช่ปีศาจธรรมดานะครับ!"
ทั้งสองรีบแก้ตัวทันควันและก็ต้องสะอึกเมื่อเงยหน้าไปจ้องตากับผู้ที่นั่งประชุมกันอยู่
"ข้าบอกแล้วอย่าส่งหน่วยสำรวจต่ำชั้นไปก็ไม่เชื่อ แล้วทีนี้จะเอายังไงกันดีเล่า บางทีเจ้าปีศาจที่ว่าอาจจะได้ของสิ่งนั้นไว้ในมือแล้วก็ได้" ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตำหนิปนเยาะเย้ย ทำให้บรรยากาศตรึงเครียดยิ่งกว่าเดิมนัก ชนชั้นผู้น้อยเห็นท่าชักไม่ค่อยดีอยากหลุบหัวหนีออกไปใจจะขาด แต่ถ้าหนีออกไปจริงพวกเขาก็คงไม่รอดอยู่ดี...
"ทั้งที่การทดลองเป็นไปด้วยดีแท้ๆ ขาดก็เพียงแต่สิ่งนั้น... มาน่าสโตนในตำนาน..."
ชายอีกคนหนึ่งพูดลอยขึ้นมากลางวง ซึ่งคนที่เหลือต่างก็พยักหน้ารับเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ พลางไล่สายตาไปเป็นเส้นเดียวกันยังสาวผมดำผู้นั่งท้าวคางอยู่ริมหน้าต่าง ที่น่าแปลกคือเธอคนนั้นกลับดูแตกแยกจากทุกคนในห้องนั้นโดยสิ้นเชิง เธอไม่ใช่เอลฟ์ ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่ไครม์ และไม่ใช่ออร์ค
เธอเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งเคยอยู่ในโลกนี้มาเนิ่นนานแต่ปัจจุบันได้สูญสิ้นไปทั้งหมดแล้ว "มนุษย์"
"แล้วจะเอาอย่างไรกับมนุษย์ผู้นั้นดี?"
เสียงหนึ่งลองถามความคิดเห็นและ คนด้านข้างก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
"อย่างแรกคงต้องสะกดเธอไว้อย่างนี้ก่อน เรื่องภาษาคงต้องใช้มาน่าสโตนเข้าช่วย จะให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงแผนการของพวกเราในตอนนี้มิได้เป็นอันขาด"
แม้ประสาทจะไม่รับรู้ แต่ทว่าเบื้องลึกแห่งสำนึกของเธอกลับหวาดหวั่น แขนทั้งสองข้างกอดอกแน่น ใบหน้านวลมีหยาดน้ำไหลริน ร่างบางสั่นไหวไม่หยุด เธอไม่อาจรับรู้ได้เลยว่ากลุ่มคนพวกนี้จะทำอะไรกับเธอต่อไป แต่ว่ามันต้องไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่
และจากนี้ไป... เธออาจจะไม่สามารถรับรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน...
ณ สถานที่อันห่างไกลออกไป ในเมืองที่ใหญ่ใกล้เคียงกัน หากแต่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาใหญ่สามด้าน บ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างด้วยหินแกร่งสีแดง บ้างก็ขุดเป็นถ้ำทำเป็นทางวงกตเสียทั่วภูเขา ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นคูลึกมีเพียงสะพานขนาดใหญ่ อันต้องใช้แรงออร์คกว่าสิบเพื่อดึงเก็บ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบมีป่าหรอมแหรมอยู่ทั่วไป ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะความจำเป็นต้องใช้ไม้จำนวนมากในการก่อสร้างเมืองนี้นั่นเอง
"พวกคุณเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมพวกนั้นปฏิบัติต่างกับผมลิบลับอย่างนี้ล่ะ"
เด็กหนุ่มผมดำที่เพิ่งได้รับอิสรภาพจากคุกขยับแว่นแล้วถามเสียงใส เมื่อพบว่าห้องใหม่ของตนดูเป็นของคนขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็สร้างด้วยหินมีขนสัตว์ปูอยู่กับพื้น หน้าต่างเล็กนั้นก็เห็นทิวทัศน์ได้ดีไม่ใช่เล่น ถึงแม้ว่าทั้งที่นอนและเก้าอี้อื่นๆ จะใหญ่โตผิดปกติไปสักนิด แต่มันก็ดูท่าจะเหมาะกันดีกับพวกออร์คล่ำบึ้กนั่น
มนุษย์อีกสองทำหน้าราวกับนึกไม่ออกว่าจะตอบอะไรดี ก่อนที่สาวผมน้ำตาลจะพูดเสียงค่อยว่า
"จะว่ามนุษย์ก็ไม่เชิงหรอกนะมันกึ่งๆมากกว่าน่ะจ้ะ"
เด็กหนุ่มผมดำตาโตขึ้นฉับพลัน ใบหน้าที่เบือนมองออกไปนอกหน้าต่าง หันขวับกลับอย่างรวดเร็วชนิดคอจะเคล็ดก็ไม่แปลกอะไรแม้แต่น้อย
เขาสะบัดหน้าดึงแว่นออกและขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือสีซีดของชายผมน้ำตาลยาวแซมม่วงชี้เข้าหาตัวเอง พูดด้วยใบหน้าเฉยเมยว่า "ฉันน่ะกึ่งปีศาจ ส่วนยัยนี่กึ่งไครม์"
"ไครม์!?" เด็กหนุ่มผมดำพูดตามเสียงดังแล้วหันมองสลับไปสลับมาระหว่างทั้งสอง ถ้าเขาไม่ได้บ้าและเขาหลงมิติมาจริง นี่คงจะเป็นเรื่องแปลกพิสดารที่สุดในชีวิตเขาก็เป็นแน่ เพียงแค่คำว่าไครม์ที่ว่าเขาเพิ่งเคยได้ยินก็ครั้งนี้
"คือ... ไครม์นี่คือพวกนางฟ้าหรือเปล่าครับ?"
"อ๊ะ ปากหวานด้วยแน่ะ บางทีอาจจะใช่ก็ได้มั้ง!" เขาถามต่อด้วยท่าทีงงสุดชีวิต ซึ่งลีนก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน ผิดกับอีกคนหนึ่งซึ่งมองเขาด้วยสายตาพิกล ปากเองก็ขยับยิ้มเล็กน้อยแต่... เขาว่าปากแบบนั้นมัน... เตรียมจะงับหัวเขานี่นา!!
"เรื่องตัวเองเป็นมนุษย์น่ะอย่าไปพูดให้คนอื่นรู้จะดีกว่า เพราะเผ่าพันธุ์นั้นสูญพันธุ์ไปนานแล้ว"
คำพูดเรียบง่ายแสนเย็นชากระชากแก้วหูเขาอย่างจัง ซึ่งมันฉุดร่างของเขาลุกพรวดขึ้นในพริบตาเดียวกัน ปากอ้าค้างพูดออกมาแต่ อะ อะ อะ และก็อะไรบางอย่างที่ไม่เป็นภาษา เด็กหนุ่มพยายามจะตั้งสติให้ดี ใช่ สติของเด็กอายุสิบห้าหมาดๆ ซึ่งเพิ่งจะพ้นงานเลี้ยงคลื่นยักษ์มานี่เอง
พวกคนไม่ใช่คนเงียบตามไปด้วยเนื่องจากพอคาดออกว่าอีกฝ่ายกำลังช็อคแค่ไหน ภายในห้องโตนั้นเหลือเพียงเสียงลมร้องหวีดหวิวจนกระทั่งเด็กหนุ่มยิ้มบางขึ้น
"ผมคงฝันไปใช่ไหม..."
ทั้งสองทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ไม่ห่างกันนักแล้วส่ายหน้าตอบ พลางกวักมือให้เขานั่งลงบ้าง จะอย่างไรก็ตามทีงานนี้ท่าจะคุยยาวเป็นแน่
"แล้วผมจะกลับบ้านได้ยังไงล่ะครับ ป่านนี้ทั้งเพื่อนทั้งพ่อแม่ผมคง..."
เขาพูดแล้วหยุดลงแค่นั้น เมื่อนึกถึงคลื่นยักษ์ซึ่งถาโถมเข้าใส่ สภาพแบบนั้นการจะรอดได้ก็เปรียบเสมือนปาฏิหาริย์แล้ว ซึ่งการที่เขามาอยู่ที่นี่ได้ก็คงเป็นหนึ่งในปาฏิหาริย์เช่นกัน
ห้องทั้งห้องเงียบลงอีกครั้งจนกระทั่งสาวผมน้ำตาลเปิดประเด็นใหม่ลบความหดหู่ว่า
"มาแนะนำตัวกันก่อนดีไหม? ฉันลีน ส่วนด้านข้างนี่ดรีม พวกเราเกิดที่เซนเรนน่ะ!"
"เซนเรน?"
คำตอบกลับทำให้ทั้งดรีมกับลีนถึงกับเลิกคิ้ว เมืองที่ว่าเป็นเมืองสำคัญมากๆของโลกเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครไม่รู้จัก... ใช่คนในป่าในเขาอย่างพวกหมู่บ้านมายาซาลาลีเซียยังรู้จักเลย!
"ไม่จริงน่า... เมืองแห่งการแพทย์ของยาโลเนซันไง" ดรีมชักจะรู้สึกตะหงิดเลยเปิดปากถามบ้าง แต่คุณน้องก็แค่ทำเบี้ยวคิ้วยุ่ง
"ยา...โลชั่น?"
ถ้าฟังไม่ผิดหูเขาจับความได้อย่างนั้นนะ แต่ดูจากหน้าของอีกฝ่ายแล้วผิดชัวร์!
"ผมชื่อ ชานนท์ครับ มาจากประเทศไทย"
เขาตอบกลับด้วยเสียงเกือบกระซิบ แต่คนหูดีทั้งสองกลับทำหน้าตื่น
"ช่านอน?" ดรีมว่าพลางแล้วขมวดคิ้ว
"ประเทศ...? ไทยเหรอ???" ลีนทำหน้ายุ่ง ถามชนิดไม่ต้องการคำตอบ
คำว่าประเทศนี่มันไม่คุ้นเอาเสียเลย แต่จากรูปประโยคก็คงหมายถึงการแบ่งแยกการปกครองต่างกันไปล่ะมั้ง และจากโลกของเขาและเธอใช้คำว่าแคว้นแทน ซึ่งจากเหตุการณ์นี้สิ่งเหลือเชื่อเกินคาดบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งสาม
นั่นคือกลุ่มคนหลงโลกโคจรมาพบกันบนโลกอื่น และ... มาจากต่างโลกกันเสียด้วย!!
"จากชื่อพวกคุณตอนแรกผมนึกว่าพวกคุณเป็นคนอเมริกาซะอีกนะเนี่ย"
"อเมริกาอะไรไม่รู้จักวุ้ย ดูท่าจะเป็นปัญหาหนักซะแล้วสิ... ชาน่อน"
ดรีมว่าพลางพยักเพยิดไปทางเด็กหนุ่มผมดำซึ่งมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
"ชื่อชานนท์ครับพี่ ชื่อเล่นเดช"
ดรีมพยักหน้าหงึกๆแล้วพูดตามบ้างว่า
"เดธ เดต เด๋ เด๋อ...."
"เฮ้ยพี่ชื่อผมเน่าหมดแล้ว แค่ง่ายๆพูดไม่ได้อีก!!"
"เรียกชาน่อนแหละดีแล้ว ออกเสียงง่าย"
นั่นปะไรชื่อโดนยำ...
เป็นกรรมของเด็กหนุ่มผมดำที่ต้องมาเจอกับตัวถล่มชื่อชาวบ้าน และนี่เป็นคนที่สองซึ่งถูกตระกูลเมลเลอร์แปลงชื่อ... หลังจากคุณ "บู" สาวผมน้ำตาลผู้เอาแต่นั่งฟังได้แต่พยายามปิดปากกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ แต่ก็มีเสียงคิกคักเล็ดลอดออกมาเรื่อย ดรีมกับคุณพ่อโนอาร์นี่เหมือนกันจริงๆ!
"งั้นฉันช่วยแฉอีกอย่างอย่าไปบอกใครล่ะ ความจริงแล้วพวกเราเองก็คงไม่เป็นมิตรกับพวกออร์คหรอก ถ้าตานี่ไม่ไปตุ๋นซะพวกออร์คเชื่อสนิทใจ"
สาวสวยพูดไปหัวเราะไป ฝ่ายผู้ชายผมน้ำตาลรีบทำหน้าดุคล้ายจะปราม แต่ก็มิอาจยั้งริมฝีปากงามให้หยุดขยับได้
"เล่นเอากระดูกใครก็ไม่รู้ในประตูมาโมเมว่าเป็นองค์ชายออร์คที่สาบสูญ...
"นี่เธอ!! เรื่องแบบนี้พูดออกไปได้ยังไง!!"
ดรีมตวาดใส่แต่คุณเธอก็ยังตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยกไหล่ตอบอย่างสบายอารมณ์ เด็กหนุ่มแอบนับถือเธอในใจ ถ้าคนที่เถียงอยุ่กับชายคนนี้เป็นเขา... เขาคงพูดออกมาไม่เป็นภาษามนุษย์ ชนิดคาถาแปลอะไรซึ่งคนพวกนี้ใช้ยังจับความไม่ได้อย่างแน่นอน!
หลังจากนั้นปีศาจอารมณ์บูดก็ทำการคาดคั้นให้มนุษย์ดวงตกสารภาพความจริงออกมาทั้งหมด ทั้งเรื่องที่ว่ามาจากไหน มาได้ยังไง จำอะไรได้บ้าง... ซึ่งคำตอบนั้นก็ช่างแปลกนัก...
การเดินทางข้ามมิติจำเป็นต้องมีพลังมหาศาลเป็นตัว "ผลักดัน" หรือ "ดึง" แล้วลำพังคลื่นยักษ์มันจะมีกำลังเพียงพอจะทำให้มิติบิดเบี้ยวเชียวหรือ ถ้าให้เชื่อมกับคำพูดของเซรอส โลกนี้มีงานต้องจัดการ... บางทีแล้วเรื่องราวมันอาจเกี่ยวเนื่องกันอยู่ก็ได้... ส่วนโลกที่เด็กคนนี้อยู่ดรีมทำอยากรู้ได้ไม่ถึงสิบวินาทีก็เบื่อแล้วบอกปัดให้เล่าข้ามไปง่ายๆ
แต่มันก็ไม่แปลก ขนาดเรื่องของโลกตัวเองยังไม่คิดจะจำเลยนี่น้า....
ลีนนึกนินทาในใจแล้วส่ายหน้าไปมา กระตุกต่อมฉุนของคนด้านข้างเล็กน้อย และถามความเห็นจากดาบแหวนหาพรรคพวกสนับสนุน เล่นเอาปีศาจหน้าดุทำได้แต่กัดฟันกรอดเนื่องจากทำอะไรไม่ได้ ในขณะที่เด็กน้อยจากต่างแดนจะร้องไม่เป็นภาษาขนาดเกือบจะใช้เวทกักเสียงเอาไว้ไม่ทัน มิเช่นนั้นแล้วคงมีองครักษ์หน้าเขียววิ่งเข้ามาเยี่ยมเยียนกันมากมายเป็นแน่
ก็... พวกเขาอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าวังหลวงของออร์คจริงแท่แน่นอนทีเดียว...
"จริงสิครับ!" ชาน่อนตบมือเสียงดังเหมือนนึกอะไรได้ ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันกลับห้องตัวเอง แล้วเอ่ยเสริมไปว่า "ผมว่า... ตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นผมอยู่ในดวงแสงกับคนอีกคนหนึ่ง..."
เขาพูดได้แค่นั้นแล้วชะงักไป ในดวงแสงนั้นเขาจับอยู่กับมือแสนนุ่ม เรือนผมสีกำยาวสลวยราวกับมายา ใบหน้าเธอนวลผ่อง และ ดวงตากลมโตนั้นแม้จะเหม่อลอยแต่มันกลับสวยงามจนเขาเคลิ้มหมดสติไปแค่นั้น
อาการเช่นนี้ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตกหลุมรักขั้นสาหัส
ใบหน้าของเด็กหนุ่มขึ้นสีเลือดเล็กน้อยพอจะให้ทั้งสองจับเค้าได้ ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
"แหม ท่าจะเป็นหญิงสาวซ้ำยังสวยด้วยล่ะสิท่า... เนอะ!"
ลีนพูดทีจริงทีเล่น แต่เด็กหนุ่มถึงกับหลุดออกจากโลกส่วนตัว สะดุ้งกระโดดผึงขึ้นจากเก้าอี้แล้วทำทีเลิกลั่ก
"คะ คือผม..." เขาตะกุกตะกักพูดไม่ออกอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะโพล่งต่อว่า "สงสัยโชคชะตาคงนำพาล่ะมั้งครับ!"
เจ้าตัวพยายามจะยิงมุขให้ขำเล่นระงับความอาย แต่สายตาซึ่งทั้งสองตอบ... กลับฉายแววประหลาดใจอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่สายตาคมกริบของดรีมจะจ้องอย่างเอาเรื่อง คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถึงกับขนลุกชันโดยไม่ได้ตั้งตัว รวมทั้งแข้งขาก็อ่อนยวบยาบลงทันที
ถึงจะมุขแป้ก แต่พี่ถึงกับจะฆ่าผมเลยเหรอครับ! แววตานั่นฆาตรกรยังไม่มีเลยขอบอก!!
เขาลอบโวยในใจ เนื่องจากปากไม่สามารถขยับพูดได้อีกแล้ว เหงื่อไม่รู้ผุดออกจากไหนไหลไม่รู้จักหยุด และความตึงเครียดก็คลายลงอย่างเชื่องช้าพร้อมรอยยิ้มบางไร้อารมณ์ ส่วนแววตาสีน้ำตาลนั้นเขามองแล้วเหมือนกับว่ามันทั้งเสียดาย... และก็เยาะเย้ยเขาไปในเวลาเดียวกัน
"เฮอะ สุดท้ายก็แค่นี้ จะไปตายที่ไหนก็ไปเลยแกน่ะ" ดรีมหันหลังให้แล้วเดินออกประตูไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย หากแต่มีคำพูดเสียดแทงจิตใจให้เด็กหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวยืนอ้าปากหวออยู่อย่างนั้น เขาพยายามกลืนน้ำลายหลังผ่านวิกฤตชีวิตอีกระลอกไปได้ แล้วหันไปหาหญิงสาวผมน้ำตาลซึ่งทำหน้ายุ่งสนิท... ปมขนาดนี้จะให้แก้ เห็นทีคงต้องพยายามเป็นวันเป็นแน่...
"เธอนี่ร้ายจริงๆ พูดเข้าจุดต้องห้ามพอดี" ลีนว่าแล้วก็ต้องถอนหายใจ โดยมีแหวนในมือด่าย้ำคนไม่รู้เรื่องรู้ราว
คือ... ความจริงแล้วไม่รับมุขก็ไม่เห็นต้องคลั่งขนาดนั้นนี่นา...
"อันที่จริงพวกเราก็เคยเป็นคนธรรมดามาก่อน แต่ด้วยโชคชะตาซึ่งเทพติ๊งต๊องสร้างขึ้น... มันทำให้ทุกอย่างพลิกผัน พวกเราไม่ต้องการโชคชะตานั่น ไม่ต้องการให้ใครมาบงการชีวิตแม้ผู้นั้นจะเป็นเทพ หรือพระเจ้าก็ตามที จนในที่สุดเราก็ได้รับสิ่งที่เรียกว่า อิสระ แต่การนั้นกว่าจะได้มาก็ไม่ใช่ง่าย และหมอนั่นเองก็เป็นตัวตั้งตัวตีมาโดยตลอดจนต้องตายไปรอบนึง กลับมาได้ก็ยังต้องปะทะกับพวกยมโลกอยู่ร่ำไปเลยนะ"
คำอธิบายนั้นฟังดูเหมือนจะเข้าใจแต่...
งง
มันก็เข้าใจบ้าง แต่...
ไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่ให้สรุปคร่าวๆก็คือ
"พวกพี่สาวเกลียดโชคชะตาสินะ ถึงได้เดือดออกปานนั้น"
ลีนยิ้มบางให้เหมือนบอกว่า มันก็อย่างนั้นแหละ
"เรื่องมันอาจจะเข้าใจยากสักหน่อย แต่ความคิดพวกนี้มันก็ฝังหัวพวกเราซะแล้วสิ" ลีนพูดเนือยๆแล้วเดินออกจากห้องไปอีกคน
"เดี๋ยวสิพี่! หมายความว่าพี่จะทิ้งผมในโลกแบบนี้คนเดียวเหรอ!!"
ชาน่อนพูดเสียงดัง แต่แหวนอารมณ์ร้อนก็ตอกกลับทันทีว่า
"เชื่อในโชคชะตา ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันนำไปเองสิ พวกฉันไม่ขอยุ่งด้วยหรอก!!" สาวผมน้ำตาลทำเหมือนจะเขม่นเจ้าแหวน แล้วเอื้อมมือจะปิดประตู แต่ดูเหมือนละอองอะไรสักอย่างจะออกจากแหวนนั่น แล้วปิดประตูใส่หน้าของเขาซึ่งวิ่งตามมาโครมใหญ่ และยืนนิ่งสนิทอยู่อย่างนั้นไปอีกพักหนึ่ง จากนั้นแข้งขาก็อ่อนแรงลงฉับพลัน ทรุดลงไปนั่งคุกเข่าเอามือกุมขมับ
ปั้ก ปั้ก ปั้ก...
หน้าผากของคนที่มั่นใจว่าแข็งโขกเข้ากับไม้ประตู ก่อนที่จะหงายท้องนอนแผ่หลา เหม่อมองไปบนเพดานอันว่างเปล่า มันช่างว่างเปล่าจริงๆ เหมือนเขาตอนนี้เป๊ะเลย...
สรุปปากพาจน?
ซวยเพราะมุขตลกแป้กๆ?
แล้วใครจะไปตรัสรู้ก่อนเล่า!
ถ้ารู้แต่แรกรับรองได้เลยว่าเขาจะไม่พูดคำว่าโชคชะตาให้ได้ยินเป็นอันขาด!!
50%
ค่ำคืนผ่านพ้น ความหนาวเย็นของหุบเขากระทบผิวกายจนสั่น แต่ทว่าสัมผัสแรกสุดของวันกลับเป็นความรู้สึกเจ็บจากเสียงทึบดังว่า "โป๊ก"
"อะ โอ้ย!!"
น่าแปลกที่ตายังสลึมสลือแต่ปากยังไวอุทานไปอย่างเฉียบพลัน ประสาทการรับรู้เริ่มกระเตื้องสิ่งที่อยู่ในสายตาของเขาคือหญิงสาวหน้าหวานชวนเคลิ้ม ก้มลงมองอย่างเป็นห่วง กับชายผมยาวหน้าตาโหดร้ายยืนกอดอกมือเหมือนซ่อนอาวุธไว้เชือดคอเขาได้ทุกเมื่อ...
"อะ อ้าว... นี่อยู่ห้องเดียวกันเลยเหรอครับ?" คนงัวเงียพูดเสียงค่อยกึ่งหลับกึ่งตื่น กระนั้นมันก็สามารถทำให้ดรีมกับลีนถึงกับสะอึก ความจริงแล้วมันก็ชินกับการอยู่ด้วยกันหรอกนะ แต่ว่ามันก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดี แต่โกหกมาตั้งแต่คราวพบกับบุดันบังว่าเป็นสามีภรรยาหนีตามกัน ข่าวเองก็ไวเหลือเชื่อก่อนที่เขาจะเข้าเมืองก็มีองค์ชายแห่งออร์คนาม อูรุกัน มาต้อนรับและจัดการเรื่องที่พัก รวมทั้งแพร่กระจายข่าวสารเตรียมไว้เรียบร้อย
ไม่ต้องเดาเลยว่าคู่ไครม์ปีศาจคู่นี้โด่งดังเพียงใดในมวลหมู่ออร์คทั้งหลาย
"ช่างมันเหอะ แล้วนี่แกมาหลับพิงประตูห้องทำไมวะ" ดรีมตัดบทฉับเดียวขาดกระจุย ด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่น่าเชื่อ แล้วโบกมือไล่ประมาณว่าให้รีบไปให้พ้นทางซะเดี๋ยวนี้ ก่อนจะโดนเท้าว่างงานหนึ่งคู่ยันกระเด็น
"ก็... คือ ผม..."
"กลัวพวกฉันจะหนีไปขนาดนั้น?" รอยยิ้มเยี่ยงปีศาจเผยอขึ้นบนใบหน้าดุอีกครั้ง เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารแทบจะเผลอกระโดดถอยหลังหัวโขกกำแพง ยังดีที่ยั้งเอาไว้ได้ทันเสียก่อน "อย่าทำเรื่องไร้สาระจะดีกว่า ถ้าอยากหลบจริงหายไปต่อหน้าต่อตายังได้"
พูดทิ้งท้ายแค่นั้นเจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไปหน้าตาเฉย หนุ่มน้อยชะเง้อหน้ามองสาวผมน้ำตาลด้วยแววตาละห้อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขา
"แล้วจะไปไหนกันครับ?"
"ไม่เห็นจะเกี่ยวกับแก" ดรีมพูดเสียงแข็งแล้วเดินต่ออย่างไม่ใยดี แต่สาวในชุดสีอ่อนด้านหลังกลับยิ้มให้แล้วบอกว่า "ไปเดินเล่นจ้ะ จะไปด้วยก็ตามมาแล้วกัน" เด็กหนุ่มผมดำยิ้มร่าขึ้นทันใด ผิดกับชายผมยาวที่คิ้วขมวดจ้องใส่เขาอย่างพร้อมจะกินเลือดกินเนื้อ ไม่แปลกอะไรเลยที่เขาจะต้องสะดุ้งเฮือกแล้วกลืนน้ำลายเล่นอยู่พักใหญ่ สายตาแบบนั้นให้ไปจ้องใส่สัตว์ป่าเห็นทีมันคงเผ่นกันป่าราบแน่!
ชาน่อนพยายามยันร่างกายเหน็บรับประทาน และแข้งขาอันสั่นเทาลุกขึ้นยืน แล้วก็ต้องพบว่าชุดเสื้อเชิ้ตชายหาดของเขามันมอมแมมสิ้นดี กางเกงลายสาวระบำฮาวายก็เน่าเต็มทน ตาเหล่มองท่านปีศาจร้ายผู้นำเที่ยวแล้วหน้าก็ต้องซีดเผือดเมื่อหมอนั่นรู้ตัวทัน พูดดักทางมาว่า
"อย่าไปเปลี่ยนเลยแบบนี้กลิ่นจะได้เหมือนพวกออร์คหน่อย"
ฮึ่ม...
งานนี้แม้แต่เขาซึ่งขึ้นชื่อว่าอารมณ์เย็นดุจน้ำแข็งสองขั้วโลกยังเดือด ชายผู้อยู่ข้างหน้าเขานี่ทั้งร้าย และกวนเหลือรับประทานจริงๆ
บ้านเมืองออร์คหากมองด้วยใจไร้อคติแล้วมันก็ดูครึกครื้นเฮฮาไม่เลว มิหนำซ้ำจากทั้งนิยายการ์ตูนต่างๆเขาไม่เคยคิดเลยว่าออร์คจะมีบ้านเมืองใหญ่โตได้ขนาดนี้ ถึงการจัดระเบียบจะไม่ดีเท่าไรนักเพราะมีหินระเกะระกะขวางทาง แต่ทว่าบ้านเรือนกลับตั้งกันได้เหลื่อมไปตามระดับสวยงาม จากสูงสุดไล่ไปยังประตูเมือง และตามตัวภูเขาเองก็มีผู้อาศัยอยู่เช่นกันเรียกได้ว่าคล้ายเป็นคอนโดของโลกทีเดียว... แต่เป็นคอนโดเขาวงกตนะ... ส่วนตัววังจะแปลกไปหน่อยเพราะมีลานว่างข้างหน้าติดขอบหน้าผา ตัววังเองดูไม่เหมือนวังเพราะอยู่ในภูเขาเช่นกัน แต่การประดับประดานั้นเรียบง่ายแต่ก็สวยงาม
ซึ่งเป็นเรื่องเตือนให้ระลึกเอาไว้ได้เลยว่าออร์คไม่ได้โง่เกินไปนัก อย่างน้อยก็กับระดับผู้ปกครองร่างเพรียว...
และจากสายตาของผมสองคนข้างหน้านี่เข้ากับออร์คได้ดีมากถึงมากที่สุดทีเดียว ไปไหนใครก็ทักมีลากเข้าร้านขายของอีกต่างหาก จะว่าไปพวกเขาก็หลงโลกมาเหมือนกันแต่เอาเงินจากไหนมาใช้กันหนอผมล่ะอยากรู้จริงๆ แล้วเรื่องสุดสำคัญทำไมภาษาที่เขาใช้ออร์ครู้เรื่องแล้วเขาก็ฟังออก!!
ว่าแต่นี่เขาไม่คิดจะสนใจผมสักหน่อยล่ะหรือ ทั้งที่ออร์คทั้งหลายจ้องมองกันแทบไม่เว้นระยะให้หายใจ การใส่ชุดเดินชายหาดมาเดินตามหุบเขามันก็เด่นพออยู่แล้ว นี่ดันมาเดินโชว์ตัวให้พวกไม่ใช่มนุษย์ดู พวกมนุษย์เขียวใส่เสื้อหนังไม่กี่ชิ้นทั่วร่างพวกนี้!
"ปั้ก!"
ร่างเล็กชนร่างบึกบึนสีเขียวเข้าอย่างจัง เนื่องด้วยการมองร้านรวงรอบด้านเพลินไปหน่อย ชาน่อนชะเง้อหน้าซีดขึ้นมอง ส่วนนายออร์คก็โน้มตัวลงจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าย่นคล้ายสุนัขพันธุ์บลูด็อกทีเดียว
ความจริงแล้วชนกันแบบนี้คนเจ็บต้องเป็นผมสิ มันเหมือนเอารถยนต์ชนบรรทุกเชียวนะ!
เขาชำเลืองมองไปข้างหลังเพื่อหาตัวช่วย แต่ตัวช่วยกลับโบกมือบ๋ายบายให้แต่ไกล แบบนี้แถวบ้านเขาเรียกว่า
ตัดหางปล่อยวัด...
แต่เดี๋ยวก่อนรอสักครู่ แถวนี้มันมีวัดด้วยเหรอ!
"เดี๋ยวสิคุณดรีมคุณลีนรอด้วย!!"
เสียงตะโกนนั่นคงพอจะส่งไปถึง แต่คุณเพื่อนมนุษย์สองคนดูเหมือนจะไม่เหลือความเป็นมนุษย์ซะแล้วหรือไง ถึงทิ้งเขาไปง่ายดายปานนี้ สองมือสองขาไขว่คว้าหาอากาศ ส่วนตัวเขานั้นโดนหิ้วคอเสื้อเดินดุ่ยๆเข้าบ้านหลังหนึ่งไปเสียแล้ว
มันก็นับเป็นภาพที่น่าสงสารอยู่แต่ชายผมน้ำตาลยาวยังเดินไปหัวเราะไป จนหญิงสาวที่เดินด้านข้างตีหน้าดุเข้าใส่
"นี่ดรีมเธอจะปล่อยเอาไว้อย่างนั้นจริงเหรอ พลาดอะไรไปท่าจะแย่นะ"
สองขายังก้าวเดินไป สายตายังมองรอบด้านอย่างเพลิดเพลินใจ ของขายแถวนี้เขาแทบไม่เคยพบเคยเห็นจากไหนมาก่อนเลย อีกอย่างเกมที่พวกออร์คเล่นกันยามว่างมันก็พิลึกดี อย่างเช่นว่าแข่งกันแบกหินมาชนกันแล้วหินใครแตกก่อนก็แพ้ไป บ้างก็แข่งปีนป่ายหลังคาบ้านคนอื่นจนหลังคาทะลุต้องมาด่ากันจนมีคนมุงเต็มไปหมด แม้แต่คนยิ้มยากอย่างดรีมยังเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ
"อย่าไปใส่ใจเลย ปล่อยให้หมอนั่นเผชิญโลกกว้างซะบ้าง" คนใจยักษ์เอ่ยแล้วหัวเราะต่อ
"แต่นี่มันคนละโลกกับของหมอนั่นเลยนะยะ ที่สำคัญยังเด็กออกขนาดนั้น"
ดรีมถอนหายใจเบาๆ
"เมื่อกี้ก็โบกมือส่งสัญญาณให้พวกออร์คไปแล้วนี่ ยังไงก็ไม่เป็นอะไรหรอก แล้วใครกันที่วันนี้เดินซะเป็นเส้นตรง ต่อให้งี่เง่าแค่ไหนก็คงไม่หลงหรอก จะตามมาก็ไม่ยาก"
"นี่ดรีม..." สาวผมน้ำตาลรีบเดินไปดักหน้าแล้วจ้องตาเขาตรงๆ "เธอคงไม่ได้แกล้งเพราะแค่รู้สึกว่ารำคาญหรอกนะ"
ดรีมเบือนสายตาหลบไปวูบหนึ่งแล้วตอบกลับตรงๆว่า "คงเป็นไปได้" เพราะสายตาอย่างนั้นสายตาของหญิงสาวข้างหน้านี่เขาหลอกไม่เคยได้สักที "แต่เธอก็ใจอ่อนเกินไปนา จะให้พวกเราคอยช่วยไปซะทุกเรื่องได้ยังไง"
คำพูดนี้เปิดฉากใหม่ของวงการเมื่อทั้งเจ้าดาบนรกที่ห้อยคอ และแหวนทั้งห้าของสาวเจ้ากลับช่วยสนับสนุน แม้แต่ดรีมเองยังต้องอ้าปากค้าง เพราะตามปกติแล้วหากมีเสียงลอดมาจากเจ้าพวกนี้ต้องเป็นเขาทุกทีที่โดนยำเสียเละ!
"แต่จะไม่ช่วยเลยก็ไม่ได้อ่ะ อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้ว่าเมื่อคืนเด็กนั่นแค่พูดเล่น"
ดรีมส่ายหน้าฉับพลัน มีเหรอจะไม่รู้แต่ฉุนมันก็คือฉุนอยู่ดีนี่หว่า
"จะพูดเล่นได้ก็ต้องมีตกค้างอยู่ในสมองก่อนถึงจะสั่งการมันออกมาอยู่ดีล่ะน่า"
ลีนหัวเราะคิกคัก ถึงคำพูดเมื่อครู่จะเหมือนมีหลักการ แต่ความจริงแล้วมันคือการแถไถไปเรื่อย!
"หะ หัวเราะอะไรของเธอ!" เมื่อเห็นว่าโดนรู้ทันเจ้าตัวก็ตะกุกตะกักตวาดออกมา ก่อนจะผ่อนลมหายใจแล้วพูดต่อไปว่า "ฉันไม่คิดหรอกว่าจะมีใครมากำหนดโชคชะตาของผู้คนในอาณาเขตวาเรรัน อีกอย่างนะเซรอสส่งพวกเรามาที่นี่เพราะมีเรื่องให้ทำ บางทีแล้วงานนั้นหากถึงขั้นเทพคงจะทำไม่ได้ เพราะจะถือเป็นการแทรกแซง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วก็สรุปได้ว่างานนี้ไม่มีเทพที่ไหนมาร่วงวงสังสรรค์ด้วยแน่"
ลีนพยักหน้าเห็นด้วย
"นั่นสรุปได้ว่าเธอไม่เชื่อว่ามีคำว่าโชคชะตาที่นี่ และเด็กนั่นเองก็ไม่ได้โดนอะไรกำหนด เพราะงั้นถ้าเขาอยากตามเราไปด้วยมันก็ได้สิจริงเปล่า"
ดรีมถึงกับยักคิ้วเมื่อฟังคำสรุปนั่น มันก็จริงหมอนั่นมีอิสระแต่เรื่องอะไรต้องเอามันมาผูกกับพวกเขาด้วยเล่า พวกเขาไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กสักหน่อย!!
"หึ ท่าทางเธอจะอยากช่วยมันจริงเลยนะ"
คนเดือดปุดๆเบือนหน้าหลบแล้วออกเดินต่อ แต่ก็ต้องหยุดเท้าทันทีเมื่อสาวเจ้ากลับตอกใส่กบาลว่า
"หึงได้แม้แต่เด็กเลยเหรอคนเรา"
"นี่เธอ!"
คราวนี้เป็นทีให้ลีนแกล้งเบือนหน้าหลบบ้าง ซ้ำยังแกล้งเดินหลบคนขวางทางนำหน้าไปง่ายๆ
ชายผมยาวมองย้อนไปด้านหลังก็พบว่ามีคนใส่ชุดแปลกวิ่งโบกมือมาแต่ไกล ใบหน้าระรื่นทั้งน้ำตา หมอนั่นตามมาทันจนได้ นับว่าเซนต์ไม่เลวแต่แค่นี้จะให้เขายอมรับน่ะไม่มีวัน
"จะให้ไปด้วยก็ได้ แต่ต้องขอทดสอบก่อนนะลีน"
"ทดสอบ?" ลีนถามอย่างประหลาดใจ ส่วนดรีมกลับหันไปแสยะยิ้มให้เด็กหนุ่มในชุดชายหาด แล้วดึงลีนเข้าไปในร้านอาวุธด้านข้างทันที
ในไม่ช้าชาน่อนก็วิ่งโร่เข้ามาหอบในร้าน ก่อนจะมองไปรายรอบด้วยหน้าตาเหรอหรา
นี่มันมีแต่อาวุธประหารทั้งนั้นนี่นา...
ว่าแล้วก็ต้องหันไปทักทายคนรู้จักสักหน่อย แต่เอ๊ะทำไมหน้าตาแปลกๆ
คุณลีนทำหน้ามุ่ยให้ แต่อีกคนกลับยิ้มบางแจก โลกคงใกล้ถล่มเต็มทนแล้วมั้ง!
และคำเฉลยสำหรับเหตุการณ์ประหลาดก็เผยออกมาจากปากของคุณปีศาจว่า
"ถ้าอยากตามมา อีกสองวันนายจะต้องลงแข่งการประลองประเพณีของพวกออร์คแล้วชนะให้ได้"
จากนั้นตัวคนพูดก็เดินมองอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลาย แล้วชี้บอกให้เลือกตามใจชอบ เขาจะจ่ายให้เอง...
คือว่าชาตินี้ทั้งชาติผมเพิ่งจะได้จับแค่มีดทำครัวกับลูกดอกปาข้างฝา และปืนงานวัดเท่านั้นเองนะครับ ไอ้ของคร่าชีวิตใครพวกนี้ไม่เคยแม้แต่จะแตะ แล้วจะให้ผมไปประลองงานอะไรนะ... งานประลองของพวกบ้ากล้ามคลั่งการต่อสู้!!
เด็กตัวเล็กๆอย่างผมเนี่ยนะ พี่จะฆ่าผมเหรอ!!!
"ว่าไงเอาไงดี?" ดรีมแกล้งทำหน้ายียวนกวนเข้าให้อีกดอก ในขณะที่ชาน่อนยืนตัวสั่นหงึกๆ
"พี่จะบ้าหรือเปล่าแค่สู้ให้รอดก็เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ให้ชนะด้วยนี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้กว่าซะอีก!"
ดรีมหยุดพูดดูท่าทีครู่หนึ่งแล้วแสยะยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นว่า
"ถ้าจะไปด้วยกันก็ต้องเข้ากันได้ คำว่าเป็นไปไม่ได้นั่นแหละใกล้เคียงกับการทำลายโชคชะตาที่สุดแล้ว จะรับหรือไม่รับตอบแค่นั้น ถ้าไม่พวกฉันจะหายตัวไปในพริบตานี้เลย..."
จะว่าเป็นคำถามก็ไม่ใช่ จะเป็นการถามความเห็นก็ไม่ใช่ นี่เป็นทางเลือกซึ่งเปรียบเสมือนคำสั่งบีบให้ต้องทำเท่านั้น ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าอะไรผลักดันปากให้ขยับเวลานั้น ผมยืนนิ่งอยู่นานแค่ไหนเขาก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ทุกอย่างมันดูเชื่องช้าไปหมดแม้แต่เสียง... อันที่จริงผมอยากจะบีบคอตัวเองให้หยุดคำพูดนั้นซะ บางทีการปล่อยเลยตามเลยอาจจะมีทางรอดชีวิตง่ายกว่า แต่ความรู้สึกซึ่งเอ่อล้นมันอยากชนะ
ไม่ใช่อยากชนะเลิศอะไรทั้งนั้น แต่มันอยากชนะผู้ชายชอบแกล้งเด็กคนนี้!
เพียงแค่นั้นแหละที่มันผลักดันให้ เด็กแสนธรรมดาอย่างผมต้องจับดาบลูกขึ้นสู้!
ทั้งที่สองวันผ่านไปไวอย่างกับนิยาย ผมแค่ออกไปอะจ๊าก ว้ากๆ หน้าเมืองนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง!! ตายแน่แล้วงานนี้!!!
ปั้ก
"เหวออออ!!!!"
มือนุ่มนวลแสนอบอุ่นแตะไหล่เขาเบาๆ เพียงแค่นั้นคนขวัญผวาก็ร้องลั่นจนตกเก้าอี้ ขนาดคนแตะเองยังทำตาโตถอยหลบเล็กน้อยด้วยความตกใจเลย!
"อะไรยะ ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอไง" สาวเจ้าพูดแล้วแกล้งทำหน้าบูดเหมือนจะงอน และเธอคนนี้เองทำให้เขาไม่ต้องใส่ชุดฮาวายเดินร่อนทั่วเมือง หรือใส่ชุดหนังไซส์พี่บิ๊กของคุณออร์คทั้งหลาย... ตอนนี้ชุดที่เขาใส่ก็เป็นเสื้อยืดแขนสามส่วนแต่พับแขนเลยศอกมานิด พร้อมเสื้อกั๊กคลุมอีกชั้น และกางเกงขายาวใส่สบายสีน้ำตาล
แต่จะดูไปมันก็คุ้นๆนะ... มันเหมือนกับของ...
แต่มันเป็นไปไม่ได้น่าหมอนั่นน่ะหรือจะให้เขายืมเสื้อผ้า!!
"ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นล่ะ ระวังเข้าเหอะเดี๋ยวก็แสดงฝีมือไม่ออกกันพอดี"
ไม่ตื่นฝีมือก็ไม่มีจะแสดงคร้าบ!!
ชาน่อนว้ากในใจแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา
"แบบนี้ท่าจะไม่รอดหรอกค่ะคุณลีน เตรียมฝังเถอะ"
"เฮ้ย!!"
เสียงเล็กเสียงน้อยกะแทกโสตประสาทของเขาอย่างจัง เจ้าแหวนบ้านี่ปากเสียไม่ใช่เล่น สองวันมานี่ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน มันจะต้องเหยียบย่ำกระทืบซ้ำจิตใจให้จมพสุธาอยู่เรื่อย ไม่นับชายปากเสียจอมกวนประสาท และจี้ดาบห้อยคอซึ่งนิสัยแทบจะลอกกันมานั้นด้วย...
"@#%$&*=ชาน่อน!!!"
เสียงใหญ่โตมโหฬารขานเรียกมาแต่ไกล ต่อให้ลีนไม่แปลเขาก็เข้าใจอยู่ดีว่ามันคือการเรียกเขาลงสู่ลานประหารทรงโดม ให้เทียบกับที่โลกมันเป็นโดมแข่งฟุตบอลได้เลยทีเดียว พวกออร์คนี่ก็ชอบอะไรเวอร์ๆไม่น้อยเช่นกัน
"สู้เขานะ!" ลีนโบกมือเชียร์ให้ แล้วเดินหลบไปอีกทางคาดว่าจะขึ้นไปยังที่นั่งคนดูซึ่งแทบจะล้น แต่เขารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะอยู่กันที่ไหน... ใช่ที่นั่งวีไอพีสำหรับองค์ชายและผู้ใกล้ชิด...
สองขาแข็งสนิทเหน็บจะเขมือบให้ได้แต่เขาก็พยายามลากตัวเองไปถึงจนได้ ทันทีที่โผล่พ้นทางเล็กเข้าสู่พื้นที่วงกลมขนาดใหญ่ หูของเขาก็ต้องเต้นไปมาตามเสียงโห่ร้องของพวกออร์คบ้าพลังนับหมื่น บทจะหันหลังกลับมันก็ไม่ทันเสียแล้วสิ!
นี่เขาจะต้องโดนฆ่าตายท่ามกลางฝูงชนมากมายขนาดนี้เชียวเหรอ!!
ชาน่อนเดินอุดหูไปจนถึงใจกลางแล้วหันมองไปเรื่อย แล้วก็ต้องพบสาวสวยคนเมื่อครู่ยืนโบกมือให้จากกลุ่มออร์คร่างเพรียวมีซึ่งประดับประดาด้วยเครื่องเพรชพลอยตามฐานะ และคนที่เขายัวะจนต้องลงแข่งก็นั่งมองสบายใจเฉิบมาจากทางนั้น
เชอะแน่จริงลงมาแข่งด้วยเลยสิวะ
เขาสะบัดหน้าหลบราวกับเมินไม่ใส่ใจปีศาจหนึ่งเดียวซึ่งแสยยิ้มให้ ก่อนจะหูผึ่งและตาค้างโตเมื่อได้ยินประกาศต่อไป
ว่า...
"@#%$&*=ดรีม!!!"
"วะ ว่าไงนะ!!!"
เขาร้องลั่น และหมู่ออร์คก็ยิ่งร้องเฮฮาหนักข้อเมื่อคนคนนั้น เดินดุ่ยๆมาจ้องเขาจากขอบรั้วซึ่งสูงร่วมห้าเมตร แล้วกระโดดลงมาหน้าตาเฉย และไม่ทันไรเขาก็มายืนอยู่เบื้องหน้า
เมื่อครู่เขาว่าเขาแค่คิดเล่นๆนะ
คิดเล่นเรื่อยเปื่อยจริงๆ!!!
==========================
เอาล่ะ
งานนี้มีอะไรแปลกๆ ชื่อไทยไม่พอแต่มันดันเป็นคนไทยซะด้วย!!
ป.ล. คนอ่านมีใครชื่อชานนท์เปล่า ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งลิ้นของดรีมมันเรียกชื่อไม่ชัดเลยโดนยำเรียบร้อย 5555+
(ความจริงถ้าใช้ชื่อไทยในเรื่องแล้วมันฟังแปลกๆน่ะนะ เลย...)
ความคิดเห็น