ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณหญิงบ้านนา [จบแล้ว มี Ebook]

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2 วังปรัตถกรวงศ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.24K
      15
      5 พ.ย. 64

     

    “ร้ายกาจ”

    หญิงอ่อนวัยกว่าเอ่ยหลังจากได้รับฟังเรื่องราวอันน่าสะเทือนตับไตไส้พุงที่แม่เพิ่งเล่าจบ

    “ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ท่านป้าของแกน่ะ ทำอะไรไว้มากมายเกินกว่าที่เเกจะนึกออกเลยล่ะ” ผู้เป็นแม่กล่าว

    เธอยังจำได้ดี เมื่อวันนั้น วันที่เธอกับสามีนั่งคุกเข่าตรงหน้าเสด็จ อ้อนวอนขอร้องจนเสด็จเกือบจะใจอ่อน ถ้าท่านหญิงรำไพไม่ยุยงใส่ความพวกเขา ปานนี้กิ่งกล้าอาจจะมีชีวิตที่ดีอยู่ในวัง ไม่ต้องมาทนลำบากเช่นนี้...

    พี่สาวคนนี้ของกิตติช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัว จนทำร้ายได้แม้กระทั่งน้องชายต่างมารดาที่เติบโตมาด้วยกัน

    “ช่างเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจจริงๆ นี่หนูไม่คิดเลยนะว่าจะมีป้าแบบนี้ เวลาคนเราจะโลภมันก็ทำได้ทุกอย่างไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันเลย”

    “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ” ดาราบอกปัด “เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือแกต้องไปฟังการอ่านพินัยกรรมแทนพ่อของแก”

    คนเป็นลูกทำหน้าเซ็ง ดูเหมือนงานจะเข้าอีกงานซะแล้ว

    “เราไม่ต้องเอามรดกก็ได้นี่แม่ แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย”

    เธอเพิ่งเรียนจบกลับมา ระหว่างเรียนก็หารายได้เสริมตลอดจนมีเงินส่งให้ทางบ้านเดือนละเป็นหมื่น ซึ่งดาราก็เก็บเงินนั้นไว้ตลอด จะใช้เมื่อยามจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ด้วยหวังว่าเงินที่เก็บไว้ทั้งหมดจะคืนกลับให้ลูกสาวเมื่อเรียนจบ เอาไว้เป็นต้นทุนชีวิต

    “แม่ก็ไม่ได้อยากได้ของของเสด็จท่านหรอก” ดาราถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มือขวาเอื้อมไปหยิบจดหมายที่ตนเพิ่งอ่านไปเมื่อกี้ยื่นให้ลูก

    “ดูเอาเองละกัน นี่แหละสาเหตุ”

    กรณารารับจดหมายไปอ่านก่อนจะขมวดคิ้วเมื่ออ่านจบทุกบรรทัด

    “นี่พวกเขาเปิดกันเองไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องให้พ่อไปด้วย” หญิงสาวหน้ามุ่ย

    “มันเป็นกฎ ทายาททุกคนต้องเข้ารับฟังเพื่อความยุติธรรม”

    “ไร้สาระ”

    กรณารากลอกตาไปมาอย่างเซ็งจิต ดารารู้สึกได้ว่าลูกสาวของตนคงไม่ยอมไปง่ายๆ แน่ เมื่อเห็นดังนั้นจึงเริ่มออกอุบายที่เพิ่งคิดได้สดๆ เมื่อครู่มาโน้มน้าว

    “แกไม่อยากไปเจอท่านป้าหรือไง”

    “ทำไมหนูต้องอยากเจอคนใจดำพันธุ์นั้นด้วย ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”

    “แล้ว...” ดาราเหล่ตาไปทางลูกสาว “ไม่อยากไปทวงความยุติธรรมให้พ่อของแกหรือไง”

    กิ่งกล้าชะงักไปในทันตา ดารายิ้มกับท่าทีโอนเอนของลูก ต้องใช้วิธีนี้สินะ คนอย่างลูกสาวเธอไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ เจอขนาดนี้คงต้องรู้สึกอะไรบ้างล่ะ

    “แต่หนูไม่อยากไปที่วังนั่น”

    “เราแค่ไปทำหน้าที่แทนพ่อ แค่เข้าไปฟังการอ่านพินัยกรรม” ดาราพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่างน้อยก็เห็นแก่ความประสงค์สุดท้ายของเสด็จปู่ ไม่แน่ นี่อาจจะเป็นห่วงสุดท้ายของพ่อแกด้วยก็ได้”

    ดาราไม่ได้ต้องการและไม่เคยคิดอยากจะเอาสมบัติของพระองค์เจ้าอดิศวรเลยสักนิด ที่พยายามโน้มน้าวให้ลูกสาวของเธอไปเพราะต้องการให้เรื่องนี้มันจบลงจริงๆ สักที

    “นี่ถ้าหนูไม่ไป พินัยกรรมก็ไม่สามารถเปิดอ่านได้ใช่ไหม”

    “ใช่ ถ้าทายาทไม่ครบก็เปิดไม่ได้”

    หญิงสาวย่นจมูก ทำหน้าเซ็ง เธอไม่อยากเจอคนในนั้น คนที่วังนั่นไล่พ่อของเธอออกมา เธอไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะเข้าไปเหยียบวังปรัตถกรวงศ์ให้เป็นที่ขุ่นใจ นอกเสียจากเรื่องพินัยกรรมกับเรื่องเอาคืนให้สาสม

    เอาคืนอย่างนั้นเหรอ...

    เพียงสักพักสีหน้าของกิ่งกล้าก็สดใสขึ้น แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์สนุกสนาน จนดาราชักหวั่นใจ เริ่มกลัวใจบุตรสาวคนเดียวของเธอ

    “หนูจะเข้าวังปรัตถกรวงศ์”

    “หน้าตาไม่น่าไว้ใจ นี่แกคิดจะทำอะไรหรือเปล่า”

    “เปล่านี่แม่ หนูแค่คิดว่าจะเซอร์ไพรส์ท่านป้าให้ท่านเกิดความประดับใจในครั้งแรกที่พบกันแค่นั้น”

    กรณาราหัวเราะหึๆ เป็นชาววังแสดงว่าเป็นผู้ดีเลยทีเดียว คงจะมีแต่เครือญาติไฮโซไซตี้ทั้งนั้น ชีวิตสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ จืดชืดน่าดูเลยนะนั่น มามะ เดี๋ยวกิ่งกล้าคนนี้จะจัดการเพิ่มรสชาติใหม่ๆ ให้ชีวิตอันแสนสงบสุขของท่านป้าเอง

    “อย่าคิดทำอะไรแผลงๆ นะ ฉันไม่อยากได้เรื่องปวดหัวเข้ามาเพิ่มในสมอง” ดาราร้องเตือน นี่เธอคิดถูกคิดผิดที่ให้ลิงอย่างกิ่งกล้าเข้าวัง

    “ไหนๆ หนูก็ยังไม่ได้สอบบรรจุ งั้นพักเรื่องนี้ไว้ก่อนก็ได้” กรณารายิ้มเจ้าเล่ห์ ในใจนึกสนุกเต็มที่ “อ่า รู้สึกอยากลองเป็นไฮโซขึ้นมาบ้างจังเล้ยยย”

    “กิ่ง ฟังแม่ อย่าทำอะไรที่มันไม่เข้าท่าเด็ดขาดเข้าใจไหม”

    “เห็นหนูเป็นคนยังไงกัน แม่ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อจะต้องให้รับความยุติธรรมจากวังนั่น รวมถึงท่านป้ามหาภัยนั่นด้วย” กรณาราสบตาอย่างมาดมั่น

    “หนูจะจัดชุดใหญ่ถวาย เอาให้สะใจกันไปเลย”

    ผู้เป็นแม่ปลงตก จะห้ามก็คงไม่ทันแล้ว ขืนห้ามไปตอนนี้ก็คงไม่ฟัง เธอรู้ดีว่าลูกสาวของเธอเวลาตั้งใจทำอะไรแล้ว ไม่มีใครขวางได้ทั้งนั้น ดาราได้แต่ปลอบตัวเองด้วยความหวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรบานปลายออกมาอีก

    “คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วยเถอะ”

     

     

    โต๊ะยาวหรูสไตล์ยุโรปถูกใช้เป็นที่จัดวางอาหารนานาชนิด หลากหลายสีสัน มากมายหลายสิบอย่าง ทั้งๆ ที่คนที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกับ 'หม่อมเจ้าหญิงรำไพ ปรัตถกรวงศ์' ผู้เป็นบุตรสาวคนโตของพระองค์เจ้าอดิศวร มีเพียงแค่สามคนเท่านั้น

    “โห เยอะจัง” เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

    'มนีจันท์ ปรัตถกรวงศ์' บุตรบุญธรรมของหม่อมเจ้าหญิงรำไพมองอาหารตรงหน้าอย่างตื่นเต้นปนฉงน ท่านหญิงนี่ปกติเค็มจะตาย แล้ววันนี้เกิดเป็นอะไรขึ้นมา ถึงได้รับสั่งให้จัดอาหารจำนวนมากขนาดนี้ขึ้นโต๊ะ มนีจันท์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปบรรดาอาหารตรงหน้าเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก...บุญตาเหลือเกิน

    “ทำอะไรยายมนี”

    เสียงของหม่อมเจ้าหญิงรำไพดังขึ้น เมื่อมองเห็นการกระทำอันพิลึกพิลันของบุตรบุญธรรม

    “ถ่ายรูปเพคะ นี่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากมากเลยนะเพคะ ว้าว อาหารเต็มไปหมดเลย”

    ท่านหญิงหน้าตึงทันที นางรู้ว่ามนีจันท์พูดอย่างพาซื่อตามประสาเด็กหัวอ่อนที่นางเลี้ยงและอบรมมากับมือ แต่เมื่อกี้มันให้ความรู้สึกเหมือนโดนหลอกด่าอย่างไรชอบกล

    “มีอะไรหรือเปล่าเพคะพี่หญิง ทำไมถึงได้เลี้ยงอาหารมากมายขนาดนี้”

    น้ำเสียงอันอ่อนโยนของ 'หม่อมเจ้าหญิงแสงแข ปรัตถกรวงศ์' ถามขึ้น หม่อมเจ้าหญิงรำไพใช้หางตามองเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงติดจะหยิ่ง

    “จำเป็นต้องมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหรือไง ฉันอยากเลี้ยงฉันก็เลี้ยง”

    “อือหือ ฟุ่มเฟือยสุดๆ ไปเลยเพคะ”

    มณีจันท์พูดพลางยิ้มหวานแลดูเรียบร้อยน่ารัก หญิงชราหน้ากระตุกนิดๆ พยายามท่องในใจว่าเด็กมันใสซื่อ

    “วันที่เจ็ดเดือนหน้าท่านป้าอย่าลืมไปตรวจร่างกายตามนัดนะกระหม่อม” เสียงของชายหนุ่มเพียงคนเดียวดังขึ้นเตือนความจำของผู้มีศักดิ์เป็นป้า

    อันที่จริง 'หม่อมราชวงศ์นายแพทย์ปรเมธ พงศพัศประพล' ก็หาได้เป็นหลานชายแท้ๆ ของหม่อมเจ้าหญิงรำไพไม่ เขาเป็นเพียงลูกติดของหม่อมเจ้าเปรมที่มาแต่งงานใหม่กับหม่อมเจ้าหญิงแสงแขเท่านั้น

    “ท่านหญิงชอบเบี้ยวนัดคุณหมอค่ะคุณชาย คราวที่แล้วก็ที พอคุณชายขับรถออกไปปุ๊บท่านหญิงก็โบกแท็กซี่กลับปั๊บเลยค่ะ” มนีจันท์ยิ้มตาหยี

    ท่านหญิงรำไพทำหน้าเลิ่กลั่ก พลางหันไปส่งสายตาเป็นเชิงให้บุตรสาวเลิกพูด ก่อนจะหันไปยิ้มให้หลานชาย

    “โอ๊ย อย่าไปฟังมนีมัน ฉันไปตรวจตามนัดจริงๆ ไม่อย่างนั้นหมอจะนัดไปตรวจอีกครั้งได้ยังไง จริงไหม” ท่านหญิงยิ้มแห้งๆ ที่จริงนางโทรไปสั่งให้หมอเลื่อนนัดต่างหาก

    หม่อมราชวงศ์ปรเมธไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาก้มหน้าก้มตาทานมื้อเช้าอย่างไม่สนใจอะไรอีก หม่อมราชวงศ์ปรเมธเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในบ้าน แถมยังเป็นหลานชายคนโปรดของหม่อมเจ้าหญิงรำไพอีกต่างหาก ถึงแม้จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่นางก็เลี้ยงคุณชายมาตั้งแต่เล็ก

    “แล้วท่านหญิงจะบอกได้หรือยังเพคะ ว่าทำไมถึงได้รับสั่งให้จัดอาหารมากมายขนาด ช้างสิบตัวยังกินไม่หมดแบบนี้” มนีจันท์ถามอีกครั้ง

    “ก็จะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นน่ะสิ” นางบอกพลางเหล่ตาไปทางน้องสาวคนละแม่ ก่อนจะหันกลับมาดังเดิม “วันมะรืน ทนายทรงเกียรติจะมาทำการอ่านพินัยกรรม”

    “พินัยกรรม!” หม่อมเจ้าหญิงแสงแขอุทานขึ้น “ไหนท่านพี่หญิงบอกว่าคุณทนายขาหัก กว่าจะหายก็เดือนหน้าไงเพคะ”

    หม่อมเจ้าหญิงรำไพมองหน้าน้องสาวต่างมารดาเหยียดๆ นางไม่ชอบหม่อมเจ้าหญิงแสงแขเลยถึงแม้จะเป็นน้องสาวแท้ๆ ก็เถอะ เห็นท่าทางหนิมๆ นั้นแล้วมันหมั่นไส้ชอบกล

    “ทำไมแสงแข หรือเธอมีปัญหา”

    “ปละ เปล่าเพคะ หม่อมฉันแค่...” เธอเม้มปากก้มหน้า “ไม่มีอะไรเพคะ”

    “ก็ดี แล้วชายหมอล่ะ มะรืนนี้ว่างไหม อยู่ฟังด้วยกันนะ”

    “หลานไม่ทราบว่าจะติดเคสด่วนหรือเปล่า”

    “ทั้งปี” ท่านหญิงสะบัดหน้า “ขัดใจตลอด”

    หม่อมราชวงศ์ปรเมธรวบช้อนส้อมไว้ตรงกลางจาน หยิบเสื้อสูทที่พาดไว้มาถือพลางลุกขึ้นยืน

    “กระหม่อมขอตัวไปทำงานก่อน วันนี้มีเคสใหญ่ต้องผ่าตัด ขอตัวกระหม่อม”

    หม่อมราชวงศ์ปรเมธเดินออกมาจากโต๊ะอาหาร ตรงไปยังรถยนต์ที่สมมาตรนำมาจอดรอไว้ที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้วก่อนจะขับออกไป เรื่องเปิดพินัยกรรมเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในหัวเขาเลยสักนิด อาจเป็นเพราะตัวเขาเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพระองค์เจ้าอดิศวร เขาเป็นเพียงลูกเลี้ยงของหม่อมเจ้าหญิงแสงแขเท่านั้น...

     

     

    ใช้เวลาเพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล โชคร้ายที่วันนี้ซองจอดรถประจำถูกหยิบยืมโดยคณะแพทย์อาสาที่มาอบรม เขาวนหาที่จอดรถประมาณสามรอบแล้วแต่ก็ยังไม่เจอซองว่างสักที

    “วันนี้มีอะไร”

    เมื่อนึกถึงสาเหตุที่มาของสถานการณ์ตรงหน้าเขาก็ร้องอ๋อออกมาทันที ว่าวันนี้มีงานรับบริจาคเลือด คนจึงมาโรงพยาบาลมากกว่าปกติ ชายหนุ่มส่ายหัวน้อยๆ สงสัยวันนี้คงจะได้จอดขวางหน้าคันอื่นละมั้ง เหมือนโชคจะเข้าข้างเขาอยู่บ้าง เมื่อเขาวนรถกลับมาเป็นรอบที่ห้าแล้วเจอรถคันหนึ่งกำลังถอยออกจากซองพอดี ชายหนุ่มยิ้มอย่างดีใจก่อนจะรับขับไปจอด แต่ระหว่างนั้นกลับมีรถคันหนึ่งขับออกมาทางอยกด้านซ้ายมือ ปาดหน้าเข้าซองไปก่อนเขา ชายหนุ่มหัวเสียอย่างหนัก ผลักประตูรถออกมา เปิดฉากต่อว่าคนที่เพิ่งลงมาจากรถพอดีเหมือนกัน

    “นี่คุณ”

    หญิงสาวผมประบ่า ใบหน้าถูกปิดบังด้วยหน้ากากอนามัยหันไปมองตามเสียง เธอยิ้มให้ชายหนุ่มหน้าตาดีมากๆ หนึ่งที

    “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

    “คุณแย่งที่จอดรถผม”

    หญิงสาวหันกลับไปมองรถของเธอ หัวเราะหึๆ เหมือนตัวเองไม่ผิด

    “ตายแล้ว ฉันนึกว่าที่ตรงนี้เป็นที่จอดรถสาธารณะเสียอีก” เธอยกมือขึ้นกอดอก มองคนตรงหน้าอย่างท้าทาย “คุณซื้อไว้เหรอคะเนี่ย”

    “เธอ!”

    หม่อมราชวงศ์ปรเมธมีน้ำโหขึ้นมาทันที ผู้หญิงคนนี้ช่างกวนประสาท ท่าทางก็ดูดี ไม่น่าเป็นคนนิสัยแย่แบบนี้เลย เขาพยายามปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เอ่ยบอกอย่างใจเย็น

    “ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณหรอกนะ ที่ผมลงมาก็เพราะผมอยากจะเตือนคุณ คราวหน้าคราวหลังอย่าทำนิสัยแบบนี้อีก ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ผม ปานนี้คุณอาจจะได้ลงไปนอนเล่นที่พื้นแล้วก็เป็นได้”

    หญิงสาวคู่กรณีเลือดขึ้นหน้าทันที หมอนี่กล้าดียังไงมาต่อว่าเธอเสียๆ หายๆ แบบนี้ ซองรถนี้เธอก็เจอก่อน เธอวนรถตั้งหลายรอบกว่าจะมีจังหวะที่คนออกพอดี แต่หมอนี่กลับมาหาว่าเธอแย่งที่เนี่ยนะ

    รู้จักไอ้กิ่งน้อยไปซะแล้ว

    “โอเค ก็ได้ ฉันยอมรับผิด เอาล่ะฉันจะขอไถ่โทษให้คุณโดยการหาที่จอดใหม่”

    ชายหนุ่มมองตามหญิงสาวที่กำลังเดินไปยังรถยนต์ของตนเองอย่างงุนงง บทจะยอมก็ยอมง่ายๆ แบบนี้นะเหรอ

    รถของผู้หญิงสวมหน้ากากอนามัยขับออกไปแล้ว หม่อมราชวงศ์ปรเมธจึงกลับไปที่รถตัวเองแล้วขับเข้ามาจอดในซองต้นเหตุ เขาดับเครื่องแล้วล็อกเกียร์แบบที่เคยทำเป็นปกติ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามองก็พบว่าใกล้เวลาผ่าตัดแล้วจึงรีบล็อกรถแล้วเดินเข้าไปในตัวโรงพยาบาล โดยหารู้ไม่ว่าหญิงสาวคู่กรณีวนรถกลับมาอีกครั้ง

    “หนอย มาว่าเราแย่งที่จอดรถ ใครแย่งใครกันแน่” กิ่งกล้าทำหน้ามุ่ย มองรถคันหรูที่จอดไว้ตรงซองรถช่องสุดท้ายติดกับเสาด้วยความหมันไส้

    “เห็นทีวันนี้คงได้ยืมรถไอ้เมฆขับกลับ”

    หญิงสาวยิ้มมุมปาก เท้าเหยียบคันเร่งพารถยนต์ที่เธอหาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองไปจอดขวางตรงหน้ารถคู่กรณีจนแทบจะชิดติดหน้ารถ ดับเครื่องล็อคเกียร์ และโชคก็ช่างเข้าข้างเธอจริงๆ เมื่อรถยนต์คันที่จอดถัดจากรถอีตาเฮงซวยนั่นเป็นรถเก่ายางแบนจอดเสียอยู่ จึงทำให้เธอไม่ต้องกังวลว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้รถคันอื่น

    “แม่ไปก่อนนะลูก สงสัยวันนี้หนูคงจะต้องค้างที่นี่แล้วล่ะ” หญิงสาวตัวแสบแสร้งทำหน้าเศร้าก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ “ฮ่าๆๆ “

    กิ่งกล้าตบฝากระโปรงรถสองที ก่อนจะเดินผิวปากอย่างสบายใจเข้าไปในตัวอาคาร เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับกิ่งกล้าคนนี้ งั้นก็ภาวนาขอให้หาทางเอารถออกจากซองให้ได้นะจ๊ะ พ่อคนหน้าขาวจอมหยิ่ง หึๆๆ

     

     

    “แรงว่ะแก”

    เสียงของเมฆหรือ 'เมฆขลา' ดังขึ้นพลางทำทางสยองในความร้ายกาจของเพื่อนสาว ชายหนุ่มที่มีร่างกายเป็นชายแต่จิตใจเป็นหญิงผู้นี้เป็นเพื่อนรักของกิ่งกล้าตั้งแต่เอาขี้มูกป้ายแขนกัน เขาทำงานเป็นบุรุษพยาบาลของโรงพยาบาลแห่งนี้มาได้สามปีแล้ว และได้รางวัลบุรุษพยาบาลดีเด่นสามปีซ้อน

    “นั่นไม่เรียกว่าแรงหรอกนะ มีอย่างที่ไหนมาหาว่าเราแย่งที่จอด เจอพร้อมกันแท้ๆ” กิ่งกล้าเบ้ปาก

    “เอาเหอะหน่าแกก็ เออ ว่าแต่แกลงมากรุงเทพทำไมเนี่ย แกเพิ่งกลับบ้านได้ไม่ถึงอาทิตย์เองไม่ใช่เหรอ” เมฆถามด้วยความสงสัย

    “พอดีมีเรื่องนะ เรื่องใหญ่ซะด้วย”

    กิ่งกล้านึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้เธอต้องถ่อมาที่นี่ทั้งๆ ที่ควรนอนตีพุงอยู่บ้านแล้วได้แต่ถอนหายใจแรง เมฆเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งสงสัย

    “เรื่องอะไรแก”

    “ถ้าเล่าไปแกต้องหาว่าฉันบ้าแน่ๆ “

    “เล่ามาก่อนเถอะ ตอนนี้ฉันอยากรู้จนตัวสั่นแล้วเนี่ย”

    หญิงสาวเล่าทุกอย่างให้เพื่อนรักฟัง เมฆทำตาโตก่อนจะรีบลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น กิ่งกล้าขมวดคิ้วกับการกระทำนั้น

    “ทำบ้าอะไรฮะไอ้เมฆ”

    “หม่อมฉันมิบังอาจจะนั่งประทับเทียมเสมอกับพระองค์หรอกพะย่ะค่ะเพคะ”

    กิ่งกล้าเกาหัวอย่างแรง ไอ้บ้านี่ผีลิเกเก่าเข้าสิงหรือไงถึงได้พูดจาบ้าๆ บอๆ มั่วปนเปกันไปหมดแบบนี้

    “ลุกขึ้นมานั่งที่เดิมเดี๋ยวนี้ไอ้เมฆ ก่อนที่ฉันจะเตะเสยคางแก”

    เมฆขลารีบลุกขึ้นยืนทันที ด้วยกะแล้วว่าวิถี 'ฝ่าเท้า' อาจปะทะเข้ากับคางของเขาด้วยระยะที่พอดิบพดี

    “แล้วก็ไม่ต้องมาพูดคำราชาศัพท์ฉบับมั่วซั่วกับฉัน ฉันเป็นแค่หม่อมราชวงศ์ เป็นคนธรรมดาเหมือนๆ กับแกนั่นแหละ”

    เมฆกลับมานั่งดังเดิม แต่ก็ยังไม่หายช็อคกับสิ่งที่ได้ฟัง ก็ใครมันจะไปคิดว่าเพื่อนสนิทที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ จะกลายเป็นลูกนายลูกเจ้าซะได้

    “เหลือเชื่อมากเลยแก เป็นไปได้ยังไง”

    “ก็มันเป็นไปแล้วจะให้ทำไง แถมมะรืนนี้ยังต้องไปฟังการอ่านพินัยกรรมบ้าบออะไรนั่นอีก น่าเบื่อชะมัด”

    “โอย บุญล้นทับท่าน เออ แกล่ะสิไม่ว่า นี่ฉันพูดกับแกเหมือนเดิมได้ใช่ไหม”

    เมฆขลาทำหน้ากังวล จนกิ่งกล้ากรอกตาไปมาเซ็ง การเป็นลูกเจ้ามันพูดด้วยยากขนาดนั้นเลยหรือไง

    “เออ”

    “แหม แค่นี้ก็ต้องทำเสียงดุ ฉันแค่กลัวขี้กลากจะขึ้นหัวเฉยๆ”

    “แต่ถ้าแกยังพูดภาษาแปลกๆ แบบนั้นกับฉันอีกล่ะก็ ไม่ใช่ขี้กลากหรอกที่จะขึ้นหัวแก แต่จะเป็นสะเก็ดแผลแทน”

    กิ่งกล้าหยิบแบงค์ร้อยมาวางไว้บนโต๊ะ ยกกระเป๋าสะพายขึ้นมาพาดไว้บนไหล่ ก่อนจะแบมือไปทางเมฆขลา ทำเอาสาวร่างโตทำหน้างง

    “เอากุญแจรถแกมา”

    “หา”

    “เออ หา หากุญแจรถมาให้ฉัน”

    “เดี๋ยวๆๆ” เมฆขลารีบยกมือเบรก “แกจะเอากุญแจรถฉันไปทำอะไร”

    “แกจำไม่ได้หรอว่ารถฉันติดภารกิจอยู่”

    เพื่อนสาวตอบหน้าตาย เหมือนมันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ

    “แกจะบ้าเหรอ แล้วฉันจะกลับบ้านยังไง”

    “รถเมล์”

    “ไอ้เพื่อนเลว”

    “ล้อเล่นหน่า วันนี้แกเลิกดึก งั้นแกเอากุญแจรถฉันไปแล้วกัน หมอนั่นคงกลับไม่ดึกเท่าแกหรอก”

    หญิงสาวยิ้มอย่างชั่วร้าย อย่างมากสักห้าหกโมงเย็นหมอนั่นก็น่าจะกับแล้วล่ะ ต่อให้เป็นหมอก็เถอะ

    “ชั่วได้อีก ทำไมฉันต้องช่วยแกด้วย”

    “ไม่เห็นต้องถาม แกมีทางเลือกสองทางคือ ช่วยกับตาย”

    เมฆขลารีบคว้ากระเป๋าหากุญแจรถให้กิ่งกล้าทันที เมื่อเจอแล้วจึงยื่นให้ผู้หญิงซาดิสม์ตรงหน้า

    “เออ เอาไปเลย”

    “ดีมากเพื่อนรัก ต้องแบบนี้สิถึงจะคบกันยาว” หญิงสาวใช้นิ้วชี้ควงกุญแจรถไปมา “ไว้ว่างๆ ฉันจะแวะมาคืนกุญแจให้นะจ๊ะ ระหว่างนี้แกก็ใช้รถฉันไปก่อนแล้วกัน บาย”

    เมฆขลามองตามเพื่อนที่เดินออกจากร้านกาแฟไปแล้วพลางยิ้มน้อยๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร เพื่อนเธอก็ยังคงเป็นกิ่งกล้าคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

     

     

    ราชนิกุลหนุ่มเดินเข้ามาภายในตัววังด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

    ผู้หญิงหน้ากากอนามัยนั่นร้ายกาจกว่าที่คิด พอเลิกงานเสร็จเขาก็กลับไปยังที่จอดรถเพื่อขับกลับวัง แต่ดันเจอกับรถยนต์คันสีขาวที่เขาจำได้แม่นว่าเป็นรถคู่กรณีเมื่อเช้าจอดขวางหน้าอยู่ พอออกแรงดันรถก็ไม่เขยื่อนสักนิดเพราะโดนล็อกเกียร์ ชายหนุ่มเรียกรปภ.ให้ช่วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรจึงขอบคุณรปภ.แล้วให้กลับไปทำงานดังเดิม ส่วนตัวเขาก็ออกมาโบกแท็กซี่กลับบ้าน แต่ก็เหมือนกับซวยซ้ำซวยซ้อนอีกครั้ง เมื่อแท็กซี่ทุกคันที่เขาโบกต้องไปส่งรถหมด ดังนั้นวันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่หม่อมราชวงศ์ปรเมธ พงศพัศประพล ต้องโหนรถเมล์ท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียด ในช่วงเวลาที่ถือได้ว่าติดนรกแตกแถมยังลงผิดป้ายอีกต่างหาก

    “กลับมาแล้วหรือชายหมอ ว้าย แล้วนี่ไปฟัดกับอะไรมา ทำไมสภาพเป็นแบบนี้”

    หม่อมเจ้าหญิงรำไพเอ่ยด้วยความตกใจกับสภาพหลานชายที่เต็มไปด้วยเหงื่อแถมผมเผ้ารุงรัง

    “ไม่เป็นไรกระหม่อม”

    “จะไม่เป็นไรได้ไง ก็เห็นกันอยู่ แล้วรถล่ะ ทำไมฉันไม่ได้ยินเสียงรถเลย”

    “หลานจอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลกระหม่อม”

    ชายหนุ่มตอบไปตามความจริงแต่ไม่หมด

    “แล้วจอดทิ้งไว้ทำไม แปลกคน”

    “เกิดเหตุนิดหน่อยน่ะกระหม่อม บังเอิญวันนี้หลานเจอคนไม่ดีเข้า”

    “ตายจริง” ท่านหญิงยกมือขึ้นทาบอก “แล้วโดนมันทำไม่ดีใส่หรือเปล่า”

    หม่อมราชวงศ์ปรเมธนึก ทำไม่ดีนี่นับตั้งแต่เถียงเขาเลยไหม ถ้านับตั้งแต่เรื่องนั้นก็คงเยอะมากในความรู้สึกของเขา

    “ไม่กระหม่อม” ชายหนุ่มตอบสวนทางกับความคิด “หม่อมป้าเด็จกลับไปทอดพระเนตรละครต่อเถอะ หลานจะขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมาทานมื้อเย็นด้วย”

    “จริงสิ ละคร” หม่อมเจ้าหญิงรำไพเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองติดพันละครอยู่ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบอาบน้ำแต่งตัวซะละ จะได้ลงมากินข้าวกินปลา”

    “กระหม่อม”

    หม่อมราชวงศ์ปรเมธปล่อยให้ผู้เป็นป้าเดินกลับไปดูละครต่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหายเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้ว จึงก้าวขึ้นบันไดเพื่อกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง

    เมื่อก้าวเข้ามาในห้องเขาก็ปิดประตูแล้วรีบเปิดไฟไล่ความมืดทันที ชายหนุ่มหย่อนตัวลงบนเตียงนุ่ม พลันสายตาเหลือบไปเห็นปฏิทินตั้งโต๊ะที่วางติดกับโคมไฟ วันที่ในปฏิทินหลายวันถูกวงเอาไว้ด้วยปากกาเคมีสีแดง มีตัวอักษรสีน้ำเงินระบุว่าต้องทำอะไรในแต่ละวันที่วงไว้ ปรเมธหยิบปฏิทินนั้นขึ้นมาพร้อมกับปากกาทั้งสองสี ก่อนจะวงวันที่แล้วใช้ปากกาน้ำเงินเขียนกำกับไว้ว่า 'วันเปิดพินัยกรรม'

    เขาเขียนไปอย่างนั้น เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีเคสฉุกเฉินเท่าไร ดังนั้นวันมะรืนเขาอาจจะได้ไปนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่เป็นพยาน อันที่จริงพระองค์เจ้าอดิศวรมีบุตรอยู่สามคนคือหม่อมเจ้าหญิงรำไพ หม่อมเจ้าหญิงแสงแข และหม่อมเจ้ากิตติ ซึ่งบุตรชายคนสุดท้องถูกไล่ออกจากวัง ตั้งแต่เขายังเด็กจำความยังไม่ได้

    แล้วอย่างนี้ตามกฎต้องให้ทายาททุกคนมารับฟังจะต้องนับหม่อมเจ้ากิตติด้วยไหม แล้วถ้านับจริงๆ จะทำอย่างไร

    ลางสังหรณ์ของเขากำลังบอกว่า เรื่องนี้จะต้องไม่จบลงง่ายๆ แน่นอน

     

     

    “อะไรนะ ทำไมยังเปิดไม่ได้”

    หม่อมเจ้าหญิงรำไพแผดเสียงดังลั่นไปทั่ววังเมื่อได้ยินสิ่งที่ทรงเกียรติ ทนายประจำตระกูลพูดออกมา

    “อย่างไรก็ยังเปิดมิได้กระหม่อม ตามกฎ ทายาททุกคนต้องเข้ารับฟังเพื่อความยุติธรรมกระหม่อม”

    “แม่แสงแขก็นั่งอยู่นี่ จะไม่ครบได้ยังไง ใช่ไหมแสงแข”

    หม่อมเจ้าหญิงแสงแขก้มหน้านิ่งไม่ออกความคิดอะไร นั่นยิ่งทำให้พี่ใหญ่อย่างท่านหญิงรำไพยิ่งโมโหหนัก

    “พระทัยเย็นก่อนเถอะเพคะ ตีนกาขึ้นหมดเเล้ว” มนีจันท์เอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง

    ฟังอย่างนั้นนางยิ่งอยากจะกรี๊ด ยกมือขึ้นจับหางตาก่อนจะกระแทกตัวนั่งตามเดิม

    “ตามกฎแล้ว จะเปิดอ่านพินัยกรรมได้ต้องมีหม่อมเจ้ากิตติมารับฟังด้วยกระหม่อม”

    “มันหายออกจากวังไปตั้งยี่สิบกว่าปี คงจะกลับมาให้อยู่หรอก”

    “พี่หญิง” หม่อมเจ้าหญิงแสงแขเอ่ยปราม “คุณทนายคะ ในกรณีที่กิตติมาไม่ได้ เอ่อ...อาจจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ พอจะมีวิธีอื่นบ้างไหมคะ”

    “มีกระหม่อม” ทรงเกียรติบอก “ต้องให้ทายาทที่สืบสายเลือดจากท่านชายมาเข้ารับฟังแทนกระหม่อม”

    “แล้วฉันจะไปหาจากที่ไหน”

    หม่อมเจ้าหญิงรำไพหัวเสียอย่างหนัก ส่วนหม่อมเจ้าหญิงแสงแขก็เงียบไป ชายหนุ่มที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยได้แต่นั่งมองสถานการณ์เงียบๆ วันนี้เขาไม่มีเคสด่วนอะไรเลยต้องมานั่งเป็นพยาน แถมยังเกิดเรื่องวุ่นวายเข้าแล้วจริงๆ

    “มีวิธีอื่นอีกไหมคะ” หม่อมเจ้าหญิงแสงแขถาม

    “ไม่มีแล้วกระหม่อม”

    “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่ากิตติมันอยู่ไหน จะมีลูกหรือเปล่า มันหายออกจากวังไปเป็นสิบปีก็เท่ากับว่าไม่อยากได้อะไรจากที่นี่แล้ว คราวนี้ก็เปิดอ่านสักที อย่าทำให้ฉันโมโห”

    ทรงเกียรติมองท่านหญิงใหญ่แห่งวังปรัตถกรวงศ์ด้วยแววตายากจะบรรยาย ก่อนจะหันไปสังเกตท่านหญิงรองที่มีท่าทีตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง คือนิ่ง เงียบ และสงบ

    “ไม่ต้องห่วงหรอกกระหม่อม เธอกำลังเดินทางมา”

    คำพูดของทรงเกียรติทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมามองเขาเป็นตาเดียว

    “ใครจะมา” หม่อมเจ้าหญิงรำไพรีบถาม

    “คุณหญิงกระหม่อม”

    ระหว่างที่ภายในวังกำลังร้อนเป็นไฟนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นท่ามกลางสถานการณ์อันตึงเครียด

     

     

    เบื้องหน้าของหญิงสาวคือวังหลังใหญ่ ที่ถูกออกแบบได้ลงตัวอย่างเป็นที่สุด ด้านข้างเป็นสวนตกแต่งสวยงามสไตล์ยุโรป ทอดยาวไปจนถึงตัววัง กิ่งกล้ากระชับชะลอมที่มือข้างซ้ายก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นกดกริ่ง

    กริ๊งงง

    เสียงกริ๊งดังขึ้นได้สักพักก็มีป้าคนหนึ่งวิ่งออกมาจากตัวบ้าน เมื่อวิ่งมาถึงประตูรั้วก็เห็นกรณาราที่กำลังยืนยิ้มแฉ่งอยู่

    “เอ่อ มาหาใครคะ”

    ป้าคนนั้นซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นคนรับใช้ มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วไล่ขึ้นจากเท้าจรดหัว หญิงสาวที่อุตส่าห์แต่งสวยมาเพื่อท่านหญิงป้าถึงกับอมยิ้มภูมิใจ เมื่อป้าคนรับใช้มีสีหน้าวิตก

    “อิฉันมาตามหาป้าค่ะ” หญิงสาวใส่สำเนียงอีสานเต็มที่

    “ที่นี่วังปรัตถกรวงศ์ คงไม่ป้าที่คุณตามหาหรอกค่ะ”

    คนที่มาเปิดประตูให้ตอบ ในใจก็หวังจะให้เด็กตัวดำ หน้าเขรอะนี่รีบๆ ไปสักที เพราะตอนนี้ภายในวังก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว

    “แต่อิฉันได้ที่อยู่มาว่าเป็นม่องนี่อีหลีนะคะ”

    “บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ อย่ามาเซ้าซี้นะ มาทางไหนก็ไปทางนั้นเลย” จิตดันประตูปิด ทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน แต่กรณารารีบเรียกไว้เสียก่อน

    “อิฉันมั่นใจว่าป้าของอิฉันอยู่ในนั้น”

    จิตที่ชักจะมีน้ำโห ขึ้นเสียงดังเอ่ยถามด้วยความรำคาญ

    “แล้วป้าหล่อนชื่ออะไร นังแม้น หรือนางเย็น”

    คนหน้ามุ่ยถามด้วยคิดว่า ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นหลานของสองคนนั้น แต่คำตอบที่ได้กลับมาจากหญิงสาวผิวคล้ำตรงหน้า กลับทำให้จิตแทบล้มทั้งยืน

    “ป้าข่อยก็ไซ้นามสกุลเดียวกับข่อยนี่แหละจ่ะ...ข่อยซื่อกิ่งกล้า 'หม่อมราชวงศ์กรณารา ปรัตถกรวงศ์'จ้า”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×