คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4 กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็โยนทิ้งไป
บทที่ 4
กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็โยนทิ้งไป
“เชิญ”
ปรเมธผลักประตูห้องให้เปิดกว้างจนสุด เผยให้เห็นห้องนอนขนาดใหญ่หรูหรา ประดับตกแต่งด้วยสิ่งของราคาแพงระยับ กรณาราเดินเข้าไปในห้องอย่างตื่นเต้น โอ้โห นี่ชาววังเขาอยู่แบบนี้กันเหรอเนี่ย
“โห ห้องนี้อยู่ได้ตั้งสิบคนเลยนะเนี่ย อ้าว แล้วคุณชายไม่เข้ามาหรือคะ”
เมื่อเห็นว่าคนที่พาเธอมายังคงยืนอยู่ตรงบริเวณประตูห้องโดยไม่มีทีท่าว่าจะก้าวขา หญิงสาวจึงเอ่ยถาม
“มันดูไม่ดี”
กรณาราแอบขำในใจ ตานี่ถือตัวชะมัด หญิงสาวยักไหล่พลางหันกลับไปสำรวจห้องต่อ
“ฉันมาส่งเธอแล้ว ขอตัวก่อนละกัน”
ปรเมธเดินจากไปอย่างรวดเร็วจนดูผิดปกติ กรณาราเห็นท่าทางนั้นจึงคิดไปว่าเขาคงจะเบื่อขี้หน้าเธอเต็มทน เหอะ ใครสนกัน จะไปไหนก็ไปเลย
เจ้าของห้องคนใหม่เดินสำรวจห้องไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดกับภาพที่แปะติดผนัง ภาพของหญิงชราในชุดผ้าไหมสีครีม ใบหน้ายิ้มแย้ม...แต่ดวงตาดูเศร้าเหลือเกิน หญิงสาวยกมือขึ้นลูบภาพนั้นเบาๆ ราวกับกลัวว่าภาพนั้นจะแหลกสลาย
“นั่นภาพหม่อมดวงพรค่ะ”
กรณาราสะดุ้ง รีบชักมือออกจากภาพทันที พอหันหลังกลับไปทางประตูก็พบกับร่างแน่งน้อยน่าทะนุถนอมของมนีจันท์
หลังจากไปส่งหม่อมเจ้ารำไพแม่บุญธรรมของเธอเสร็จ เธอก็ตั้งใจว่าจะเดินกลับห้องที่อยู่ทางฝั่งซ้ายถัดจากห้องของหม่อมเจ้าแสงแข แต่เมื่อเดินผ่านห้องเก่าของหม่อมดวงพร คนตัวเล็กก็เห็นว่าประตูห้องเปิดอยู่จึงเดินมาดู เห็นคุณหญิงกำลังมองรูปภาพอยู่จึงเข้ามาทัก
“คุณมนีจันท์”
คนตรงหน้าประตูเดินยิ้มน้อยๆ เข้ามาในห้อง มายังจุดเดียวกับที่กรณาราเดิน
“เรียกมณีอย่างเดียวก็ได้ค่ะ หนูอายุน้อยกว่าพี่แถมยังเป็นเพียงลูกบุญธรรมของท่านหญิงรำไพเท่านั้น”
กรณารายิ้มแห้งๆ เด็กหญิงตรงหน้าถึงแม้จะไม่ได้มีสายเลือดของชาววัง แต่กิริยามารยาทเมื่อเทียบกับตัวเธอนี่ เธอตายสนิท
“ก็ได้จ้า น้องมนี” เธอยิ้ม
“ดีจังค่ะ” มนีจันท์ยิ้มบ้าง “ที่จริงหนูฝันว่าอยากจะมีพี่สาวสักคนมานานแล้วค่ะ พอรู้ว่ามีพี่กรณาราหนูดีใจมากเลย”
ทั้งสองรู้สึกถูกชะตาซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก กรณาราหันไปมองรูปอีกครั้ง มนีจันท์จึงเริ่มเล่าเรื่องของคนในรูปให้ฟัง
“นี่หม่อมดวงพร พระมารดาของท่านหญิงแสงแขค่ะ” หญิงตัวเล็กมองภาพที่แปะบนผนังบ้าง “ท่านงดงามและใจดีมากค่ะ แต่หนูไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเองหรอกนะคะ ฟังป้าจิตเล่ามาอีกทีเพราะตอนนั้นท่านหญิงยังไม่รับหนูมาเลี้ยง”
กรณาราสนใจเรื่องที่มนีจันท์เล่า เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาคนในภาพ ชีวิตท่านน่าจะมีความสุขมาก แต่ดวงตาที่แสนเศร้านั่น มันเหมือนกับคนอมทุกข์อย่างไรอย่างนั้น
“ค่า พี่ก็ว่าจังสั้น แต่เป็นหยังแววตาของเพิ่นคือเศร้าแท้”
มนีจันท์ถอนหายใจหนึ่งที เธอก็ฟังป้าจิตเล่ามาอีกที ไม่ค่อยรู้เบื้องลึกเบื้องหลังสักเท่าไร
“มนีเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหม่อมดวงพรเท่าไรหรอกค่ะ เหมือนป้าจิตแกไม่อยากเอ่ยถึง”
“มีอย่างนี้ด้วย” กรณาราเอ่ยกับตัวเองเบาๆ
“คุณหญิงว่ายังไงนะคะ” มนีจันท์ที่ได้ยินแวบๆ เอ่ยถาม
“อ่อ บ่ค่า บ่มีหยัง” เธอบอกปัด “ว่าแต่ คราวหลังเอิ้นพี่ว่าพี่กิ่งก็พอ เอิ้นคุณหญิงมันบ่ชินหูจ้า”
มนีจันท์ลังเลเล็กน้อยด้วยคิดถึงความเหมาะสม แต่พอเห็นสีหน้าคนตรงหน้าที่ไม่ถือเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์แล้ว เด็กสาวก็ดูจะใจชื้นขึ้นมา
“ก็ได้ค่ะ พี่กิ่ง”
“จังสั้นละค่า น้องมนี คล่องหูกว่าหลาย”
หญิงสาวยิ้มให้บุคคลที่เธอยกให้เป็นเสมือนน้องสาว ตอนนี้เธอสร้างมิตรได้อีกหนึ่งคน แต่จะว่าไปนอกจากหม่อมเจ้ารำไพท่านป้ามหาภัยแล้ว คนในวังดูเหมือนจะไม่ค่อยมีปัญหากับเธอเลย
อ่อ...ลืมอีตาคุณชายปรเมธอีกคน...
“ถ้าอย่างนั้นมนีไม่กวนคุณหญิง...เอ่อ พี่กิ่งแล้วดีกว่า เชิญตามสบายนะคะ”
คนตัวเล็กยิ้มให้พี่สาวคนใหม่หนึ่งทีก่อนจะเดินออกไปจากห้องและไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องให้ เมื่อกลับมาตัวคนเดียวอีกครั้งกรณาราจึงละความสนใจจากภาพของหม่อมดวงพรไปยังสิ่งของอื่นๆ เตียงขนาดคิงไซซ์ถูกจัดวางไว้เยื้องไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่บัดนี้ถูกปิดทับด้วยผ้าม่านทึบซ้อนทับอีกชั้นด้วยผ้าม่านลูกไม้สีทอง
บรรยากาศช่างดูเหมือนกับ...
ความคิดของหญิงสาวหยุดลงไปเมื่อหันไปเห็นตู้เสื้อผ้าหลังโต พื้นที่ตรงนั้นไม่น่าจะเอาไว้วางตู้เสื้อผ้าเลยนะ เพราะมันเป็นมุมแถมยังมีกระถางต้นไม้ตั้งขวางไว้ข้างๆ ตั้งสองกระถาง กรณารางุนงงกับภาพตู้เสื้อผ้าที่ดูโดดออกมาจากสิ่งของรอบข้าง สงสัยคนจัดคงจะเมาตอนเอาตู้เสื้อผ้ามาวาง มันดูเด่นจนตลกมากในสายตาเธอ แต่กรณาราก็ไม่คิดจะขยับมันไปไหนทั้งสิ้น ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เหมาะกับคนบ้าๆ บอๆ แบบเธอดี
หญิงสาวยกเสื้อแขนยาวขึ้นมาดม กลิ่นไม่พึงประสงค์ตลบอบอวลจนเจ้าของเสื้อย่นจมูก
“อื้อฮือ โคตรเหม็น เป็นเพราะคุณชายนั่นแท้ๆ คอยดูนะ แค้นนี่ต้องชำระ”
เธอคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวขึ้นมาพาดไหล่ สัมภาระเสื้อผ้าทั้งหลายก็ขนมาแค่นิดเดียว สงสัยต้องหาเวลาไปขนมาเพิ่มซะแล้ว
กรณาราเดินไปล็อกประตูห้องก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำ ไว้ว่างๆ แล้วกัน พอดีช่วงนี้เธอมีภารกิจสำคัญมากมายต้องทำเกี่ยวกับวังแห่งนี้
...ภารกิจพิชิตหม่อมเจ้ารำไพ
บรรยากาศภายในร้านกาแฟชื่อดังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟ ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานแต่งกายด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนจนถึงศอกกับกางเกงสแลคสีดำ ทรงผมที่ถูกเซตมาอย่างดีอวดโฉมแก่เหล่าบรรดาสาวๆ ที่คอยแอบมองเขาตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้ามาในสถานที่แห่งนี้
คมสันยกนาฬิกาข้อมือเรือนเหยียบแสนขึ้นมาดูเวลา อะไรกัน เลทมาสิบห้านาที ปกติไอ้หม่อมมันไม่เคยมาเลทนี่หว่า วันนี้เขามาก่อนเวลานัดตั้งห้านาทีเชียวนะ
พอบ่นในใจเท่านั้นแหละ ประตูร้านกาแฟก็ถูกเปิดออก คมสันรีบพลิกตัวกลับหาโต๊ะที่เจ้าตัวนั่งอยู่ซึ่งค่อนข้างใกล้ประตู หันหลังให้เก๊กหน้าขรึม ก่อนจะเอ่ยคำต่อว่า
“โห มาช้าขนาดนี้ก็กลับบ้านไปเลยไป”
ฝ่ายนั้นเงียบไป คมสันได้ใจใหญ่เลยพูดต่อ
“สงสัยรถคงจะติด เฮ้อ เหตุผลไก่กาเดิมๆ มุกเก่าๆ กากจริงๆ “
“นี่แกว่าใครวะ! “
คอเสื้อด้านหลังของคมสันถูกกระชากขึ้นอย่างแรง ชายหนุ่มรีบหันหน้ากลับไปดู...อืม อ้วนขึ้นนะไอ้หม่อม ช่วงนี้คงกินข้าวเยอะสิท่า...
จะบ้าเหรอ! ไอ้หัวล้านนี่มันไม่ใช่เพื่อนเขา!
“แกว่าใครกาก”
“ปละ...เปล่าครับพี่”
สัญชาตญาณของชายหนุ่มหน้าอ่อนสั่งให้มือทั้งสองข้างประนมขึ้นไหว้ชายหัวล้านพุงโย้หนวดเฟิมตรงหน้า ซวยแต่หัววันเลยไอ้คมสัน
“เมื่อกี้พูดอยู่” พี่โล้นยกนิ้วชี้ชี้หน้า “สงสัยมีชีวิตอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เดี๋ยวฉันส่งไปสัมผัสความเป็นอยู่ในโลกหน้าดีไหม”
“อย่าทำอะไรผมเลยพี่ ผมทักคนผิด ผมคิดว่าพี่เป็นเพื่อนผม” คมสันพยายามอธิบาย
“ไม่สนเว้ย ถึงยังไงแกก็ด่าฉันไปแล้วอยู่ดี มันต้องแลกกันสักหมัดถึงจะหาย” ชายร่างยักษ์ยกกำปั้นขึ้นมา คมสันหลับตาปี๋ไม่พร้อมรับรู้ทุกสถานการณ์ แหกปากลั่นร้าน
“ม่ายยย!! “
ตุบ
...ไม่เจ็บแฮะ เอ๊ะ หรือว่าเขาจะน็อกตายไปด้วยหมัดพลังแรงควายของชายร่างหมีนั่นเลยไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวด
ไม่จริง...ไม่จริงงง!
“อย่าทำเขาเลยครับ เพื่อนผมแค่เข้าใจผิดเล็กน้อย”
เสียงคุ้นหูดังขึ้น คมสันค่อยๆ ลืมตาช้าๆ หมัดของชายร่างหมีอยู่ห่างจากใบหน้าหล่อเหลาของเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตรโดยมีมือของปรเมธคั่นอยู่ ชายหนุ่มตัวต้นเหตุรีบวิ่งไปหลบหลังเพื่อนรัก เหมือนพ่อพระมาโปรด
“ช่วยฉันด้วยนะโว้ยไอ้หม่อม ไอ้หมีควายนี่มันจะทำร้ายร่างกายฉัน” คมสันกระซิบ
ปรเมธหันไปมองเพื่อนที่คอยจะสร้างแต่ปัญหาด้วยความเซ็ง
“อยู่เฉยๆ เถอะ” ปรเมธหันกลับมาเจรจากับคู่กรณีของเพื่อน “เพื่อนผมมันสติไม่ค่อยดีน่ะครับ คุณอย่าไปถือสาคนบ้าเลย บาปกรรมเปล่าๆ แค่นี้มันก็มีกรรมมากพอแล้ว”
“เฮ้ย! ไอ้...”
“โกหกหรือเปล่า” คนร่างยักษ์ทำท่าไม่เชื่อ
ปรเมธหยิบถุงยาออกมาจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้ พี่อ้วนรับไปดูสักพักก่อนจะส่งกลับคืน
“ที่แท้ก็ปัญญาอ่อน คราวนี้ฉันจะปล่อยไปก็ได้ แต่อย่าให้เจออีกนะ บ้าก็บ้าเถอะ จะเตะไม่เลี้ยง”
ชายร่างยักษ์ตีเข่าให้ดูเป็นการข่มขวัญก่อนจะเดินจากไปสั่งกาแฟที่เคาน์เตอร์ เมื่อเห็นดังนั้นคมสันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะต้องมาจบชีวิตอยู่ที่ร้านกาแฟนี่ซะแล้ว
“แกยื่นยาอะไรให้หมอนั่นดูวะ”
ปรเมธเหล่ตามองเพื่อนเล็กน้อย โยนถุงยาไปให้คมสันก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะตัวในสุดที่เขาได้จับจองไว้ตั้งนานแล้ว ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลครับถุงยามาจากเพื่อนก่อนจะลวงหยิบซองยาข้างในขึ้นมาดู
“ยาระงับประสาท...เฮ้ย ไอ้หม่อม อ้าว ไปไหนแล้ววะ”
คมสันมองไปรอบบริเวณพลันเห็นร่างของเพื่อนไวๆ จึงหยิบแก้วกาแฟแล้วเดินตามไปจนเจอโต๊ะขนาดสองที่นั่งที่อยู่ชิดในสุดพอดี ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาเดี่ยวตัวนุ่ม วางแก้วกาแฟที่ดื่มไปแล้วกว่าครึ่งลงบนโต๊ะ
“แกไปเอาไอ้นี่มาจากไหน” คมสันโยนถุงยากลับคืนไปให้ปรเมธ ซึ่งเขารับได้พอดีแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม
“ฉันเป็นหมอ”
“เออ เป็นหมอน่ะรู้ แต่หมอบ้านไหนเขาพกยาระงับประสาทกันบ้างวะ”
“ฉันไง”
“แกเป็นโรคประสาทเหรอ!” คมสันเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ ยกมือขึ้นทาบอกโอเวอร์เอคติ้งสุดๆ
“อย่ามาบ้า ฉันผ่านแผนกจิตเวชมาเห็นถุงยาตก ไม่รู้ของใครเลยจะเก็บไปให้ประชาสัมพันธ์ แต่ลืมติดกระเป๋ามาด้วย นับเป็นบุญของแกนะคมสัน”
ปรเมธอธิบาย ตอนนั้นเขากำลังจะเดินไปฝ่ายประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว แต่บุรุษพยาบาลผู้หนึ่งเกิดหน้ามืดจะเป็นลมกะทันหันเขาจึงไปช่วยประคอง พาไปนั่งพลางปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ จึงลืมเรื่องถุงยาไปเสียสนิทกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนขับรถมาที่ร้านกาแฟ
“เออ สำลักบุญจนจะอ้วกเลยเนี่ย แกไม่มีวิธีอื่นนอกจากหาว่าฉันเป็นบ้าแล้วหรือไงวะ ดูสิ สาวๆ ในร้านจะมองฉันยังไง” คมสันโอดครวญ เขาอุตส่าห์วางภาพลักษณ์ไว้ซะเท่ ไอ้เพื่อนบ้านี่ทำเสียเรื่องหมด
“ก็ใช้ตามองปกตินั่นแหละ ไม่ต้องบ่นมากได้ไหม สุดท้ายแกก็รอดมาได้ไหมล่ะ”
คมสันเป่าลมออกปาก แสดงท่าทางเหมือนกับเด็ก
“วันนี้แกมาช้านะไอ้หม่อม ฉันมาถึงก่อนเวลาตั้งห้านาที”
“ฉันไม่ได้มาช้า” ปรเมธวางกาแฟที่ยกขึ้นมาจิบ “ฉันมาก่อนเวลาสิบห้านาที”
“อย่ามาๆ” คมสันส่ายนิ้วไปมาตรงหน้าเพื่อน “อย่ามาโกหกซะให้ยาก ฉันมาถึงที่นี่ไม่ยักจะเห็นแม้แต่เงาของแก”
“ที่แกไม่เห็นเพราะเอาแต่หว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงในร้านน่ะสิ” ปรเมธบอกเสียงนิ่ง
“อะไร ใครหว่านเสน่ห์ ไม่มี้ ไม่มี”
ปรเมธส่ายหัวเอือมให้กับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขา คมสัน หรือ 'คมสัน ตระกูลเกียรติ' นักประมูลหนุ่มไฟแรงชื่อดัง เขาสะสมของเก่ามีราคาไว้มากมายแถมยังเป็นนายหน้าคอยจัดซื้อจัดหาสิ่งของหายากต่างๆ ให้แก่นักสะสมคนอื่นๆ คมสันเป็นเพื่อนกับปรเมธมาตั้งแต่สมัยประถมเล่นตบไพ่ยูกิ เป่ากบ โดนยางก็เคยผ่านมาด้วยกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนอย่างหม่อมราชวงศ์ปรเมธจะเปิดใจรับคมสันเป็นเพื่อนสนิท
“เอาเป็นว่าลืมเรื่องนั้นไปเถอะ” คมสันเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ เป็นไร นัดฉันออกมาสวีตนี่ร้อยวันพันปีจะมีหน”
“ที่วังมีเรื่องนิดหน่อย”
“คงไม่นิดล่ะมั้ง หน้าเครียดซะขนาดนี้”
“แกจำหม่อมเจ้ากิตติได้ไหม”ปรเมธทำเสียงจริงจัง
คมสันนิ่งคิดไปสักพักก่อนจะร้องอ๋อออกมา
“ใช่น้องชายต่างแม่ของหม่อมเจ้าแสงแขแม่เลี้ยงแกปะวะ”
ปรเมธพยักหน้าเป็นคำตอบ คมสันจึงเอ่ยถามต่อ
“ทำไมวะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ท่านชายมีลูกสาว”
คมสันตาโตขึ้นมาทันที เสือผู้หญิงอย่างเขามีหรือจะพลาดเรื่องแบบนี้
“จริงเหรอๆ แล้วสวยรึเปล่า”
ปรเมธนึกไปถึงคุณหญิงคนใหม่ป้ายแดง รูปร่างหน้าตาแบบนั้น...บอกว่าสวยคงตกนรกข้อหาพูดปดลงไปหลายขุม
“ไม่รู้ ฉันไม่ชอบประเมินผู้หญิง”
“ฉันไม่สงสัยเลยว่าทำไมแกถึงอยู่เป็นโสดมาถึงทุกวันนี้” คมสันกรอกตา “ตายด้านซะ”
“แกพูดว่าอะไรนะ” ปรเมธทวนเสียงเย็น
“ฉันบอกว่าอยากกินปลาซาบะ” ชายหนุ่มรีบแก้ตัว “หูอย่าหาเรื่องสิ”
ปรเมธอ่อนอกอ่อนใจกับเพื่อนยิ่งนัก คมสันนี่มันปลาไหลดีๆ นี่เอง ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขาก็ไม่ยอมรับ
“พูดถึงอาหาร ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ เย็นนี้ฉันขอไปฝากท้องที่วังแกแล้วกัน” พูดเองเออเองตามฉบับหนุ่มไฟแรง
“ถามยัง” ปรเมธปรายตามอง
“จำเป็นหรือไง แกก็รู้ว่าฉันมีมารยาทแค่ไหนไอ้หม่อม”
คมสันลุกขึ้นยืนเดินผิวปากล้วงกระเป๋าออกไปจากร้าน ทิ้งให้ปรเมธนั่งส่ายหัวไปมาด้วยความเหนื่อยใจอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินทางกลับบ้าง แต่ระหว่างที่กำลังจะก้าวพ้นผ่านประตูไปนั้น ตาขวาของปรเมธก็กระตุกอย่างแรง ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกถึงลางร้ายที่คืบคลานเข้ามา
“พี่สัน ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะ” มนีจันท์เยี่ยมหน้าออกมาทักทายเมื่อได้ยินเสียงรถดังที่หน้าวัง
“น้องมนีโตขึ้นเยอะ สวยขึ้นมากเลยครับ”
มนีจันท์ยิ้มอย่างขวยเขินพลางบิดตัวไปมา
“แหม ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ พี่สันก็เหมือนกัน แก่ขึ้นเยอะเลยนะคะ”
เด็กสาวตอบอย่างใสซื่อ คมสันได้ยินแบบนี้ก็มุมปากกระตุกเล็กน้อย
“น้องมนีครับ ถ้าไม่ติดว่าเคยรู้จักกันมาก่อนพี่คงคิดว่าน้องมนีหลอกด่าพี่นะครับ”
“มนีเปล่านะคะ มนีพูดตามความจริงค่ะ”
“เหอๆ พี่ว่าเข้าวังกันดีกว่านะครับ พี่ไม่อยากติดคุก”
คมสันดุนหลังเด็กสาวให้เข้าไปในตัววัง ปรเมธยิ้มเล็กน้อยกับท่าทีของคมสันที่โดนพิษบริสุทธิ์ใสซื่อของมนีจันท์เล่นงาน
“ทุกคนอยู่ที่ห้องรับประทานอาหารค่ะ พี่สันมาทันมื้อเย็นพอดี เชิญค่ะ คุณชายด้วยนะคะ”เด็กสาวผายมือไปยังห้องกินข้าว
เมื่อเข้ามาถึงคมสันก็ยกมือขึ้นไหว้ท่านหญิงรำไพกับท่านหญิงแสงแขที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มพยายามมองหาบุคคลที่เขาต้องการมาเจอแต่ก็ไม่พบวี่แวว จึงหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนที่ตามหลังมา
“ไหนวะ คุณหญิงป้ายแดงของแก”
“ไม่รู้ อีกอย่างคุณหญิงไม่ใช่ของฉัน”
ว่าจบเขาก็เดินไปนั่งร่วมโต๊ะอาหาร คมสันยิ้มนัยย์ตาก่อนจะเดินอารมณ์ดีเข้ามานั่งตาม
“ไปไงมาไงละพ่อสัน วันนี้ถึงมาเยี่ยมที่วังนี้ได้” หม่อมเจ้ารำไพเอ่ยถาม
“หม่อมฉันจะขอมาฝากท้องที่วังสักมื้อน่ะกระหม่อม รู้สึกคิดถึงรสชาติที่นี่เหลือเกิน” คมสันพูดเอาใจ
ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น เสียงยกถาดอาหารก็ดังขึ้นมา คมสันหันไปมองก็พบกับหญิงสาวร่างดำฟันเกยินสวมชุดเสื้อยืดกางเกงผ้าสามส่วนที่กำลังยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ จึงหันไปถามปรเมธ
“คนใช้ใหม่เหรอ หน้าไม่คุ้นเลย”
ปรเมธเงียบไม่พูดอะไร หม่อมเจ้ารำไพเห็นกรณารายกกับข้าวมาก็เชิดหน้า เอ่ยเเขวะหลานสาวนอกไส้
“คิดจะโชว์ฝีมือ อุตส่าห์ให้ใช้บ่าวไพร่ได้ไม่จำกัดยังทำออกมาช้าขนาดนี้ คราวหน้าคราวหลังจะทำมาหากินอะไรได้”
หญิงสาวฟังดังนั้นจึงกัดฟันยิ้ม สั่งให้เด็กรับใช้วางกับข้าวไว้บนโต๊ะ ส่วนเจ้าตัวก็เดินอ้อมไปนั่งฝั่งเดียวกับมนีจันท์
“ท่านป้าลองชิมสิคะ ว่ารสชาติสิเป็นจังได๋บ้าง”
กรณารายังคงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน คมสันที่ได้ยินสรรพนามที่หญิงสาวใช้เรียกหม่อมเจ้ารำไพก็ตกใจ
“ท่านป้า...อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้คือคุณหญิงบุตรสาวของหม่อมเจ้ากิตติ”
ปรเมธพยักหน้า คมสันหันกลับไปมองกรณาราอีกครั้ง ไม่น่าเชื่ออย่างแรง!
กรณาราที่เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนนอกอยู่ด้วยจึงหันไปยิ้มให้แล้วกล่าวทักทาย
“สวัสดีค่า คุณคงเป็นเพื่อนของคุณซายแม่นบ่ค่ะ ยินดีที่ได้ฮู้จักเด้อค่า”
หญิงสาวยื่นมือออกไปเพื่อจะเช็คแฮนด์กับคมสัน ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ แต่ก็ยอมยื่นมือมาจับด้วย
“ตกลงจะกินกันได้หรือยัง ฉันหิวจะตายอยู่แล้วนะ”หม่อมเจ้ารำไพเริ่มหงุดหงิด
“เชิญเลยค่าท่านป้า บ่ต้องเกรงใจ”
หญิงชราเชิดหน้าเชิดคออีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปตักแกงส้มผักรวมที่วางอยู่ตรงหน้าเป็นชามแรก แต่เมื่อเอาเข้าปากสิ่งที่ตามมาก็คือ...
ปรู๊ดดด
เสียงพ่นน้ำแกงดังมาจากปากของหม่อมเจ้ารำไพ ถึงแม้จะไม่ดังมากจนน่าเกลียด แต่ก็ถือว่าดูไม่ดีไปเหมือนกัน หม่อมเจ้าแสงแขรีบขยิบกระดาษทิชชูส่งให้พี่สาวอย่างด่วน ท่านหญิงดื่มน้ำตามลงไปเกือบครึ่งแก้วก่อนจะตะคอกเสียงดังตามฉบับตัวร้ายในละคร
“ใครมันเป็นคนทำแกงชามนี้! “
บ่าวที่ยืนเรียงกันต่างทำหน้าตาเลิ่กลั่กเสมองไปทางคุณหญิงป้ายแดงคนใหม่
“ไม่อร่อยเหรอเพคะท่านหญิง” มนีจันท์สงสัย เธอใช้ช้อนกลางตักน้ำแกงมาใส่ช้อนตัวเองก่อนจะเอาเข้าปากบ้าง แล้วสิ่งที่ตามมาก็ไม่ต่างกัน
ปรู๊ดดด
มนีจันท์พ่นน้ำแกงออกมาเป็นละอองฝอย เมื่อเห็นว่าทำกิริยาไม่งามออกไปจึงกล่าวขอโทษคนที่นั่งร่วมโต๊ะ
“ตายจริง มนีขอโทษค่ะ” มนีจันท์หยิบทิชชูขึ้นมาซับปาก พลางหันไปกวาดสายตามองบรรดาคนรับใช้ “ใครทำกันคะ รสชาติช่างไม่ได้เรื่องเอาซะเลย”
กรณาราแอบสงสารเด็กสาวที่เธอยกให้เป็นเสมือนน้อง เตือนไม่ทันจริงๆ อย่าโกรธกันนะ
“บ่แซ่บหรือคะ”
“รสชาติแย่มากค่ะ” เด็กสาวยังไม่วายคาดโทษไปยังบ่าวไพร่ “อย่างกับน้ำล้างทีน”
โอ้ววว
กรณาราเหงื่อตก สงสัยรสชาติคงจะเข้าขั้นวิกฤต ตอนปรุงเธอก็ปรุงไปส่งๆ งั้นๆ ไม่ได้คำนึงถึงระดับพลังทำลายล้างเลยสักนิด ท่าทางมลพิษทางด้านการทำอาหารของเธอคงจะแตะระดับเทพไปแล้ว
“ถ้าแกงบ่อร่อย งั้นลองชิมของแห้งดูบางบ่ค่ะ เผื่อรสชาติสิเข้าที่เข้าทาง” หญิงสาวตัวดีบรรจงตัก 'ของแห้ง' ที่จัดวางอยู่บนจานเซรามิกขอบทองอย่างสวยงามไปให้ท่านหญิงรำไพ
“จานนี้หลานเฮ็ดเองเด้อค่า รับรองแซ่บบบ”
หม่อมเจ้ารำไพมองสิ่งที่ปรากฏบนจาน ชิ้นเนื้อสีน้ำตาลติดจะไหม้ แต่กลิ่นหอมยวนใจทีเดียว นางเก๊กท่าเล็กน้อยก่อนจะใช่ส้อมจิ้มชิ้นเนื้อนั้นเข้าปาก สัมผัสนุ่มละมุนลิ้นกำลังดี รสชาติไม่โดดจนเกินไป ท่านหญิงใหญ่เก๊กหน้าถามคนทำ
“ก็กินได้” นางเชิดหน้า แต่สายตาเหล่มองไปทางเนื้อทอดจานนั้น “ว่าแต่มันคืออะไร”
กรณารายิ้มหวานส่งไปให้ เนื้อทอดจานนี้จัดว่าเป็นเมนดิชของวันนี้เลยล่ะ หญิงสาวตักเนื้อทอดส่งไปให้ท่านหญิงอีกชิ้น ก่อนจะเฉลยคำตอบ
“แย้ทอดค่าท่านป้า แซ่บหลายแม้นบ่ค่า”
ท่านหญิงรำไพที่กำลังจิ้มชิ้นเนื้อเข้าปากปล่อยส้อมลงกระแทกจานเสียงดังด้วยความตกใจ
“ว่าไงนะ!!! “
“ฟังบ่ผิดดอกค่า แย้แท้ๆ บ่มีสิ่งเจือปนเลยค่า” กรณาราเอ่ยสรรพคุณโดยไม่สังเกตสีหน้าของท่านหญิงที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีเขียวไปเรียบร้อยแล้ว
“ฉันจะฆ่าแก นังกิ่งกล้าาา!! “
ความคิดเห็น